หัวข้อ : เล่มที่ ๔ รวมพลก่อตั้งสมาพันธ์ ตอนที่ ๑๐ เหล่าหัวหน้าตึก

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:50

ตอนที่ ๑๐

 

เหล่าหัวหน้าตึก

 

 

เยี่ยหลานวิ่งไล่ตามจนหอบแฮ่ก พร้อมกับนึกแปลกใจว่าทำไมเฉินเฟิงถึงไม่ยอมยื่นมือเข้าช่วย พอหันไปดู ค่อยเห็นว่าเฉินเฟิงกำลังจ้อง “คู่มือสัตว์อสูร” เขม็ง ไม่ทราบใจลอยไปถึงไหนต่อไหนเสียแล้ว

เห็นจะๆ ว่าคาราเมลกับมัคคิอาโตเหนื่อยจนแทบจะวิ่งต่อไม่ไหวอยู่รอมร่อ สัตว์อสูรพวกนี้เหมือนเป็นบ้าไปแล้วยังไงยังงั้น เพราะไม่สนใจการโจมตีของเธอเลยสักนิด เหมือนจะรู้อย่างนั้นแหละว่าสองสาวต่างหากที่เป็นเหยื่อของมัน จึงเอาแต่ไล่กวดสองสาวลูกเดียว แล้วฝีเท้าของทุกคนก็ดันพอๆ กันเสียด้วย ทำให้วิ่งไล่เท่าไหร่ก็ตามสัตว์อสูรไม่ทันสักที

เยี่ยหลานร้องเรียกเฉินเฟิงแทบเป็นตะโกนไปแล้วหลายหน น่าเสียดายที่เขายังคงไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบรับเช่นเดิม ปล่อยไปอย่างนี้คงไม่เข้าทีแน่ หลังจากสั่งให้สองสาววิ่งมาทางเฉินเฟิงแล้ว เยี่ยหลานก็หยิบก้อนหินบนพื้นขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วปาใส่หัวเฉินเฟิงทันที

“โป๊ก !”

“โอ๊ย !”

ก้อนหินพุ่งเข้ากระทบศีรษะของเฉินเฟิงอย่างแม่นยำสุดเปรียบปาน เฉินเฟิงผงกศีรษะพรวดขึ้นทันทีกะจะดูว่าตัวอะไรลอบโจมตีเขา แต่ที่ปรากฏแก่สายตาคือแววตาตำหนิของเยี่ยหลาน แล้วจึงค่อยเห็นสภาพสุดอนาถของอีกสองสาว จึงรีบใช้คาถาท่องลมให้สองสาวทันทีพร้อมกับสะบัดคลี่แส้เทพสีหราชออกขวางก็อบลินที่กำลังไล่กวดสองสาว

น่าเสียดายที่เฉินเฟิงไม่เพียงประเมินความสามารถของสามสาวผิดพลาดเท่านั้น เขายังประเมินความสามารถของตัวเองผิดพลาดอีกด้วย เมื่อถูกอานุภาพข่มขวัญของแส้เทพสีหราชคุกคาม ก็อบลินระดับ ๒๕ ทั้ง ๘ ตัวก็จำต้องละทิ้งสองสาวหันมาโจมตีเฉินเฟิงแทน

เมื่อสองสาวพ้นจากสถานการณ์คับขัน ก็มาหอบแฮ่กๆ จนตัวโยนอยู่ข้างๆ เยี่ยหลานทันที

เฉินเฟิงที่ทำอะไรราบรื่นมาโดยตลอดดันลืมไปเสียแล้วว่าปกติเวลาเขาสู้กับสัตว์อสูร อย่างน้อยจะมีหลายฝูกับอู้คงคอยช่วยอยู่ข้างๆ ตลอด

ไม่ว่าแส้เทพสีหราชจะคล่องแคล่วว่องไวแค่ไหน ก็จัดการก็อบลินมากถึง ๘ ตัวไม่ได้อยู่ดี ไม่นานให้หลัง เฉินเฟิงจึงพลอยมือไม้ปั่นป่วนเป็นพัลวันไปเหมือนกัน

เยี่ยหลานทรุดนั่งลงบนตำแหน่งเดิมก่อนหน้านี้ในอาการรอชมฉากสนุกๆ เต็มที่ มัคคิอาโตยิ่งแล้วใหญ่ เพราะนอนหงายแผ่หราลงบนพื้นไปเลย

ลมหายใจของคาราเมลค่อยๆ กลับเป็นปกติในที่สุด ครั้นเห็นเฉินเฟิงกำลังมือไม้ปั่นป่วน ก็อดพูดอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า

“หลาน พวกเราไม่เข้าไปช่วยเขามันจะดีเหรอ ? ดูเหมือนเขาจะรับมือไม่ไหวแล้วนะ”

เยี่ยหลานดึงมือคาราเมลให้นั่งลงข้างๆ แล้วยื่นยาฟื้นพลังไปให้หลายขวด

“ไม่ต้องไปช่วยเขาประหยัดเงิน เก็บแรงเอาไว้ซะ เพราะอีกเดี๋ยวพวกเราอาจต้องพึ่งตัวเอง ใครใช้ให้ตะกี้เขาดันไม่ยอมช่วยพวกเราก่อนล่ะ ฉันจะดูซิว่าเขาอาศัยอะไรมองว่าก็อบลินพวกนั้นเป็นเศษสวะน่ะ ?”

มัคคิอาโตเอาสองมือหนุนศีรษะ มองสภาพของเฉินเฟิงแล้วพูดว่า

“หลาน เขาเป็นหัวหน้าสมาพันธ์นะ เครื่องป้องกันกับอาวุธของพวกเรายืมมาจากเขาทั้งนั้นด้วย แบบนี้ดีแล้วแน่เหรอ ?”

