หัวข้อ : บทที่ 1

โพสต์เมื่อ 10 พ.ค. 2557, 15:34

ภาค 1

 

โพธิญาณสู่กำเนิด

 

บทที่ 1

 

 

หลังจากนั้นมามีอยู่วันหนึ่ง ยามเมื่อดอกโพธิญาณสู่กำเนิดในวังไท่เฉินกง[1]ผลิบานทั่วทั้งเขตวัง และมวลดอกไม้ที่ห้อมล้อมเป็นประดุจกลุ่มเมฆาปีนข้ามรั้วกำแพง ตงหัวจึงนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบเฟิ่งจิ่ว

ยามนั้น เขาจำนางไม่ใคร่ได้ เทพเคารพผู้ปลีกตัวจากโลกอยู่ในวังไท่เฉินกงมานานนับหมื่นปี เรื่องที่สามารถทำให้เขาสังเกตสนใจได้บ้างเล็กน้อย มีเพียงการดำเนินผิดกาลของฤดูทั้งสี่ สุริยันจันทราสลับงาน และด่านเคราะห์แห่งโชคชะตาเท่านั้น

แม้จะถูกเทียนจวินเร่งรัดเชื้อเชิญให้ออกจากวังไท่เฉินกงไปร่วมขบวนแห่รับเจ้าสาวให้แก่ไท่จื่อเยี่ยหัว แต่ความจริงแล้ว เขาหาได้สนใจใดๆ ต่อเรื่องนี้มากนัก แน่นอนว่าเขาย่อมจะจำดรุณีผู้ลอยมาเหนือคลื่นริมทะเลสู่กำเนิด และเสียงอันใสเสนาะน่าฟังดั่งสายฝนพรำแรกวสันต์ของนางไม่ใคร่ได้นักเช่นกัน และจำไม่ใคร่ได้ว่าเจ้าของเสียงใสเสนาะน่าฟังนั้นพยายามฝืนยิ้มเต็มที่ ถามเทพชะตาว่า

“เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่า ฉินจีอะไรบนเขาจงหูนั่น ชอบเสี่ยวซูของข้าจริงๆ หรือ?”

 

ตงหัวจำเฟิ่งจิ่วได้บ้างจริงๆ เป็นครั้งแรก ก็ในงานเลี้ยงสมรสของเยี่ยหัว

งานอภิเษกสมรสของไท่จื่อแห่งเผ่าสวรรค์ ทั้งยังแต่งกับป๋ายเฉี่ยนซ่างเสินผู้ซึ่งทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนต่างต้องเรียกขานอย่างยกย่องว่า “กูกู” ย่อมต้องเหนือกว่าผู้อื่นเป็นธรรมดา เทพเซียนบนสวรรค์แบ่งเป็นเก้าขั้น นอกจากคนของเผ่าสวรรค์แล้ว ผู้ที่มีบุญได้เข้าร่วมในงานเลี้ยง มีเพียงเจินหวง เจินเหริน[2]สิบกว่าท่าน ตลอดจนหลิงเซียน 20-30 กว่าท่านที่อยู่ขั้นห้าขึ้นไปเท่านั้น

ภายในตำหนักจื่อชิง แสงอัสดงส่องสว่าง งานเลี้ยงดำเนินมาได้กว่าครึ่งแล้ว

เทียนจวินรุ่นนี้นิยมวางมาด ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงประเภทใด หลังดื่มไปสามรอบ เป็นต้องยกข้ออ้างว่าทานฤทธิ์สุราไม่ไหวปลีกตัวออกจากงานเลี้ยงทุกครั้ง แม้จะเป็นงานสมรสของหลานชายแท้ๆ ก็มิได้ละเว้นกฎเก่าก่อนข้อนี้

และเยี่ยหัวจวินในชุดเจ้าบ่าวนั้นคออ่อนมาแต่ไหนแต่ไร ในวันนี้คอยิ่งอ่อนเป็นพิเศษ ยั่งร่ำดื่มได้เพียงไม่ถึงสามรอบ ก็ถูกเซียนน้อยประคองกลับวังสี่อู๋อย่างกินแรงเสียแล้ว ถึงแม้ตงหัวมองเห็นว่า ไท่จื่อซึ่งดูเหมือนในอึดใจถัดไปก็จะเมามายสิ้นสติสมประดีผู้นี้ จังหวะฝีเท้ายามก้าวย่างกลับยังคงมีระเบียบดีอยู่มาก

 

ปู่หลานสองท่านนั้นเพิ่งจะย่างเท้าออกจากตำหนักจื่อชิงได้เพียงไม่นาน เหล่าเจินหวงในงานก็ทยอยกันเสาะหาข้ออ้างเผ่นกลับไปทีละคนๆ แค่ครู่เดียว บรรยากาศสำรวมในงานได้ร่าเริงปล่อยกายขึ้นไม่น้อย ตงหัวหมุนคลึงจอกสุราที่ว่างเปล่าไปแล้ว คิดจะออกจากงานเลี้ยงเช่นกัน จะได้ให้บรรดาเทพเซียนน้อยเบื้องล่างซึ่งนั่งตัวตรงระแวดระวังได้โล่งใจ เริงสำราญอย่างอิสระ

ขณะจะวางจอกลงขยับลุก เมื่อเหลือบสายตาขึ้นกลับเห็นตรงประตูตำหนักไม่ทราบปรากฏดอกกุสุมา[3]หนึ่งกระถางตั้งแต่เมื่อไร เบื้องหลังช่อดอกไม้สีเหลืองอ่อน มีดรุณีชุดขาวหลบซ่อนอยู่รำไร กำลังก้มศีรษะงอเอวทำท่าย่อง มือหนึ่งหิ้วชายกระโปรง อีกมือหิ้วกระถางดอกไม้ เดินกระย่องกระแย่งเลียบชิดกำแพงต้นเสา หมายมาดไม่กระตุ้นความสนใจของใครทั้งสิ้น ค่อยๆ เขยิบไปทางโต๊ะของผู้มาส่งเจ้าสาว 2-3 โต๊ะนั้นทีละนิดๆ

ตงหัวพิงเท้าแขนเก้าอี้ หาท่าที่สบายยิ่งขึ้น นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ทองม่วงอีกครั้ง

นางรำบนเวทีรำจบไปหนึ่งเพลง ดรุณีชุดขาวเดินชยโน่นชนนี่ไปตลอดทาง ในที่สุดก็ขยับไปถึงที่นั่งว่างของโต๊ะผู้มาส่งเจ้าสาว ชะโงกศีรษะออกมามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ครั้นเห็นแน่ชัดว่าไร้ผู้สังเกต ก็รีบมุดออกมาจากด้านหลังกระถางดอกกุสุมาอย่างเร็วรี่ ฉวยจังหวะในระหว่างที่ทุกคนต่างมองไปยังเวทีเมฆและโห่ร้องชมเชย นั่งลงอย่างสงบเยือกเย็นปรบมือร้องชมอย่างไม่รู้ไม่ชี้พลางงอขาไปเกี่ยวกระถางดอกกุสุมาที่ด้านหลังล้มลง เตะๆ เข้าไปใต้โต๊ะยาว

ซ่อนไม่มิด เตะๆ อีกครั้ง

ก็ยังซ่อนไม่มิดอยู่ดี เตะๆ อีกรอบ

ครั้งสุดท้ายเตะแรงเกินไป ดอกกุสุมาที่เคราะห์ร้ายพร้อมด้วยกระถาง พุ่งเฉียดขาโต๊ะบินหวือตรงดิ่งออกไป ตรงเข้าใส่ศีรษะของตงหัวผู้ซึ่งเปลี่ยนใจชั่ววูบไม่ทันได้ลุกออกจากงาน

เหล่าเทพเซียนต่างร้องโพล่งอุทานอย่างตกใจ กระถางดอกไม้หยุดลงตรงตำแหน่งห่างจากหน้าผากของตงหัวสามชุ่น

ตงหัวเอามือเท้าคางยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง กุมกระถางดอกไม้ที่กลางอากาศไว้ เหลือบสายตาลงมอง “ผู้ก่อเรื่อง”

สายตาของเทพเซียนทุกคนพลอยแห่กันเบนไปจ้องมองตามตงหัว

“ผู้ก่อเรื่อง” ตกตะลึงไปชั่ววูบ แล้วหันหน้าไปอีกทางอย่างว่องไว เอ่ยถามเทพเซียนชายในชุดสีน้ำตาลที่ข้างกายด้วยน้ำเสียงจริงใจหากมิพร่องความเข้มงวดว่า

“หมีกู่ ไยเจ้าจึงซุกซนเช่นนี้ ไปซี้ซั้วเตะกระถางดอกไม้ใส่หน้าผากคนอื่นเขาได้อย่างไร?”

 

หลังงานเลี้ยง เซียนผู้คอยติดตามรับใช้ข้างกายของตงหัวบอกเขาว่า ดรุณีชุดขาวผู้ประดับจานฮัวขาวบนศีรษะนางนี้มีนามว่า “เฟิ่งจิ่ว” คือองค์หญิงผู้สืบทอดตำแหน่งกษัตรีย์ทั้งที่อายุยังเยาว์ของชิงชิวท่านนั้นเอง

 

งานสมรสของเยี่ยหัวคึกคักครึกครื้นรวมเบ็ดเสร็จเจ็ดทิวา

เจ็ดทิวาให้หลัง ก็เป็นการเปิดงานมหาพิธีพันบุปผชาติที่หกสิบปีจะจัดสักครั้งซึ่งเหลียนซ่งจวินลงมือดำเนินการจัดงานด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้ เทพเซียนซึ่งเดิมทีได้รับเชิญขึ้นสู่สวรรค์ชั้นฟ้าเพื่อร่วมในงานเลี้ยงวิวาห์จึงพากันรั้งอยู่ชั่วคราวเสียเลยโดยมิได้จรลา

ชั่วขณะนั้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันได้ชื่อว่าสะอาดบริสุทธิ์สูงส่งศักดิ์สิทธิ์แทบมิเหลือพื้นที่สะอาดบริสุทธิ์สงบเงียบสักกี่ที่ สระโบกขรณีแห่งสวรรค์ชั้นสิบสามนับเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ในบรรดาไม่กี่สถานที่ที่หลงเหลือนี้ คาดว่าคงเป็นเพราะสระแห่งนี้สร้างอยู่ริมตำหนักบรรทมของตงหัว...วังไท่เฉินกง ไม่มีเทพเซียนสักกี่คนหาญกล้าเข้าไปรบกวน

ในคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีเทพเซียนสักกี่คน” นี้ หานับรวมป๋ายเฉี่ยนซ่างเสินซึ่งเพิ่งจะสมรสขึ้นสู่แดนสวรรค์ไม่

 

สิบเจ็ดค่ำเดือนสี่ ลมสวรรค์พัดรวยรื่น งานเลี้ยงดูตัวเล็กๆ สองงานที่ป๋ายเฉี่ยนซ่างเสินจัดให้แก่เฟิ่งจิ่วหลานสาว จัดขึ้นที่ริมสระโบกขรณีแห่งนี้นั่นเอง

ป๋ายเฉี่ยนแต่งให้กับเยี่ยหัวยามนางสูงวัยถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นปี และเข้าใจเอาเองเสมอมาว่าตนสมรสได้เหมาะสมแก่ช่วงอายุเป็นที่สุด จึงอดนำมาตรฐานของตัวเองไปวัดผู้อื่นอยู่เนืองๆ ไม่ได้ เมื่อเทียบกันแล้ว ก็เห็นว่าเฟิ่งจิ่วที่อายุเพียงสามหมื่นกว่าปีนั้นช่างละอ่อนนัก ไม่เหมาะจะเอ่ยถึงเรื่องตบแต่งอย่างยิ่ง แต่เพราะได้รับการไหว้วานจากท่านพ่อของเฟิ่งจิ่ว...ป๋ายอี้พี่ชายของนาง และไม่สะดวกใจจะบ่ายเบี่ยง จึงได้แต่ฝืนต่อมโนธรรมจัดงานเลี้ยงดูตัวให้แก่เฟิ่งจิ่ว

