หัวข้อ : บทที่ 3

โพสต์เมื่อ 10 พ.ค. 2557, 22:13

บทที่ 3

 

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เฟิ่งจิ่วคลึงขมับเดินเนือยๆ ออกมาจากตำหนักบรรทมของตำหนักชิ่งอวิ๋น ในมือยังกุมเสื้อคลุมยาวสีม่วงของบุรุษตัวหนึ่งไว้ คลี่สะบัดออกมาเอ่ยถามก้อนแป้งอย่างสะลึมสะลือ

“นี่คืออะไรกันน่ะ?”

ก้อนแป้งกำลังนั่งอยู่ใต้ซุ้มเถาวัลย์ม่วงกลางลานตำหนักร่วมรับประทานอาหารกับท่านพ่อท่านแม่ ได้ยินถ้อยถามก็กัดช้อนพินิจดูอยู่เนิ่นนาน หมัดขวาเล็กๆ พลันทุบลงใส่ฝ่ามือซ้ายโดยแรง กล่าวอย่างกระจ่างแจ้งแล้วว่า

“นั่นมันเสื้อตัวนอกของตงหัวเกอเกอนี่นา!”

มือขวาที่ถือตะเกียบของเยี่ยหัวจวินท่านพ่อของเขาหยุดชะงัก เลิกคิ้วเอ่ยว่า

“ตอนข้ายังเด็ก เรียกตงหัวว่า ‘ซูซู’”

ก้อนแป้งอ้าปากหวอ แล้วหุบลง ก้มหน้าไล่เรียงนิ้วทีละนิ้วหมกมุ่นกับการนับลำดับรุ่น

เฟิ่งจิ่วตกตะลึงคาที่ มองดูเสื้อคลุมม่วงในมือ แล้วก้าวออกจากธรณีประตูเงยหน้าขึ้นดูว่าที่เขียนอยู่เหนือประตูตำหนักคือคำว่า “ตำหนักชิ่งอวิ๋น” ใช่หรือไม่ ก่อนจะเบนสายตาย้อนกลับมาที่ตัวก้อนแป้งอีกครั้ง ตะกุกตะกักว่า

“ก...เกิดอะไรขึ้น?”

ป๋ายเฉี่ยนกำลังตักข้าวต้มถ้วยที่สองให้ก้อนแป้ง ได้ยินเข้าก็กล่าวปลอบว่า

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรดอก เมื่อคืนนี้เจ้าดื่มจนเมา ตงหัวเขาทำเรื่องดีพาเจ้ากลับมาส่งตำหนักชิ่งอวิ๋น แต่เจ้าเมาหนักมาก กุมอกเสื้อเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ทั้งยังปลุกไม่ตื่น เขาจนปัญญา จึงได้แต่ถอดเสื้อตัวนอกออกมาทิ้งไว้ที่นี่”

เฟิ่งจิ่วนิ่งคิด กล่าวอย่างเปิดกว้างไม่คร่ำครึว่า

“เขาคงจะเลยตามเลยนั่นละ ไม่ใช่เรื่องที่บอกกล่าวไม่ได้นี่ ก็ยังดีอยู่ดอก ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงข้าเสียหาย และไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงเขาเสียหาย”

ป๋ายเฉี่ยนมองหน้านางด้วยท่าทีอยากจะพูดอะไร พึมพำว่า

“แต่ว่า...เจ้าเองก็รู้ดี ตงหัวจะอยู่ค้างที่ตำหนักชิ่งอวิ๋นไม่ได้ เสื้อตัวนอกถอดให้เจ้าเสียแล้ว เขาเองก็ไม่ค่อยสะดวกนัก อีกทั้งในตำหนักชิ่งอวิ๋นก็ไม่มีเสื้อผ้าที่เขาจะสวมใส่ได้ ก้อนแป้งจึงมาที่ตำหนักข้ายืมชุดของเยี่ยหัว”

เฟิ่งจิ่วพยักหน้า “เรื่องนี้ก็ถูกต้องอยู่” กล่าวพลางทำท่าจะเข้ามาร่วมรับประทานอาหาร

ป๋ายเฉี่ยนกระแอมหนึ่งที กล่าวต่อว่า “ข้า...นอนหลับลึกไปหน่อย ก้อนแป้งร้องตะโกนที่ลานตำหนักเสียงดังเกินไปนิด เกรงว่าทั้งวังสี่อู๋จะได้ยินกันหมดแล้ว...”

เฟิ่งจิ่วชะงักเท้า หันหน้ากลับไปมองก้อนแป้ง “เจ้าร้องตะโกนว่ายังไงรึ?”

ก้อนแป้งทำแก้มป่องพูดว่า “ก็พูดตามความจริงน่ะสิ”

เฟิ่งจิ่วค่อยโล่งอก

ก้อนแป้งกล่าวแสดงเหตุการณ์ซ้ำว่า

“ตงหัวเกอเกออุ้มเฟิ่งจิ่วเจี่ยเจียกลับตำหนักชิ่งอวิ๋น เฟิ่งจิ่วเจี่ยเจียดึงตงหัวเกอเกอไว้ไม่ยอมให้เขากลับ ตงหัวเกอเกอจึงอยู่เป็นเพื่อนนางครู่หนึ่ง จริงสิ ยังถอดชุดออกด้วย แต่เขาไม่ได้นำชุดสำหรับเปลี่ยนมา ข้าเลยมาหาฟู่จวินเพื่อขอยืม เหนียงชิน ฟู่จวินอยู่ที่ตำหนักท่านอีกแล้วใช่ไหม” แบมือพูดว่า “ข้าตะโกนอย่างนี้แหละ”

เฟิ่งจิ่วล้มตึงลงจากประตูตำหนัก

 

สองร้อยกว่าปีมานี้ นับตั้งแต่เฟิ่งจิ่วสืบทอดตำแหน่งกษัตรีย์แห่งชิงชิวจากป๋ายเฉี่ยนกูกูของนาง ความคิดอยากจะตบแต่งบุตรีของป๋ายอี้ซ่างเสินก็เพิ่มทวีขึ้นทุกวัน ในฐานะบิดา ท่านกังวลว่าเฟิ่งจิ่วอายุยังน้อยก็ขึ้นเป็นกษัตรีย์ ในสี่ทะเลแปดดินแดนไม่อาจจะควบคุมสถานการณ์ใดได้ จึงมุ่งมั่นจะหาสวามีที่เก่งกาจให้แก่นางสักคน จะได้ช่วยเหลือส่งเสริมนางได้บ้าง

แท้จริงแล้วป๋ายอี้มิได้ถูกชะตาสวรรค์เก้าชั้นฟ้านัก เพียงเพราะภายในชิงชิว บุตรีของเขาผู้นี้ได้พิชิตทั่วหล้าไร้ผู้ต้านติดเสียแล้ว หมดทางเลี่ยงเข้า จึงได้ทอดสายตาในการมองหาเขยขวัญขี่มังกร[1]ขึ้นไปบนสวรรค์ และได้ฉวยโอกาสที่ป๋ายเฉี่ยนสมรส ออกคำสั่งบังคับให้เฟิ่งจิ่วติดตามไปด้วย ทั้งยังต้องพำนักอยู่บนสวรรค์ให้ครบหนึ่งเดือน โดยเปิดเผยเพื่อเป็นการแสดงถึงความกระตือรือร้นของพวกเขาครอบครัวฝ่ายหญิง โดยเบื้องลับกลับให้ป๋ายเฉี่ยนช่วยจัดการดูแลดาวเนื้อคู่ของหลานสาวผู้นี้ โดยนึกเอาเองว่าทำเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วจะได้คบหารู้จักชายหนุ่มรูปงามผู้เปี่ยมสามารถมากขึ้น เปิดทางบุพเพสันนิวาสของนางให้กว้างขึ้น

เฟิ่งจิ่วพำนักอยู่บนสวรรค์อย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้มาได้หนึ่งเดือน ดาวเนื้อคู่ยังคงจมฝุ่นอยู่ดังเดิม ความสามารถด้านเลี้ยงเด็กกลับก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว งอนิ้วนับดู ยังเหลืออีกสามวันก็ควรต้องกลับชิงชิว ตัวนางเห็นว่าไม่ควรจะผ่านวันคืนโดยสูญเป่า ควรจะฉวยโอกาสที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่วันนี้เที่ยวสวรรค์เก้าชั้นฟ้าให้ดีๆ อีกหน ด้วยเหตุนี้จึงพาก้อนแป้งมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่ซึ่งทิวทัศน์งดงามที่สุด...แดนสวรรค์สี่ซ่านแห่งสวรรค์ชั้นสามสิบสาม

ข้างกอดอกกุสุมาหลังประตูสวรรค์ เทพเซียนน้อยกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมวงกันแอบลับๆ ล่อๆ เปิดโต๊ะพนัน ด้วยอานิสงส์ของเสียงตะโกนของก้อนแป้งในคืนพระราชทานงานเลี้ยงอุทยานรัศมีจันทร์ทิพย์ หลายวันมานี้เฟิ่งจิ่วคอยระแวดระวังหลบเลี่ยงการตกเป็นอาหารปากตลอดมา ไม่ค่อยกล้าโผล่เข้าไปในที่ที่มีคนอยู่มาก กลับสะกดความอยากรู้ไว้ไม่ได้ เสี้ยมสอนให้ก้อนแป้งปลอมตัวเข้าไปสืบถาม ส่วนตัวเองซ่อนตัวอยู่หลังต้นกฤษณาต้นหนึ่ง โบกพัดผ้าเช็ดหน้าครึ่งผืนคลายร้อน

ต้นไม้ที่นางใช้คลายร้อนต้นนี้คือเจ้าแห่งป่ากฤษณาผืนนี้ มีอายุนับได้หมื่นหมื่นปีแล้ว สูงใหญ่มหึมาดกหนาร่มครึ้มอย่างมาก

บังเอิญอย่างยิ่ง เป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนยามปกติแห่งหนึ่งของมหาเทพตงหัวพอดี

บังเอิญอย่างยิ่ง วันนี้ตงหัวกำลังนั่งเอนๆ บนตำแหน่งที่ร่มครึ้มของยอดไม้ตรวจเทียบแก้ไขใส่คำอรรถาธิบายพระไตรปิฎกเล่มหนึ่งพอดี

บังเอิญอย่างยิ่ง ลมรวยรื่นระลอกหนึ่งพลิ้วพัดผ่าน หอบกลิ่นกฤษณาเข้มข้นมาเยือน รมจนเฟิ่งจิ่วจามออกมา เป็นการเตือนบอกตงหัวที่กำลังงอเข่านั่งเอนๆ พลิกหน้าคัมภีร์พอดี ขยับคัมภีร์ออกเล็กน้อย หลุบตาลงหน่อยๆ สายตาก็ตกลงจับยังร่างของนาง เฟิ่งจิ่วประสาทช้ามาแต่ไหนแต่ไรจนชินชา มิได้รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ทั้งยังตั้งอกตั้งใจรอก้อนแป้งกลับมาเต็มที่

 

ไม่นาน ก้อนแป้งที่ไปสืบถามยังวงพนันก็วิ่งตึงๆๆ กลับมาดั่งลมพัด เอามือเท้าสะเอวอ้วนกลมหอบหายใจแรงๆ สองคำ พูดรัวเร็วว่า

“การพนันครั้งนี้เป็นแบบระยะยาว กำลังพนันกันว่าตงหัวตี้จวินเกอเกอ...เอ้อ...ซูซู...เอ้อ...เหยียเยี่ย” สับสนกับคำเรียกอยู่พักใหญ่ “กำลังพนันกันว่าในวันหน้าเขาจะแต่งท่านหรือองค์หญิงจือเฮ่อเป็นตี้โฮ่ว!”