เยี่ยหลานค้อนมัคคิอาโตวงใหญ่ “หัวหน้าสมาพันธ์แล้วไง ? พวกเราเกือบได้ม่องเท่งเพราะหัวหน้าสมาพันธ์ไปแล้วไม่ใช่เรอะ ! เครื่องป้องเขาก็เขาแหละเป็นฝ่ายอยากให้เรายืมเอง หน็อย...ดันมาใจลอยตอนพาคนเก็บเลเวลเฉยเลย...ฉันชักสงสัยซะแล้วว่าที่อุตส่าห์เผ่นมาเข้าสมาพันธ์ของเขานี่อาจจะเป็นการตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตซะล่ะมั้ง”

คาราเมลทำท่าจะพูด แล้วชะงักไปชั่วครู่ ครั้นเห็นสองสาวไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนใจแม้แต่น้อย จึงได้แต่ตะโกนถามเฉินเฟิงว่า

“พี่เฟิง ! จะให้ช่วยมั้ยคะ ? สัตว์อสูรแถวนี้ก็ยังเก่งเกินไปอยู่ดี พวกเราเปลี่ยนไปที่อื่นกันดีกว่าค่ะ สองคนนี้อยากจะพักซักครู่ ถ้าอยากให้ช่วยก็บอกพวกเรานะคะ !”

พอจะฟังออกว่าคาราเมลคิดจะช่วยจากใจจริง แต่ยังไงๆ เฉินเฟิงก็ยอมขายขี้หน้าออกปากขอความช่วยเหลือไม่ได้เด็ดขาด จึงแกล้งพูดอย่างเท่ว่า

“ไม่ต้องหรอกครับ พวกเธอพักไปเถอะ ผมจัดการคนเดียวได้” น่าเสียดายที่พอแบ่งแยกสมาธิมาพูดตอบปุ๊บ ก็ถูกโจมตีไปสองครั้งทันที ทำเอาดูยังไงก็หาความเท่ไม่เจอแม้แต่น้อย

เยี่ยหลานกลั้นไม่อยู่เผลอหลุดปากหัวเราะพรืด แล้วพูดว่า

“เห็นมั้ย ฉันบอกแล้วว่าไม่ต้องไปช่วย นี่ถ้าเธอเข้าไปช่วยเขาจริงๆ นะ มีหวังเขาโดนคนอื่นหัวเราะเยาะเอาแน่ๆ จริงมั้ย ? อยากอวดเก่งนัก นี่ถ้าตายนะจะสมน้ำหน้าให้เลย”

มัคคิอาโตหนุนศีรษะกับท่อนแขนอย่างแสนสบาย แล้วถามเอื่อยๆ ว่า

“หลาน เธอบอกเองไม่ใช่หรือว่าเขาเก่งมากน่ะ ? ทำไมดูยังไงก็ไม่เห็นเก่งซักเท่าไหร่เลย ? คนตั้งเยอะตั้งแยะขนาดนี้มาเข้าสมาพันธ์เฟิงเพราะเขา ฉันละไม่เข้าใจเลยว่าเขามีอะไรดึงดูดคนพวกนั้นตรงไหน ?”

ถึงแม้เฉินเฟิงจะจัดการพวกก็อบลินไม่ได้ไปชั่วขณะ แต่เมื่อมีคาถาท่องลมอยู่ สามสาวก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะถึงตาย ครั้นคาราเมลได้ยินคำถามของมัคคิอาโต ก็ถามอย่างอยากรู้ว่า

“นั่นสิ ! เปิดประชุมครั้งแรกก็ทำเอาในสมาพันธ์แบ่งเป็นหลายพรรคหลายพวกเชียว ดูเหมือนนักดาบพวกนั้นเก่งกว่าเขาตั้งเยอะกันทุกคน ทำไมถึงยังต้องเห็นแก่หน้าเขาอีกล่ะ ?”

แทนที่จะตอบคำถามของสองสาว เยี่ยหลานกลับยิ้มอย่างมีเลศนัย

“พวกเธอลองเดาดูสิว่า ฉันรู้จักเขาเมื่อไหร่ ?”

มัคคิอาโตพูดเสียงยานคาง “น่าจะสักสองเดือนก่อนนะ ! ดูจากระดับของเขา ก็น่าจะเวลาประมาณนี้แหละน่า ?”

คาราเมลพูดอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่น่าจะแค่นั้นนา ! ฉันเดาว่าน่าจะสัก ๔ เดือนก่อน หลานบอกเองไม่ใช่หรือว่าเขาไม่ได้เข้าสมาคมไหนเลย ? พวกเพื่อนๆ พูดกันทั้งนั้นว่าถ้าเล่นเกมราชาฯแล้วไม่เข้าสมาคม กว่าจะเลื่อนขึ้นถึงระดับ ๓๐ ได้ก็ต้องใช้เวลามากกว่าปกติเท่าตัว ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนตอนนี้เฉินเฟิงจะอยู่ระดับ ๓๑ เท่านั้น หลานเองก็เล่นมาตั้งเกือบครึ่งปี ยังเพิ่งจะมาถึงระดับ ๓๐ เอาตอนนี้เองไม่ใช่หรือไง ?”

มัคคิอาโตเสริมเอื่อยๆ ว่า “นั่นมันความเร็วของคนทั่วไปหรอกน่า ! ในเมื่อหลานบอกว่าเขาเก่งมาก แถมมีคนตั้งเยอะขนาดนี้เชื่อว่าเขาพิเศษกว่าคนอื่น ฉันถึงได้เดาว่า ๒ เดือนไง ถึงฉันจะดูไม่ออกสักนิดว่าเขาเก่งตรงไหนก็เถอะ”

เยี่ยหลานยิ้มเผล่พลางยกนิ้วชี้มือขวาขึ้นแกว่งไปมา

“จะขอเฉลยคำตอบ ณ บัดนี้...ผิดทั้งคู่จ้า ! ฉันรู้จักกับเขาเมื่อ ๑๕ วันก่อนตามเวลาในโลกภายนอก และวันนั้นก็เป็นวันที่เขาเพิ่งจะเริ่มเล่นเกมราชาฯเป็นวันแรกพอดี”

มัคคิอาโตตะลึง “๑๕ วัน ! ต่อให้เป็นนักเล่นเกมอาชีพเล่นแบบไม่ออฟไลน์ติดต่อกัน ๑๕ วัน ก็ไม่มีทางเลื่อนขึ้นถึงระดับ ๓๐ แน่ ! แล้วเธอยังบอกด้วยนี่ว่าเขาฝึกเองคนเดียว ไม่ได้เข้ากลุ่มไหนแถมไม่มีคนช่วยฝึกด้วย เป็นไปได้ยังไงกันน่ะ ?”