ไม่กี่วันมานี้บนสวรรค์คึกคักนัก ไม่ค่อยมีที่ทางซึ่งบรรยากาศเหมาะเจาะจะจัดงานเลี้ยงดูตัวเรียบๆ ฟังว่ามหาเทพตงหัวพำนักอยู่วังไท่เฉินกงมาเนิ่นนาน ปกติยากนักจะออกจากประตูวังสักหน ต่อให้ฆ่าคนวางเพลิงที่หน้าวังไท่เฉินกงก็ไม่มีใครหน้าไหนมาสนใจยุ่งเกี่ยว ป๋ายเฉี่ยนขบคิดใคร่ครวญอยู่ครึ่งวัน ก็กำหนดให้จัดงานเลี้ยงดูตัวที่ริมสระโบกขรณีข้างๆ วังไท่เฉินกงอย่างปลอดโปร่งสบายใจ

ทั้งยังมีผู้ดูตัวถึงสองราย ก่อนหลังรวมสองงาน

 

แต่วันนี้ทุกคนต่างคำนวณผิดพลาด ตงหัวไม่เพียงออกจากวัง ทั้งยังออกมาในระยะค่อนข้างใกล้อีกด้วย อยู่ห่างจากตำแหน่งที่จัดงานเลี้ยงดูตัวห้าสิบก้าวนี่เอง ถูกม่านใบที่ห้อยย้อยของต้นหลิวต้นหนึ่งบดบัง ใต้เท้าวางเบ็ดตกปลาไผ่ม่วง[4] คัมภีร์เล่มหนึ่งกางปิดบนใบหน้า นอนเอนหลังบนเก้าอี้ไม้ไผ่อย่างสบายอารมณ์ ตกปลาไปพลางหลับตาพักผ่อนไปพลาง

 

เฟิ่งจิ่วรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ดื่มน้ำชายามเช้า แล้วเดินอิดออดตลอดทางมาจนถึงสวรรค์ชั้นสิบสาม

บัวเผื่อนดอกแล้วดอกเล่าลอยโผล่เหนือท้องน้ำสีมรกตของสระ กอปทุมเชื่อมต่อทอดยาวไปไกลไร้ที่สิ้นสุด ดุจดั่งลอบปักลวดลายมวลอุบลบนปุยเมฆขาวสะอาด

ในงานเลี้ยง เสินจวินชุดเขียวผู้หนึ่งนั่งโบกพัดจีบอย่างสบายอารมณ์อยู่แล้ว ครั้นเห็นเฟิ่งจิ่วทอดฝีเท้าเดินเข้ามา ก็หุบพัดจีบดังฟุ่บ โค้งนัยน์ตาคลี่ยิ้ม

ความจริงเฟิ่งจิ่วไม่ใคร่รู้จักเสินจวินผู้นี้นัก ทราบเพียงว่าเป็นนายน้อยของตระกูลรองสายใดสักสายของเผ่าสวรรค์ บำเพ็ญตบะอยู่ที่ภูเขาเซียนใดสักลูกในโลกมนุษย์แห่งไหนสักแห่ง อุปนิสัยเปิดเผยใจกว้าง สุภาพอ่อนโยน หากจะบอกว่ามีข้อบกพร่องใด ก็คือค่อนข้างรักสะอาดอยู่บ้าง ทั้งยังทนเห็นใครไม่รู้มารยาท ไม่รักษาเวลาไม่ได้ เพื่อการนี้ นางจงใจมาสายอย่างน้อยหนึ่งชั่วยามครึ่ง[5]

 

งานเลี้ยงเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ มิได้พิถีพิถันเกินจำเป็น หลังจากทั้งสองกล่าวทักทายกันแล้วก็นั่งลง

 

ตงหัวถูกเสียงกล่าวทักทายเบาๆ ไม่กี่คำนั้นรบกวนความสงบ ยกมือหยิบคัมภีร์ที่กางปิดบนใบหน้าขึ้น มองผ่านเงาร่องของดอกใบ เห็นห่างออกไปห้าสิบก้าว เฟิ่งจิ่วกำลังเอียงศีรษะน้อยๆ ขมวดคิ้วจ้องมองถาดไม้มะค่ารูปพัดตรงหน้า

ภายในถาดจัดวางแน่นขนัด มีกาสุราหยกตงหลิ่งหนึ่งใบและอาหารสีสันฉูดฉาด 2-3 จาน

นับตั้งแต่บนสวรรค์มีกฎระเบียบเรื่องงานเลี้ยงขนาดเล็ก ก็กำหนดมาแต่ไหนแต่ไรให้หนึ่งคนต่อหนึ่งถาด จัดวางอาหารชุดเดียวกัน และจัดชนิดของสุราให้แตกต่างกันไปตามระดับขั้นตำแหน่ง

เสินจวินชุดเขียวหุบพัดจีบแล้วก็เอ่ยชวนคุยว่า

“ช่างบังเอิญนัก ในยุคบรรพกาลตระกูลของเสี่ยวเซียนควบคุมดูแลเรื่องตรากฎระเบียบของเผ่าสวรรค์นี่เอง ก่อนนี้ได้ฟังป๋ายเฉี่ยนซ่างเสินเอ่ยถึงว่า ระดับความรู้ในเรื่องมารยาทธรรมเนียมของฝ่าบาทเฟิ่งจิ่วเองก็...”

ถ้อยคำ “สูงส่งถึงขีดสุด” ยังคงอยู่แค่ปลายลิ้นไม่ทันได้ล่วงพ้นออกมา เฟิ่งจิ่วที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็จัดแจงสวาปามขาหมูน้ำแดงทั้งจานปานพายุหมุนสูบเมฆาจนเรียบวุธเสร็จสิ้น แล้วใช้ตะเกียบไม้ไผ่กวาดเศษน้ำแดงหย่อมสุดท้ายภายในจานพลางเรอออกมา เอ่ยถามว่า “ก็อะไรหรือ?”

มุมปากยังมีเศษน้ำแดงติดอยู่เล็กน้อย

เสินจวินชุดเขียวผู้มีมารยาทตกตะลึงมองหน้านาง

เฟิ่งจิ่วล้วงกระจกใบเล็กออกมาจากในแขนเสื้อ เปิดกระจกพลางพึมพำกับตัวเอง “บนหน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือ?”

นางนิ่งไปเล็กน้อย “โอ๊ะ มีอะไรติดอยู่จริงๆ ด้วย”

นางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดมุมปากทันทีอย่างไม่มีลังเล ไม่ถึงอึดใจ รอยน้ำมันได้ประทับอย่างเด่นชัดลงบนแขนเสื้อสีขาว

ใบหน้าของเสินจวินผู้ค่อนข้างรักสะอาด...เริ่มปรากฏสีเขียวจางๆ

เฟิ่งจิ่วยกกระจกส่องอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากส่องเสร็จก็ซุกเก็บกระจกกลับเข้าไปในแขนเสื้อหน้าตาเฉย อาจจะเพราะเดิมทีมือเปื้อนคราบมันอยู่เล็กน้อย จึงทิ้งรอยนิ้วเปื้อนน้ำมันหลายรอยบนกรอบกระจกไม้จันทน์ม่วง

ใบหน้าของเสินจวินชุดเขียว...เขียวเข้มใกล้ม่วงแล้ว

น้ำขาหมูสองหยดหยดจากตะเกียบลงบนโต๊ะหินในจังหวะนี้พอดี

เฟิ่งจิ่วกัดตะเกียบยื่นนิ้วไปใช้เล็บไปขูด ขูดไม่สะอาด รูดแขนเสื้อขึ้นเช็ด สะอาดแล้ว

มือที่ยื่นผ้าเช็ดหน้าของเสินจวินชุดเขียวแข็งค้างอยู่กลางอากาศ

สองคนมองหน้ากันอึดใจใหญ่ เสินจวินชุดเขียวที่ใบหน้าดำคล้ำกล่าวเสียงแหบพร่า

“ฝ่าบาทเชิญรับประทานตามสบาย เสี่ยวเซียนมีธุระสำคัญ ต้องขอล่วงหน้าไปก่อน วันหน้าค่อยสนทนากับฝ่าบาทอีกครั้ง” เพิ่งจะกล่าวจบคำก็รีบร้อนจากไป...แทบจะเป็นเผ่นแนบ

ตงหัวเลื่อนคัมภีร์บนใบหน้าออก มองเห็นเฟิ่งจิ่วโบกตะเกียบกล่าวลาอย่างอาลัยอาวรณ์ ในดวงตาเปล่งประกายสดใสกลับไร้วี่แววอาลัยอาวรณ์แม้ส่วนเสี้ยว หนำซ้ำยังแฝงแววหัวเราะ น้ำเสียงหวานหยดย้อยแทบจะราวกับบีบคอเค้นออกมา

“อย่างนั้นวันหน้าค่อยสนทนากัน อย่าปล่อยให้คนเขารอนานเกินไปนะ...”

จวบจนเสินจวินชุดเขียวลับหายไปจากสายตา จึงค่อยอมยิ้ม นวยนาดหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวปักลายบุปผาฤดูฝนออกมา เช็ดมืออย่างใจเย็น แล้วลูบจัดแขนเสื้อที่เมื่อครู่นี้ถูกับโต๊ะหินจนกดเป็นรอยยับ

 

อาจเป็นเพราะสองร้อยปีมานี้ได้ประสบพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มามากมาย ยามฝ่าบาทเฟิ่งจิ่วแห่งชิงชิวอัปเปหิใคร จึงกล่าวได้ว่าคล่องแคล่วลื่นไหลเชี่ยวชาญฉับไว เสินจวินผู้มาดูตัวรายที่สองก็ขามากระตือรือร้นคึกคัก ขากลับตาลีตาเหลือกเผ่นแนบกลับเช่นกัน หลงเหลือเพียงถ้วยชามจอกสุราระเนระนาดบนโต๊ะหิน สาดสะท้อนแสงอาทิตย์ เป็นประกายมันย่อง

 

เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม รับประทานขาหมูน้ำแดงลงไปติดกันสองจานใหญ่ เฟิ่งจิ่วค่อนข้างจุกอยู่บ้าง กุมถ้วยน้ำชาหันหลังให้สระโบกขรณี ชื่นชมความโอ่อ่าน่าเกรงขามของวังไท่เฉินกงไปพลางรอให้อาหารย่อยไปพลาง ทางด้านตงหัวมีปลาน้อยสองตัวมาติดเบ็ด คัมภีร์ในมือก็พลิกอ่านไปจนถึงหน้าสุดท้ายแล้ว เหลือบสายตาขึ้นเห็นแสงแดดชักจะแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเก็บคัมภีร์ลุกขึ้นกลับวัง และเดินผ่านงานเลี้ยงริมสระโดยปริยาย

เฟิ่งจิ่วกำลังกุมถ้วยชานั่งเหม่อเหมือนหญิงชรา ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาเนิบช้าที่ด้านหลัง ก็นึกว่าผู้มาคือหมีกู่ที่ระยะนี้ทำตัวเป็นคุณแม่มากขึ้นทุกที จึงหยุดเหม่อชวนคุยว่า

“ไยจึงมาเร็วปานนี้เล่า เป็นห่วงว่าข้าจะวางมวยกับพวกเขาหรือไร?” เขยิบไปด้านข้างเว้นที่ให้ “พักนี้รสนิยมของกูกูชักจะพิสดารมากขึ้นทุกที สองรายนี้ที่เลือกมาดูขี้โรคจะแย่ ข้าน่ะทำใจใช้หมัดอัดเขาสองคนไม่ลงด้วยซ้ำ จึงแค่แสดงละครหลอกให้ท่านเทพผู้บอบบางทั้งสองเผ่นหนีไปเท่านั้น ทำเอาข้าเหนื่อยไม่เบา” กุมถ้วยชาหยุดเว้นจังหวะ “เจ้านั่งเป็นเพื่อนข้าก่อนละ ไม่ได้ดูตะวันขึ้นและตกที่นี่มาตั้งนาน ออกจะคิดถึงอยู่เหมือนกัน”

