หัวข้อ : เล่มที่ ๔ รวมพลก่อตั้งสมาพันธ์ ตอนที่ ๓ เข้าใจผิด

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:43

ตอนที่ ๓

 

เข้าใจผิด

 

 

หลังอิ่มหนำสำราญกันไปหนึ่งมื้อ ถึงแม้ตอนจ่ายเงิน เฉินเฟิงจะอดปวดใจไม่ได้ แต่ได้เห็นเพื่อนฝูงมากมายขนาดนี้มาอยู่ร่วมกัน ทำให้รู้สึกตื้นตันอยู่ไม่น้อย ทุกคนต่างแสดงความจริงใจออกมาอย่างไม่มีการเก็บงำ ซึ่งนับว่าหาได้ยากยิ่งสำหรับสังคมอันเย็นชาในปัจจุบัน

หลังอาหาร ทุกคนต่างละเลียดดื่มน้ำชาที่เฉินเฟิงเป็นคนเลี้ยงอีกเช่นกันพลางสนทนากันไปเรื่อยเปื่อย การรับประทานข้าวเสร็จเคลื่อนไหวทันทีไม่เป็นผลดีต่อร่างกายนัก อย่าว่าแต่เมื่อครู่ทุกคนต่างสวาปามกันอย่างแหลกลาญเสียด้วย หากไม่นั่งรอให้อาหารได้ย่อยไปเสียบ้าง ก็ไม่มีใครยอมขยับเขยื้อนเหมือนกัน

“อยู่ดีๆ เกมราชาฯดันส่งสัตว์อสูรเก่งตั้งขนาดนี้มาเฉยเลย ทำเอาทุกคนต้องเดินอ้อมโลกกันไปหมด ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าครั้งนี้บริษัทเลจจ์คิดอะไรอยู่” ฉินซวงบ่นกระปอดกระแปด

กระต่ายคลั่งหนีจากพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“นั่นสิ ! เดินทางหลวงน่าเบื่อจะตายชัก มีสัตว์อสูรให้รังแกอยู่แค่ไม่กี่ตัว โชคดีที่ครั้งนี้มีทุกคนเดินเป็นเพื่อน ไม่อย่างนั้นเอาแต่เร่งเดินทางแบบนี้มีหวังเซ็งระเบิด”

เจี๋ยเต๋อวิเคราะห์ว่า “อาจเป็นเพราะตอนนี้วัตถุดิบในการก่อสร้างขาดแคลน ทำให้ผู้เล่นจำนวนมากพากันฉวยโอกาสหากำไรจากสถานการณ์นี้ บริษัทเลจจ์ถึงได้ส่งสัตว์อสูรนี่มาถ่วงให้ทุกคนต้องเสียเวลาเดินอ้อมทางโดยเฉพาะล่ะมั้ง !”

อะไรก็ได้ เสนาธิการของขบวนนักเวทและสัตว์ก็ผสมโรงวิเคราะห์ด้วยการแสดงความเห็นว่า

“ความจริงแบบนี้ก็ตรงกับท่าทีที่ผ่านๆ มาของบริษัทเลจจ์อยู่นะ หลังจากเปิดให้มีศูนย์สมาพันธ์แล้ว ทุกคนก็จะฝึกวิชาเลื่อนระดับกันได้เร็วขึ้นเยอะ และแน่ล่ะว่าต้องหาเงินได้ง่ายขึ้นด้วย บริษัทเลจจ์เคยใจดีขนาดนี้ซะที่ไหน ขืนพวกนั้นไม่หาเรื่องมาสร้างความลำบากถ่วงความเร็วในการก้าวหน้าของพวกผู้เล่นไว้สักหน่อยสิถึงจะแปลก !”

เจี๋ยเต๋อสรุปว่า “ถ้าพวกนั้นไม่ทำอย่างนี้ ผู้เล่นทุกคนมีหวังได้กระเป๋าตุงกันไปหมด มีหรือจะจนกรอบกันเป็นส่วนใหญ่เหมือนอย่างตอนนี้ ? นี่อาจจะเป็นเทคนิคทางธุรกิจอย่างหนึ่งก็ได้ ต้องมีความยากในระดับหนึ่งถึงจะมีคุณค่า และยิ่งดึงดูดให้ผู้เล่นต่างก็ต้องขยันขันแข็งหาเงินกันเข้าไป !”