“เวอร์เกินไปแล้วมั้ง !” คาราเมลท้วง “ได้ยินว่าหลงเยี่ยอิ่งที่เก่งที่สุดในเกมราชาฯเองกว่าจะเลื่อนขึ้นถึงระดับ ๒๕ ได้ก็ต้องใช้เวลาตั้ง ๑๕ วัน แถมรู้สึกว่ามีคนคอยช่วยเขาตั้งหลายคนด้วย สถิตินี้จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครทำลายได้เลยนะ พวกผู้เล่นหลายคนที่อยากจะลองแข่งดู ถ้าไม่ทนไม่ไหวถูกหามส่งโรงพยาบาล ก็มีแต่ประกาศยอมแพ้กันทั้งนั้น เฉินเฟิงใช้เวลาแค่ ๑๕ วันก็มีผลงานตั้งเท่านี้ หลาน เธอพูดเล่นใช่มั้ยน่ะ ?”

เยี่ยหลานหัวเราะ “ยังจะพูดอีกว่าพวกเธอไม่สนใจเกมราชาฯ แล้วไหงถึงตรวจสอบข้อมูลซะลึกกว่าฉันอีกล่ะเนี่ยหา ? ระดับของเฉินเฟิงไม่ได้ได้มาจากการฝึกหรอก ได้ยินว่าเขาได้ระดับ ๓๐ มาตั้งแต่วันแรกแล้ว เทียบตามมาตรฐานของนักเล่นเกมอาชีพ ๑๐ วันได้เลื่อน ๒ ระดับก็ถือว่าปกติล่ะนะ แต่แค่มีระดับน่ะยังไม่เท่าไหร่ ที่น่ากลัวคือตอนนี้เขาได้อาชีพมาแล้ว ๒ อาชีพ หัวข้อ ‘ผู้เล่นไม่ได้ถูกจำกัดว่ามีอาชีพได้กี่อาชีพ มีสองอาชีพหรือมีครบทุกอาชีพไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป !’ ที่กำลังดังกระฉ่อนในเกมราชาฯช่วงนี้ถูกปล่อยออกมาจากตัวเขานี่แหละ”

หลังจากเหตุชุลมุนเมื่อครู่ เฉินเฟิงก็มีอันหน้าแตกให้สามสาวได้หัวเราะเยาะเอาอีกจนได้ เขาใช้คาถาท่องลมกับสองเท้า สะบัดแส้เทพสีหราชอย่างแน่นหนา ในที่สุดก็ทิ้งระยะห่างจากพวกก็อบลินสำเร็จ

เดิมทีเขาคิดจะเรียกพวกสัตว์เลี้ยงออกมาช่วยสู้ แต่เสียงหัวเราะของเยี่ยหลานทำให้เขาเปลี่ยนใจ พร้อมกันนั้นก็อยากจะลองทดสอบดูเหมือนกันว่า เขาแค่คนเดียวจะเอาชนะได้หรือเปล่า

คำตอบของเยี่ยหลานทำเอาสองสาวอุทานเสียงแหลม ถึงเฉินเฟิงจะฟังไม่ออกว่าพวกสาวๆ คุยอะไรกัน แต่ก็คิดไปเองว่าพวกเธอคงกำลังวิพากษ์วิจารณ์ความสามารถของเขาอยู่แหงๆ ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป เขามีหวังหน้าแตกยับเยินแน่ จึงก้าวถอยไปหลายก้าว ปากท่องอะไรพึมพำ ในใจคิดว่า “ดูท่าหากไม่แสดงอะไรให้เห็นบ้าง มีหวังโดนดูถูกตายแน่”

คาราเมลพึมพำอย่างลืมตัว “ชุดนินจา...แส้ผู้ฝึกสัตว์...คาถาท่องลม...”

ลูกไฟสีแดงโชติช่วงผุดขึ้นมาจากมือของเฉินเฟิงในบัดดล แล้วพุ่งวาบเข้าใส่ฝูงก็อบลินทันที หลังจากปะทะกับก็อบลินที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้ว ลูกไฟก็พลันขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัว พริบตาเดียวก็อบลินทั้ง ๘ ตัวก็ถูกเปลวไฟไหม้ลามกันถ้วนหน้า

เฉินเฟิงตวาดลั่นฝ่าเสียงร้องโหยหวนดังระงมของฝูงก็อบลิน

“ศรพิรุณโปรย !”

ตายังไม่ทันเห็นชัดเจนว่าลูกศรที่ถูกยิงออกไปมีกี่ดอกกันแน่ อเล็กซ์ อู้คง และหลายฝู ก็โผล่พรวดออกมาร่วมกับเฉินเฟิงที่เปลี่ยนจากคันธนูไปเป็นดาบซามูไรโถมทะยานเข้าเข่นฆ่าฝูงก็อบลินเป็นการใหญ่

มัคคิอาโตพึมพำเสริมอย่างตกตะลึง “คาถาลูกแก้วอัคคี...ทักษะพิเศษของนายพราน...สัตว์เลี้ยงระดับสูงมนุษย์หมาป่า ! เป็นปิศาจจริงๆ ด้วย...”

เยี่ยหลานพูดเนิบๆ “ไม่ว่าใครได้มาเห็นเข้า ต่อให้เป็นคนที่มีระดับสูงก็ยังยอมแพ้เลย น่าเสียดายที่ดันซื่อบื้อไปหน่อย ดูท่ามนุษย์นี่คงไม่มีใครสมบูรณ์แบบแหงๆ”

หลังจากเก็บของที่ได้จนหมดและเดินมาหาสามสาว เฉินเฟิงก็พบว่าสายตาที่คาราเมลกับมัคคิอาโตมองเขาดูจะเปลี่ยนไป ถึงเขาจะไม่ทราบว่าหมายความว่ายังไง แต่อย่างน้อยไม่ใช่แววตาดูถูกก็แล้วกัน

เยี่ยหลานแอบกัดว่า “พี่เฟิง ขนาดพี่ลงมือเองยังเป็นศึกใหญ่ตั้งเท่านี้ เมื่อกี้ตอนปล่อยให้พวกเราสามคนไปสู้กันเองพี่ยังจะมาโทษพวกเราอีกว่าใช้ยาฟื้นพลังเปลือง ฉันว่าทวีปกู่ย่าคงไม่เหมาะสำหรับให้พวกเราฝึกวิชากันจริงๆ นั่นแหละ พี่ส่งพวกเรากลับไปที่เกาะเริ่มต้นดีกว่าค่ะ แต่วันนี้ไม่มีเวลาแล้ว เพราะพวกเราต้องออฟไลน์กันแล้ว พี่ว่าตอนนี้จะกลับไปที่ไหนกันดีคะ ?”