เฟิ่งจิ่วเอามือค้ำต้นกฤษณาข้างหลังพยุงตัว เอามือปาดเหงื่อเย็นเฉียบที่ผุดซึมด้วยความตกใจบนหน้าผาก แสร้งทำเป็นเยือกเย็น “เจ้าอายุยังน้อย รู้ด้วยหรือว่า ‘ระยะยาว’ คืออะไร?”

ก้อนแป้งทำหน้ามุ่ย “ข้าไม่รู้น่ะสิ แต่ข้ารักเรียนยิ่ง จึงขอคำชี้แนะจากเทพเซียนเกอเกอที่ล้อมวงดูอยู่คนหนึ่ง ผลคือเขาเองก็ไม่ได้บอกอะไรออกมา บอกข้าแค่ว่าคนที่พนันข้างองค์หญิงจือเฮ่อมียี่สิบห้าแต้มแล้ว คนที่พนันข้างท่านมีแค่สามแต้ม แล้วเขายังเผลอวางพลาดอีกด้วย” ทำหน้ามุ่ยต่อไปว่า “ข้าก็ยังฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี แต่สงสารว่าท่านจะรอนาน ก็เลยแอบหลบกลับมา ตอนที่ข้าหลบออกมา เห็นเขายังคงถกเถียงกับเกอเกออีกคนอยู่เทียว ถามว่าจะขอย้ายสามแต้มที่เขาลงเดิมพันนั่นมาที่ชื่อขององค์หญิงจือเฮ่อได้หรือเปล่า”

เฟิ่งจิ่วนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ล้วงถุงทองออกมาจากในแขนเสื้อ เททับทิมเปล่งประกายวูบวาบออกมากองใหญ่ ปลดจี้หินหลินสือเขียว[2]ที่แกะสลักอย่างประณีตชิ้นหนึ่งลงจากคอ และปลดหยกประดับลายหงสาสีเขียวมรกตชิ้นหนึ่งจากสายรัดเอว ยื่นให้ก้อนแป้งทั้งหมดราวกับฝากฝังบุตรกำพร้า กล่าวอย่างเคร่งขรึม

“เจ้าจงไปซื้อให้ข้าสองร้อยแต้มซะ” หยุดเล็กน้อย “ซื้อในชื่อข้าทั้งหมดเลยนะ”

ก้อนแป้งรับอัญมณีทั้งหมดมามองดูอยู่ครู่หนึ่ง พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า

“ข้ายังเล็กแค่นี้ ท่านก็สอนให้ข้าทุจริตแล้วรึ?”

เฟิ่งจิ่วปรายตามองน้องชาย กล่าวเสียงหนัก “ขอเพียงเป็นการกระทำภายใต้นามของชิงชิว ตัวข้าเจี่ยเจียไม่มีทางยินยอมอยู่ใต้ใครเด็ดขาด นี่แหละที่เรียกว่า ‘ขัตติยะมานะ’ ไม่เชื่อเจ้าจงลองย้อนนึกดูเถิด”

ก้อนแป้งไม่แม้แต่จะคิด “ข้าได้ยินเสี่ยวจิ้วจิว[3]บอกว่า ท่านไม่เคยเรียนได้ที่หนึ่งเลยสักวิชา ทุกวิชาอยู่ใต้คนอื่นทั้งหมด ยังมีบางวิชาได้ที่โหล่ด้วยซ้ำ!”

เฟิ่งจิ่วกระแอมกระไอ “ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ลูกผู้ชายมีบ้างพึงกระทำมีบ้างไม่พึงกระทำ’ ไง การเรียนของเจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง”

ก้อนแป้งทำแก้มป่อง “โกหก ข้าไม่เคยสอบได้ที่สุดท้ายสักหน่อย”

เฟิ่งจิ่วทำตัวสั่นยะเยือกอย่างนึกถึงเรื่องสยองขวัญในอดีตขึ้นมาได้

“นั่นเป็นเพราะว่าเจ้ายังเรียนไม่ถึงวิชาหลักธรรมพุทธ เจ้าไม่รู้หรอกว่านั่นน่ะยากมากแค่ไหน”

ก้อนแป้งตัวสั่นยะเยือกอย่างกลัดกลุ้มกังวล “ยากปานนั้นเลยหรือ?” แล้วกล่าวอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อในความเป็นจริงอันแสนโหดร้าย “แต่ว่า...ข้าเห็นตงหัวตี้จวินเกอเกอ...เอ้อ...ซูซู...เอ้อ...เหยียเยี่ย จะถือหนังสือหลักธรรมพุทธ ตกปลาไปพลางอ่านเล่นไปพลางเสมอเลยนี่นา!”

เฟิ่งจิ่วนิ่งเงียบไปอึดใจ ทอดถอนชมเชยจากใจจริง

“...ช่างวิปลาสแท้...”

เพิ่งกล่าวขาดคำ สายลมเย็นรื่นพลิ้วพัดมา กลิ่นหอมจัดของดอกกฤษณาโชยมาอีกแล้ว สะกิดให้นางจามออกมาดังสนั่น กุมจมูกวิ่งไปทางทิศเหนือลม 2-3 ก้าว ค่อยนึกขึ้นได้หันกลับมากำชับก้อนแป้ง

“กลิ่นนี้ข้าทนไม่ค่อยไหว จะไปรอเจ้าในสวนดอกไม้เล็กๆ ข้างหน้า”

บนต้นกฤษณา เหลียนซ่งจวินผู้ไม่มีอะไรจะทำถือกระบี่ชางเหอที่จัดการเสร็จสรรพมาส่งให้ตงหัว และได้ยินคำประเมินจากใจจริงที่เฟิ่งจิ่วกล่าวทิ้งท้ายนั้นพอดี ครั้นสองพี่น้องที่ใต้ต้นไม้จากไปไกลแล้ว ก็โบกพัดพินิจดูตงหัวอยู่ครู่หนึ่ง

“ท่านทำอะไรนางหรือ นางถึงได้ชมท่านเช่นนี้?”

ตงหัวปิดคัมภีร์พระไตรปิฎกเข้าหากัน ถามด้วยสีหน้าเรียบสนิท

“ชม? เฉิงอวี้ล้วนแต่ชมเจ้าเช่นนี้รึ?”

เหลียนซ่งลูบจมูก “อ้อ...นางมักจะชมว่าข้ากะล่อน”

 

วันนี้เพิ่งจะออกจากประตู เฟิ่งจิ่วก็รู้สึกไม่ค่อยราบรื่น

เดิมทีสวรรค์เก้าชั้นฟ้าควรจะเป็นสถานที่อันเป็นมงคล ตอนออกจากประตูตำหนักชิ่งอวิ๋น นางมองเห็นอีกาสองตัวบินผ่านเหนือศีรษะนางไปคาตา ทั้งยังปล่อยอุจจาระใหม่สดลงมาสองกองดัง “แปะๆ” แน่นอน...ความจริงแล้วเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่มากพอจะดับความกระตือรือร้นในการออกไปเที่ยวข้างนอกของนางดอก ถัดมา ก็มาเห็นเทพเซียนน้อยกลุ่มหนึ่งเอานางกับจือเฮ่อมาพนันขันต่อที่ข้างประตูสวรรค์ชั้นสามสิบสาม นางยังพ่ายแพ้อนาถมิใช่น้อย แน่นอน...นี่ยังไม่มากพอจะดับความกระตือรือร้นในการออกไปเที่ยวข้างนอกของนาง ที่หนักข้อยิ่งขึ้นคือ ครั้นนางหันกลับมาหมายจะหาที่เงียบสงบสักแห่งพักเท้า ก็กลับจับพลัดจับผลูเลี้ยวเข้าไปในป่ากฤษณาผืนหนึ่ง ถูกรมเสียจนกระทั่งตอนนี้จมูกของนางที่แพ้เฉพาะกลิ่นกฤษณาเพียงอย่างเดียวมาแต่ไหนแต่ไรยังคงคันยิบๆ อยู่ไม่หาย จามแล้วจามอีกไม่ได้หยุด

ลางบอกเหตุทั้งหลายแหล่เหล่านี้ ดูเหมือนล้วนแต่บ่งบอกว่าวันนี้ไม่ควรออกนอกบ้าน แต่ทิวทัศน์วสันต์ดีเลิศออกปานนี้ หากจะกลับบ้านก็ออกจะขาดทุนอยู่บ้าง นางสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงอยู่พักหนึ่ง คลำหาจนเลี้ยวเข้าสู่สวนดอกไม้เล็กๆ ที่ปลอดภัยและเงียบสงบแห่งหนึ่ง ก็คิดว่าแม้จะเสียทรัพย์ จะดีจะชั่วก็ให้ก้อนแป้งไปช่วยเหนี่ยวรั้งสถานการณ์คับขันในวงพนันของนางกลับมาแล้ว ความโชคร้ายนี้ก็น่าจะถึงจุดสิ้นสุดเสียที ดังนั้นจึงกระตุ้นจิตใจให้คึกคักอีกครั้ง เตรียมตัวท่องวสันต์ ทันใดนั้น พลันได้ยินเสียงคนดังเนิบนาบมาจากด้านนอกพงไม้

สายลมพัดมา เสียงสนทนาขาดๆ หายๆ นั้นตรงดิ่งเข้ามากรอกสู่หูนาง เฟิ่งจิ่วสวด “อมิตตาพุทธ” ในใจไปหนึ่งรอบ เห็นว่าดูจากสถานการณ์นี้ ความโชคร้ายในวันนี้กลับมีวี่แววว่าจะมาเรื่อยๆ ไร้ที่สิ้นสุด

จากหลักการที่นางกำหนดให้แก่ตัวเองเมื่อหลายวันก่อน ช่วงนี้ยามอยู่บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน จะต้องพยายามหลบเลี่ยงตงหัวอย่างสุดความสามารถ นางได้ระมัดระวังสุดขีดแล้ว มิคาดกระทั่งเดินเที่ยวสวนเล็กๆ สักแห่ง ยังจะได้พบเขาอีก ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นวาสนาอะไร นางกำชับก้อนแป้งด้วยสีหน้าแข็งทื่อ

“อีกประเดี๋ยวถ้าตี้จวินผ่านทางมาเอ่ยถาม ให้เจ้าบอกว่าเจ้ามาจับผีเสื้อเล่นคนเดียวที่นี่” กล่าวจบก็จำแลงร่างเป็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดผืนหนึ่ง นอนนิ่งๆ อยู่บนโต๊ะหยกขาวซึ่งสร้างจากหยกหนานหยาง[4]

 

คนสองคนที่เดินเลี้ยวออกมาจากด้านหลังแนวต้นสาละ คือตงหัวกับเหลียนซ่งจริงๆ

เฟิ่งจิ่วลดศักดิ์ศรีของตัวเองแปลงร่างเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง กลับมิได้ส่งผลกระทบต่อโสตประสาท ได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ ใกล้เข้ามา ชายหนุ่มทั้งสองกำลังสนทนากันเรื่อยเปื่อย

เหลียนซ่งกระเซ้าว่า “ฟังว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนท่านรับสารท้ารบจากเยียนฉืออู้ พรุ่งนี้จะไปสู้ตามนัดหมายที่เขาฝูอวี่[5] จ้งหลินยังนำกระบี่ชางเหอมาขอให้ข้าช่วยลับให้โดยเฉพาะเลย ไฉนข้าจึงดูไม่ออกเล่าว่าท่านกำลังจะไปสู้ตามนัดหมาย?”