ทุกคนต่างก็อดเซ็งกันไม่ได้ นี่เป็นท่าทีมาตรฐานของบริษัทเลจจ์จริงๆ และเป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกคนทั้งรักทั้งชังบริษัทนี้

อยู่ๆ ปีกของซาตานก็โพล่งขึ้นว่า “แต่ก็ถือว่าโชคดีที่เกมราชาฯปล่อยสัตว์อสูรตัวนี้ออกมาขวางทาง ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มีโอกาสได้รู้จักกับทุกคนแน่ ! พูดตามตรงนะ ฉันเล่นเกมราชาฯมาก็นานแล้ว แต่เพิ่งจะเคยได้คบเพื่อนมากขนาดนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ”

หนานอี๋ยิ้ม “ความจริงเล่นเกมมันก็ควรจะเป็นอย่างนี้สิ ถึงจะไม่ปฏิเสธว่าความเห็นแก่ตัวเป็นนิสัยโดยธรรมชาติของมนุษย์ แต่ตั้งแต่ได้รู้จักกับมนุษย์ประหลาดอย่างพี่เฟิง ฉันถึงค่อยรู้ว่าการแบ่งปันมีความสุขกว่าการฮุบเอาไว้ชื่นชมคนเดียวเยอะ การแลกเปลี่ยนความเห็นกันก็สะดวกสบายกว่าคลำหาเอาเองคนเดียวเป็นกอง แถมยังก้าวหน้าเร็วกว่าแอบศึกษาเองคนเดียวตั้งหลายเท่าด้วย พวกคุณว่าจริงไหม ?”

หยกม่วงร้องบอกว่าเห็นด้วย แล้วเสริมว่า

“อย่างตอนนี้ที่ยักษ์สามตาเกล็ดมังกรมาขวางทางหาเงินของพวกผู้เล่น แต่พวกเรามีเพื่อนก็เลยไม่เหมือนกัน มีพี่เฟิงที่ไปมาเมืองมังกรเมฆได้อย่างอิสระ มีเบาะแสเรื่องภูเขาแร่เหล็กจากพี่เฮยโถว แล้วจะไม่ฉวยโอกาสนี้หากำไรให้เปรมได้ยังไงกันล่ะเนอะ !”

เฉินเฟิงหัวเราะ “มีโอกาสหาเงินก็ต้องแบ่งๆ ให้ทุกคนได้รู้ล่ะนะ เพราะมีแต่ช่วยหนุนจนทุกคนก้าวหน้าเก่งฉกาจกันหมด เวลาต้องการความช่วยเหลือ ถึงจะมีผู้ช่วยเหลือที่เก่งๆ เยอะๆ อย่าว่าแต่ถ้าไม่ได้พวกคุณช่วย ผมเองคงหาเงินไม่ได้มากจนซื้อบ้านได้หรอก เลยถึงเวลาที่ผมต้องตอบแทนบ้างแล้วล่ะ”

พอพูดถึงเรื่องหาเงิน ทุกคนต่างก็กระตือรือร้นกันถ้วนหน้า เงินที่หามาได้ในหลายวันมานี้แทบจะมากกว่าที่หาได้ในเวลาปกติหนึ่งเดือนเสียด้วยซ้ำ แต่ละคนต่างก็ซื้อไอเท็มมาเพิ่มได้กันไม่ใช่น้อย ต้องทราบว่าในโลกของเกมราชาฯ การหาเงินเป็นเรื่องยากมาก ไม่อย่างนั้นทุกคนคงไม่ถึงกับกะอีแค่เข้าภัตตาคารก็ยังเสียดายเงินแล้ว

หลังจากจัดแจงเตรียมไอเท็มเสร็จ ทุกคนต่างก็ซื้อกระโจมและกาน้ำมาเพิ่ม แถมยังขอให้เฉินเฟิงพยายามเคลียร์ช่องเก็บไอเท็มเตรียมเอาไว้ให้เยอะๆ หน่อย ดูท่าเตรียมจะทำศึกระยะยาวกันแล้ว

แล้วคนทั้ง ๑๗ ก็ยกขบวนกันไปยังภูเขาแร่เหล็กอย่างเอิกเกริก เปิดฉากยุทธการแย่งทำเงินอย่างเป็นทางการ

 

เสียง “กึ้งๆ ! แก๊งๆ !” ดังไม่ขาดสายอยู่ในภูเขาแร่เหล็ก ดูท่าข่าวเรื่องแร่เหล็กขึ้นราคาจะแพร่ออกไปแล้ว ตอนนี้จึงมีผู้เล่นที่มาเพราะได้ยินข่าวไม่ใช่น้อย

โชคดีที่ภูเขาแร่เหล็กมีขนาดใหญ่มาก ถึงตอนนี้จะมีผู้เล่นมากันถึงเกือบ ๑๐๐ คน ก็ไม่เกิดการกระทบกระทั่งกันแต่อย่างใด ต่างก็แบ่งเป็นกลุ่มๆ ยึดพื้นที่คนละจุดทำงานกันไป

และแน่นอนว่าพวกเฉินเฟิงที่มีจำนวนคนมากที่สุดเป็นที่สะดุดตามากที่สุด ตอนที่พวกเขาเพิ่งมาถึง ทำเอาบรรยากาศบริเวณนั้นตึงเครียดไปชั่วขณะ เพราะมากันตั้งเป็นกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ ทำให้ผู้เล่นหลายคนคิดว่าอาจเป็นคนของกลุ่มหรือสมาคมใดสักแห่งมาแย่งที่ทำกินที่นี่