ตงหัวชะงักเท้า นั่งลงข้างหลังนางตามคำเชิญ เลือกกาน้ำชาหนึ่งในสองกาที่ยังไม่ถูกเก็บไปบนโต๊ะหิน รินน้ำชาเย็นชืดถ้วยหนึ่งดับกระหาย

เฟิ่งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถูกบัวขาวครึ่งสระกระตุ้นอารมณ์สะท้อนใจเล็กน้อย หมุนคลึงถ้วยชากล่าวอย่างสะทกสะท้อน “พวกเขาบอกว่า บัวขาวภายในสระโบกขรณีแห่งนี้ล้วนจำแลงมาจากหัวใจคนทั้งสิ้น ในบรรดาผู้คนที่พวกเรารู้จัก แม้จะมีมนุษย์สามัญอยู่เพียงไม่กี่คน แต่นี่แน่ะหมีกู่ เจ้าว่าคนอย่างชิงถี[6]นั่น จะมีดอกบัวขาวของตัวเองหรือไม่?” ราวกับหยุดคิดชั่วแล่น “หากว่ามีละก็ เจ้าว่าจะเป็นดอกไหนหนอ?” แล้วถอนหายใจราวกับคนแก่ “คนอย่างเขานั่นน่ะ” คู่กับเสียงถอนหายใจนี้ ก็ดื่มน้ำชาไปหนึ่งคำ

ตงหัวก็ก้มหน้าดื่มน้ำชาไปหนึ่งคำเช่นกัน หมีกู่ผู้นี้เขาพอจะจำได้รางๆ ดูเหมือนจะเป็นเซียนดินที่คอยติดตามรับใช้ข้างกายเฟิ่งจิ่ว ดูท่าทางนางจะจำผิดคนเสียแล้ว ส่วน “ชิงถี” คือใคร กลับไม่เคยได้ยินมาก่อน

เงาไม้ทอดลงมา สองขาของเฟิ่งจิ่ววางอยู่บนตลิ่ง กล่าวเสียงอู้อี้

“เมื่อครึ่งเดือนก่อน ซูม่อเยี่ยแห่งทะเลประจิมเชิญเสี่ยวซูไปดื่มเหล้า ข้าหน้าด้านตามไปด้วย ระหว่างที่ขี่เมฆเหาะผ่านโลกมนุษย์แห่งนั้นพอดี” หยุดไปอึดใจ ค่อยกล่าวต่อว่า “ที่แท้ราชวงศ์จิ้น[7]ล่มสลายไปนานแล้ว ในปีที่เจ็ดหลังชิงถีตายจากไป” หยุดเว้นจังหวะ แล้วเสริมว่า “ข้านึกมานานแล้วว่าอายุของราชวงศ์นี้ไม่มีทางยืนนานนัก” ทอดถอนอย่างสะท้อนใจแล้วหันกลับมาเติมน้ำชา ปากยังบ่นอุบอิบว่า “จะว่าไปชาที่ซูม่อเยี่ยทำขึ้นใหม่นั่น ชื่ออะไรแล้วนะ อ้อ ปี้ฝูชุน[8] ไม่เลวเลยจริงๆ ไว้ประเดี๋ยวเจ้าทำเข่งไม้ไผ่สานให้ข้าสักใบ ครั้งหน้าตอนไปทะเลประจิมอีกครั้งข้า...” เงยหน้าขึ้น ถ้อยคำต่อจากนั้นถูกกลืนลงคอไปทั้งหมด กลืนเสียแรงนัก ทำเอาสำลักกระอักกระไอจนฟ้าดินพลิกตลบ ไอเสร็จแล้วยังคงนิ่งค้างอยู่ในท่าจะรินเติมน้ำชา พูดอะไรไม่ออกไปอึดใจใหญ่

นิ้วมือเรียวยาวของตงหัววางอยู่บนฝาถ้วยน้ำชากระเบื้องเคลือบสีเขียวอ่อน ภายใต้แสงแดดสว่างเจิดจ้า แม้แต่ปลายเล็บยังเปล่งแสงอยู่เรืองๆ สายตาไร้อารมณ์ใดๆ คล้ายจะทอดลงจับยังแขนเสื้อเปื้อนน้ำขาหมูเกือบจะทั่วของนาง แล้วค่อยๆ ไล่ขึ้นไปช้าๆ เห็นใบหน้าอมชมพูของนางยามนี้สำลักกระอักกระไอจนแดงก่ำ แทบจะเป็นสีเดียวกับต้นใบไม้แดงบนแดนสวรรค์สี่ซ่าน[9]

อาจเป็นเพราะตั้งสติได้ ใบหน้าของเฟิ่งจิ่วจึงค่อยๆ คลี่ยิ้ม แม้จะดูฝืนธรรมชาติอยู่บ้าง แต่ก็เป็นรอยยิ้มอย่างแท้จริง ก่อนจะเอ่ยปากอย่างห่างเหินเกรงใจ กล่าวถวายบังคมอย่างห่างเหินเกรงใจ

“ไม่ทราบว่าตี้จวินอยู่ที่นี่ เชือนแชยิ่งนัก เฟิ่งจิ่วแห่งชิงชิว น้อมพบตี้จวินเพคะ”

ตงหัวได้ฟังถ้อยคำถวายบังคมนี้ของนาง ก็เหลือบตาขึ้นพินิจมองนาง กล่าวสั้นๆ ว่า

“นั่ง”

ครั้นนางก้มศีรษะเดินเข้ามานั่งลงแล้ว จึงค่อยใช้ฝาถ้วยชาปาดใบชาในถ้วยที่ถืออยู่ กล่าวเนิบช้าว่า

“เจ้าเห็นข้าแล้ว ตกใจมาก?”

เมื่อครู่นี้ตอนที่นางเดินเข้ามานั่งยังนับได้ว่ามีกิริยามารยาทเหมาะสม มาบัดนี้กลับเหมือนตกใจอย่างมากจริงๆ เงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจยิ่ง ขยับริมฝีปาก ยังคงเป็นรอยยิ้มห่างเหินเกรงใจเช่นเดิม

“ได้เข้าเฝ้าตี้จวินเป็นครั้งแรก ปลาบปลื้มเป็นที่สุด กลับทำให้ตี้จวินต้องขบขันแล้ว”

ตงหัวพยักหน้า ถือว่ารับถ้อยคำนี้ของนาง ถึงแม้ผู้มีสายตาคมกล้าล้วนมองออกว่า ในรอยยิ้มแข็งทื่อของนางมองหาวี่แวว “ปลาบปลื้มเป็นที่สุด” ได้ยากเย็นยิ่งโดยแท้ ตงหัวยกมือขึ้นเติมน้ำชาเย็นชืดให้นาง

ทั้งสองนั่งกันอยู่เช่นนี้ มองหน้ากันโดยไร้วาจา ช่างกระอักกระอ่วนจริงแท้ ครู่หนึ่ง เฟิ่งจิ่วดื่มน้ำชาจนถึงก้นถ้วย ยื่นมือไปกุมหูกาน้ำชา แสดงกิริยาจะรินเติมน้ำชาให้ตัวเองเช่นปกติ ตงหัวเหลือบสายตาขึ้นมอง ได้เห็นไม่ทราบเพราะอะไรถ้วยชาจึงเอียงวูบเข้พอดี น้ำชาร้อนที่เพิ่งจะรินเติมเต็มถ้วยสาดลงใส่ตัวเสื้อสีขาวของนางอย่างจัง นาบประทับเป็นรอยใหญ่ประมาณเกี๊ยวทอดหนึ่งรอย

นิ้วของตงหัววางอยู่บนโต๊ะหิน สายตาจ้องมองนางไม่กะพริบ

เดิมทีเขาเพียงแต่นึกสนุก เห็นนางนั่งอยู่ตรงนี้อย่างเอื่อยเฉื่อยสบายอารมณ์มองดูตะวันขึ้นของสวรรค์ชั้นสิบสามอย่างออกรสออกชาติ จึงหลงนึกว่าตำแหน่งนี้จะทำให้รู้สึกถึงทิวทัศน์ที่แตกต่างออกไป ทั้งยังได้ยินนางเชิญให้เขานั่ง ด้วยเหตุนี้จึงได้นั่งลงเช่นนี้เอง มาบัดนี้กลับรู้สึกสนุกขึ้นมาจริงๆ อย่างปุบปับ นึกในใจว่านางช่างเข้าใจแสดงละครนัก บางทีอาจจะนึกว่าเขาก็มาดูตัวเช่นกันกระมัง แต่ติดขัดที่ศักดิ์ฐานะของเขา ไม่สามารถอัปเปหิไปง่ายๆ เช่นสองรายก่อนหน้านี้ได้ ดังนั้นจึงอวดฉลาดใช้แผนทรมานสังขาร[10]เช่นนี้ออกมา ไม่เสียดายต่อการสาดตัวเองให้เปียกหาข้ออ้างเผ่นหนี น้ำชาที่สาดใส่บนตัวเสื้อของนางนั่นยังมีควันร้อนลอยกรุ่นด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าร้อนจัด นางช่างอุตส่าห์ยอมตัดใจทุ่มทุนอย่างสุดตัวแท้ๆ

ชายหนุ่มเอามือเท้าคาง ครุ่นคิดว่าก้าวต่อไปนางตั้งใจจะเผ่นหนีใช่หรือไม่ ก็เห็นนางทำท่าปัดรอยเปื้อนน้ำบนตัวเสื้อรอยนั้นจริงๆ และปัดไม่ออกดังที่คาด จึงกล่าวคำขอตัวกับเขาด้วยทีท่าออกจะลำบากใจ...พินอบพิเทา...อ่อนน้อมถ่อมตน...ห่างเหินเกรงใจแต่ยากจะปิดบังความยินดีปรีดาว่า

“อุ๊ย มือเผลอลื่นไปนิด ชุดไม่เรียบร้อยเสียแล้ว โปรดอนุญาตให้เฟิ่งจิ่วขอตัวไปก่อนนะเพคะ ไว้วันหน้าค่อยมาขอคำชี้แนะหลักธรรมพุทธและเต๋าจากตี้จวินอีกครั้ง”

กลิ่นหอมเย็นของดอกบัวขาวระเรื่อยมาตามลม ชายหนุ่มเหลือบสายตาขึ้น ยื่นกากระเบื้องเคลือบใหญ่มหึมาไปให้ พูดเรียบเรื่อย

“น้ำชาแค่แก้วเดียวจะนับอะไรได้ ใช้อันนี้ เมื่อกี้ตอนผ่านมือข้า ได้ทำให้น้ำเย็นแล้ว เทลงใส่ตัวอีกครั้ง ถึงจะถือได้ว่า ‘ชุดไม่เรียบร้อย’ จริงๆ”

“......”