เฉินเฟิงยิ้มแห้งๆ “คำนวณพลาดไปซะแล้ว...วันนี้ไม่มีเวลาแล้วเหรอ งั้นพวกเรากลับไปที่เมืองท่าเซียงห่ายกันก่อนเถอะ ผมค่อยไปคิดอีกทีว่าที่ไหนเหมาะจะให้พวกเธอเก็บเลเวล ครั้งหน้าไม่เป็นอย่างนี้แน่”

หลังจากส่งสามสาวจากไปแล้ว เฉินเฟิงก็ถอนหายใจเฮือก เดินไปที่ภัตตาคารอย่างซึมๆ ดูท่าแผนที่ทุกคนอุตส่าห์ช่วยกันคิดด้วยความหวังดีจะสูญเปล่าซะแล้ว เพราะถึงจะพาสามสาวไปเก็บเลเวลมาทั้งวัน แต่เฉินเฟิงก็ยังไม่สามารถปล่อยวางความกังวลที่มีต่อหน้าที่ในสมาคมได้อยู่ดี แถมยังทำเอาสามสาวแทบได้ไปเกิดใหม่อีกต่างหาก ทำเอารู้สึกผิดอยู่ไม่ใช่น้อย

 

วันที่ ๖ หลังการประชุมสมาพันธ์ ที่ประตูทางเข้าภัตตาคารของเมืองท่าเซียงห่ายก็ยังคงมีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยมองมาอยู่เช่นเดิม เพราะที่นี่จะมีนโยบายสำคัญของสมาพันธ์เฟิงประกาศออกมาทุกวัน และขณะนี้ทุกความเคลื่อนไหวของสมาพันธ์เฟิงก็กำลังเป็นที่จับตาดูของผู้เล่นจำนวนมาก

ชายหนุ่มคอนดาบสองมือขนาดยักษ์คนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น ทั่วบริเวณนั้นมีเสียงซุบซิบพึมพำดังขึ้นเล็กน้อยทันที ชายหนุ่มผู้นี้เดินตรงดิ่งไปยังภัตตาคาร แต่พอไปถึงประตูก็ชะงักเท้าลงเหมือนกำลังรอใครอยู่

ความจริงผู้เล่นที่แต่งตัวแบบนี้มีอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะผู้เล่นที่ได้อาชีพนักดาบต่างก็แต่งตัวแบบนี้กันทั้งนั้น อย่างตอนนี้เองก็มีผู้เล่นที่อยู่ข้างๆ หลายคนที่แต่งตัวคล้ายๆ กัน ที่ชายหนุ่มคนนี้ก่อให้เกิดเสียงซุบซิบพึมพำ เป็นเพราะเขาคือ ๑ ในรองหัวหน้าของสมาพันธ์เฟิง...เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศ

กล่าวได้ว่าช่วงนี้เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศกำลังห่อเหี่ยวใจถึงขีดสุด เพราะตอนที่ก่อตั้งสมาพันธ์ คนของเขามากันแค่ไม่ถึงครึ่ง ยิ่งช่วงครึ่งหลังของการประชุมสมาพันธ์ คนของเขาเหมือนโดนแช่แข็งไปเลยยังไงยังงั้น พอวันรุ่งขึ้นยิ่งร้ายกว่าเดิม เพราะ “เลเอทท์” หัวหอกของโลกแห่งเกมได้เข้ามาคุมสมาพันธ์ดาบกระบี่อย่างเต็มตัว แถมยังติดประกาศรับสมัครคนอย่างเปิดเผยอีกต่างหาก

ประกาศนี้อาจไม่มีผลต่อคนอื่น แต่มันส่งผลให้พวกเพื่อนๆ ร่วมรบของเขายิ่งลังเลใจเข้าไปใหญ่ กว่าเขาจะปลอบพวกเพื่อนๆ ให้ยอมอยู่ต่อได้ก็แทบตาย ในวันที่ ๔ เฉินเฟิงก็ดันออกประกาศของสมาคมมาหนึ่งฉบับ

ถึงแม้ข้อความในประกาศจะใช้ภาษาที่เกรงอกเกรงใจอย่างมาก แต่กลับส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายเหล่านี้ เพราะนอกจากจะประกาศชื่อหัวหน้าตึกเฟิงอู่แล้ว ยังอธิบายเหตุผลที่ข้อเสนอแนะของสมาชิกแต่ละคนถูกปฏิเสธอย่างละเอียดชัดเจน

สมาพันธ์เฟิงไม่เรียกใช้ให้ความสำคัญ ข้อเสนอแนะไม่ได้รับการนำไปใช้ ท้ายประกาศยังบอกอีกด้วยว่า ในระหว่างที่งานทุกอย่างของสมาคมยังไม่ถูกดำเนินการ ใครก็ตามที่คิดว่าสมาพันธ์เฟิงไม่เหมาะสมกับตัวเอง สามารถลาออกไปได้อย่างอิสระ สมาพันธ์เฟิงจะไม่เอาความใดๆ ทั้งสิ้น และจะคืนเงินทั้งหมดที่เคยมอบให้แก่สมาพันธ์คืนให้ ซึ่งประกาศนี้ไม่ผิดอะไรเลยกับการออกปากไล่

เขาไปขอให้เฉินเฟิงช่วยรั้งพรรคพวกไว้ก็ไม่สำเร็จ แถมยังทะเลาะกันใหญ่โตอีกต่างหาก ถึงแม้หลังจากนั้นอวี๋เลี่ยงอี้จะช่วยสงบศึกให้ แต่ในวันนั้นพรรคพวกของเขาที่เดิมทีก็มีไม่มากอยู่แล้วยังมาจากไปอีกตั้งครึ่ง ทำเอาเขากลายเป็นชนกลุ่มน้อยในสมาพันธ์เฟิงไปในทันที