ปกติพวกกลุ่มและสมาคมมักจะชอบวางอำนาจขับไล่ผู้เล่นคนอื่นๆ ไปจนหมด แล้วยึดครองพื้นที่ทำกินแบบผูกขาด แม้จะทำให้ใครๆ ต่างก็ไม่พอใจ แต่เนื่องจากพวกกลุ่มและสมาคมมีจำนวนสมาชิกเยอะมาก ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่ได้แต่โกรธแค้นโดยไม่กล้าลงมือทำอะไร

แต่ก็ผิดคาดอย่างยิ่ง คนกลุ่มนี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้ขับไล่คนอื่นไป แถมยังไม่ได้มาวางอำนาจยึดครองส่วนกลางของภูเขาที่มีปริมาณแร่เหล็กอยู่มากที่สุดอีกต่างหาก ซึ่งบริเวณนั้นมีผู้เล่นอยู่มากที่สุด แต่ไม่ต้องเทียบกันก็รู้แล้วว่า ไม่มีกลุ่มไหนทาบคนกลุ่มนี้ติด แค่ที่ทุกคนต่างก็มีม้าขี่ บวกกับเครื่องป้องกันของแต่ละคน สงสัยผู้เล่นอื่นในบริเวณภูเขาแร่เหล็กทั้งหมดที่มีเครื่องป้องกันดีขนาดพอจะเทียบเคียงได้ มีจำนวนไม่มากเท่าผู้เล่นกลุ่มนี้เสียด้วยซ้ำ !

ทั้ง ๑๗ คนละทิ้งบริเวณใจกลาง แล้วไปเลือกมุมหนึ่งของภูเขาทำงานกันอย่างขันแข็ง สงบเสงี่ยมกันขนาดนี้แล้วไปสะดุดตาคนอื่นๆ ได้ยังไง ? ปรากฏว่าเป็นเพราะยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมง ก็มีเสียงโห่ร้องดีอกดีใจดังติดต่อกันมาจากคนกลุ่มนี้ ทำให้ทุกคนอดหันมามองไม่ได้

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กลุ่มนี้สะดุดตาคนอื่นคือ ในกลุ่มนี้มีผู้หญิงอยู่ถึง ๖ คน งานขุดแร่เป็นงานที่ต้องใช้แรง ดังนั้นถึงแม้ในบริเวณนี้จะมีผู้เล่นอยู่ถึงเกือบ ๑๐๐ คน แต่ก็มีผู้หญิงอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น

และแล้วทุกคนก็พากันหยุดมือที่กำลังทำงานหันมาดูกลุ่มคนอันแสนประหลาดนี้ จากนั้นสุมหัวซุบซิบกัน

ตรงบริเวณใจกลางของภูเขา ผู้เล่นที่ดำมอมแมมไปทั้งตัวคนหนึ่งคุยเล่นกับเพื่อนที่อยู่ข้างๆ ว่า

“พี่สองแสงกล้า (เหลี่ยงกวงหง) เบาะแสของพี่ผิดพลาดหรือเปล่าน่ะ ทำไมแร่เหล็กทางนี้ของพวกเราถึงน้อยกว่าที่คนอื่นทางโน้นเขาขุดได้เสียอีกล่ะ ? แล้วยังมาให้พวกเราผลัดกันขุดแบบเอาเป็นเอาตายอีก สงสัยจะโดนคนอื่นเขาแย่งทำเลดีๆ ไปซะแล้วล่ะมั้ง ?”

สองแสงกล้าซึ่งแต่งตัวดูแล้วเหมือนนักรบคลั่งพูดตอบโดยที่มือยังไม่หยุดทำงานและไม่เงยหน้าขึ้นมามองว่า

วณิพกลอยชาย (ล่างเหรินเพียว) นายเอาแต่ดูผู้หญิงอยู่มากกว่ามั้ง ผู้เล่นกลุ่มไหนบ้างที่ตอนเพิ่งมาถึงไม่ได้เป็นอย่างพวกนั้น ตอนแรกๆ ที่ขุดแร่เหล็กได้ มันก็ตื่นเต้นดีใจอย่างนั้นกันทั้งนั้นแหละ อีกเดี๋ยวก็กลับเป็นปกติแล้วล่ะน่า !”

ผู้เล่นอีกคนซึ่งเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันหัวเราะพลางพูดว่า

“ก็อุดอู้มาตั้งสองวันแล้วนี่ มีสาวๆ มาให้บำรุงสายตา ใครบ้างจะไม่อยากดู ! ฉันว่าผู้หญิงคนที่แต่งชุดจอมเวทนั่นสวยที่สุด สองแสงกล้า พี่ล่ะคิดว่าไง ?”