ตงหัวกล่าวอย่างไม่สนใจ “ข้าอารมณ์ดี”

เหลียนซ่งกระเซ้าไม่ได้ผล ลูบจมูกหัวเราะแห้งๆ เปลี่ยนเรื่องสนทนาว่า

“จะว่าไป กาลก่อนตอนที่สร้างกระบี่ชางเหอ ท่านคิดอย่างไรกันแน่? พื้นที่ให่แค่ฝ่ามือเดียว กลับใช้เพทายหั่นออกเป็นหนึ่งหมื่นกว่าช่องตาราง ทั้งยังสลักเจาะเป็นรูที่ลึกเท่ากันห้าพันกว่ารูอีก ข้าต้องสิ้นเปลืองความคิดไม่ใช่น้อยซ่อมแซมเก็บกวาด คงมิใช่ว่ากระทำเรื่องลับใดดอกนะ?”

ตงหัวย้อนนึกอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่มีอะไร แค่ว่างมากจนเบื่อ”

เหลียนซ่งนิ่งเงียบไปอึดใจ พูดกลั้วหัวเราะ “ท่าทางผีสางแบบนี้ของเจ้ายังอุตส่าห์ได้รับการยกย่องสรรเสริญจากทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนมาหลายหมื่นปีไม่มีเปลี่ยน บอกว่าสงบนิ่งไร้กระทำ[6] เถรตรงเที่ยงธรรม ไม่มีใครมาแฉสักคน จ้งหลินช่างทุ่มเทไม่ใช่ง่ายดายโดยแท้” หยุดเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้าข้องใจอย่างมากว่าเขาทำได้อย่างไรกันแน่”

ตงหัวพึมพำว่า “พอเจ้าพูดแบบนี้...”

เหลียนซ่งกล่าวอย่างอยากรู้ “อย่างไรรึ?”

ตงหัวพูดต่อว่า “ข้าเองก็คิดเหมือนกันว่าเขาทุ่มเทไม่ใช่ง่ายดาย”

เหลียนซ่ง “......”

 

ร่างอรชรของเฟิ่งจิ่วนอนทอดเหยียดยาวอยู่บนโต๊ะ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของชายหนุ่มทั้งสองอยู่ใกล้จนดังขึ้นที่ข้างหูนี่เอง แท้จริงแล้วในใจนางสับสนลังเลอยู่บ้าง นางสับสนลังเลว่าไฉนตัวนางจึงผีเข้าไปชั่วขณะแปลงร่างเป็นผ้าเช็ดหน้าเสียได้ ต่อให้คิดจะหลบหน้าเขาสองคน เปลี่ยนเป็นผ้าเช็ดหน้าก็ไม่อาจนับว่าปลอดภัยแน่นอนได้ อย่าว่าแต่เป็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดแบบนี้ ทั้งยังวางอยู่บนโต๊ะสีขาวสะอาดอย่างนี้ จะต้องค่อนข้างเด่นอย่างแน่นอน จะถูกมองออกในปราดเดียวหรือเปล่าหนอ?

ก้อนแป้งได้คารวะทำความเคารพเทพเคารพทั้งสองท่านอยู่ด้านข้าง ร้องเรียก “ตี้จวินเหยียเยี่ย” กับ “ซานเหยียเยี่ย”[7] อย่างว่าง่าย เหลียนซ่งไม่ได้พบหลานคนนี้เป็นการส่วนตัวมาเนิ่นนานแล้ว ลูบศีรษะของก้อนแป้ง ฉวยโอกาสนี้ถามไถ่ผลการเรียนพักนี้ของก้อนแป้ง 2-3 คำ ก้อนแป้งกล่าวตอบทีละข้อๆ อย่างตั้งใจจนครบ เงยหน้าขึ้นเห็นผ้าเช็ดหน้าที่เป็นร่างแปลงของเฟิ่งจิ่วผืนนั้นถูกตงหัวถือไว้ในมือพลิกดูไปมา ก็ตกตะลึงทันที

เหลี่ยนซ่งก็หันกลับมาเช่นกัน ถามว่า “นี่คือ...”

ตงหัวหน้าไม่เปลี่ยนสี “ผ้าเช็ดหน้าที่ข้าทำหาย หาอยู่ตั้งหลายวัน”

ก้อนแป้งเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ คิดจะเถียงกลับเสียงแข็ง แต่นึกคำกำชับของเฟิ่งจิ่วขึ้นได้ จึงอ้าปากแล้วหุบลง แลเห็นตงหัวพับเฟิ่งจิ่วเจี่ยเจียของเขาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ใบหน้าน้อยๆ ก็ขมวดย่นเข้าหากัน อุบอิบอย่างปวดไปทั้งตัวว่า

“ท่าน...ท่านเบามือหน่อยสิ เฟิ่ง...ผ้าเช็ดหน้าอาจจะรู้สึกเจ็บนิดๆ...”

เหลียนซ่งชี้ด้ามพัดไปที่มือของตงหัวอย่างฉงน เอ่ยว่า

“แต่ลักษณะแบบนี้ พวกเซียนสตรีเขาใช้กันชัดๆ ไฉน...”

ตงหัวเก็บผ้าเช็ดหน้าที่พับเรียบร้อยไว้ในแขนเสื้ออย่างสงบเยือกเย็น “ฟังว่าข้าเป็นคนวิปลาส คนวิปลาสมีผ้าเช็ดหน้าที่มีแต่เซียนสตรีเขาใช้กันเช่นนี้สักผืน มีอะไรน่าแปลกรึ?”

ผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อตัวสั่นยะเยือกทันควัน เหลียนซ่งประหลาดใจ พลันหันขวับไปจ้องดูในแขนเสื้อของตงหัวอีกครั้ง ค่อยได้ตระหนัก หัวเราะหึๆ กล่าวว่า

“ไม่แปลก ฮ่าๆ ไม่มีอะไรแปลกเลยจริงๆ”

 

เฟิ่งจิ่วผู้ถูกตงหัวพับเก็บไว้ในแขนเสื้อ หายใจไม่ทั่วท้องอย่างยิ่งมาตลอดทาง

หากย้อนเวลากลับไปได้ นางเห็นว่าตัวเองจะต้องรู้จักคิดมากกว่านี้อย่างแน่นอน อย่างน้อยก็แปลงร่างเป็นต้นไม้ ต่อให้ตงหัวอาศัยพลังฝึกปรือที่ไม่ธรรมดามองคาถาพรางตาอย่างสุดกำลังของนางออกในปราดเดียว นางก็ไม่เชื่อดอกว่าเขายังจะสามารถถอนนางขึ้นมาแล้วค่อยแบกกลับไปได้

เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ จะปลีกหนีเอาตัวรอดนั้นยากเย็นนัก นอกเสียจากว่านางจะไม่สนใจหน้าตาของชิงชิว เผยร่างกษัตรีย์แห่งชิงชิวของนางออกมาต่อหน้าเขา แต่เขาดูออกแล้วอย่างแน่นอนว่านางคืออะไร การทำเช่นนี้ คงตั้งใจจะรอดูนางกระทำเรื่องขบขันเสียละมาก หากว่านางทำคนเดียวรับคนเดียวได้ ขายหน้าสักหนก็ไม่ถือโทษอะไรดอก ถึงอย่างไรนางก็เคยชินกับเรื่องทำนองนี้มากอยู่แล้ว แต่เวลานี้นางได้สืบทอดตำแหน่งหนึ่งในกษัตริย์แห่งชิงชิวแล้ว ทุกการกระทำล้วนผูกติดกับหน้าตาของชิงชิว หากเรื่องนี้แพร่ออกไปถูกฟู่จวินของนางทราบเข้า ต้องหนีไม่พ้นถูกแส้เฆี่ยนไปหนึ่งยกเป็นแน่ นางลอบนึกเสียใจอยู่ครู่หนึ่ง ลอบนึกเจ็บใจอยู่ครู่หนึ่ง และลอบคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่าอดทนไว้ดีกว่า เป็นตายก็ไม่ยอมรับว่านางคือเฟิ่งโหม่วแห่งชิงชิว แสดงเป็นผ้าเช็ดหน้าขนานแท้ผืนหนึ่ง บางทีหากตงหัวไม่มีอะไรให้รู้สึกสนุก จึงโยนนางทิ้งไปก็ดีเหมือนกัน

ขบคิดแต่ละเรื่องจนเหมาะเจาะลงตัวแล้ว หญิงสาวก็ค่อยผ่อนคลาย เมื่อครู่นี้เพื่อไม่ให้ถูกดูออก จึงจงใจปิดผนึกสี่ในห้าประสาทสัมผัส มายามนี้กลับไม่สะดวกต่อการจำแนกตำแหน่งทิศทาง จึงแบ่งพลังฤทธิ์ออกมาเล็กน้อย เปิดนัยน์ตาฟ้า

 

กะพริบสองตา เห็นถนัดชัดเจนว่ามาถึงวังของตงหัวแล้ว อาจจะเป็นส่วนท้ายวัง เห็นเพียงต้นโพธิญาณสู่กำเนิดตลอดแนวผนังยืนต้นแผ่กิ่งก้านอุดม ดุจดั่งฉากบังตาภาพเขียนสีเขียวเลื่อมระยับแถบหนึ่งแขวนครึ่งๆ อยู่บนกำแพง เครือเถาสีเขียวเรียวยาวไหวแกว่งไกว เงาร่างในชุดสีฟ้าอ่อนเงาร่างหนึ่งปรากฏกายขึ้นที่ข้างประตูวงเดือน กลับเป็นเจ๋อเหยียนซ่างเสินผู้ซึ่งตลอดมาเร้นกายอยู่ที่ป่าท้อสิบหลี่ไม่ใคร่สนใจเรื่องราวมากกิเลสในแดนโลกีย์ ที่ด้านหลังยังจูงก้อนแป้งข้าวเหนียวที่เป็นประดุจลมกรดไว้อีกด้วย