ต่อมา คมพิรุณ หัวหน้าขบวนนักเวทและสัตว์ยอมรับตำแหน่งหัวหน้าตึกเฟิงอู่ แต่เงื่อนไขเดียวที่ขอคือขบวนนักเวทและสัตว์ทุกคนต้องเท่าเทียมและไปมาพร้อมหน้ากันได้ แถมยังจงใจจัดตารางเวลาให้บริการอีกต่างหาก โดยคนทั้ง ๗ ต่างก็ยอมแบ่งเวลาผลัดกันออนไลน์ ดังนั้นจึงเท่ากับว่าตึกเฟิงอู่มีหัวหน้าตึก ๗ คน ซึ่งสำหรับขบวนนักเวทและสัตว์ที่เคยชินกับการรบด้วยกันเป็นกลุ่มแล้ว ถือเป็นการเสียสละอย่างใหญ่หลวงมาก แต่พรรคพวกของเขาไม่แค่ไม่สนใจคุณค่าของการเสียสละนี้เท่านั้น ยังไม่พอใจหนักยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

เรื่องที่เลือกคมพิรุณเป็นหัวหน้าตึกเฟิงอู่ เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศเถียงกับพรรคพวกของเขาอยู่นานมาก แน่นอนว่าการยืนกรานขอรับตำแหน่งนี้ของคมพิรุณได้อุดปากของพรรคพวกบางคนที่ไม่พอใจเอาไว้ได้บ้าง ถึงแม้ระดับของขบวนนักเวทและสัตว์ทั้ง ๗ คนจะต่ำกว่าพรรคพวกของเขา แต่เนื่องจากทั้ง ๗ คนมีอาชีพอยู่ถึง ๔ อาชีพ บวกกับการที่ทั้ง ๗ ไปมาด้วยกัน ทำให้ไม่มีใครในบรรดาพรรคพวกของเขากล้าปะทะกับคนทั้ง ๗ ตรงๆ

นอกจากนี้ หลังจากที่อวี๋เลี่ยงอี้ชวยอธิบายและชี้นำ เขาเองก็ทราบดีว่า ในความเป็นจริงในโลกปัจจุบันของเกมราชาฯ รูปแบบของขบวนทหารรับจ้างเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

ซึ่งความจริง ก่อนที่เขตซึ่งใช้สร้างอาณาจักรจะเปิดให้ใช้งาน กลุ่มผู้เล่นที่มีจำนวนคนมากกว่า ๑๐ คนก็ไม่สามารถที่จะหาสถานที่ฝึกวิชาหาเงินได้แล้ว นอกจากจะทำแบบเดียวกับอดีตสมาคมอัศวิน นั่นคือยึดครองพื้นที่ ผูกขาดเขตแดนของเมืองใดเมืองหนึ่งเอาไว้ แต่ผลกระทบและกรณีพิพาทที่จะเกิดตามมาไม่ใช่สิ่งที่สมาพันธ์เฟิงยินดีที่จะเห็นอย่างแน่นอน

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นสิยิ่งน่าเจ็บใจ หลังจากที่ขบวนทหารรับจ้างจำนวนมากพากันแห่มาเข้าสมาพันธ์ ทหารรับจ้างที่หยิ่งทะนงพวกนี้ ทั้งระดับและอาชีพแทบไม่ได้ด้อยไปกว่าพรรคพวกของเขาเลย ด้วยเหตุนี้พรรคพวกที่ก่อนหน้านี้จากไปอย่างเป็นฟืนเป็นไฟจำนวนไม่น้อยได้ย้อนกลับมาขอให้เขาช่วยไปขอร้องให้พวกตนได้กลับเข้าสมาพันธ์อีกครั้ง แต่ทว่าจำนวนสมาชิกของสมาพันธ์เต็มไปแล้ว เขาจึงไม่สามารถจะช่วยอะไรได้

หลังจากทำสงครามเย็นกับเฉินเฟิงมาได้หลายวัน จนเมื่อวานนี้เขาถึงเพิ่งจะได้รับประกาศขอสงบศึกจากเฉินเฟิง เขาที่ลงเรือโจรไปแล้ว[1] ไม่มีทางให้ถอยอีก หากเขาไม่สามารถสร้างผลงานอะไรที่โดดเด่นพอจะช่วยให้ผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ ชื่อเสียงที่อุตส่าห์สั่งสมมาอย่างยากเย็นคงต้องพังทลายลงอย่างแน่นอน

ความปั่นป่วนเล็กน้อยจากฝูงชนรอบด้านขัดจังหวะความคิดของเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศ ปรากฏว่าครุโฬกับสองแสงกล้าได้มาถึงแล้วนั่นเอง

สองแสงกล้าดูแจ่มใสดี พอห็นเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศเข้า ก็ทักทายอย่างกระตือรือร้น แต่ครุโฬดูจะเย็นชากับเขาอยู่เล็กน้อย

ทั้งสามคุยเรื่อยเปื่อยกันไปได้แค่ไม่กี่คำ ผู้คนรอบด้านก็ปั่นป่วนมากกว่าเดิม ปรากฏว่าเฉินเฟิงได้มาถึงแล้วนั่นเอง คนทั้งสี่มองหน้ากันแวบหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร แล้วเฉินเฟิงก็เดินนำหน้าเข้าไปในภัตตาคาร

ในห้องพิเศษ เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างท้อใจ ครุโฬกับสองแสงกล้าดื่มเหล้ากันไปสองคนพอเป็นกระสาย ส่วนเฉินเฟิงกำลังจัดบรรดาข้อเสนอแนะของเหล่าสมาชิก

ครู่ใหญ่ต่อมา เมื่อจัดระเบียบข้อมูลเสร็จ เฉินเฟิงก็กระแอม แล้วพูดว่า

“หลี่อวิ๋น คนของนายมีแต่ร้องขอศูนย์สมาพันธ์ ไม่ก็จัดทัพไปสู้กับสมาพันธ์อัศวิน เหมือนจะไม่พอใจสภาพภายในสมาพันธ์ตอนนี้เอามากๆ งั้นแหละ ?”

เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วพูดว่า

“ใช่...ฉันเองก็ปลอบพวกนั้นมาทั้งวันแล้ว นายก็รู้ดีนี่เสี่ยวเฟิงว่าฉันพยายามสุดความสามารถแล้ว...”