 

มหาเทพตงหัวปลีกตัวจากโลกอยู่ที่วังไท่เฉินกงมาเนิ่นนานเกินไป เทพเซียนรุ่นเยาว์จึงไม่มีโอกาสวาสนารับทราบลิ้นอันคมกริบของท่าน แต่บรรดาเทพเซียนรุ่นอาวุโสกลับแทบไม่มีคนใดหาญกล้าลืมเลือน แม้ตี้จวินจะพูดน้อยเสมอมา แต่วาจาที่กล่าวมีระดับความคมกริบแทบไม่แตกต่างจากคมกระบี่ในมือท่าน

เล่าลือกันมาว่านายน้อยของเผ่ามารดื้อรั้นนัก ได้ยินได้ฟังวีรกรรมด้านการศึกของตงหัวจากคัมภีร์ประวัติศาสตร์ยุคบรรพกาล ในปีนั้นจึงบุกฝ่าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอย่างอาจหาญหมายมาดจะท้าดวลกับตงหัว ผลคือเพิ่งจะแฝงกายเข้าไปในวังไท่เฉินกง ก็ถูกผู้ติดตามรับใช้ที่ดักซุ่มอยู่ทั่วสี่ทิศแปดทางจับตัวได้

เวลานั้นตงหัวกำลังเล่นหมากล้อมกับตัวเองอยู่ที่สระบัวไม่ไกลออกไปนัก

หนุ่มน้อยเยาว์วัยเลือดร้อน ถูกคุมตัวให้หมอบอยู่กับพื้นยังคงแผดด่าเป็นการใหญ่ หมายใช้แผนกระตุ้นขุนพล[11]

ตงหัวเก็บกระดานหมากเดินผ่าน หนุ่มน้อยยิ่งแผดด่าหนักข้อกว่าเดิม ตะคอกว่าได้ยินว่าเผ่าสวรรค์ขึ้นชื่อเรื่องถือคุณธรรมเสมอมา ไม่นึกว่าได้มาเห็นในวันนี้กลับกระทำเช่นนี้ หากตงหัวยังคงมีคุณธรรมมโนธรรมอยู่บ้างก็จงก้าวออกมาดวลตัวต่อตัวกับเขาสักตั้ง มิใช่ปล่อยให้บริวารใช้คนมากรังแกคนน้อย...

ตงหัวประคองกล่องหมากล้อม เดินผ่านไปแล้วถอยย้อนกลับมาสองก้าว เอ่ยถามหนุ่มน้อยบนพื้น

“เจ้าพูดว่า คุณ...อะไรนะ?”

หนุ่มน้อยกัดฟัน “คุณธรรม!” แล้วเน้นคำหนักๆ “ข้าบอกว่า ‘คุณธรรม’!”

ตงหัวย่างเท้าเดินต่อไปข้างหน้า “มันอะไร ไม่เห็นจะเคยได้ยิน”

หนุ่มน้อยจุกอกหายใจไม่ออก เป็นลมหมดสติคาที่

 

เฟิ่งจิ่วมานึกเหตุการณ์ตัวอย่างนี้ออกในสามวันให้หลัง เวลานั้นนางกำลังนั่งอยู่ในตำหนักชิ่งอวิ๋น มองดูว่ากูกูของนางอบรมสั่งสอนบุตรชายอย่างไร

ผู้ที่พำนักในตำหนักชิ่งอวิ๋นคือแก้วตาดวงใจของป๋ายเฉี่ยนกับเยี่ยหัว...เทียนซุนน้อยอาหลีที่ผู้คนต่างเรียกขานกันว่าก้อนแป้งข้าวเหนียว

เทียนซุนน้อยในชุดสีเหลืองสดนั่งอยู่ตรงหน้าท่านแม่ของตนนี่เอง ได้เห็นพวกผู้ใหญ่นั่งเก้าอี้ต่างสามารถสองเท้าแตะถึงพื้นอย่างมั่นคง ส่วนเขากลับได้แต่ห้อยเท้าอยู่กลางอากาศ จึงรวบรวมกำลังหมายจะยืดเท้าให้ถึงพื้น แต่เพราะตัวเล็กเกินไป เก้าอี้ก็สูงเกินไป แยกเขี้ยวพยายามอยู่เป็นนาน กระทั่งปลายเท้าก็ยังแตะไม่ถึง จึงเลิกล้มอย่างเจ็บใจ และก้มศีรษะเล็กๆ ในอาการคอตกอย่างท้อแท้ ฟังท่านแม่ของตนเทศนา

ป๋ายเฉี่ยนทำหน้าเคร่งขรึมจริงจัง กล่าวอย่างห่วงใยจริงใจ

“เหนียงชินได้ยินว่าฟู่จวินของเจ้าอายุสิบกว่าขวบก็ท่อง《大萨遮尼乾子所说经》ได้แล้ว ทั้งยังท่อง《胜思惟梵天所问经》กับ《底哩三味耶不动尊威怒王使者念诵法》ได้ด้วย แต่ไฉนจึงตามใจเจ้าจนกลายเป็นอย่างนี้ อายุตั้งห้าร้อยกว่าขวบแล้ว กระทั่ง《慧琳音义》ก็ยังท่องไม่ได้ แน่นอน...ท่องไม่ได้ก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ยังไงเจ้าก็ห้ามทำให้เหนียงชินกับฟู่จวินเสียหน้าสิ”

ก้อนแป้งข้าวเหนียวทำแก้มป่องเถียงกลับอย่างมีเหตุผลยิ่ง

“อาหลีก็ไม่อยากเหมือนกันนะ แต่สติปัญญาของอาหลีสืบทอดจากเหนียงชินไม่ใช่ฟู่จวินนี่นา!”

เฟิ่งจิ่วพ่นน้ำชาพรวดออกมา ป๋ายเฉี่ยนหรี่ตามองหลานสาวอย่างแฝงนัย เฟิ่งจิ่วพยายามกลั้นหัวเราะอย่างยากเย็นพลางรีบโบกมืออธิบายเป็นพัลวัน

“ไม่ได้มีความหมายอื่นดอก พักนี้ระบบย่อยอาหารไม่ค่อยดีน่ะ พวกท่านพูดกันต่อเถิด...พูดกันต่อเถิด”

ครั้นป๋ายเฉี่ยนเบนสายตามาคิดบัญชีกับก้อนแป้งข้าวเหนียว ไม่ทราบอย่างไร เฟิ่งจิ่วพลันนึกขึ้นได้กะทันหันถึงเรื่องเล่าขานที่ตงหัวทำให้นายน้อยเผามารโมโหจนเป็นลมไป หญิงสาวประคองถ้วยชาดื่มน้ำชาอีกหนึ่งคำ ดวงตาทอประกายยิ้มละไมอย่างลืมตัว ก้มหน้าลงดูชุดขาวที่สวมอยู่ รอยยิ้มจางลง ยกมือขึ้นปัดเส้นผมเส้นหนึ่งที่ร่วงลงบนแขนเสื้อ

ความทุกข์ในชีวิตมีมากมายสุดคณานับเหมือนเส้นผมบนศีรษะ หากไปเก็บมาใส่ใจเสียทุกเรื่องก็มิใช่วิสัยของนาง หญิงสาวย้อนคิดไปเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย นับดูแล้วเวลาดุจวารีผ่านพ้นมาได้สองพันเจ็ดร้อยปี ระหว่างนี้เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นมากมายเกินไป หลายเรื่องจำได้ หลายเรื่องที่เมื่อก่อนจำได้ กลับไม่ค่อยยินยอมไปนึกถึง ไปๆ มาๆ เช่นนี้ เรื่องที่จำได้ก็เปลี่ยนเป็นจำไม่ได้ไปโดยปริยาย สองร้อยกว่าปีที่ปลีกตัวจากโลกอยู่ชิงชิวไม่อาจนับได้ว่าเงียบสงบอะไร แต่ในช่วงเวลาสองร้อยปีนี้กลับน้อยนักจะคิดถึงตงหัวอีก มาถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้า กลับพบเจอกันบ่อยครั้ง ดูท่าทางตงหัวจะจำนางไม่ได้ นางรู้สึกอย่างจริงใจว่าเช่นนี้แหละดีแล้ว นางกับตงหัว เป็นเช่นพุทธวจนะประโยคนั้น พูดไม่ได้...พูดมากคือความผิด...กล่าวมากคือด่านกรรม

 

 

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของงานมหาพิธีพันบุปผชาติซึ่งเหลียนซ่งจวินลงมือดำเนินการจัดงานด้วยตัวเอง ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ก็คือวันที่พันบุปผาบานสะพรั่งแย่งชิงตำแหน่งราชินีบุปผากันอย่างถึงพริกถึงขิงที่สุดนั่นเอง เล่าลือกันว่าเหล่าพระพุทธเจ้าโบราณแห่งสวรรค์ประจิมก็เร่งเดินทางนับพันหลี่มาร่วมในงานเลี้ยงนี้เช่นกัน พร้อมนำพายอดมาลีพิสดารจากเขาคิชฌกูฏซึ่งปกติยากยิ่งจะได้ยลสักครั้งมาด้วยจำนวนหนึ่ง ระยะนี้สวรรค์เก้าชั้นฟ้าจึงผู้คนล้นหลาม เทพเซียนที่มียศมีขั้นล้วนแต่แห่กันไปร่วมงาน

 

เฟิ่งจิ่วมิได้กระตือรือร้นสนใจพวกดอกไม้ใบหญ้าสักเท่าไรมาแต่ไหนแต่ไร ที่บังเอิญคือเพื่อเป็นการฉลองอวยพรการอภิเษกสมรสของไท่จื่อแห่งเผ่าสวรรค์ บรรพตเซียนแห่งใดสักแห่งในพิภพเบื้องล่างได้ถวายนักร้องนางรำที่แสดงงิ้วเป็นหลายนางขึ้นมาให้เป็นการเฉพาะเมื่อไม่กี่วันก่อน เวลานี้หมีกู่กำลังนำนักร้องนางรำเหล่านี้ แสดงงิ้วฉากแม่ทัพ-หญิงงามที่แท่นแบกฟ้า[12]แห่งสวรรค์ชั้นเจ็ดพอดี

เฟิ่งจิ่วถือเมล็ดแตงหนึ่งห่อ หิ้ว “ขวดถ่วงน้ำมัน” หนึ่งขวด ก้าวข้ามประตูสวรรค์ชั้นเจ็ดไปดูงิ้ว

ขวดถ่วงน้ำมันขาวผ่องอ่อนเยาว์ ก็คือเปี่ยวตี้เพียงผู้เดียวของนาง...ก้อนแป้งข้าวเหนียวอาหลีนั่นเอง

 

ประตูสวรรค์ชั้นเจ็ดสูงลิบ ใต้ร่มเงาเข้มทึบพาดลงบัง มหาเทพตงหัวผู้โผล่หน้าแค่แวบเดียวในงานมหาพิธีพันบุปผชาติแล้วจรลากำลังนั่งต้มชาอ่านหนังสือเพียงลำพังที่เบื้องหน้าคันฉ่องกาลพิสดาร[13]

คันฉ่องกาลพิสดารคือหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสวรรค์ชั้นเจ็ด เรียกขานว่า “คันฉ่อง” แท้จริงแล้วคือน้ำตกแห่งหนึ่ง สามพันมหาสหัสภพมีโลกมนุษย์พันกว่าล้านใบ หากว่ามีพลังฤทธิ์มากพอ จะสามารถมองเห็นการหมุนเวียนสับเปลี่ยนรุ่งเรืองและร่วงโรยของโลกมนุษย์โลกใดโลกหนึ่งในพันกว่าล้านโลกจากบนคันฉ่องได้

 

เนื่องจากปราณทิพย์ของน้ำตกเข้มข้นเกินไป เทพเซียนธรรมดาไม่มีสักกี่คนทนรับได้ไหว กระทั่งเจินหวงไม่กี่ท่านนั้นรั้งอยู่นานเข้ายังต้องเวียนศีรษะ ด้วยเหตุนี้หลายปีมานี้ ผู้ซึ่งใช้สถานที่นี้เป็นที่พักผ่อน อ่านหนังสือ ตกปลา จึงมีตงหัวเพียงคนเดียว

เฟิ่งจิ่วพาก้อนแป้งข้าวเหนียวเดินผ่านประตูสวรรค์ชั้นเจ็ด กำชับก้อนแป้งว่า

“เข้ามาชิดทางนี้หน่อย อย่าเข้าไปใกล้ด้านคันฉ่องกาลพิสดารมากเกินไป ระวังจะถูกปราณทิพย์ลวกทำร้ายเอา”

ก้อนแป้งข้าวเหนียวเขยิบเข้ามาเล็กน้อยอย่างว่าง่ายพลางเตะก้อนหินบ่นกระปอดกระแปดอย่างโมโห

“ฟู่จวินแย่ที่สุดเลย ข้าจำได้ชัดๆ ว่าเมื่อคืนนี้ข้านอนที่ตำหนักฉางเซิงของเหนียงชิน เช้านี้ตื่นมากลับอยู่ที่ตำหนักชิ่งอวิ๋นของข้า ฟู่จวินโกหกข้าว่า ข้าละเมอเดิกลับไปเอง” แล้วแบสองมือทำท่าจนใจ “เขาคิดจะยึดครองเหนียงชินไว้คนเดียวเลยฉวยโอกาสที่ข้าหลับอุ้มข้ากลับไปชัดๆ ถึงกับโกหกกระทั่งลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง ช่างไม่เลือกวิธีการแท้ๆ”

เฟิ่วจิ่วโยนห่อเมล็ดแตงในมือ “อย่างนั้นเมื่อเจ้าตื่นแล้วไม่ได้แล่นไปที่ตำหนักฉางเซิงข่วนประตูร้องไห้โฮให้พวกเขาดูในทันทีดอกหรือ? เจ้าสะเพร่าเกินไปแล้ว”

ก้อนแป้งข้าวเหนียวตกใจอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินมาว่ามีแต่ผู้หญิงที่จะหนึ่งร้องไห้สองอาละวาดสามผูกคอตาย” ตะกุกตะกักว่า “ท...ที่แท้เด็กผู้ชายก็ทำได้ด้วยหรือ?”