เฟิ่งจิ่วตกตะลึง เมื่อได้ตระหนัก ก็นึกนับถือไหวพริบของก้อนแป้งขึ้นมาทันที เห็นว่าก้อนแป้งกลับรู้จักไปขอให้เจ๋อเหยียนที่มีศักดิ์ศรีเซียนสูงสุดทั้งยังช่างปกป้องจุดอ่อนมาช่วยนาง โดยมิใช่ไปตามเหนียงชินของเขาคนนั้นที่ชอบเห็นนางทำขายหน้าอยู่เสมอ เมื่อครู่นี้นางประเมินน้ำใจที่ก้อนแป้งมีให้แก่นางที่เป็นพี่สาวต่ำเกินไปโดยแท้ นางพลันนึกรักใคร่เอ็นดูเปี่ยวตี้น้อยผู้นี้เป็นอย่างยิ่งในบัดดล

 

เจ๋อเหยียนเอ่ยทักทายอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวชื่นชมสวนของตงหัว 2-3 คำ แล้วกล่าวชื่นชมฝีมือทำกระถางกำยานรูปสัตว์มงคลข้างมือของตงหัวอีก 2-3 คำ ถูกก้อนแป้งเขย่งเท้ากระตุกมุมแขนเสื้อแรงๆ จึงค่อยย้ายหัวข้อสนทนาอย่างอ้อมค้อม...อย่างอ้อยอิ่ง...มาที่เรื่องช่วยชีวิตเฟิ่งจิ่ว กล่าวว่า

“ไม่ขอปิดเสียนซยง ที่วันนี้มารบกวนยังวังของเสียนซยง แท้จริงแล้วเพื่อเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง”

เขาหิ้วตัวก้อนแป้งจากข้างหลังมาไว้ข้างหน้า กล่าวต่อว่า

“เจ้าลูกลิงน้อยตัวนี้ฉวยโอกาสที่อวี๋ตี้[8]พักผ่อนกลางวัน แอบลักผ้าเช็ดหน้าปักลายที่อวี๋ตี้นำมาให้ท่านแม่ของเขาโดยเฉพาะออกไปเล่น เมื่อครู่นี้คอตกกลับมา พอเอ่ยถามจึงค่อยทราบว่าทำผ้าเช็ดหน้าหายเสียแล้ว ถูกเสียนซยงเก็บไปได้”

เจ๋อเหยียนหยุดเว้นจังหวะ แสร้งทำเป็นถอนหายใจ “หากเป็นผ้าเช็ดหน้าธรรมดาทั่วไปก็ไม่กระไรอยู่ดอก เพราะเป็นผ้าเช็ดหน้าที่ท่านยายผู้ออกท่องเที่ยวของลูกลิงน้อยตั้งใจปักให้แก่ท่านแม่ของลูกลิงน้อย และฝากให้ข้าช่วยนำมาด้วยในการขึ้นมาบนสวรรค์รอบนี้ มีความหมายพิเศษอย่างมาก ข้าจึงได้แวะมาในครั้งนี้ โดยมิอาจพะวงว่าจะรบกวนเสียนซยง มาขอรับผ้าเช็ดหน้านี้”

เดิมทีเฟิ่งจิ่วกังวลว่าเจ๋อเหยียนจะไม่ใช่คู่ต่อกรของตงหัว หากพอเอ่ยปากปุบ เจ๋อเหยียนก็เอ่ยถามอย่างเกรงใจทันทีว่า “วันนี้เสียนซยงได้เห็นผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกไม้ผืนหนึ่งบ้างหรือไม่?” ใช้การนี้หยั่งถามอย่างอ้อมค้อม นางกล้ารับประกันว่าตงหัวจะต้องหน้าด้านกล่าวตอบเจ๋อเหยียนอย่างปลอดโปร่งว่า “ไม่เห็นเลย” แน่ๆ มายามนี้ถ้อยคำเหล่านี้ของเจ๋อเหยียนกลับสะบั้นทางถอยที่ตงหัวจะยืนกรานปฏิเสธท่าเดียวเป็นที่เรียบร้อย เฟิ่งจิ่วนับถือเจ๋อเหยียนยิ่ง เห็นว่าสมแล้วที่เจ๋อเหยียนเป็นขิงแก่ที่เผ็ดแสบคอ

นางโผล่ออกมาจากแขนเสื้อมากขึ้นอย่างอารมณ์ดีพลางรอให้ตงหัวหยิบนางออกมาประคองมอบให้เจ๋อเหยียนด้วยสองมืออย่างจนหนทาง และได้เห็นนิ้วเรียวยาวได้รูปของเขาสอดเข้ามาในแขนเสื้อจริงๆ แต่เห็นได้ชัดเจนว่านางประเมินระดับความหน้าด้านของตงหัวต่ำเกินไป นิ้วมือเรียวยาวเฉออก เฉียดผ่านตัวนางไป พริบตาเดียวก็เสกผ้าเช็ดหน้าลักษณะเหมือนนางทุกประการอีกผืนหนึ่งขึ้นระหว่างนิ้ว ทั้งยังพับเรียบร้อยอีกต่างหาก ตงหัวยื่นมือไปมอบให้เจ๋อเหยียน กล่าวเสียงเรียบเฉย

“ที่เก็บได้บนแดนสวรรค์สี่ซ่านเมื่อครู่คือผืนนี้ ไม่ทราบว่าใช่ของซ่างเสินหรือไม่” พูดพลางหยิบช้อนตักกำยานเติมกำยานในกระถาง พร้อมกับกล่าวเสริมว่า “หากไม่ใช่ ก็ไปถามที่วังหยวนจี๋[9]ของเหลียนซ่งจวินได้ เขาอาจจะเก็บได้ก็เป็นได้”

เจ๋อเหยียนมองดูผ้าเช็ดหน้าของแท้แน่นอนในมือ จะบอกว่า “ใช่” ก็กระไร จะบอก “ไม่ใช่” ก็กระไร ไม่คาดคิดว่าการฝึกปรือมุ่งโปรดสัตว์หลายแสนปีของเขา วันนี้กลับเคลื่อนทัพออกศึกไม่ทันคว้าชัย ตัวมาตายเสียก่อน[10]อย่างถึงแก่นปานนี้ ประจวบกับก้อนแป้งจามฟืดออกมาพอดี น้ำมูกไหลออกมาเล็กน้อย จึงใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือที่ฟังว่ามีความหมายพิเศษอย่างมากกดจมูก ปาดออกให้ ยิ้มแต่ปากตาไม่ยิ้มว่า

“ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียว ยังจะกลัวว่าเสียนซยงหลอกอำข้าบังคับครอบครองมันด้วยหรือ เสียนซยงย่อมไม่มีทางกระทำเรื่องไร้คุณสมบัติเซียนเช่นนั้นดอก ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ย่อมควรจะเป็นของจริง”

กล่าวเอาเปรียบทางถ้อยคำไป 2-3 ประโยคแล้ว ก็พาก้อนแป้งกล่าวอำลา

เฟิ่งจิ่วมองเงาร่างที่จากไปของคนทั้งสองอย่างห่อเหี่ยวท้อแท้ เนื่องจากหูไวตาไวมาแต่ไหนแต่ไร บางครั้งถึงกับเทียบเทียมตาทิพย์หูทิพย์ได้ จึงได้ยินเสียงก้อนแป้งยังคงฮึดฮัดโมโหได้รำไร

“ไหงท่านถึงแพ้ล่ะ ไม่ได้ช่วยเฟิ่งจิ่วเจี่ยเจียออกมา ท่านไม่ได้พยายามสุดกำลัง ตั้งแต่วันนี้ไปข้าไม่รู้จักท่านแล้ว”

เจ๋อเหยียนทำเสียง “อืม” อย่างไม่อินังขังขอบ พูดว่า

“เขาไม่ได้จับตัวเสี่ยวจิ้วจิวของเจ้าสักหน่อย ไยข้าต้องพยายามสุดกำลังฉีกหน้าแตกหักกับเขาด้วยเล่า? แต่เมื่อปีก่อนทำนายดวงชะตาของเฟิ่งจิ่วยาโถว บนแผงชะตาชีวิตดูแล้วกลับมีโหงวเฮ้งวาสนาดีอยู่ ลองปล่อยนางไปตามยถากรรมดูเถิด ไม่แน่ว่าอาจจะมีวาสนาอีกแบบก็เป็นได้” จากนั้นพึมพำกับตัวเองเสริมว่า “แต่เรื่องทำนายดูแผงชะตาชีวิตนี่ ข้าไม่ได้ทำมาหลายปีแล้ว แม่นหรือไม่ค่อยว่ากันอีกที” หยุดเล็กน้อย กล่าวอย่างตกตะลึง “เอ๊ะ อาหลีน้อย ข้าดูแผงชะตาชีวิตนี้ของเจ้า พักนี้เจ้าได้ตกลงสู่แหรักใช่หรือไม่?”

ก้อนแป้งนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ถามอย่างกังขา “แหรักคืออะไร?”

เฟิ่งจิ่วกัดนิ้วตัวเองอยู่ในใจอย่างเงียบงัน ดูท่าทางแล้ว เชื่อแผงชะตาผีสางอะไรที่เจ๋อเหยียนทำนาย มิสู้เชื่อตัวเองยังจะพึ่งพาได้ยิ่งเสียกว่า จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ จะเป็นคนหรือเป็นเซียน ยามเภทภัยกรายศีรษยังคงได้แต่พึ่งพาตัวเองสถานเดียวจริงแท้

กลิ่นไม้จันทน์ขาวในลานตำหนักยิ่งเข้มข้น ตงหัวจับตะเกียบเกลี่ยกำยานก้มกายจัดเถ้ากำยานสีขาวปานหิมะ เกลี่ยมันให้พูนสูงขึ้นเล็กน้อย จะได้กลบเปลวไฟที่ลุกไหวภายในกระถางกำยาน พลันเอ่ยขึ้นกะทันหันว่า

“คิดจะแสร้งถึงเมื่อไร?”

ในใจเฟิ่งจิ่วกระตุกวูบ ขบคิดว่าเขารู้แล้วจริงๆ ด้วย เคราะห์ดีที่เมื่อครู่ร่างกลยุทธ์ต่อสู้เรียบร้อยแล้ว เวลานี้จึงสามารถรับมือได้อย่างสุขุมเยือกเย็น

ด้วยเหตุนี้ นางจึงมิได้เอ่ยตอบเขาอย่างสุขุมเยือกเย็นยิ่ง

ตงหัววางตะเกียบเกลี่ยกำยานอย่างไม่สนใจนัก หยิบนางออกมา คลี่สะบัดออกกลางแสงแดด ครู่ใหญ่ กล่าวเนิบช้า

“ที่แท้ แปลงเป็นผ้าเช็ดหน้า คือรสนิยมของเจ้า?”