เฉินเฟิงจิบน้ำชา “ฉันไม่ได้บอกให้นายไปบังคับพวกเขานี่ ! ถ้าจะลาออกก็ให้ฉวยโอกาสลาออกซะตอนนี้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาด้วยกันทั้งสองฝ่าย...”

สีหน้าเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศเปลี่ยนเป็นปั้นยากทันที ดูท่าเฉินเฟิงจะยังทะเลาะกันไม่พอซะแล้ว !

สองแสงกล้ากับครุโฬพยายามส่งสายตาไปเตือนเฉินเฟิง เฉินเฟิงจึงได้แต่เปลี่ยนวิธีเป็นอธิบายว่า

“ฉันรู้ว่าที่นายพาคนของนายมาตั้งมากมายก็เพราะให้เกียรติฉัน ถึงฉันจะดีใจมากที่พรรคพวกของนายไม่ได้ดูถูกว่าฉันมีความสามารถต่ำเกินไป แต่ข้อเรียกร้องพวกนี้ไม่ใช่เป้าหมายและแนวทางนโยบายของพวกเราในตอนนี้จริงๆ”

ครั้นเห็นสีหน้าของเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศค่อยผ่อนคลายลงมาก เฉินเฟิงก็พูดต่อว่า

“ที่ปฏิเสธข้อเสนอของพวกเขา ไม่ใช่เพราะฉันจงใจตั้งตัวเป็นศัตรู เพราะถ้าฉันไม่ยินดีต้อนรับพวกเขา ก็คงไม่รับเข้าสมาคมตั้งแต่แรกโน่นแล้ว อย่าว่าแต่ระดับของพรรคพวกที่นายพามาสูงมากๆ กันทุกคน เชื่อว่าทุกที่มีแต่จะแย่งชิงกันอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งนั้น ฉันจึงเข้าใจความลำบากใจของนายดี”

เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศพยักหน้า ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ในที่สุดเฉินเฟิงก็พูดอะไรที่พอจะฟังเป็นภาษาคนขึ้นมาบ้างแล้ว

เฉินเฟิงจิบชาอีกคำ แล้วพูดว่า “แต่พูดถึงจำนวนคนนี่ ตอนนี้สมาชิกในสมาพันธ์ส่วนใหญ่ยังเป็นมือใหม่กันอยู่ และพวกเราก็ต้องคิดถึงสมาชิกสมาพันธ์ส่วนใหญ่ไว้ก่อน ถึงแม้ศูนย์สมาพันธ์จะมีประโยชน์อย่างมากในการเก็บเลเวล แต่คิดว่านายเองก็คงรู้ดีว่าราคาของมันไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะแบกรับได้ไหวในตอนนี้ อย่าว่าแต่มันไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรมากนักสำหรับมือใหม่ในช่วงนี้ด้วย สุดท้าย เรื่องจัดกลุ่มไปล้อมโจมตีขบวนอัศวิน คงยิ่งไม่ต้องให้ฉันอธิบายอีกหรอกนะ ? ดังนั้นถ้าพวกเขาไม่คิดจะรอไปอีกสักพัก อย่างนั้นก็แยกทางกันดีกว่า แน่นอนว่าเพื่อนของนายเท่ากับเป็นเพื่อนของฉันเหมือนกัน ต่อไปไม่ว่าจะมีโอกาสได้อยู่ร่วมกันหรือเปล่า ฉันก็ยินดีต้อนรับพวกนายทุกเมื่อ”

เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศถอนหายใจเบาๆ “ฉันรู้แล้วว่าควรจะทำยังไง พวกนั้นแค่ใจร้อนไปหน่อยเท่านั้น ถ้ามีโอกาส พวกนายก็ช่วยฉันเตือนพวกมันบ้างก็แล้วกัน !”

ครุโฬยื่นเหล้าเร้นดรุณไปให้เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศหนึ่งจอก แล้วพูดว่า

“อวิ๋นซฺยงทำใจให้สบายสักหน่อยเป็นไร ! คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องวิวาทส่วนตัวของผมกับหมอนั่นจะทำให้พวกพี่น้องของคุณไม่พอใจ เหล้าจอกนี้ถือว่าผมขอขมาคุณก็แล้วกัน”

หลังจากเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศดื่มเหล้าจอกนี้จนหมดแล้ว ครุโฬก็รินเหล้าเติมให้ใหม่จนเต็มจอก แล้วพูดโดยเปลี่ยนท่าทีไปโดยสิ้นเชิงว่า

“อย่างไรก็ตาม คุณอวิ๋นครับ สิ่งที่ผมต้องการทราบในเวลานี้คือ คุณเข้าสมาพันธ์มาเพราะเขา หรือเข้ามาเพราะพี่เฟิง ? หากเป็นอย่างแรก ผมก็ขอสนับสนุนพี่เฟิง แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง ผู้น้องก็พอจะมีข้อเสนอแนะให้อยู่อย่าง...”

เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศอึ้งไปชั่วครู่ ท่าทีที่เริ่มจากนอบน้อมแล้วเปลี่ยนไปเป็นหยิ่งผยองของครุโฬได้แสดงออกถึงบุคลิกและอำนาจของผู้ยิ่งใหญ่อย่างชัดเจน ไม่เสียทีที่เป็นศัตรูเพียงหนึ่งเดียวที่มาร์สยอมรับจริงๆ สงครามของคนทั้งสองในเกมฝันที่เป็นจริงทั้งโชติช่วงและองอาจ แม้จะมีเสียงเล่าลือซุบซิบไปทั่ว แต่เขาพอจะทราบเรื่องราวเบื้องลึกอยู่ไม่ใช่น้อย

เฉินเฟิงมีเสน่ห์อะไรดึงดูดใจบุคคลในตำนานสองคนนี้กันแน่ ? เวลานี้เขาไม่สามารถหยั่งความคิดและศักยภาพของเพื่อนเก่าที่เขารู้จักมาเป็นเวลานานถึง ๑๐ กว่าปีคนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย...