เฟิ่วจิ่วรับห่อเมล็ดแตงที่ตกลงมาจากกลางอากาศไว้ มองดูก้อนแป้ง กล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ได้สิ พ่อหนุ่มน้อย นี่คือยอดศาสตราที่ทั่วทั้งแดนเทพเซียนใช้ร่วมกันเทียวละ”

ตงหัวเอามือเท้าคางมองดูสองเงาร่างที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ ที่กางอยู่ข้างมือคือหนังสืออ่านเล่น บนคันฉ่องกาลพิสดารวาตะเมฆาเปลี่ยนสี การศึกรบพุ่งกันดุเดือด ได้แสดงฉากความรุ่งเรืองและร่วงโรยจบสิ้นไปหนึ่งยุค น้ำชาบนโต๊ะหินก็เปล่งเสียงเดือดปุดๆ ดังขึ้นเช่นกัน

 

จากประตูสวรรค์ชั้นเจ็ดถึงแท่นแบกฟ้าที่จัดแสดงงิ้ว มีช่วงระยะทางยาวเหยียดที่ต้องเดินจริงแท้

ครั้นเดินไปถึงภูเขาจำลองแห่งหนึ่ง ก้อนแป้งก็ร้องโวยวายขอพักเท้า ทั้งสองเพิ่งจะนั่งลงเรียบร้อย ก็มองเห็นรัศมีสีเงินเจิดจ้าบาดนัยน์ตายิ่งสว่างวาบขึ้นที่กลางอากาศ ในรัศมีสีเงินมองเห็นรถม้าคันหนึ่งแล่นรี่รวดเร็วได้รำไร ล้อรถบดผ่านก้อนเมฆแตกกระเซ็น ปุยเมฆลอยกระจายดุจปุยฝ้าย กลิ่นดอกไม้ภูเขาหอมฟุ้งกรุ่นกำจายมาตามสายลม

ลักษณะแบบนี้ คือเทพเคารพคนใดสักคนของบรรพตเซียนในพิภพเบื้องล่างขึ้นสวรรค์มาร่วมงานมหาพิธีพันบุปผชาติเสียละมาก

 

รถม้าลับหายไม่เหลือแม้แต่เงาในอึดใจ เหมือนจะแล่นเข้าสู่สวรรค์ชั้นแปด ด้านหลังภูเขาจำลองพลันมีเสียงคนดังขึ้นกะทันหัน จากที่ฟังน่าจะเป็นนางกำนัลสองนางกำลังสนทนากัน

คนหนึ่งพูดว่า “ผู้ที่นั่งในรถม้าคันเมื่อกี้นั่นคือน้องสาวบุญธรรมของท่านมหาเทพตงหัว...องค์หญิงจือเฮ่อ[14]ใช่หรือไม่?”

อีกคนหนึ่งพูดเนิบช้า “ขบวนใหญ่โตปานนี้ คล้ายคลึงอยู่เหมือนกัน ม้าขาวผ่านช่อง ลองนับดูองค์หญิงท่านนี้ถูกลดตำแหน่งลงไปอยู่พิภพเบื้องล่างมาได้สามร้อยกว่าปีแล้วเทียว”

คนแรกพูดอีกว่า “จะว่าไป เหตุใดองค์หญิงจือเฮ่อจึงถูกเทียนจวินลดตำแหน่งเล่า ปีนั้นเจี่ยเจียทำงานที่สวรรค์ชั้นสิบสาม ได้ทราบเหตุผลกลในของเรื่องนี้หรือไม่?”

คนหลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ลดเสียงเบาลง “ไม่ทราบแน่ชัดนักเช่นกัน แต่ปีนั้นเป็นฤดูสารทที่มากเรื่องจริงแท้ กล่าวกันว่าองค์หญิงใหญ่ของเผ่ามารจะแต่งเข้าสู่วังไท่เฉินกง แต่เนื่องจากองค์หญิงจือเฮ่อมีใจรักต่อท่านมหาเทพตงหัว จึงทำการขัดขวาง สุดท้ายตบแต่งไม่สำเร็จ หลังจากที่เทียนจวินทราบเรื่องนี้เข้าก็กริ้วหนัก ลดตำแหน่งองค์หญิงผู้นี้ย้ายลงไปยังพิภพเบื้องล่าง”

คนแรกตะลึงพรึงเพริด “ท่านบอกว่า แต่งเข้าสู่วังไท่เฉินกง? แต่งให้กับตี้จวิน? เหตุไฉนบนสวรรค์จึงไม่มีข่าวเล่าลือเรื่องนี้เลยเล่า? ตี้จวินมิใช่ว่าตลอดมาล้วนไม่เคยแตะต้องเรื่องที่ย้อมกลิ่นอายทางโลกเหล่านี้ดอกหรือ?”

คนหลังพูดเนิบๆ “เผ่ามารจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับเผ่าเทพ ทอดตามองทั่วทั้งเผ่าสวรรค์ นอกจากเหลียนซ่งจวินแล้ว ก็มีเพียงตี้จวินผู้เดียวเท่านั้น เรื่องในราชสำนักเหล่านี้ แต่เดิมก็มิใช่เจ้าและข้าจะพึงสอดปากได้อยู่แล้ว อีกประการคือตี้จวินไม่ใคร่สนใจเรื่องราวอื่นใดนอกเหนือจากวิถีสวรรค์มาแต่ไหนแต่ไร บางทีท่านอาจไม่รู้สึกว่าการแต่งตี้โฮ่วสักนางจะกระไรนักก็เป็นได้”

คนแรกทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่ง กลับยังไม่สมอยาก จึงเปลี่ยนเรื่องสนทนาพูดต่อว่า

“จริงสิ ข้าจำได้ว่าครั้งที่มีวาสนาได้พบตี้จวินสามร้อยปีก่อน ข้างกายของท่านมีจิ้งจอกภูตตัวน้อยสีแดงดุจเปลวเพลิงติดตามอยู่ตัวหนึ่ง ได้ยินเหล่าเซียนในวังไท่เฉินกงหลายคนกล่าวถึงว่า ตี้จวินปฏิบัติต่อจิ้งจอกภูตน้อยตัวนี้แตกต่างออกไป จะไปที่ใดล้วนพาไปด้วยเสมอ แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนตอนรับใช้ในงานอภิเษกสมรสของไท่จื่อได้พบตี้จวินอีกครั้ง กลับมิได้เห็นจิ้งจอกภูตน้อยตัวนั้น ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดอีกเล่า?”

คนหลังนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ถอนหายใจพูดว่า “จิ้งจอกภูตตัวนั้น ได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากตี้จวินจริงๆ แต่ทว่าในช่วงที่วังไท่เฉินกงเล่าลือกันทั่วว่าตี้จวินจะอภิเษกตี้โฮ่ว จิ้งจอกภูตตัวนั้นก็สาบสูญร่องรอยไป ตี้จวินเคยส่งคนออกเสาะหาไปทั่วในสวรรค์ทั้งสามสิบหกชั้น สุดท้ายก็หาไม่พบ”

เฟิ่งจิ่วแนบกับหลังภูเขาจำลอง โยนห่อกระดาษน้ำมันใส่เมล็ดแตงขึ้นไปแล้วรับไว้ โยนขึ้นแล้วรับไว้ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ รอบสุดท้ายออกแรงมากเกินไป โยนไปเสียไกล ห่อกระดาษน้ำมันตกลงไปในสระบัวเล็กๆ ริมภูเขาจำลองดัง “ตุ๋ม” นางกำนัลทั้งสองสะดุ้ง หลังเสียงฝีเท้าดังสับสนอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ ไร้เสียงผู้คน น่าจะวิ่งหนีไปไกลแล้ว

ก้อนแป้งข่มกลั้นอยู่นานจนหน้าน้อยๆ แดงก่ำ มองดูสระบัวที่ยังคงมีระลอกกระเพื่อมไหว พูดเสียงเครือว่า

“อีกประเดี๋ยวตอนดูงิ้วจะกินอะไรเล่า?”

เฟิ่งจิ่วลุกขึ้นยืนจัดชายกระโปรง ทำท่าจะจากไป ก้อนแป้งก้มหน้าลงอย่างนึกเคืองหน่อยๆ

“ทำไมบนสวรรค์มีจิ้งจอกภูตอยู่ตัวหนึ่ง ข้ากลับไม่รู้เลย” แล้วพึมพำกับตัวเองอย่างสงสัย “ตอนหลังจิ้งจอกภูตตัวนั้นไปไหนแล้วหนอ?”

เฟิ่งจิ่วชะงักเท้าหยุดรอ

แสงอรุณเผยรัศมีสีทองรำไร ณ สุดปลายของสวรรค์ชั้นเจ็ด ประหนึ่งขีดวาดเส้นกรอบสีทองให้แก่ทั่วทิวทัศน์ตระการของสวรรค์ชั้นเจ็ด

เฟิ่งจิ่วยกมือขึ้นป้องเหนือคิ้ว เงยหน้าทอดมองแสงสีทองอันบาดนัยน์ตานั้น

“คงจะกลับบ้านไปแล้วกระมัง” แล้วหันกลับมาถลึงจ้องก้อนแป้ง “นี่แน่ะ ขาสั้นๆ นี้ของเจ้าวิ่งให้เร็วสักหน่อยได้หรือเปล่า?”

ก้อนแป้งเมินหน้าหนีไปอีกทางอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ได้!”