ในใจนางเห็นว่าการสันนิษฐานนี้เหลวไหลบ้าบอยิ่งนัก กลับยังคงแข็งใจไว้มิได้เอ่ยตอบเขา

ตงหัวยิ้มออกมาอย่างหาได้ยากยิ่ง แม้จะเพียงวูบขึ้นแวบเดียวในดวงตา เฟิ่งจิ่วเห็นแล้วกลับขนลุกเกรียว จริงดังคาด ได้ยินเขาพูดว่า

“เช่นนั้นก็เหมาะเทียว ข้ากำลังขาดผ้าเช็ดกระบี่สักผืนพอดี นับแต่วันนี้ไปขอรบกวนเจ้าแล้ว”

เช็ดกระบี่? เช็ดกระบี่เทพชางเหอที่ติดอันดับสิบมหาเทพศาสตราแห่งบรรพกาล ขึ้นชื่อด้านหั่นเหล็กนิล[11]ได้ง่ายดายดุจหั่นเต้าหู้จนอานุภาพสะท้านทั่วสี่ทะเลแปดดินแดน? เฟิ่งจิ่วรู้สึกได้ว่าฟันของตนกำลังสั่นกระทบกัน ครั้งนี้แตกตื่นตกใจเสียจนลืมสิ้นว่าควรจะพูดอะไร และพลาดโอกาสอันดีในการกล่าวตอบไปโดยปริยาย จึงถูกตงหัวพับเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออีกครั้งอย่างไม่เป็นที่กังขา

 

เดิมทีแผนที่เฟิ่งจิ่วคิดไว้เป็นแผนระยะยาว โดยเห็นว่าถูกกักตัวไว้ในวังของตงหัวในสภาพผ้าเช็ดหน้า เพียงแค่ต้องประลองความอดทนกับเขาเท่านั้น เขาย่อมต้องนึกเบื่อเข้าสักวันและปล่อยนางไป วิธีนี้นุ่มนวลและเหมาะสมที่สุด ทั้งยังไม่ทำให้นางเสียหน้า ไหนเลยจะทราบว่าตงหัวจะเอานางมาใช้เช็ดกระบี่ นางทราบมาแต่ไหนแต่ไรว่าเขาพูดจริงทำจริง แต่เดิมหลายปีมานี้สี่ทะเลแปดดินแดนว่างสงบอย่างยิ่ง ยากจะมีศึกสงครามใดอุบัติ เขามีความคิดนี้ ก็ไม่น่ากลัดกลุ้มแต่อย่างใด ชั่ววูบหนึ่งก่อนจะเข้านอนพลันนึกขึ้นได้กะทันหันว่าเขารับปากสารท้ารบของราชามารเยียนฉืออู้ เกรงว่าพรุ่งนี้คงจะให้กระบี่ชางเหอเปิดฉากฆ่าฟันขนานใหญ่ นางตัวสั่นยะเยือกในบัดดล ลุกพรวดขึ้นโดยพลัน พลิ้วลอยอยู่กลางอากาศเหนือเตียงไม้ประดู่ ขบคิดใคร่ครวญอยู่ครึ่งชั่วธูป นางตัดสินใจว่าจะต้องลอบหลบหนีออกไปในคืนนี้

เพื่อไม่ให้ตงหัวรู้สึกตัว เฟิ่งจิ่วจึงระมัดระวังมิได้เผยร่างมนุษย์ออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ คิดจะแหวกฝ่าม่านเตียงออกไป หากเป็นร่างมนุษย์ย่อมจะง่ายดาย จนใจที่ในฐานะผ้าเช็ดหน้ากลับอ่อนนุ่มเกินไป ไม่สามารถชนผ้าม่านยาวจดพื้นให้แหวกออกได้ ก้มหน้าลงเห็นผมสีเงินของตงหัวที่แผ่สยายอยู่บนหมอนหยก ผ้าห่มเมฆผืนบางคลุมเพียงบั้นเอว ใบหน้านั้นไม่ว่าจะกี่ปีล้วนแต่น่ามองอยู่เช่นเดิม ที่สำคัญคือ ดูเหมือนจะหลับลึกมาก เป็นผ้าเช็ดหน้าเช่นนี้ นอกจากเปิดประสาทสัมผัสทั้งห้าของตัวเองแล้ว นางไม่สามารถใช้วิชาฤทธิ์ใดช่วยให้ตัวเองหนีรอดได้เลย วิธีการนั้นก็ใช่ว่าไม่มี อาทิเช่นจังหวะที่เปลี่ยนกลับเป็นร่างมนุษย์ ก็ร่ายคาถานิทราใส่ตงหัวไปด้วยพร้อมกัน แต่จะให้เขาไม่พบเห็นนั้นยากเย็นยิ่ง ถ้าเกิดล้มเหลวขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไรดีเล่า

นางขบคิดยู่ครู่หนึ่ง ราตรีดึกสงัดปราศจากเสียงคน ขวัญพลันกล้าแข็งเป็นพิเศษอย่างปุบปับ คิดตกว่าหากไม่ต้องเสียหน้าได้ย่อมจะดี แต่ก็เสียหน้าไปแล้ว เล่าลือออกไปอย่างมากก็ถูกฟู่จวินของนางโบยแส้ยกสองยก โตจนป่านนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยถูกโบยแส้สักหน่อย นานๆ ครั้งโดนอีกสักที ถือเสียว่าเป็นการย้อนระลึกถึงเรื่องสนุกในวัยเด็ก คิดได้เช่นนี้ ความห้าวหาญพลันประดังขึ้นในอก หมุนกายเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นดรุณีในชุดขาว ปลายนิ้วของท่ามือร่ายคาถาได้แตะลงใส่หน้าผากของตงหัวเบาๆ พอดี เขากลับไม่มีปฏิกิริยาใด หญิงสาวตะลึงมองมือของตัวเอง คาดไม่ถึงว่าแค่นี้ก็ทำได้สำเร็จแล้ว ที่ในโลกมนุษย์พูดกันว่า “อิ่มตายกล้าหาญ หิวตายขี้ขลาด” มีเหตุผลอยู่บ้างจริงแท้

อากาศเดือนห้า ตกกลางคืนแล้วยังคงค่อนข้างเย็น ทั้งยังเป็นวังไท่เฉินกงที่เย็นยะเยือกมาแต่ไหนแต่ไร เฟิ่งจิ่วรวบเปิดม่านเตียง หันกายกลับไปดูตงหัวที่หลับสนิทอีกครั้ง ซุกแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มกลับเข้าไปในผ้าห่มเมฆให้อย่างถือเสียว่าทำความดี นิ่งคิดเล็กน้อย ก็ปีนข้ามเอวชายหนุ่มกระตุกดึงผ้าห่มขึ้นมาจนถึงใต้คอห่มปิดร่างอย่างแน่นหนา เสร็จสรรพแล้วก็ลุกขึ้น มิคาดแพผมดำขลับยาวสลวยที่ห้อยระลงมาของนางได้พันเข้ากับผมสีเงินของเขา ทำอย่างไรก็ดึงไม่ออก นึกถึงว่าคาถานี้จะอยู่ได้ถึงเมื่อไรก็ไม่ทราบ จึงตัดสินใจเด็ดขาดเสกกรรไกรออกมา ตัดผมปอยนั้นเสีย ไม่ทันได้หวีสางให้ดีๆ ก็ลุกขึ้นชะโงกออกไปนอกผ้าม่าน แต่เป็นผ้าเช็ดหน้าอยู่นาน จึงยากจะควบคุมสมดุลของร่างกายไปชั่วขณะ กลับโงนเงนไปพาฉากบังตาที่หน้าเตียงล้มลง เสียงดังโครมครามอยู่พักหนึ่ง ตงหัวกลับยังคงไม่ตื่นขึ้น เฟิ่งจิ่วตุ๋มๆ ต้อมอยู่อึดใจใหญ่ พร้อมกับคิดว่าวิชาอาคมของนางช่างเลิศล้ำนัก จึงลำพองใจนิดๆ เดินโงนเงนต่อไปจนเลี้ยวออกจากประตู

ก้าวออกจากธรณีประตู พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้กะทันหัน จึงถอยหลังไปสองก้าวอย่างเคร่งขรึมจริงจัง ร่ายคาถานิทราใส่ม่านเตียงไปหลายต่อหลายรอบติดต่อกัน จวบกระทั่งมองเห็นไอหมอกสีม่วงอันแสดงถึงความง่วงนอนได้เอ่อล้นออกมานอกผืนม่านสีน้ำเงินสด กระทั่งหญ้ามงคล[12]ต้นหนึ่งที่วางประดับตรงขาเตียงยังมีอาการเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับ จึงค่อยรามือปิดประตูห้องอย่างวางใจ เลี้ยวไปตามระเบียงคด เลี้ยวไปถึงสวนดอกไม้เล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งยามปกติตงหัวชอบใช้ฆ่าเวลาเป็นที่สุด

 

ยืนอยู่กลางสวนป่า เฟิ่งจิ่วสะบัดแขนเสื้อยาว เสกไข่มุกประกายราตรีลูกขนาดผลส้มออกมาลูกหนึ่งในพริบตา อาศัยรัศมีของไข่มุก รีบร้อนเสาะหาหญ้าศิลาเย็นกอหนึ่งที่กาลก่อนปลูกไว้ในสวน

หากไม่ใช่เพราะคืนนี้มีอันต้องเข้ามาในวังไท่เฉินกงเพราะความเข้าใจผิดนานัปการ นางก็แทบจะลืมหญ้าศิลาเย็นอันล้ำค่าต้นนี้เสียสนิท ก้านใช้เป็นยาลืมทุกข์ชั้นดี ดอกใช้เป็นวัตถุดิบในการทำอาหารเย็น[13]ชั้นเลิศสุด เมื่อครั้งนั้นเทพชะตาไปฟังพระพุทธองค์แสดงธรรมเทศนายังชมพูทวีปแดนประจิม ตอนกลับมาได้นำมาให้นางโดยเฉพาะ บอกว่าหาพบบนเขาคิชฌกูฏ เป็นเมล็ดเมล็ดสุดท้ายของทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนแล้ว ช่างน่าทอดถอนที่ตอนนั้นนางได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนกับราชาเผ่ามารแล้ว และอยู่ข้างกายตงหัวในรูปร่างสุนัขจิ้งจอก ร่างกายของสุนัขจิ้งจอกไม่มีกระเป๋าหรือหมวกคลุมจะใช้เก็บซ่อนเมล็ดนี้ จึงได้แต่ปลูกมันไว้ในสวนของตงหัว ยังไม่ทันที่หญ้าศิลาเย็นจะออกดอกออกผล นางก็ทำการสะบั้นวาสนากับตงหัวไปจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเสียก่อน วันนี้มานึกได้ว่าเมื่อวันนั้นเจ็บปวดเสียใจมากเสียจนลืมนำของล้ำค่านี้กลับไปด้วยเสียสนิท ก็อดปวดไปทั้งตัวไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงรีบวัวหายแล้วล้อมคอกรุดมาเอาโดยเฉพาะ