แต่ไม่ว่ายังไง ตอนนี้เขาก็เดินมาตั้งขนาดนี้แล้ว ถ้าตอนนี้เขาไปจากสมาพันธ์เฟิง ชื่อเสียงและความเป็นที่เชื่อถือที่เขาเพียรสร้างสมมานานหลายปีมีหวังพังทลายหมดแน่ อย่างน้อยเขาก็รู้อยู่อย่างหนึ่งละว่า เฉินเฟิงไม่มีทางหักหลังเขาอย่างแน่นอน

หลังจากดื่มเหล้าในมือจนหมดจอกอีกครั้ง เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศก็ยิ้มและพูดว่า

“คำพูดนี้ของพี่ครุฑออกจะดูแคลนกันเกินไปนิดนะครับ ผมกับเฉินเฟิงเป็นเพื่อนกันมาตั้ง ๑๐ กว่าปีเชียวนะ ที่ผมมาเข้าสมาพันธ์เฟิง ก็ต้องเป็นเพราะเพื่อนเก่าอยู่แล้วครับ...ส่วนเขา ถ้ามีโอกาสได้ร่วมงานกันมันก็ดี แต่ถึงไม่มีโอกาสก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่าว่าแต่พี่ครุฑเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาสักนิด ! เพียงแต่น่าเสียดายที่พวกพี่น้องของผมออกจะตาต่ำไปหน่อย ถึงยังไงผมก็ได้พยายามเพื่อพวกเขาจนสุดความสามารถแล้ว ต่างคนต่างมีปณิธาน ต่อไปผมจะไม่ฝืนใจพวกเขาอีก”

เฉินเฟิงสอดคำขึ้นว่า “หลี่อวิ๋น น้องครุฑ นายสองคนเล่นทายคำใบ้อะไรกันน่ะหา ? ฟังอยู่ตั้งนานไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย เอาแต่พูดอ้อมค้อมอมพะนำกันอยู่ได้...ฉันกลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว พวกนายยังจะมาเล่นลิ้นกันอยู่อีก น้องครุฑมีวิธี ก็พูดออกมาให้ทุกคนช่วยกันพิจารณาดูเถอะ ไม่ต้องทำเป็นอมพะนำแล้วน่า

คนทั้งสามสบตากันอย่างรวดเร็ว แล้วเหมือนจะอ่านแววยิ้มเจื่อนๆ ในดวงตาของแต่ละคนได้ นี่เฉินเฟิงซื่อเกินไป หรือพวกเขาคิดมากเกินไปกันแน่ ? แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินเฟิงเป็นคนซื่อๆ อย่างนี้ คงไม่มีทางทำให้คนทั้งสามมาทำงานร่วมกันอย่างที่เป็นอยู่นี้ได้กระมัง !

ครุโฬพูดว่า “ระดับของพรรคพวกพี่อวิ๋นต่างก็สูงมากและได้อาชีพกันแล้วทั้งนั้น หากจะให้พวกเขายอมรับนับถือจากใจจริง ก็จำเป็นต้องมีคนที่ข่มพวกเขาได้ช่วยออกหน้าให้ นอกจากนี้เพื่อความสมัครสมานภายในสมาพันธ์ ยังจำเป็นต้องถกถึงปัญหาการหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แม้ว่าหลังจากอยู่ร่วมกันไปสักระยะ ปัญหานี้ก็จะคลี่คลายได้เอง แต่เกรงว่ามันจะไม่ทันการณ์...”

เฉินเฟิงพูดอย่างติดจะรำคาญ “มีขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์รับตำแหน่งหัวหน้าตึกแล้วยังไม่พออีกหรือ ? ปัญหาพวกนี้ฉันเองก็สังเกตเห็นอยู่เหมือนกัน แต่เรื่องให้พวกนักเวทและสัตว์รับตำแหน่งนี้ พวกนายเป็นคนเสนอเองนะ รู้หรือเปล่าว่าพวกเขาเสียสละกันมากแค่ไหน ? มาตอนนี้พวกนายดันมาบอกว่าพวกเขาไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้อีกแล้ว พวกนายเห็นพวกนักเวทและสัตว์เป็นอะไรกันแน่ ?!”

กับหัวหน้าสมาพันธ์ที่ตัวเขาเองก็เพิ่งรู้จักได้แค่ไม่กี่วันคนนี้ สองแสงกล้าให้ประหลาดใจกับเสน่ห์ดึงดูดของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก เพราะตอนที่เฉินเฟิงบอกว่าจะตั้งสมาพันธ์ พรรคพวกของเขาที่ปกติหัวแข็งกันทั้งนั้นกลับพากันร้องสนับสนุนอย่างผิดจากปกติ ถึงขนาดไม่มีใครคิดถึงตำแหน่งหรือผลประโยชน์ที่จะได้รับเสียด้วยซ้ำ

ด้วยความสามารถของพวกนั้น กล่าวได้ว่าค่าตอบแทนที่สมาพันธ์เฟิงสามารถให้ได้ในตอนนี้มีจำกัดมาก เพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้พวกนั้นไม่นึกเสียใจที่ทำแบบนี้ ?

เพื่อสืบหาสาเหตุของสิ่งนี้ ทำให้สองแสงกล้าทิ้งปณิธานที่จะตั้งกลุ่มของตัวเองไป เพราะเขาอยากรู้ว่าเขาต่างกับเฉินเฟิงที่ตรงไหน ?

การตัดสินใจอย่างแรกสุดที่ไม่เหมือนกับเขากำลังปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า หากเปลี่ยนให้เขาเป็นคนบริหารสมาพันธ์เฟิง เขาคงรีบรั้งตัวยอดฝีมือพวกนี้เอาไว้ชนิดสุดความสามารถ ยังไงก็ไม่มีทางออกปากไล่แน่ ทำไมเฉินเฟิงที่ปกติสุภาพขี้เกรงใจถึงแสดงท่าทีรำคาญพรรคพวกของเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศถึงขนาดนี้ ?

“หรือจะเป็นเพราะระดับของพวกนั้นสูงกว่าเขา ? หรือโมโหกับข้อเรียกร้องแบบไร้เหตุผลของพวกนั้น ?”