 

จวบจนเพียงเหลือบตาขึ้นก็สามารถมองเห็นแท่นแบกฟ้า เฟิ่งจิ่วค่อยพบว่า แสงทอง ณ ขอบฟ้าเมื่อครู่ก่อนหาใช่แสงอรุโณทัยที่ดาวเทพสุริยอรุณปูลงมา

หญิงสาวยืนห่างจากแท่นแบกฟ้าออกไปสิบจ้าง ตะลึงพรึงเพริดอย่างแท้จริง

ที่ตำแหน่งห่างเพียงแค่เอื้อม แท่นสูงร้อยจ้างซึ่งสกัดจากหยกเย็นพันปีไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงจมอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงจนหมดสิ้น หากมิใช่เพราะบนแท่นนั้น หมีกู่ร่ายเขตแดนพยายามยันไว้อย่างสุดกำลัง เปลวไฟอันร้อนแรงคงกลืนกินบรรดานักร้องนางรำที่ต่างตัวสั่นงันงกบนแท่นจนหมดสิ้นเสียนานแล้ว รถม้าที่น่าตื่นตะลึงคันเมื่อครู่นี้ก็จอดอยู่เบื้องหน้าทะเลเพลิงเช่นกัน รอบด้านของรถม้ามีเขตแดนหนาเตอะ ภายในเขตแดนคือองค์หญิงจือเฮ่อผู้จากลากันมาได้สามร้อยกว่าปีนั่นเอง หมีกู่เหมือนกำลังตะโกนอะไรบางอย่างกับองค์หญิงจือเฮ่อ มือของนางกุมตะเกียบรถ[15]ไว้แน่น ใบหน้าที่เมินหนีนิดๆ ดูจะทำอะไรไม่ถูก

เสียงร้องคำรามกึกก้องพลันดังขึ้นกะทันหันที่ด้านหลังทะเลเพลิง

เฟิ่งจิ่วหรี่ตาลง ในที่สุดก็ได้ทราบที่มาของเหตุเพลิงไหม้นี้ สัตว์ร้ายอัคคีแดง[16]ตนหนึ่งกำลังกระพือสองปีกหลุดออกมาจากทะเลเพลิง อ้าปากกว้างสีแดงฉาน เปลวไฟร้อนแรงถูกพ่นออกจากปากแทบจะตลอดเวลา หลังจากบินวนอยู่ครู่หนึ่งก็ถลึงดวงตาดุจกระพรวนทองเหลืองพุ่งกลับเข้าไปในทะเลเพลิงอีกครั้ง ชนกระแทกใส่เขตแดนของหมีกู่เต็มแรง เขตแดนโปร่งใสนั้นเริ่มปรากฏรอยร้าว เบื้องหลังทะเลเพลิงชั้นแล้วชั้นเล่า เหล่านักร้องนางรำต่างมีสีหน้าตื่นตระหนกหวาดผวา คาดว่าคงต้องมีเสียงกรีดร้องคร่ำครวญด้วยเป็นแน่ เพียงแต่เนื่องจากคั่นด้วยปราการเซียน จึงไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย ดูประดุจละครเงียบฉากหนึ่ง ยิ่งชวนให้รู้สึกประหลาดมีเลศนัย

 

จือเฮ่อขึ้นสวรรค์มาในครั้งนี้ แรงจูงใจชัดเจนมิใช่น้อย โดยเปิดเผยคือมาร่วมงานมหาพิธีพันบุปผชาติของเหลียนซ่งจวิน โดยเบื้องลับกลับเป็นต้องการจะลอบพบมหาเทพตงหัวพี่ชายบุญธรรมของนาง โอกาสในการหวนคืนสู่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าครั้งนี้ ล้วนอาศัยเมื่อไม่กี่วันก่อนนางมุ่งสนองความชอบของป๋ายเฉี่ยนซ่างเสิน เลือกเฟ้นนักร้องนางรำที่แสดงงิ้วเป็นหลายนางในบรรพตเซียนของตนถวายขึ้นมาทั้งสิ้น และด้วยเหตุผลประการนี้ นางจึงตั้งใจแวะมาดูสักหน่อยว่านักร้องนางรำเหล่านี้ปรนนิบัติรับใช้ป๋ายเฉี่ยนได้ดีหรือไม่

แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงโชคร้ายปานนี้ ไม่ทราบว่าใครไปแตะต้องผนึกที่ใช้ผนึกสัตว์ร้ายอัคคีแดงใต้แท่นแบกฟ้าเข้าให้ เมื่อนางเร่งขับรถม้ามาถึง ก็ได้พบกับเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งใหญ่นี้พอดี

ความจริงแล้วนางนับได้ว่าเป็นเทพวารี สมัยก่อนตอนที่ยังพำนักอยู่ในวังไท่เฉินกง นับเนื่องอย่างจริงจังคือทำงานใต้สังกัดของเทพสมุทรสี่ทะเลเหลียนซ่งจวิน ช่วยงานเรื่องจัดเมฆบันดาลฝนของแดนประจิม เป็นเทพเซียนหญิงที่มีประโยชน์ผู้หนึ่งซึ่งหาได้ยากยิ่งบนสวรรค์ แม้จะถูกลดตำแหน่งย้ายลงไปอยู่ยังพิภพเบื้องล่าง นางก็ยังรับหน้าที่บันดาลฝนของบรรพตเซียนที่นางประจำอยู่

นางเองก็ทราบดีเช่นกัน ด้วยความสามารถในการบันดาลฝนอันอ่อนด้อยน้อยนิดนั้นของนาง มิใช่คู่ต่อกรของสัตว์ร้ายตรงหน้าตนนี้โดยสิ้นเชิง นางคิดจะไปหาใครสักคนมาช่วย แต่เทพเซียนบุรุษชุดสีน้ำตาลภายในเขตแดนคนนั้นดูเหมือนจะกำลังตะโกนบอกอะไรบางอย่างกับนาง ดูเหมือนเขาจะมีวิธี แต่เขาตะโกนว่าอะไร นางไม่ได้ยินเลยสักนิด

 

ระหว่างที่ลังเล เงาร่างสีขาวพลันพุ่งวาบมาถึงเบื้องหน้านาง ที่กลางอากาศรองเท้าปักลายสีขาวสะกิดคลื่นอากาศเบาๆ ผืนแพรตรงข้อพับแขนถูกลมร้อนหอบพัดขึ้น ประดุจดอกบัวขาวผลิบานรับสายลม

นางมองดูรองเท้าปักลายคู่นั้น สายตาไล่ตามกระโปรงแพรที่พลิ้วไสวขยับทวนขึ้นไปทีละชุ่นๆ ก่อนจะร้องอุทานออกมาดัง “เอ๊ะ”

ในความทรงจำก็มีใบหน้าแบบนี้เช่นกัน ริมฝีปากบางเฉียบ จมูกโด่งตรง ดวงตาดั่งเมล็ดซิ่ง คิ้วเรียวยาว เพียงแต่บนหน้าผากปราศจากดอกเฟิ่งอวี่อันงดงามเยือกเย็นนั่นเท่านั้น

แต่บุคคลในความทรงจำของนางผู้นั้นเป็นแค่นางกำนัลชั้นต่ำสุดของวังไท่เฉินกง ยามนั้นนางไม่รู้ความ มิใช่ว่าไม่เคยริษยาเคียดแค้นที่นางกำนัลผู้หนึ่งหาญกล้ามีใบหน้างามล่มเมืองปานนี้ และกลัวเพียงว่ากระทั่งตงหัวได้เห็นเข้ายังต้องพลอยหลงใหล จึงพยายามสารพัดขัดขวางโอกาสที่นางกำนัลผู้นั้นจะได้พบตงหัว ทั้งยังเคยลอบสร้างความลำบากให้แก่นางกำนัลผู้นั้นมิใช่น้อย มีอยู่ 2-3 ครั้งยังเป็นความลำบากซึ่งหนักหนาสาหัสยิ่งอีกด้วย

นางทั้งตระหนกและกังขา “เจ้าคือ...”

อีกฝ่ายชิงเอ่ยปากขึ้นก่อนนาง น้ำเสียงเย็นชายิ่ง

“ในเมื่อเป็นเทพวารี ได้พบเหตุเพลิงไหม้เช่นนี้ไฉนจึงไม่เซ่นวิชาบันดาลฝนของเจ้าออกมา? เผ่าสวรรค์แต่งตั้งเจ้าเป็นเทพวารีด้วยความสามารถใด? เพื่อกระทำกิจใด?”

จบคำมิได้รอให้นางเอ่ยปากเถียงกลับ ได้ชักตี๋[17]ยาวที่ข้างเอวออกมา หันกายพุ่งตรงเข้าสู่ทะเลเพลิง

 

หลายปีมานี้ มีสองเรื่องที่เฟิ่งจิ่วกระทำอย่างมีจรรยาบรรณที่สุด หนึ่งคือทำอาหาร อีกหนึ่งคือวิวาทต่อสู้ ปลีกตัวจากโลกอยู่ที่ชิงชิวมาสองร้อยกว่าปีไม่มีเรื่องวิวาทต่อยตีให้ลงไม้ลงมือ นางเองก็เหงานิดๆ เช่นกัน พลันได้เห็นสัตว์ร้ายอัคคีแดงก่อเรื่องขึ้นที่นี่ หากบอกว่าตัวนางไม่ตื่นเต้นยินดีนั่นคือโกหก

ท่ามกลางทะเลเพลิง ผืนแพรขาวพลิ้วไสว เสียงตี๋ดังเจื้อยแจ้ว แท้จริงแล้วนั่นคือเสียงเพลงตี๋เรียกฝน

เสียงตี๋ทอดยาวอ้อยอิ่งกระหวัดรัดอัคคีแรงโรจน์พุ่งดิ่งขึ้นสู่ฟ้า ปลุกคงคาสวรรค์จากนิทรา สายน้ำอันเชี่ยวกรากจากคงคาสวรรค์ไหลทะลักลงมาจากสวรรค์ชั้นสามสิบหก เทกระหน่ำลงในบัดดล เปลวเพลิงที่ลุกโรจน์อ่อนแรงลงเล็กน้อย กลับกระตุ้นให้สัตว์ร้ายอัคคีแดงโกรธเกรี้ยวเดือดดาล เลิกหันปลายหอกเข้าหาเขตแดนที่หมีกู่สร้างขึ้น เปลวไฟแรงฤทธิ์จากในปากล้วนโจมตีเข้าใส่เฟิ่งจิ่ว

นี่คือแผนล่อเสือออกจากถ้ำของเฟิ่งจิ่วนั่นเอง หากมิใช่เพราะต้องการจะช่วยหมีกู่และบรรดานักร้องนางรำบนแท่นแบกฟ้า ด้วยอุปนิสัยของนางควรจะเป็นเซ่นกระบี่ถาวจู้[18]ออกมาตรงๆ จัดแจงเชือดสัตว์ร้ายตัวนี้ให้ปลิดปลงไปซะ แน่นอน...เนื่องจากฝ่ายนั้นเป็นสัตว์ร้ายที่ห้าวหาญดุดัน ช่วงเวลาในการเชือดให้ปลิดปลงย่อมต้องยาวนานอยู่บ้าง แต่ก็จะไม่ถึงกับตกเป็นฝ่ายต้านรับเหมือนเช่นในตอนนี้

เฟิ่งจิ่วคิดอย่างสลดหดหู่ใจว่า ตัวนางคนเดียวไม่สามารถแยกแสดงสองบทบาทได้ ทั้งเป่าตี๋เรียกฝน และเซ่นกระบี่เทพออกมาขจัดมาร จือเฮ่อนั้นฝากความหวังไม่ได้เสียแล้ว ได้แต่ฝากความหวังให้ขาสั้นๆ ทั้งคู่ของก้อนแป้งวิ่งเร็วหน่อย ไปพาบุพการีจะคนไหนก็ได้ของเขามาสักคนก็เป็นกองหนุนชั้นดีทั้งสิ้น

เฟิ่งจิ่วคิดในใจไปพลาง ขยับอย่างปราดเปรียวว่องไวหลบลูกไฟที่สัตว์ร้ายอัคคีแดงพ่นเข้าใส่ไปพลาง เป่าขลุ่ยขอฝนเช่นนี้ไม่สามารถใช้ปราณเซียนคุ้มกันร่างได้ นางถูกฝนอาบจนเปียกโชกตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ห่าฝนเทกระหน่ำ ในที่สุดทะเลเพลิงที่โอบล้อมแท่นแบกฟ้าก็ถูกสาดมอดเป็นช่องโหว่ขึ้นช่องหนึ่ง สัตว์ร้ายอัคคีแดงเพ่งสมาธิแต่กับตัวเฟิ่งจิ่ว จึงมิได้คาดคิดว่าพื้นที่ของตนที่ด้านหลังถูกปาดเป็นช่องโหว่ เหยื่อทั้งหลายหลบหนีออกไปทีละคนๆ เสียแล้ว

ปะทะคุมเชิงกันอยู่เช่นนี้กว่าครึ่งค่อนวัน เฟิ่งจิ่วรู้สึกว่าพละกำลังเริ่มจะร่อยหรอ ไม่ได้ต่อสู้เสียนมนาน พอลงมือดันสู้แพ้เสียนี่ แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด กลับชิงชิวแล้วจะไปอธิบายต่อพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงญาติมิตรอย่างไร หญิงสาวเห็นว่าถึงเวลาอันควรที่จะเก็บตี๋กลับเซ่นกระบี่ถาวจู้ออกมาได้แล้ว แต่ว่า...หากโจมตีจากด้านหน้าของมัน หมอนี่ต้องหลบได้เสียละมาก ถึงกระนั้น...หากโจมตีใส่จากด้านหลังของมัน เกิดมันหลบได้ ตัวนางเองดันหลบไม่ได้ถูกกระบี่แทงใส่ แล้วจะทำอย่างไรดี...