ควานหาอยู่เนิ่นนาน ก็หามันพบที่ท้ายลานดอกไม้เล็กๆ แห่งหนึ่ง ขึ้นอยู่ข้างๆ ดอกบัวคู่กอหนึ่งอย่างไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย นางขุดมันขึ้นมาอย่างระมัดระวังเต็มที่ไม่ให้รากของมันต้องเสียหาย ห่อเรียบร้อยอย่างทะนุถนอม ใส่ไว้ในแขนเสื้อ เสร็จสรรพแล้วค่อยเงยหน้าขึ้นพินิจดูสวนป่าตรงหน้าอย่างละเอียด กาลก่อนตอนที่เป็นนางกำนัลสาวใช้ ถูกคำสั่งห้ามของจือเฮ่อตีกรอบไว้ ไม่มีโอกาสเข้ามาในสวนดอกไม้ที่ตงหัวใช้งานแห่งนี้แม้แต่น้อย แม้ว่าในภายหลังเปลี่ยนร่างเป็นสุนัขจิ้งจอก ติดตามอยู่ข้างกายตงหัวสามารถกระโดดโลดเต้นวิ่งเล่นในสวนนี้ได้ทุกวี่วัน แต่จะอย่างไรโลกในมุมมองของสายตาสุนัขจิ้งจอกกับในมุมมองของสายตามนุษย์ก็แตกต่างกันอยู่บ้าง โลกในยามนั้นกับโลกในยามนี้ก็แตกต่างกันอยู่บ้างเช่นกัน

เฟิ่งจิ่วหรี่ตาพินิจดูสวนป่าน้อยไปๆ มาๆ แม้สวนป่าจะเล็ก กลับดูงามน่ารัก ด้านตรงข้ามมีม่านน้ำสูงหนึ่งจ้างกั้นขวางจากเขตตำหนักอื่น อีกสองด้านนั้นบนกำแพงก่ออิฐยังคงมีต้นโพธิญาณสู่กำเนิดขึ้นเกาะ ปกติดูแล้วมิได้แตกต่างจากดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ชนิดอื่น ตกกลางคืนกลับเปล่งแสงเรืองๆ ออกมา ดอกตูมรูปร่างดุจดั่งโคมไฟกระจิริดดวงแล้วดวงเล่า มองดูงดงามเป็นพิเศษ มิน่าเล่าถึงได้มีนามอันไพเราะอีกนามหนึ่งว่า “ดอกราตรีเดือนเพ็ญ” ใจกลางสวนป่ามีต้นใบไม้แดงสูงชะลูดแทบจะแทงทะลุชั้นสวรรค์ขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง ด้านข้างมีสระบัวขนาดเล็กอยู่สระหนึ่ง บนสระบัวสร้างศาลาหกเลี่ยมทำจากิ่งก้านไม้จันทน์ขาวหลังหนึ่ง หญิงสาวถอนหายใจ ผ่านมาหลายปี ที่นี่กลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ทั้งยังเป็นสถานที่อันมีความหลังอยู่มากมาย

 

เฟิ่งจิ่วมิใช่ดรุณีที่นิยมหม่นหมองตรอมตรม แม้ว่าครั้งกระนั้นตอนที่หลงรักตงหัว จะดื่มสุราเล็กน้อยระบายทุกข์บ้างนานๆ ครั้ง ทว่านับตั้งแต่ตัดใจเด็ดขาดก็มิได้ทำเช่นนั้นอีก กระทั่งการย้อนคิดถึงตงหัวก็พลอยลดน้อยจางถอยลงอย่างมาก วันนี้เมื่อได้มาถึงสถานที่อันมีวาสนาเก่าก่อนอยู่ลึกล้ำเช่นนี้ ทั้งบนนภายังมีดาวประดับอยู่ 2-3 ดวงอย่างเสริมบรรยากาศมิใช่น้อย จึงกระทบอารมณ์คิดถึงอดีตอย่างยากจะเลี่ยง หญิงสาวเหม่อมองโต๊ะแก้วผลึกและม้านั่งแก้วผลึกในศาลาหกเหลี่ยมไม้จันทน์ขาวอย่างใจลอย ค้นพบอย่างตกตะลึงว่า ถึงแม้ความทรงจำของนางจะรับมือกับคัมภีร์เต๋าคัมภีร์พุทธได้อย่างเต็มฝืน บางเรื่องราวเก่าแก่เมื่อหลายร้อยปีก่อนกลับจำได้แม่นยำเป็นพิเศษ ประหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า

 

ความจริงแล้ว ตอนที่เฟิ่งจิ่วเพิ่งจะออกมาจากเขตแดนปทุมมาสิบสามานย์ ได้มีโอกาสติดตามตงหัวตลอดสิบสองชั่วยามไม่มีจำกัดนั้น ภายในสวนแห่งนี้ยังไม่มีศาลาหกเหลี่ยมแห่งนี้

ยามนั้นประสบกลางคิมหันต์เข้าพอดี ตัวนางที่มีขนจิ้งจอกห่อหุ้มตลอดตัวร้อนจนย่ำแย่ ชอบที่จะเทินใบบัวสองใบอยู่บนเรือโดดเดี่ยวกลางสระบัว นอนพะงาบๆ อยู่ใกล้น้ำอาศัยความเย็น ตงหัวเห็นสารรูปของนางน่าสงสารยิ่ง ไม่กี่วันให้หลังจึงโค่นต้นจันทน์ขาวสองต้น สร้างศาลาขึ้นเหนือน้ำเป็นกรณีพิเศษ พื้นศาลาปูแก้วผลึกขาวเย็นเฉียบขวางกั้นน้ำ ให้นางได้อาศัยความเย็นหลบร้อน ยามที่นางนอนแผ่หลาอยู่บนนั้น รู้สึกสบายยิ่งนัก ทั้งยังรู้สึกว่าตงหัวเก่งกาจยิ่ง ต่อมานางพบว่าความเก่งกาจของตงหัวมียิ่งกว่านี้อีกมากมาย กำยานที่จุดภายในวังไท่เฉินกงทั้งหลัง เขาเป็นคนผสมเองกับมือทั้งสิ้น ชาที่ดื่มเขาปลูกเองกับมือ กระทั่งภาชนะดื่มสุราบางชิ้นที่ใช้สอยในชีวิตประจำวัน เขาก็ทำเองกับมือ ฉากบังตามากมายภายในวัง เขาก็วาดเองกับมือ นางคำนวณเงียบๆ อยู่ในใจ ทางหนึ่งเห็นว่าสายตาของตัวเองช่างดีเลิศยิ่งนัก จึงภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อย อีกทางหนึ่งเห็นว่าหากได้แต่งงานกับเขา ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายภายในบ้านได้มากอย่างแน่นอน คุ้มค่ายิ่งนัก จึงยิ่งอารมณ์ดี และยิ่งรักตงหัวมากขึ้น

ความรักของนางยึดมั่นและตาบอด เห็นว่าตงหัวดีไปหมดทุกอย่าง ทุกครั้งที่เขาทำของใหม่ขึ้นหนึ่งชิ้น นางจะกระโจนเข้าไปแสดงความนับถือและรักใคร่เป็นรายแรกเสมอ เนิ่นนานวันเข้า ตงหัวเองก็พลอยติดเป็นนิสัยไปด้วย ทำของสิ่งใดเสร็จสมบูรณ์ ก็มักจะหาตัวนางจิ้งจอกน้อยตัวนี้มาติชมก่อนใคร เป็นเพราะมีเวลาไม่สิ้นสุด ดังนั้นจะทำสิ่งใดจึงสามารถทำได้ดีเสมอ ยามที่เฟิ่งจิ่วคิดเช่นนี้นานๆ ครั้ง เห็นว่าหลายปีมานี้ บางทีตงหัวอาจจะรู้สึกเหงาอย่างยิ่งตลอดมา

 

วันนั้นเกียจคร้านธรรมดาโดยแท้ นางนอนแผ่หลาโชว์พุงอยู่ในศาลาหกเหลี่ยม คิดว่ายังสามารถทำอะไรเพื่อหลอกตงหัวมาไว้ในมือได้อีกบ้างไปพลาง มองดูดวงดาวทั้งท้องหิวอย่างออกจะกลุ้มใจไปพลาง ยิ่งดูก็ยิ่งหิว ยิ่งหิวก็ยิ่งกลุ้มใจ แสงดาวที่เหนือศีรษะพลันมืดวูบ นางกะพริบตา ในมือตงหัวประคองจานกระเบื้องเคลือบสีขาวใบหนึ่งนั่งลงตรงหน้านาง ในจานคือปลาเปรี้ยวหวานที่ราดน้ำขลุกขลิกหวานหย่อมเล็กๆ หย่อมหนึ่ง มีกล่นหอมโชยมารำไร

ตงหัววางจานลง มองดูนาง ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงออกจะลังเลเล็กน้อย

“เพิ่งทำเสร็จ ข้าทำเอง”

ก่อนหน้านี้ นางกลุ้มใจมาโดยตลอดว่าในวันหน้าจะไม่มีเรื่องที่คุยกับตงหัวได้ เพราะเรื่องที่เขาเก่งเหล่านั้น นางไม่เก่งสักอย่าง ไม่นึกว่ากระทั่งฝีมือทำครัวที่นางถนัด เขาก็เก่งมากเช่นกัน ในที่สุดก็หาจุดที่เขากับนางต่างเป็นยอดคนเหมือนกันจุดหนึ่งในความแตกต่างได้แล้ว จึงค่อยวางใจลงได้ในที่สุด นางประสานขาหน้าคารวะอย่างนึกตื้นตัน กระโดดขึ้นบนหัวเข่าชายหนุ่ม แล้วกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะแก้วผลึกอีกต่อ ใช้อุ้งเท้ากวักน้ำขลุกขลิกขึ้นมานิดหนึ่งก่อน นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่ในร่างคน จะกินแบบนี้อีกไม่ได้ หดอุ้งเท้ากลับยื่นลิ้นออกไปอย่างเคอะเขิน เลียใส่สันหลังของปลาอ้วนพีตัวนี้หนึ่งที

ลิ้นเพิ่งจะแตะถูกน้ำขลุกขลิก นางก็ชะงักกึก

ตงหัวเท้าคางด้วยมือข้างเดียว จ้องมองนางอย่างตั้งใจยิ่ง “อร่อยไหม?”