วณิพกลอยชายรับขึ้นทันควัน “ฮ่าๆ โลมานี่ถูกคอฉันจริงๆ แต่ฉันว่าผู้หญิงใส่ชุดพรานทางขวานั่นสวยกว่านะ ! สองแสงกล้า พี่เองก็พักซักหน่อยเถอะน่า รีบร้อนขุดแบบนี้ กลัวภูเขาแร่เหล็กจะถูกขุดหมดไปก่อนหรือไงกัน ลองบอกหน่อยเป็นไรว่าแบบไหนที่ถูกสเปคพี่ ?”

สองแสงกล้าชะงักมือ แล้วเช็ดเหงื่อพลางหยิบกาน้ำขึ้นมาดื่มน้ำ จากนั้นหันไปตอบพวกพ้องอย่างรำคาญ

โลมาสีม่วง (จื่อเซ่อห่ายถุน) ไหงถึงไปเป็นลูกคู่ให้วณิพกลอยชายมันอย่างนั้นล่ะหา ? ต่อให้สวยแค่ไหนแล้วไงล่ะ ไม่เห็นเรอะว่าคนอื่นเขามีม้าขี่กันทุกคนน่ะ ? เครื่องป้องกันก็เลิศๆ กันทั้งนั้น ไม่ว่าคนไหนก็รวยกว่าไอ้จนกรอบอย่างนายสองคนกันทุกคน รีบฉวยโอกาสที่ยังมีแรงขุดๆ เข้าไปจะได้มีแร่ไปขายเพิ่มอีกหน่อยดีกว่าน่า ฉันไม่ได้กลัวว่าแร่เหล็กจะถูกคนอื่นขุดไปจนหมด แต่กลัวว่าขืนชักช้าจนราคามันตกสิจะน่าเสียดายแย่ ราคามันใช่ว่าจะสูงแบบนี้อยู่ทุกวันเสียเมื่อไหร่ คิดจะหลีสาวมันก็ต้องมีทุนซะก่อน !”

“ก็แค่มองเท่านั้นเองน่า” วณิพกลอยชายแก้ตัว “ฉันเองก็รู้เหมือนกันแหละว่าตอนนี้ต้องรีบๆ ขุดหน่อย แต่ต่อให้ขยันขุดยังไงก็เฉลี่ยเจอชั่วโมงละก้อนอยู่ดี ฉันล่ะข้องใจว่านี่ต้องเป็นอัตราเร็วที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วแหงๆ จะขุดมากหรือขุดน้อยไปนิดหน่อยก็เหมือนกันทั้งนั้น น้ำน่ะกินประหยัดๆ หน่อยล่ะ ! พวกเราใกล้จะขาดเสบียงอยู่แล้ว เดี๋ยวตอนพวกสฺยงป้ามาเปลี่ยนเวร คงไม่เหลือน้ำให้กินแล้วล่ะมั้ง”

“สาวงามช่วยดับร้อนได้นา ! มองให้มากเข้าหน่อยรับรองไม่มีทางหิวน้ำแน่ เนี่ยพวกเรารึอุตส่าห์หวังดี ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ” โลมาสีม่วงว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอโทษด้วย แสดงว่าฉันเข้าใจพวกนายผิดไปเองงั้นสินะ ?” สองแสงกล้าประชด

ทั้งสองกำลังทำท่าได้ใจ สองแสงกล้าก็ส่ายหน้าพลางยิ้มฝืดๆ

“นายนึกว่าคนอื่นเขาโง่เรอะ ? ใครว่าขุดให้มากขึ้นอีกนิดไม่มีประโยชน์กันหา ? ดูผลงานของนายสองคนในหลายวันมานี้สิ น้อยกว่าใครเพื่อนเห็นๆ แม้แต่ส้มโอที่เพิ่งมาขุดได้แค่วันครึ่งยังขุดได้มากกว่าพวกนายเลย ปากน่ะพูดให้มันน้อยลง มือน่ะทำงานให้มันมากหน่อย ถ้าพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้วเครื่องป้องกันของทุกคนได้อัพเกรดกันหมดล่ะก็ นายสองคนอย่ามาร้องไห้ให้ฉันเห็นก็แล้วกัน !”

สองหนุ่มได้แต่ยิ้มกร่อยๆ แล้วต่างบ่นอะไรกันงึมงำก็ไม่ทราบ แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรอีก แค่ถืออีเตอร์เหวี่ยงระบายเอากับภูเขาแร่เหล็กแทน

เสียง “กึ้งๆ ! แก๊งๆ !” เริ่มเข้าแทนที่เสียงกระซิบกระซาบอีกครั้ง เพียงแต่ผ่านไปตั้ง ๒ ชั่วโมงแล้ว เสียงโห่ร้องดีอกดีใจของกลุ่มเฉินเฟิงก็ยังคงดังลั่นเกินเหตุอยู่อย่างผิดคาด สองแสงกล้าชะงักมืออีกครั้ง แล้วหันไปมองทางพวกเฉินเฟิงอย่างตกตะลึง ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อ