 

ขณะที่นางกำลังขบคิดใคร่ครวญปัญหาเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน แต่คิดหาคำตอบไม่ได้จนแล้วจนรอด ที่ด้านหลังปราณกระบี่อันแหลมคมพลันบรรลุถึงอย่างปุบปับ

สัตว์ร้ายอัคคีแดงซึ่งอยู่ด้านหน้าตรงพ่นเปลวไฟร้อนแรงเข้ามาใส่อีกครั้ง นางไม่ว่างห่วงพะวงเรื่องอื่น ขณะจะขยับหลบ ไม่ทราบมือของใครพานางขยับตามเบาๆ

ปราณกระบี่นั้นเฉียดผ่านแขนเสื้อนาง แกร่งกล้าเสียจนปรากฏเป็นรูปร่าง ดูประดุจกำแพงกระจกสูงใหญ่บานหนึ่ง กดสกัดเปลวไฟมหึมาที่แลบเลียเข้าใส่นางไว้อย่างดุดัน หลังแสงสีเงินจางหาย เปลวไฟโชติช่วงที่เมื่อครู่ยังคงแยกเขี้ยวกางเล็บ ได้ย้อนกลับไปกลืนกินสัตว์ร้ายอัคคีแดงเสียแล้ว

ขณะที่กำลังตกตะลึง ชุดคลุมสีม่วงตัวหนึ่งได้คลุมลงใส่ศีรษะ เฟิ่งจิ่วดิ้นรนโผล่หน้าออกมาจากเสื้อคลุมแห้งผืนนี้ ได้เห็นเงาหลังที่ถือกระบี่ของชายหนุ่ม ชุดม่วงตลอดร่างสูงศักดิ์สง่างาม เรือนผมสีเงินขาวพร่างสุกสว่างดั่งหิมะที่จับตัวแข็ง ณ ชิงชิว

มือเรียวยาวได้รูปคู่นั้น ยามอยู่ในวังไท่เฉินกงจะกุมคัมภีร์เต๋า พระไตรปิฎก ยามอยู่นอกวังไท่เฉินกงจะกุมกระบี่เทพชางเหอ[19] ไม่ว่าจะกุมอะไร ล้วนเข้ากันยิ่ง

 

บนแท่นแบกฟ้ามรสุมโลหิตปกคลุมไปชั่วขณะ ด้านหลังแสงสีเงินมองเห็นไม่ชัดเจนว่าตงหัวเคลื่อนไหวอย่างไร เสียงแผดร้องโหยหวนของสัตว์ร้ายอัคคีแดงดังไปถึงสุดขอบฟ้า เพียง 1-2 กระบวนท่าเท่านั้น สัตว์ร้ายอัคคีแดงก็ร่วงตกลงมาจากกลางอากาศหนักๆ กระแทกสะเทือนจนแท่นแบกฟ้าส่ายไหวอยู่พักใหญ่

ตงหัวเก็บกระบี่คืนฝัก บนร่างไม่แปดเปื้อนหยดเลือดแม้สักหยด

องค์หญิงจือเฮ่อยังคงเอนพิงรถม้า สีหน้าขาวเผือด ราวกับคิดจะเข้าไปใกล้ แต่ก็นึกขลาด

บรรดานักร้องนางรำทั้งหลายไหนเลยเคยพบเห็นเหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ หลังจากผ่านเหตุเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ แต่ละนางต่างยังไม่หายขวัญหนีดีฝ่อ ยิ่งมีบางนางที่อาการหนักเริ่มต้นร้องไห้กระซิกเบาๆ

หมีกู่ปรนนิบัติเฟิ่งจิ่วนั่งลงบนเก้าอี้หินด้านล่างแบกฟ้าให้หายตกใจ ทั้งยังไม่ลืมที่จะเทศนาอบรมตามหน้าที่บ่าวรับใช้ผู้ภักดี

“ท่านทำแบบนี้มุทะลุเกินไปแล้ว วันนี้หากไม่ใช่เพราะตี้จวินมาถึงทันกาล ไม่ทราบผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร หากท่านเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ข้ายินดีตายหมื่นครั้ง แต่จะให้ข้าอธิบายต่อกูกูของท่านว่าอย่างไร”

เฟิ่งจิ่วอุบอิบเบาๆ “ก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยไม่ใช่หรือ?”

แม้ในใจนางจะนึกขอบคุณตงหัวอย่างมากเช่นกัน แต่ก็เห็นว่าหากวันนี้ตงหัวไม่มา กูฟู่[20]กับกูกูของนางก็ควรจะมาได้แล้ว ไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไรนักหรอก ถึงอย่างไรนางก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแน่ เหลือบตาขึ้นเห็นตงหัวถือกระบี่เดินมาหา คิดว่าเขาคงจะไปหาจือเฮ่อ จึงลุกขึ้นไปที่ตรงโต๊ะข้างๆ เป็นการหลีกทาง ครั้นเห็นบนร่างยังคงพาดเสื้อคลุมของเขา ก็ชะโงกหน้าไปกระซิบถามหมีกู่

“ถอดเสื้อตัวนอกของเจ้าออกมา ให้ข้ายืมสวมสักพัก”

หมีกู่จามออกมา มองดูเสื้อคลุมสีม่วงบนตัวนาง “บนตัวเจ้ามิใช่มีเสื้อแห้งอยู่แล้วหรือ?” ชะงักงัน ค่อยพูดต่อว่า “บางเรื่องนั้นผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถิด ข้าดูว่าสองร้อยกว่าปีมานี้ เจ้าเองก็มิได้ติดขัดข้องใจอะไรสักเท่าไหร่แล้ว ไยต้องมาจุกจิกคิดมากในเวลาเช่นนี้อีกเล่า?” พูดพลางรวบชายเสื้อที่สวมอยู่เข้าหากันแน่น แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่คิดจะให้นางยืม

เฟิ่งจิ่วถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่แห้งสบายออกแล้ว กำลังก้มหน้าก้มตาพับให้เรียบร้อยเตระเตรียมคืนให้เจ้าของเดิม

ครั้นเงยหน้าขึ้น ก็ตกใจจนผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าว

ตงหัวได้มาถึงตรงหน้านาง มือถือกระบี่ชางเหอ สายตาเรียบเฉย มองดูนางอยู่เช่นนี้

นางเปียกน้ำโชกไปทั้งตัว ยังมีหยดน้ำหยดโตๆ หยาดลงจากชายกระโปรงไม่ขาดสาย เพียงไม่นานก็รวมตัวเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ อยู่ที่เท้า ใบหน้าท่าทีทุลักทุเลยิ่ง นางน้ำหยดติ๋งไปพลาง จ้องมองกลับอย่างเฉยสนิทไปพลาง ด้านบุคลิกพอจะฝืนใจสู้เสมอกัน ในใจนางกลับสับสนอลหม่าน นางเห็นว่า หลังจากผ่านเหตุการณ์ชวนสะดุ้งครั้งนั้นเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ได้พบกับเขาโดยบังเอิญ ความจริงแล้วพักนี้นางยังทำใจไม่ค่อยจะได้เลย ยังหาตำแหน่งที่แน่นอนของตนไม่ใคร่พบ ควรปฏิบัติต่อตงหัวอย่างไร ยังคงไม่ทราบดีนัก เพื่อหลีกเลี่ยงการพลั้งพลาดจนเกิดเรื่องไม่คาดคิดใด ระยะนี้ยังคงหลบหน้าเขาก่อนจะดีกว่า กระนั้นไม่ทราบว่านับแต่นางมีเจตนาจะหลบหน้า ไฉนจึงได้เจอเขาอยู่เรื่อยสิน่า

 

ตงหัวพินิจมองนางตั้งแต่บนจดล่าง สายตาจับอยู่ที่เสื้อคลุมสีม่วงของเขาซึ่งนางพับไว้อย่างเรียบร้อย เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท

“เจ้ามีปัญหาใดกับเสื้อนอกของข้ารึ?”

เฟิ่งจิ่วพิจารณาเห็นว่าเขากับนางยืนใกล้กันเกินไป กลิ่นไม้จันทน์ขาวรวยรินนั่นรบกวนจนนางเวียนศีรษะ จึงถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพิ่มระยะห่างเล็กน้อยเสียเลย ขบคิดพลางยิ้มแข็งทื่อกล่าวตอบว่า

“ไหนเลยจะกล้า เพียงแต่หากครั้งนี้ยืมไปแล้ว ยังต้องซักเสื้อคลุมให้สะอาดนำมาคืนให้ตี้จวิน...ไยมิใช่จำเป็นต้องพบกันอีกครั้ง...ไม่สิ...จำเป็นต้องรบกวนตี้จวินอีกครั้ง” คาดคะเนสีหน้าของชายหนุ่ม แล้วพูดเสริมอย่างทราบสถานการณ์ “กลัวอย่างยิ่งว่าจะรบกวนความสงบของตี้จวิน”

กระบี่ชางเหอวางลงบนโต๊ะหินดัง “เผียะ”

หมีกู่กระแอมหนึ่งที เอามือซุกในแขนเสื้อพูดว่า

“ตี้จวินอย่าได้เข้าใจผิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเฟิ่งจิ่วมิใช่ไม่ต้องการพบตี้จวิน ตี้จวินสูงศักดิ์ออกปานนี้ ฝ่าบาทเฟิ่งจิ่วอยากจะพบตี้จวินทุกวันใจแทบขาด...” กำลังพูดอยู่ดีๆ ก็ถูกเฟิ่งจิ่วเหยียบเท้าเข้าให้ ทั้งยังบดขยี้โดยไม่แสดงออกทางสีหน้า ทำเอาหมีกู่เจ็บจนสะกดกลั้นถ้อยคำที่เหลือกลับลงไปจนหมดสิ้น

ตงหัวปรายตามองเฟิ่งจิ่ว กล่าวอย่างเข้าใจความนัย

“เมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็ยกให้เจ้าเป็นที่ระลึก ไม่ต้องคืนแล้ว”

รอยยิ้มของเฟิ่งจิ่วที่เดิมทีแข็งทื่ออย่างมากอยู่แล้วแข็งค้างสนิทโดยสิ้นเชิงอยู่บนใบหน้า

“...ไม่ได้มีเจตนานี้”

ตงหัวนั่งลงอย่างไม่รีบไม่ร้อน “อย่างนั้นก็ซักให้สะอาด คืนให้ข้า”

เฟิ่งจิ่วรู้สึกเพียงรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง...แม้จะเป็นรอยยิ้มที่แข็งทื่อดุจก้อนน้ำแข็ง นางก็แทบจะพยุงก้อนน้ำแข็งนี้ไว้ไม่อยู่เสียแล้ว มุมปากกระตุกพูดว่า

“วันนี้อากาศอุ่นสบาย ข้ารู้สึกไม่ค่อยหนาวนัก” เดิมทีนางคิดจะบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ค่อยอยากจะยืมเสื้อตัวนี้แล้วได้หรือไม่” แต่เมื่อทบทวนในใจไปหนึ่งรอบ เห็นว่าน้ำคำออกจะแข็งกระด้างเกินไปบ้าง จึงหั่นแทรกจังหวะเว้นช่วงลงในถ้อยคำนี้ทันควัน กล่าวอย่างอ้อมค้อมเป็นที่สุดว่า “ไม่ยืมเสื้อคลุมตัวนี้แล้ว ได้หรือไม่เพคะ?” เพิ่งกล่าวจบคำลมหนาวก็พัดมาหอบหนึ่ง นางตัวสั่นยะเยือกทันที

ตงหัวรับน้ำชาที่หมีกู่ไม่ทราบชงมาจากที่ใด จิบไปหนึ่งคำอย่างไม่รีบไม่ร้อน เอ่ยว่า

“ไม่ได้”

ในที่สุดรอยยิ้มประดุจก้อนน้ำแข็งที่ฝืนอดทนต่อความอัปยศก็ร่วงตกลงไปจากใบหน้าของเฟิ่งจิ่ว ชั่วขณะนั้นนางไม่ทราบจะทำหน้าอย่างไรดี กล่าวอย่างตกตะลึง

“เพราะอะไร?”