นางหดลิ้นกลับ คงกิริยาปากแตะกับหลังปลาไว้ มีความเห็นอย่างจริงใจว่า เจ้านี่สุดยอดอภิมหาไม่อร่อยอย่างร้ายแรง พลันนึกถึงนิทานที่กูกูเคยเล่าให้นางฟังเรื่องหนึ่งขึ้นได้อย่างปุบปับ บอกว่าภรรยาข้าวใหม่ปลามันที่ไม่เก่งการครัวผู้หนึ่ง วันหนึ่งนึกครึ้มขึ้นมา ล้างมือทำน้ำแกงให้สามีรับประทาน หลังจากที่สามีรับประทานอาหารทั้งโต๊ะจนหมดเกลี้ยงแล้วก็กล่าวชมรสชาติของอาหารเป็นการใหญ่ ตอนภรรยาล้างจานชามรู้สึกไม่วางใจ สะกิดปลาขึ้นมาชิมนิดหนึ่ง ค่อยทราบว่าสามีหลอกอำนาง อยากให้นางดีใจ จึงตื้นตันใจยิ่งนักในทันที ความรักระหว่างสามีภรรยายิ่งมั่นคง ถูกเล่าขานเป็นตำนานที่ดีบทหนึ่ง

เฟิ่งจิ่วหลับตาปี๋กัดฟันกรอด เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วธูปก็กลืนปลาลงไปทั้งตัวปานพายุหมุนสูบเมฆา แล้วประคองท้องพลางฉีกยิ้มแสดงความพอใจตามแบบของจิ้งจอกโดยเฉพาะให้ตงหัวเป็นความหมายว่า “อร่อย” อย่างลำบากยากเย็น พลางคาดหวังให้ชายหนุ่มจิตใจละเอียดอ่อนดั่งเส้นผมสังเกตเห็นว่ารอยยิ้มอย่างพอใจนี้ของนางแฝงอารมณ์เต็มฝืน ใช้นิ้วสะกิดน้ำขลุกขลิกนิดหนึ่งลองชิมดูเอง

ตงหัวยื่นนิ้วออกมามจริงๆ นางผลักจานไปทางเขาเล็กน้อย ตงหัวชะงัก นางผลักจานทั้งสภาพพุงกางอีกครั้ง นิ้วของตงหัวยื่นลงแตะจมูกที่เปื้อนน้ำขลุกขลิกของนาง มองดูนางอยู่อึดใจใหญ่

“นี่คือ...ยังอยากจะกินอีกจาน? วันนี้ไม่มีแล้ว พรุ่งนี้ค่อยทำให้เจ้า”

นางมองเขาตาค้าง กะพริบตาปริบๆ พลันกอดนิ้วเขาไว้โดยแรงกดลงแตะน้ำขลุกขลิก ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของนางแล้ว

“ไม่ต้องแล้ว เมื่อกี้ข้าชิมดูแล้ว” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “รสแย่มาก” แล้วมองนาง “แต่เพราะคิดว่าลิ้นของสัตว์ต่างชนิดกันน่าจะไม่เหมือนกัน จึงนำมาให้เจ้าลองชิมดู” ก่อนจะสรุปว่า “จริงอย่างที่คิด ลิ้นของพวกเจ้าสุนัขจิ้งจอกไม่ธรรมดาจริงแท้”

เฟิ่งจิ่วตกตะลึง ร้อง “เอ๋ง” ล้มเอียงลงบนโต๊ะแก้วผลึก ตงหัวกล่าวอย่างห่วงใย

“เจ้าอยากกินปานนี้เทียว?” จบคำก็หันกายเดินจากไป เพียงครู่สั้นๆ ก็ยกจานใบหนึ่งปรากฏกายขึ้นตรงหน้านางอีกรอบ จานของรอบนี้ใหญ่เท่ากับจานเมื่อครู่ก่อนสองใบ ปลาในจานก็เลือกที่อ้วนพีเป็นพิเศษวางอยู่สองตัวเต็มๆ เฟิ่งจิ่วเบิ่งตาแทบถลนมองดูปลาจานนี้ ร้อง “หงิง” คลานขึ้นมา แล้วร้อง “เอ๋ง” ล้มแผละลงไปอีกครั้ง

นับแต่นั้นมา เช้าตรู่ของทุกวัน ตงหัวล้วนแต่ส่งปลาหลี่อ้วนพีมาให้หนึ่งตัวอย่างใจดี ที่ยากยิ่งคือกลับสามารถรักษาระดับรสชาติอันยอดแย่ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ในใจของเฟิ่งจิ่วคิดอย่างนี้ นางเห็นว่าตงหัวเป็นเซียนที่ไม่แสดงอารมณ์ออกทางสีหน้ามาแต่ไหนแต่ไร หากว่านางไม่กิน เท่ากับหักหน้าเขา แม้จะดูจากสีหน้าเขาไม่ออก ไปสุมอยู่ในใจทั้งหมดจนกลายเป็นปมด้อยในใจ ก็น่ากลุ้มใจแท้ แต่จะให้กินอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่ทางแก้ ตงหัวเข้าใจผิดในตัวนางค่อนข้างจะลึกล้ำโดยแท้

วันหนึ่งท่านยายไท่ซานแวะมาเยี่ยมเยือน ประจวบกับท่านยายก็มีสัตว์เลี้ยงภูตเป็นจิ้งจอกหิมะตัวหนึ่ง เฟิ่งจิ่วแบ่งปลาในจานให้จิ้งจอกหิมะตัวนั้นกว่าครึ่งต่อหน้าตงหัวอย่างมีแผนการแอบแฝงยิ่ง จิ้งจอกหิมะน้อยลองชิมไปคำเล็กๆ อย่างสุภาพสำรวม ฉับพลันนั้นได้ยืดคอยาวร้องโหยหวนออกมา อุ้งเท้าหน้าทั้งคู่ตะกุยลำคออย่างสุดชีวิต ในที่สุดก็สำรอกเนื้อปลาครึ่งชิ้นที่เผลอกลืนลงไปออกมาอย่างลำบากกินแรงจนได้

เฟิ่งจิ่วมองดูจิ้งจอกหิมะน้อยที่วิ่งพล่านอย่างคลุ้มคลั่งไปทั้งลานตำหนักหาน้ำมาล้างลำไส้ด้วยความเวทนา กะพริบตาปริบๆ มองดูตงหัว ดวงตาเผยแววสื่อความหมาย “ความจริงแล้วลิ้นของพวกเราสุนัขจิ้งจอกน่ะธรรมดามาก ที่ข้ากินลงไปทุกมื้อ ก็เพื่อท่านทั้งสิ้น” ออกมาอย่างแรงกล้า

ตงหัวที่กำลังนั่งรินเติมน้ำชากุมหูป้านน้ำชาเนิ่นนาน มองดูนางอย่างครุ่นคิด ค่อยกระจ่างแจ้ง

“ที่แท้แม้แต่ในหมู่สุนัขจิ้งจอกด้วยกัน ลิ้นของเจ้าก็ถือว่าพิเศษนี่เอง”

เฟิ่งจิ่วยกเท้าหน้าขึ้นกำลังคิดจะเข้าไปซุกไซ้ในอ้อมอกชายหนุ่ม ตกตะลึงตาค้างไปชั่วอึดใจ ซวนเซอย่างสิ้นหวังไปสองก้าว หมดแรงค่อยๆ ล้มแผละลงกับพื้นอย่างทนรับความสะเทือนใจไม่ได้

อีกหลายวันผ่านไปในพริบตา เฟิ่งจิ่วถูกฝีมือทำอาหารของตงหัวทรมาทรกรรมจนขนร่วงไปมากมาย เล็งเห็นว่าการคาดหวังให้ตงหัวพบเห็นใจจริงของนางด้วยตัวเองนั้นยากเย็นแสนเข็ญนัก นางจำเป็นต้องหาวิธีช่วยชีวิตตัวเอง คิดแล้วคิดอีก เวลานี้นอกจากบอกออกไปอย่างหมดเปลือก ก็ไม่มีวิธีดีๆ วิธีอื่นอีก นางคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะใช้ภาษาร่างกายแบบใดมาบอกบรรยาย วันนี้แหละจะรวบรวมความกล้าบอกปฏิเสธปลาหลี่อ้วนพีของตงหัวตรงๆ อย่างห้าวหาญเสียที เดินผ่านห้องทำงานโดยไม่ได้ตั้งใจ ได้ยินเหลียนซ่งจวินผู้ไร้กิจธุระแวะมานั่งเล่นคุยกับตงหัวถึงนาง นางมิได้เจตนาจะแอบฟัง เพียงแต่เนื่องจากเป็นสุนัขจิ้งจอกเช่นนี้ มีความไม่สะดวกหลายประการจริงแท้ อาทิเช่นเอามือปิดหู ยังไม่ทันที่นางจะยกอุ้งเท้าหน้าทั้งคู่ขึ้นถึงบนศีรษะ ถ้อยคำสนทนาเรื่อยเปื่อย 2-3 ประโยคก็ลอยละล่องจากด้านหลังประตูห้องทำงานที่ปิดไว้เฉยๆ ชอนไชเข้าสู่หูของนางเสียแล้ว

คนแรกคือเหลียนซ่ง “เมื่อก่อนไม่เห็นเคยได้ยินเลยว่าท่านสนใจเรื่องเลี้ยงสัตว์เลี้ยงภูต ไฉนวันนี้จึงเลี้ยงจิ้งจอกภูตเช่นนี้ตัวหนึ่งเล่า?”

ต่อมาคือตงหัว “มันพิเศษมาก ข้ากับมันนับว่ามีวาสนา”

ต่อมาคือเหลียนซ่ง “ท่านหลอกอำข้ากระมัง จิ้งจอกภูตที่หน้าตาดีกว่านี้ข้ามิใช่ไม่เคยเห็น ตระกูลป๋ายแห่งชิงชิวหลายคนนั้น ร่างมนุษย์ล้วนแต่รูปงามเป็นเอกทั้งสิ้น จิ้งจอกแดงของท่านตัวนี้มีอะไรพิเศษรึ?”