พวกนั้นแทบจะขุดได้เร็วกว่าคนอื่นถึงสองเท่า ทุกครึ่งชั่วโมงเป็นต้องขุดได้ ๑ ก้อน แถมทั้ง ๑๐ กว่าคนยังเป็นแบบนั้นเหมือนกันหมดอีกต่างหาก ! ตัวสองแสงกล้าเองพยายามมากกว่าผู้เล่นทั่วไปอยู่แล้ว เพราะอาศัยพละกำลังที่ได้เพิ่มมาของนักรบคลั่ง บวกกับพยายามติดต่อกันมาหลายวัน ทักษะเลือกวัตถุดิบของเขาถึงค่อยเลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๔ อย่างลำบากยากเย็น ถึงจะไม่กล้าพูดว่าทักษะนี้ของเขาสูงที่สุด แต่อย่างน้อยในบรรดาผู้เล่นที่อยู่บริเวณนี้ทั้งหมดก็มีคนที่มีทักษะนี้สูงกว่าเขาแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ที่กังขาอย่างยิ่งคือ ขนาดเขามีปัจจัยช่วยเหลือมากตั้งเท่านี้ ก็ยังต้องใช้เวลาถึง ๔๐ กว่านาทีกว่าจะขุดได้สักก้อน แล้วพวกนั้นทำได้ยังไงกันแน่ ?

วณิพกลอยชายเห็นสองแสงกล้านิ่งตะลึงไปพักใหญ่ จึงผลักเขาเบาๆ พลางพูดอย่างสงสัยว่า

“พี่ใหญ่ไม่อนุญาตให้พวกเราดู ไหงตัวเองดูซะเพลินแบบนั้นเล่า ? สาวคนไหนมีเสน่ห์ขนาดนั้นกันน่ะ ให้ผู้น้องช่วยสร้างโอกาสให้เอามั้ยพี่ ?”

สองแสงกล้ารั้งสติคืนมา แล้วส่ายหน้า “วณิพก คนพวกนี้ไม่ใช่เล่นๆ จริงๆ นายดูสิ ความเร็วในการขุดของพวกนั้นเร็วกว่าคนทั่วไปตั้งเท่าตัวเชียวนะ ! ถ้าได้เรียนรู้วิธีนั้นล่ะก็ จะได้กำไรอีกตั้งเท่าตัวเชียว มิน่าล่ะเครื่องป้องกันของพวกนั้นถึงได้เลิศขนาดนั้น”

หลังจากดูอยู่พักหนึ่ง วณิพกลอยชายเองก็เริ่มผิดสังเกตเช่นกัน แม้ปกติเขาจะเป็นคนขี้เล่น แต่ความจริงแล้วเป็นผู้เล่นที่เอาจริงเอาจังอย่างมากคนหนึ่งทีเดียว ไม่นานเขาก็พบว่าที่สองแสงกล้าพูดเป็นความจริง จึงแอบเอากล้องส่องทางไกลออกมาส่องดูอย่างละเอียด

โลมาสีม่วงพบว่าพรรคพวกอีกสองคนต่างก็หยุดทำงาน จึงพลอยหยุดบ้างเพื่อจะดูว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่ยังไม่ทันออกปากถาม สองแสงกล้าก็ส่งสัญญาณบอกให้เขาช่วยบังเอาไว้

ทั้งสามร่วมมือกันมาจนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว โลมาสีม่วงจึงเดินเข้าไปช่วยบังให้วณิพกลอยชายทันทีโดยไม่ถามให้เสียเวลา เพราะถึงยังไงการใช้กล้องส่องทางไกลแอบดูคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องที่มีเกียรติเลยสักนิด

ครู่ใหญ่ให้หลัง วณิพกลอยชายก็เก็บกล้องส่องทางไกลอย่างชำนาญ จากนั้นพูดเบาๆ

“มีลับลมคมในจริงๆ ด้วย พี่ใหญ่ อีเตอร์ของพวกนั้นเรืองแสงได้ หรือนั่นจะเป็นไอเท็มพิเศษ ?”

โลมาสีม่วงเดินกลับไปยังตำแหน่งเดิมของตัวเองอย่างไร้พิรุธพลางพูดงงๆ

“อีเตอร์เรืองแสงได้ ? ลึกลับงี้เชียว ไม่รู้ซื้อมาจากไหนสิแฮะ”

“ไม่น่าจะซื้อมานะ เมืองทั้งหมดในทวีปกู่ย่านี่ฉันไปมาหมดแล้ว อีเตอร์ที่ขายในร้านไอเท็มทุกร้านมันก็เหมือนกันทั้งนั้น ยังไม่เคยเจอร้านไหนขายอีเตอร์แบบอื่นที่ต่างออกไปเลย คงจะได้มาจากสัตว์อสูรล่ะมั้ง ?” สองแสงกล้าออกความเห็น “ไม่รู้พวกเขาจะยอมขายหรือเปล่า วณิพกลอยชาย นายลองไปถามดูสิ พวกเรารวมกันซื้อมาสักด้ามมาผลัดกันใช้ จะได้สบายขึ้นกันหน่อย”