ตงหัววางถ้วยชาลง เหลือบสายตาขึ้นเล็กน้อย

“ข้าช่วยชีวิตเจ้า บุญคุณเพียงหนึ่งหยดพึงสละตนทดแทน ซักเสื้อแค่ตัวเดียวจะกระไรนักรึ?”

เฟิ่งจิ่วรู้สึกว่าเมื่อก่อนเขาไม่ได้มีนิสัยยียวนเช่นนี้ แต่เมื่อคิดอีกที บางทีเขาอาจจะมีเวลาที่เป็นเช่นนี้เหมือนกันก็เป็นได้ เพียงแต่นางไม่เคยเห็นมาก่อน ยามตั้งสติได้ก็ได้ยินตัวเองหัวเราะฝืดๆ พูดว่า

“ไยตี้จวินต้องบังคับใจกันเล่า”

ตงหัวลูบถ้วยน้ำชา กล่าวตอบนางเสียงเนิบนาบ

“นอกจากสิ่งนี้ ข้าก็ไม่มีความชอบอะไรอย่างอื่นแล้ว”

ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นยิ้มแข็งทื่อหรือหัวเราะฝืดๆ เฟิ่งจิ่วต่างเค้นไม่ออกทั้งสิ้น กล่าวอย่างไม่ทราบจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“ตี้จวินทำเช่นนี้ช่าง...”

ตงหัววางถ้วยชาลง เท้าคางด้วยมือเดียว มองนางอย่างปลอดโปร่งเยือกเย็น

“ข้าทำไมรึ?”

เห็นเฟิ่งจิ่วสะอึกพูดไม่ออก ในดวงตาซึ่งปราศจากอารมณ์ได้เผยแววยิ้มจางๆ อย่างหาได้ยากยิ่ง ก่อนจะเอ่ยถามนางอย่างไม่ใส่ใจนัก

“บอกมาสิ เหตุใดจึงต้องช่วยพวกนาง?”

ความจริงแล้วเมื่อกี้นี้หญิงสาวไม่ได้สะอึกจนพูดไม่ออก เพียงแต่สีหน้าของเขาในพริบตานั้นช่างคุ้นเคยเหลือเกิน เป็นสีหน้าแววตาที่นางจำได้อย่างลึกล้ำ ทำให้นางตกตะลึงเล็กน้อย ครั้นได้สติ หัวข้อสนทนาก็ถูกเขาชักนำออกไปไกลลิบเสียแล้ว เฟิ่งจิ่วได้ยินคำถามนั้นชัดเจน เขาถามว่าเหตุใดจึงต้องช่วยพวกนาง เมื่อก่อนตัวหญิงสาวเองก็ไม่ค่อยเข้าใจดีนัก หรือมิได้แยแสชีวิตคน แต่มีคนผู้หนึ่งได้สอนบางสิ่งแก่นาง เนิ่นนาน...นางเอ่ยตอบเบาๆ

“สามีผู้ล่วงลับสอนเฟิ่งจิ่วว่า ผู้แข็งแกร่งเกิดมาและมีอยู่ก็เพื่อคอยปกป้องผู้อ่อนแอ หากครั้งนี้ข้าไม่ช่วยชีวิตพวกนาง ข้าก็จะกลายเป็นคนอ่อนแอ เช่นนั้นข้ายังจะมีสิทธิ์อะไรไปปกป้องประชาชนของข้าเล่า?”

 

หลายปีให้หลัง ตงหัวไม่เคยลืมเลือนถ้อยคำนี้ของเฟิ่งจิ่วตลอดมา ความจริงแล้วกระทั่งตัวเขาเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าการจำถ้อยคำเหล่านี้ไว้จะมีความหมายใด เพียงแต่เด็กสาวผู้นี้มักจะทำให้เขารู้สึกสนิทสนม ทว่าเขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ในความทรงจำ ครั้งแรกที่ได้พบนาง คือริมฝั่งทะเลสู่กำเนิดที่ชิงชิว เรือนผมดำขลับของนางเปียกชุ่มจนดูราวกับสาหร่ายทะเล เหยียบคลื่นทะเลตรงมาหา เขาจำหน้าตาของนางในตอนนั้นไม่ค่อยได้ เหมือนกับที่จำดอกทานตะวันซึ่งผลิบานอยู่ริมฝั่งทะเลสู่กำเนิดในยามนั้นไม่ได้

 

เหตุการณ์นี้ของวันนี้ ได้แพร่กระจายไปทั่วสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีหลายแบบอีกด้วย ฉุดลากตงหัวจากแดนสวรรค์สามชิงลงสู่แดนโลกีย์สิบจ้าง

แบบหนึ่งกล่าวว่าบนแท่นแบกฟ้าสัตว์ร้ายอัคคีแดงก่ออัคคีภัย ตงหัวกำลังให้คำอรรถาธิบายคัมภีร์พระไตรปิฎกอยู่ในวังไท่เฉินกง ณ สวรรค์ชั้นสิบสาม ได้ยินว่าน้องสาวบุญธรรมของตนองค์หญิงจือเฮ่อก็ถูกล้อมกักอยู่กลางเปลวไฟด้วย จึงได้รีบเร่งมาช่วยเหลือ สุดท้ายกำราบสัตว์ร้ายอัคคี เห็นได้ชัดว่าตงหัวปฏิบัติต่อน้องสาวบุญธรรมผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงแท้ อีกแบบหนึ่งกล่าวว่าแท่นแบกฟ้าเกิดเพลิงไหม้ ตงหัวผ่านทางไปพอดี ได้เห็นเซียนสตรีหน้าตางดงามอย่างยิ่งผู้หนึ่งกำลังต่อสู้ประหัตประหารกับสัตว์ร้ายอัคคีแดง โดยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ก็นึกสงสาร จึงชักกระบี่เข้าช่วยเหลือ ตลอดมาเทียนจวินให้คำประเมินต่อตี้จวินว่าเป็นเซียนที่ไร้กิเลสตัณหา เทียนจวินก็มีเวลาที่มองพลาดไปเช่นกัน ฉะนี้แล

เหลียนซ่งได้ยินข่าวนี้ หิ้วพัดจีบเล่มหนึ่งแล่นไปที่วังไท่เฉินกงชวนตงหัวเล่นหมากล้อมดื่มสุราอย่างครึ้มอกครึ้มใจ ระหว่างนี้ก็สอบถามขอความจริงจากตงหัวว่า

“เรื่องที่แท่นแบกฟ้านั่น บอกว่าเจ้าเห็นหญิงงามผู้หนึ่งต่อสู้พัวพันกับเดรัจฉานตัวนั้น เกิดนึกสงสารขึ้นมาจึงได้ยื่นมือเข้าช่วย ข้าไม่เชื่อดอก” วางตัวหมากขาวระหว่างนิ้วลง พูดต่อว่า “แต่ว่า หากมีวันใดที่เจ้าคิดตก ต้องการแต่งตี้โฮ่วสักนางมาซวงซิว จือเฮ่อก็ไม่เลวเหมือนกัน ลองหาเวลาบอกกล่าวฟู่จวินของข้าสักหน่อย เรียกตัวจือเฮ่อกลับขึ้นมาบนสวรรค์เถิด”

ตงหัวหมุนคลึงจอกสุราครุ่นคิดแนวทางหมากล้อม ได้ฟังถ้อยนี้ ตอบไม่ตรงคำถามว่า

“หญิงงาม? พวกเขาเห็นว่านางหน้าตาไม่เลวรึ?”

เหลียนซ่งพูดว่า “อะไรนะ?”

ตงหัววางหมากดำตัวหนึ่งลงอย่างปลอดโปร่งเยือกเย็น อุดตาเป็นของหมากขาวไว้ “สายตาของพวกเขายังไม่เลวอยู่นี่”

เหลียนซ่งตะลึงลานไปอึดใจใหญ่ ครั้นได้สติ ก็หุบพัดจีบดัง “ฟุ่บ” กล่าวอย่างตะลึงพรึงเพริด

“เจ้าได้เห็นหญิงงามผู้หนึ่งที่แท่นแบกฟ้าจริงๆ รึ?”

ตงหัวชี้กระดานหมากล้อม “เจ้าแน่ใจนะว่ามาหาข้าเพื่อชวนเล่นหมากล้อม?”

เหลียนซ่งหัวเราะฮ่าฮ่ากลบเกลื่อน

 

จากการนี้เห็นได้ว่า กับข่าวลือเรื่องเหตุการณ์ที่แท่นแบกเซียนทั้งสองแบบนี้ แบบหลังกระทั่งเหลียนซ่งจวินที่คบหาสนิทสนมกับตงหัวยังไม่เชื่อถือ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเทพเซียนใหญ่น้อยคนอื่นๆ บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า นั่นคือย่อมจะถือเรื่องแบบหลังเป็นเพียงเรื่องขำขัน ขณะที่คาดเดาถึงอนาคตขององค์หญิงจือเฮ่อไว้อย่างสดใส โดยคิดว่าในที่สุดวันคืนแห่งการตกระกำลำบากของเจ้าหญิงผู้นี้ก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว อีกเพียงไม่กี่วันก็จะได้กลับขึ้นสู่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจจะได้ร่วมสร้างตำนานดีๆ กับตี้จวินอีกด้วย

บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามีกฎอยู่ข้อหนึ่ง กล่าวไว้ว่าเป็นเทพเซียนต้องดับอารมณ์ทั้งเจ็ด ขจัดกิเลสทั้งหก แต่กฎข้อนี้ ตราไว้สำหรับบรรดาจิตญาณที่มิได้กำเนิดมาโดยครรภ์เซียน กลับมีวาสนาได้มีชื่ออยู่ในทะเบียนเซียนเท่านั้น เนื่องจากเทพเซียนประเภทนี้ฝืนต่อชะตากรรมแห่งฟ้าดินสำเร็จเป็นเซียน ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนบางอย่างเป็นการเซ่นสังเวยต่อฟ้าดิน นับตั้งแต่เมื่อแรกแยกอินหยาง แบ่งออกสองธาตุ ตงหัวก็อวตารที่เหนือทะเลมรกต...ถิ่นฐานเดิมแห่งชางหลิง[21] คือครรภ์เซียนอันเป็นร่างอวตารของฟ้าดินอย่างแท้จริง แต่เดิมก็มิได้อยู่ภายใต้กฎข้อห้ามต้องดับอารมณ์ดับกิเลสอยู่แล้ว การแต่งตี้โฮ่วสักนาง ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล

 

 

 

 

<>::<>::<>::<>::<>::<>



[1]菩提往生 太晨宫

[2]真皇 真人 灵仙

[3]俱苏摩花 kusuma ลักษณะคล้ายดอกเก๊กฮวย (ดอกเบญจมาศ)

[4]紫青竹

[5] หนึ่งชั่วยามครึ่ง = สามชั่วโมง

[6]青缇

[7]瑨朝

[8]碧浮春 สีมรกตลอย (น้ำ) กลางฤดูใบไม้ผลิ

[9]喜善天红叶树

[10]苦肉计

[11]激将

[12]承天台

[13]妙华镜

[14]知鹤公主

[15]车辕

[16]赤焰兽

[17]

[18]陶铸剑

[19]剑苍何 กระบี่แบกรับฟ้า, กระบี่แบกรับสวรรค์

[20]姑父 อาเขย

[21]苍灵

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 10 พ.ค. 2557, 15:34

2 ความคิดเห็น