คำตอบนั้นถึงไม่บอก ก็ทราบดีแก่ใจว่าไม่ใช่ เพราะสมาชิกสมาพันธ์ที่ระดับสูงกว่าเฉินเฟิงมีออกถมไป ส่วนเรื่องข้อเรียกร้อง พรรคพวกของเขาเองก็เรียกร้องแบบไม่มีเหตุผลไม่ใช่น้อยเหมือนกัน แล้วมันเพราะอะไรกันแน่ ? ถ้ารู้สาเหตุ ก็อาจจะได้รู้ว่าตัวเขากับเฉินเฟิงต่างกันที่ตรงไหนกระมัง ?

วิธีการที่ครุโฬเสนอทำให้เฉินเฟิงลำบากใจอย่างมาก การจะให้พวกเพื่อนๆ อย่างขบวนนักเวทและสัตว์ที่ยอมเสียสละครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อความสมานฉันท์ภายในสมาพันธ์ทุ่มเททั้งพลังกายและพลังใจให้สมาพันธ์มากยิ่งกว่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่เฉินเฟิงอยากให้เป็นเลยสักนิด

เฉินเฟิงได้หล่อหลอมตัวเองเข้าสู่โลกของเกมราชาฯไปโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว ถึงแม้ทุกสิ่งในนี้จะเป็นแค่สิ่งสมมติ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่มีตัวตนอยู่จริงๆ นั่นคือความรู้สึกของผู้เล่นแต่ละคน

ถึงแม้ในตอนแรกเฉินเฟิงจะคิดใช้เกมมาเติมเต็มช่องว่างของการตกงาน แต่ก็เหมือนกับในโลกแห่งความจริงนั่นแหละ...เขาไม่ได้ทำทุกสิ่งเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว

มีมากมายหลายสิ่งที่เงินไม่สามารถทดแทนได้ “มิตรภาพ” ก็คือหนึ่งในนั้น ความผูกพันในโลกออนไลน์อาจเปราะบางและยากจะจับต้องได้ เพราะไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย มิตรภาพความผูกพันทั้งมวลจึงเป็นดั่งเงาพระจันทร์ในน้ำ เงาดอกไม้ในกระจก แต่อาจเป็นเพราะไม่จำเป็นต้องเสแสร้งใส่หน้ากาก ทำให้การแสดงออกต่างๆ เป็นไปอย่างจริงใจที่สุดหรือเปล่า ?

ถึงแม้การตั้งกลุ่มและสร้างอาณาจักรจะเป็นไปเพื่อให้รายรับของอาชีพนักเล่นเกมมั่นคง แต่หากจำเป็นต้องทำให้พวกเพื่อนๆ ที่สนับสนุนเขาเหล่านี้ต้องลำบากใจล่ะก็ เขาจะรับรายรับก้อนนี้มาอย่างสบายใจได้ยังไง !

ตำแหน่งหัวหน้าตึกอีก ๓ คน คนทั้ง ๔ ได้ปรึกษาหารือกันอย่างละเอียด แต่เฉินเฟิงวางเงื่อนไขว่าคนที่จะมาดำรงตำแหน่งนั้นเขาต้องเห็นพ้องถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องประชุมกันใหม่

 

หลังการประชุมลับของคนทั้ง ๔ สมาพันธ์เฟิงก็มีความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งทำเอาคนจำนวนไม่น้อยถึงกับแว่นตาร่วงจากดั้ง

ก่อนอื่นคือบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าตึกแต่ละตึก ในตึกทั้ง ๔ ของสมาพันธ์เฟิง ตึกเฟิงอู่ซึ่งรับผิดชอบด้านการต่อสู้และเก็บไอเท็มมีค่า หัวหน้าตึกคือคมพิรุณและขบวนนักเวทและสัตว์ซึ่งรับตำแหน่งมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว

ตึกเฟิงโฮ่วที่รับผิดชอบดูแลกองหนุนและจัดสรรเครื่องป้องกัน หัวหน้าตึกคือเจี๋ยเต๋อ ถึงแม้เขาจะมีประสบการณ์ในการนำทุกคนไปขุดแร่และตีสัตว์อสูรเอาก้อนโลหะ แต่อย่าว่าแต่ยังไม่ได้อาชีพ ตอนนี้ยังอยู่แค่ระดับ ๒๙ ด้วยซ้ำ

ตึกเฟิงหลิงซึ่งรับผิดชอบศึกษาวิจัยทักษะอาชีพ หัวหน้าตึกคืออวี๋เลี่ยงอี้ ผลงานอย่างเดียวที่เขาเคยมีคือ ช่วยปรับความเข้าใจและผ่อนเพลาการทะเลาะกันของเฉินเฟิงกับเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศ ยังไม่ได้อาชีพเช่นกัน ระดับในตอนนี้คือ ๒๘

ตึกเฟิงโซวที่รับผิดชอบด้านการทำการค้าหารายได้เข้าสมาพันธ์ หัวหน้าตึกคือลูกน้องคนสนิทคนหนึ่งของครุโฬ เหอชี่” (สมานฉันท์) ลือกันว่าในเกม “ฝันที่เป็นจริง” เขาคือสุดยอดพ่อค้าหน้าเลือดเลยทีเดียว แต่ตอนนี้มีระดับแค่ ๑๕ เท่านั้น

หัวหน้าตึกทั้งสี่ระดับกระจอกลงไปทุกทีๆ ทำให้มีข่าวลือแพร่สะพัดไปไม่ขาดสายว่า พวกผู้นำของสมาพันธ์เฟิงเป็นบ้าไปแล้วหรือ ?

ต่อไป ตึกเฟิงอู่ซึ่งนำโดยขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ได้รุกล้ำเข้าสู่เมืองเขี้ยวมังกร ! แน่นอนว่าสมาพันธ์เฟิงไม่ได้คิดที่จะยึดครองพื้นที่อย่างที่สมาคมอัศวินทำแต่อย่างใด แต่ก็เข้าร่วมแย่งชิงที่ทำกินซึ่งเดิมเป็นของเหล่าทหารรับจ้างอย่างเป็นทางการ

ข่าวลือยิ่งแพร่สะพัดไปหนักกว่าเดิม พวกผู้นำของสมาพันธ์เฟิงเป็นบ้าไปแล้วหรือ ?



[1] ลงเรือโจรไปแล้ว หมายถึง ถอยกลับไม่ได้อีกแล้ว

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:50

0 ความคิดเห็น