ขณะที่สามคนทางนี้กำลังเถียงกันอยู่ว่าใครต้องเป็นคนไปถาม ทางนั้นก็รู้ตัวแล้วว่ามีคนกำลังใช้กล้องส่องทางไกลแอบดูพวกตัว ทุกคนต่างชะงักมือที่กำลังทำงาน แล้วรอดูว่าสามคนนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่

คนแรกที่รู้ตัวว่ามีคนกำลังแอบดูพวกตัวเองอยู่คืออู่ชิวเฟิงที่ปกติแทบจะไม่พูด นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่เฉินเฟิงแนะวิธีฝึกทักษะของอาชีพนินจาให้ พอกลับไปถึงเมือง เขาก็ซื้อกล้องส่องทางไกลมาหนึ่งกล้องทันที หลายวันก่อนหน้านี้ ระหว่างเดินทางมาที่ภูเขาแร่เหล็กกับพรรคพวก เขาเป็นคนส่องกล้องดูลาดเลาให้มาตลอดทาง ตลอดทั้งวันกล้องส่องทางไกลแทบไม่ได้ห่างมือ ดังนั้นจึงประสาทสัมผัสไวกับกล้องส่องทางไกลเป็นพิเศษ

ปฏิกิริยาของพวกเฉินเฟิงส่วนใหญ่ยังไม่กระไรนัก แต่สาวๆ ทั้ง ๖ สิเดือดดาลมาก ตอนที่เพิ่งมาถึง ก็มีคนจำนวนไม่น้อยพากันแอบวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างสัดส่วนของพวกเธอ ถึงจะแค่กระซิบกระซาบกันก็เถอะ แต่ก็มีบางคนวิจารณ์แล้วหัวเราะซะดังลั่นจนพวกเธอได้ยินเข้าให้ และสามคนนั้นก็ดันเป็นหนึ่งในจำนวนที่ว่านี้เสียด้วย ความจริงปกติทั้ง ๖ สาวใช่ว่าจะไม่มีคนมอง แต่ถูกเปรียบเทียบกันไปมาแบบนี้มันกระอักกระอ่วนน่าดูชม

กว่าพวกผู้ชายจะช่วยกันปลอบให้ ๖ สาวระงับอาการเดือดดาลลงได้ก็แทบแย่ นี่อีกฝ่ายดันเอากล้องส่องทางไกลมาแอบดูกันอีกแล้ว ไฟโทสะที่เพิ่งจะมอดลงจึงลุกโชติช่วงอีกครั้ง โดยเฉพาะหยกม่วงแทบจะแล่นไปเอาเรื่องกับอีกฝ่ายอยู่รอมร่อ

หลังจากที่เป่ายิ้งฉุบแพ้ สองแสงกล้าจำต้องแข็งใจเดินเข้าไปหาพวกเฉินเฟิงโดยไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่เลยว่ากำลังจะต้องไปเผชิญหน้ากับแม่เสือ ๖ ตัวที่กำลังเดือดสุดขีด

เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยรั้งหยกม่วงเอาไว้ได้อย่างยากเย็น เฮยโถวเองก็ลนลานปลอบปิศาจหลิวให้ใจเย็นๆ ส่วนสามสาวของขบวนนักเวทและสัตว์เองปกติค่อนข้างเรียบร้อยอยู่แล้ว เมื่อเห็นไม่มีใครออกหน้าก็พากันนิ่งเฉยอยู่ กลายเป็นว่าปีกของซาตาน หญิงสาวคนใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมกลุ่มเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาหา ก็ชิงโพล่งขึ้นก่อนใครจะทันได้เอ่ยปากพูดว่า

“มีธุระอะไร ? ถ้าไม่มีก็อย่ามาเดินเพ่นพ่านแถวนี้ แล้วอย่าลืมไปอบรมเพื่อนสองคนนั้นของนายให้ดีๆ เสียด้วย ไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้มันเสียมรรยาทมากน่ะ ?”

กำลังกลุ้มอยู่เชียวว่าจะออกปากพูดยังไงดีก็โดนยันหน้าหงายมาเสียแล้ว แต่ก็ตัดความยุ่งยากของการเริ่มพูดไปได้พอดี สองแสงกล้าตอบอึกอักว่า

“ผมต้องขออภัยคุณสุภาพสตรีทุกท่านเป็นอย่างสูงแทนความไร้มรรยาทของเพื่อนผมสองคนนั้นด้วยครับ ขอโทษอย่างมากจริงๆ” พูดจบก็โค้งคำนับ ๙๐ องศา

ปีกของซาตานอดอึ้งไม่ได้เพราะนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะออกปากขอโทษอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ขณะที่ไม่ทราบว่าจะพูดยังไงต่อดี เฉินเฟิงก็ออกหน้าพูดให้แทนว่า

“พี่ชายท่านนี้เกรงใจเกินไปแล้วครับ คนที่เสียมรรยาทคือเพื่อนของคุณสองคนนั้น คุณไม่เห็นจำเป็นต้องขอโทษแทนพวกเขาเลย แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากมาย เพียงแต่ทำแบบนี้มันออกจะเสียมรรยาทกับผู้หญิงอยู่บ้าง เชื่อว่าพี่น้องเองก็คงจะทราบดี ครั้งนี้ถือว่าแล้วกันไปก็แล้วกันครับ ไม่ทราบว่าที่พี่น้องเข้ามาหาพวกเรานี่มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ ?”