ต่อมาคือตงหัว “มันรู้สึกว่าปลาเปรี้ยวหวานที่ข้าทำอร่อยมาก”

เหลีนซ่งนิ่งเงียบงัน “...งั้นมันก็พิเศษมากจริงๆ”

ถ้อยสนทนาหยุดลงเพียงเท่านั้น ที่นอกประตู เฟิ่งจิ่วมองดูขนอ่อนสองกระจุกที่เพิ่งร่วงซึ่งนางเพิ่งจะคลำพบอย่างหม่นหมอง ปวดร้าวใจนิดๆ และหวานชื่นนิดๆ ถึงแม้เรื่องราวมากมายจะแตกต่างจากที่วาดภาพไว้ในตอนแรกเริ่ม และตงหัวก็มิได้ทราบถึงความในใจของนางโดยสิ้นเชิง แต่สถานการณ์ในยามนี้ ที่ราวกับว่านางเสแสร้งยอมรับในฝีมือทำอาหารของเขา กลับทำให้เขารู้สึกดีต่อนางเล็กน้อย เช่นนั้น หากตอนนี้นางกระโดดออกไป บอกเขาว่าทั้งหมดเป็นการโกหกเขาทั้งนั้น...นางตัวสั่นยะเยือก เห็นว่าไม่ว่าอย่างไร นี่เป็นการเข้าใจผิดที่งดงาม มิสู้ปล่อยให้มันงดงามต่อไป ถึงแม้การอดทนกินปลาหลี่ที่เขาทำต่อไป มีความเป็นไปได้ที่ขนทั้งตัวจะร่วงจนหมด กระนั้นแล้วจะเป็นไรไปหรือ ถือเสียว่าเข้าสู่ฤดูผลัดขนก่อนกำหนดก็แล้วกัน

ไม่นึกว่า การอดทนนี้ ได้อดทนไปจนถึงคืนที่นางหัวใจสลายลาไปจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

 

ลมเย็นเฉียบโจมตีใส่ ภายใต้สายลมรวยรินระลอกหนึ่ง โชยพัดจนเฟิ่งจิ่วได้สติขึ้นหลายส่วน ถึงแม้อายุสามหมื่นกว่าปีในชิงชิวนับได้เพียงเป็นรุ่นเยาว์ในรุ่นเยาว์โดยแท้เท่านั้นก็ตาม แต่เมื่อได้ผ่านประสบการณ์เรื่องราวทางโลกบางประการ นางที่อายุยังเยาว์ก็ได้รู้แจ้งถึงหลักธรรมบางข้อ อาทิเช่นเป็นเซียนในโลกหล้า มรรคาเซียนยืดยาวไร้สุดปลาย ย่อมมิพร่องยิ้มสุขใจหลายครั้งครา ทุกข์เสียใจหลายครั้งครา เรื่องที่พาให้เบิกบานก็จดจำให้เนิ่นนานหน่อย ที่ไม่เบิกบานผูกใจเจ็บแค่สักพักก็ได้แล้ว เช่นนี้จึงจะสามารถฝึกฝนมรรคาสำราญ เข้าถึงหลักธรรมอิสระ กาลก่อนอยู่ในวังไท่เฉินกง ความจริงแล้วเวลาที่ไม่เบิกบานมีมากกว่าเวลาที่เบิกบานเป็นหลายเท่า ในสถานการณ์เช่นนี้ สุดท้ายสิ่งที่นึกขึ้นได้ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ทำให้ตัวนางอาลัยคิดถึงทั้งสิ้น เห็นได้ชัดว่าอดีตที่ระลึกถึงเหล่านี้ส่วนใหญ่นั้นดี ส่วนใหญ่นั้นดี เช่นนั้นนางก็สบายดีเช่นกัน

เดิน 2-3 ก้าวกระโดดขึ้นไปบนศาลาหกเหลี่ยม ลองนั่งเก้าอี้แก้วผลึกที่นึกอยากจะลองนั่งดูมาตั้งแต่เนิ่นนานก่อนหน้านี้ ลองนั่งดูแล้วกลับรู้สึกว่าไม่ได้สบายเช่นที่คิดไว้ นางจำได้ว่าตงหัวมักจะนั่งอยู่ตรงนี้แก้ไขคัมภีร์พระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าแห่งสวรรค์ประจิมส่งมาให้ เวลานั้น นางจะอิงแอบอยู่แทบเท้าเขามองดูดาว

ดวงดาวบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าไม่อาจเทียบกับชิงชิวที่มีความงดงามอันคลุมเครือดุจนวลอนงค์ผู้ขวยอายได้ แขวนโดดเดี่ยว ณ ปลายฟ้า มิได้แตกต่างอะไรกับขนมเปี๊ยะทอดขายเหลือที่เย็นชืดของแผงลอย ความจริงแล้วไม่มีอะไรน่ามองเลย นางเพียงแต่อาศัยข้ออ้างนี้แสร้งทำเป็นแสนเชื่อง อยู่กับตงหัวนานขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น พวกท่านลุงท่านอาของนางหลอกล่อป้าสะใภ้อาสะใภ้ของนางอย่างไร นางทราบกระจ่างยิ่ง และคิดว่ารอจนนางสามารถพูดได้แล้ว ก็จะเอาอย่างลุงและอาผู้เก่งกาจได้เรื่องได้ราวทั้งสองของนางหลอกล่อตงหัวไปที่ชิงชิวเช่นกัน ถึงตอนนั้นนางสามารถพูดแบบนี้ได้

“นี่ ท่านดูสิว่าดวงดาวที่นี่ดวงใหญ่ออกอย่างนี้ เย็นชืดจะแย่ ไม่น่ารักเลยสักนิด ไว้เมื่อไรข้าจะพาท่านไปดูดาวที่ชิงชิวของพวกข้านะ”

เพียงวูบเดียวก็ร้อยปีดั่งดีดนิ้ว สุดท้ายถ้อยคำที่ได้เรื่องได้ราวนี้ก็ไม่มีโอกาสที่จะกล่าวออกจากปาก

ราตรีล่วงเลยถึงยามจื่อ[14] ไม่ทราบเสียง三清妙音แว่วมาจากแห่งหนใด นอกกึ่งฟ้าส่งจันทร์เพ็ญนวลสว่างขึ้นมา ดวงดาราล้วนจมลับสู่คงคาสวรรค์ นางเอามือเท้าคาง มองดูแสงจันทร์เย็นตา ณ ขอบฟ้า พึมพำกับตัวเองเบาๆ

“ไว้เมื่อไร ข้าจะพาท่านไปดูดาวที่ชิงชิวของพวกข้านะ” ครั้นได้สติก็ต้องตกใจกับตัวเอง ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ ถ้อยคำนั้นถูกลมราตรีที่แผ่วพัดพาสลายไปในสระบัวสีมรกต เพียงพริบตาก็ลับหายไร้ร่องรอย ราวกับนางนั่งอยู่ ณ ที่นั้นโดยมิเคยเอ่ยอะไรแต่สักคำ

 

ต้นหว้าซึ่งกิ่งใบซ้อนทับกันหลายต้นบดบังประตูวงเดือนไว้รางๆ ผลหว้าสีม่วง 2-3 ผลร่วงตกลงบนพื้น ตงหัวเอามือกอดอก เอนพิงอยู่ข้างประตูวงเดือนอย่างเกียจคร้าน บนร่างสวมชุดผาวแพรสีขาวที่สวมตอนเข้านอนเมื่อครู่ก่อน ด้านนอกพาดเสื้อนอกตัวยาวไว้หลวมๆ เดิมทีเขาตั้งใจจะดูว่านางจะหนีออกไปอย่างไร จึงได้ติดตามนางมาจนถึงสวนป่าแห่งนี้ เดิมทีหลงนึกว่านางลนลานเสียจนมาผิดทาง ใครเลยจะนึกว่านางกลับขุดสมุนไพรของเขาต้นหนึ่งอย่างมีเป้าหมายยิ่ง ทั้งยังพินิจดูทุกทิวทัศน์ปลีกย่อยภายในสวนอีกด้วย สีหน้าเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวเศร้า ราวกับกำลังขบคิดเรื่องในใจใด

ตงหัวเหลือบสายตาขึ้น มองเห็นหมอกนิทราสีม่วงเอ่อล้นออกมาจากห้องของเขา เพียงอึดใจก็ปกคลุมวังไท่เฉินกงไปกว่าครึ่ง ประหนึ่งเมฆมงคลลอยวนเวียน ดูเป็นสิริมงคลยิ่ง เขาเห็นว่า ตอนที่ยาโถวผู้นี้ร่ายคาถานิทราหลายครั้งนั้นใส่เขา จะต้องเค้นออกมาหมดแม้แต่แรงดูดนมเป็นแน่ เสียง三清妙音ขาดๆ หายๆ จากทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็ค่อยๆ เงียบสงัดลงภายใต้หมอกนิทราสีม่วง ผู้ร่ายคาถากลับมิได้รู้สึกตัวแม้แต่น้อย คาดว่าคงจะขบคิดความในใจเสียเพลินมาก อึดใจต่อมา หมอกสีม่วงซึ่งลอยผ่านที่ใดเป็นหลับใหลไปตามๆ กันค่อยๆ เอ่อล้นเข้ามาในสวนป่า เอ่อล้นผ่านม่านน้ำไหล เอ่อล้นผ่านต้นใบไม้แดงอันสูงตระหง่าน เอ่อล้นผ่านศาลาหกเหลี่ยมไม้จันทน์ขาว...ตงหัวนับเงียบๆ ในใจสามครั้ง “ตุบ” กูเหนี่ยงผู้เหม่อมองดวงจันทร์ขบคิดเรื่องในใจสลบไสลไปอย่างง่ายดายดังที่คาด

แหวกกิ่งหว้า 2-3 กิ่งออก ตงหัวเลี้ยวออกมาจากด้านหลังประตูวงเดือนอย่างไม่รีบไม่ร้อน ทุกอย่างที่เห็นภายในสวนต่างเงียบสงัด กระทั่งแสงเรืองๆ ของโพธิญาณสู่กำเนิดยังริบหรี่กว่าปกติมาก มาถึงในศาลา กลิ่นหอมของไม้จันทน์ขาวพันปียังราวกับจมดิ่งอยู่ภายในศาลาน้อยแห่งนี้โดยไม่อาจพลิ้วจางหาย ชายหนุ่มก้มศีรษะลงมองนางนอนฟุบกับโต๊ะแก้วผลึก หลับใหลอย่างสงบ แล้วอดรู้สึกขันไม่ได้ ถูกคาถาของตัวเองย้อนสนองเข้าให้แล้วยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่เช่นนี้ ทั้งใต้หล้าเห็นจะมีแต่นางนี่แหละ มิน่าเล่าฟังว่าป๋ายอี้ซ่างเสินท่านพ่อของนางเฝ้าคิดอยู่ทุกวี่วันว่าจะหาสามีที่เก่งกาจให้นางสักคนอย่างไรดี

ชายหนุ่มยื่นมือร่ายคาถาปัดเข้าใส่ร่างของนางเบาๆ เปลี่ยนนางกลับไปเป็นผ้าเช็ดหน้าอีกครั้ง ซุกไว้ในอกเสื้อ แล้วก้าวออกจากป่าสวนอันอบอวลด้วยนิทรารมย์แห่งนี้อย่างปลอดโปร่ง

 

 

 

 

<>::<>::<>::<>::<>::<>



[1]乘龙快婿

[2]绿琳石 Tourmaline

[3]小舅舅 น้าชายคนเล็ก

[4]南阳玉

[5]符禹山

[6]宁净无为 หมายถึง เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ปล่อยตัวตามธรรมชาติ คือหลักปรัชญาของลัทธิเต๋า

[7]三爷爷 ท่านปู่สาม

[8]愚弟 น้องผู้โง่เขลา

[9]元极宫

[10]出师未捷身先死 เคลื่อนทัพออกศึกไม่ทันคว้าชัย ตัวมาตายเสียก่อน

[11]玄铁

[12]吉祥草

[13]凉菜

[14] ยามจื่อ คือเวลา 23:00 – 01:00 น.


แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 2557, 07:51 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 10 พ.ค. 2557, 22:13

4 ความคิดเห็น