ตอนแรกสองแสงกล้ายังกลัวว่าปีกของซาตานจะโวยวายต่อ พอได้เฉินเฟิงมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์จึงค่อยโล่งอก และฉวยโอกาสพูดต่อว่า

“ต้องขอขอบคุณในความใจกว้างของพี่ชายท่านนี้มากครับ กลับไปแล้วผมต้องอบรมพวกนั้นให้หนักๆ ว่าต่อไปจะไม่ให้ทำแบบนี้อีกแล้ว แต่...มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากจะขอบังอาจถาม ไม่ทราบว่าเครื่องมือที่ใช้ขุดแร่นั่นพวกคุณซื้อมาจากไหนกันหรือครับ พอจะบอกผมได้หรือเปล่า ? แน่นอนว่าพวกคุณไม่มีความจำเป็นต้องบอกผม และหากสะดวก ผมอยากจะขอซื้อจากทุกท่านเอาไว้ใช้สักเล่ม ไม่ทราบว่าทุกท่านจะยอมตัดใจขายให้ได้ไหมครับ ?”

เฉินเฟิงทำหน้างง “เครื่องมือที่ใช้ขุดแร่ ? ทุกคนก็เหมือนกันหมดไม่ใช่หรือครับ ? ก็ซื้อมาจากร้านขายไอเท็มไง ! ทุกเมืองมีขายกันทั้งนั้น ในหมู่บ้านอิวะเองก็มี หรือของคุณจะขุดจนหักไปแล้ว ? ผมมีสำรองอยู่สองเล่ม พวกคุณนี่ก็ร้ายกาจไม่ใช่เล่นเลยนะครับ ผมขุดมาตั้งนานยังไม่เคยเห็นใครขุดจนอีเตอร์หักมาก่อนเลย !”

พูดจบเฉินเฟิงก็ยื่นอีเตอร์ในมือตัวเองให้สองแสงกล้า แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ทันควันว่าถ้าอีเตอร์สามารถหักเพราะถูกใช้งานนานได้ อย่างนั้นอีเตอร์ของเขาเล่มนี้ก็ใช้ขุดมาตั้งหลายวันแล้ว ไม่แน่ว่าใช้ไปอีกหน่อยอาจจะพลอยหักคามือไปอีกเล่ม อย่างนั้นมีหวังผิดต่ออีกฝ่ายแย่ ด้วยเหตุนี้จึงคุ้ยกระเป๋าเป้หยิบอีเตอร์เล่มใหม่เอี่ยมยื่นให้อีกฝ่ายแทน

สองแสงกล้าเห็นเฉินเฟิงยอมยกอีเตอร์ให้ตัวเองง่ายๆ แบบนี้ ก็นึกดีใจว่าได้กำไรแล้วเรา คาดไม่ถึงว่าอยู่ๆ เฉินเฟิงดันเปลี่ยนใจหยิบอีเตอร์ธรรมดาๆ ยื่นให้แทน เหตุเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สองแสงกล้านึกว่าตัวเองถูกปั่นหัวเล่นเข้าให้แล้ว จึงหน้าเปลี่ยนสี พูดว่า

“พี่น้องเล่นตลกกันแบบนี้ไม่รู้สึกว่าเกินไปหน่อยหรือ ? ไม่อยากให้ก็แล้วไปสิ ทำไมต้องมาแกล้งกันเล่นแบบนี้ด้วย !”

พูดจบก็เดินจากไปอย่างเป็นฟืนเป็นไฟโดยไม่กล่าวลา ทิ้งให้เฉินเฟิงยืนอึ้งอยู่คนเดียว ทำไมให้อีเตอร์เล่มใหม่ถึงกลายเป็นว่าไปแกล้งเล่นตลกไปได้ล่ะเนี่ย ? ว่าแล้วก็ยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้นเอง

ครั้นพรรคพวกที่อยู่รายรอบเห็นดังนี้ ก็พากันระเบิดหัวเราะลั่นทันที พวกสาวๆ หลายคนยิ่งอารมณ์ดีจนพูดไม่หยุดปากว่าเฉินเฟิงร้ายกาจจริงๆ ที่ช่วยล้างแค้นให้พวกเธอได้สำเร็จ

เฉินเฟิงมองทุกคนอย่างงุนงง เจี๋ยเต๋อหัวเราะพลางอธิบายว่า

“ลูกไม้นี้ของพี่เฟิงร้ายกาจแท้ๆ หนนี้หมอนั่นมีหวังโกรธน่าดูชม ผมเพิ่งจะเคยเห็นพี่ปั่นหัวคนเล่นเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย ! ดูท่าต่อไปต้องระวังอย่าไปล่วงเกินพี่เข้าให้ซะแล้ว ไม่อย่างนั้นมีหวังถูกฆ่าตายแบบไม่รู้ตัวแน่ ฮ่าๆ !”

คมพิรุณเห็นเฉินเฟิงยังทำหน้าไม่เข้าใจอยู่เหมือนเดิม ก็ส่ายหน้าน้อยๆ

“เฟิงซฺยง คุณไม่รู้เรื่องจริงๆ หรือแกล้งอำพวกเราเล่นกันนี่ ? เขามาถามถึงเทคนิคใหม่ที่คุณคิดขึ้นได้ต่างหากค่ะ ไม่ได้คิดจะมาซื้ออีเตอร์จริงๆ หรอก คุณปั่นหัวเขาไปแล้วยังไม่รู้ตัวอีก”

ในที่สุดเฉินเฟิงก็เข้าใจจนได้ว่าทำไมสองแสงกล้าถึงเปลี่ยนท่าทีไวขนาดนั้น ครั้งนี้เข้าใจผิดกันไปใหญ่โตเสียแล้ว จึงฝืนยิ้มพลางพูดว่า

“หัวหน้าคมพิรุณอย่าล้อกันเล่นสิครับ ทำไมเมื่อกี้ถึงไม่ยอมสะกิดบอกผมล่ะ ? ผมเลยปล่อยไก่ไปซะแล้ว แล้วนี่จะทำยังไงดี ? คนเขาโมโหไปแล้ว ไปล่วงเกินคนอื่นแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกแล้วสิผม...”

เฮยโถวพูดว่า “พี่เฟิงไม่ต้องกังวลใจไปหรอกน่า เพราะไม่ใช่ความผิดของพี่สักหน่อย ถ้าไม่เพราะปิศาจหลิวบอกผม ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันแหละว่าความจริงพวกเขาต้องการอะไร ยังไงฝ่ายนั้นก็เป็นฝ่ายเสียมรรยาทก่อน แล้วพี่ก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องไปสอนพวกเขาเสียหน่อย อีกอย่างต่อให้สอนไป พวกนั้นไม่มีจอมเวทอยู่ด้วยก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”

อะไรก็ได้เองก็ปลอบใจว่า “เมื่อกี้เห็นตอนที่พี่ยื่นอีเตอร์ให้ เขาทำหน้าเห็นชัดเลยว่าดีใจที่ได้ไปฟรีๆ ก็เขาไม่ยอมพูดให้ชัดเจนเองนี่ จะมาโทษพี่ได้ยังไงกันล่ะ !”

เฉินเฟิงยังจะพูดอะไรได้นอกจากได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ กับส่ายหน้า ดูเวลาเห็นว่าใกล้โพล้เพล้แล้ว จึงพูดขอตัวกับทุกคนว่าจะไปเดินเล่นเสียหน่อย จะได้ล่าสัตว์ป่าติดไม้ติดมือกลับมาด้วยเลย พูดจบก็เดินผละไปเพียงลำพัง

หนานอี๋เห็นท่าทางซึมๆ ของเฉินเฟิง ก็บอกทุกคนว่าจะไปช่วยเขาอีกแรง จากนั้นเดินตามหลังเฉินเฟิงเข้าไปในป่าลึกเพื่อหาอาหารเย็น

 

สองแสงกล้าเดินกลับมาอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ วณิพกลอยชายเห็นสีหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่ายก็ถามว่า

“เป็นอะไรไปน่ะพี่ ? ทำไมพวกนั้นหัวเราะกันซะดังลั่นขนาดนั้น หรือหัวเราะที่พวกเราไม่เจียมตัว ?”

โลมาสีม่วงเองก็เข้ามาถามว่า “นั่นสิ ! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? เห็นพี่ขอโทษพวกนั้นด้วยนี่ ถ้าพวกนั้นหัวเราะที่พวกเราไม่เจียมตัว อีกเดี๋ยวพอพวกสฺยงป้ามา พวกเราจะไปแก้แค้นให้พี่เอง”

สองแสงกล้าสูดลมหายใจยาวๆ แล้วถอนใจ “ถูกปั่นหัวเล่นน่ะ แต่ก็สมน้ำหน้าพวกเราแล้วล่ะ พวกนายสองคนน่ะแหละก่อเรื่อง บอกแล้วว่าอย่าเอาแต่จ้องพวกสาวๆ ก็ไม่ยอมฟัง เมื่อกี้ฉันขอโทษแทนนายสองคนน่ะสิ ส่วนเรื่องไม่เจียมตัวหรือ ? เฮ้อ พวกเรามันไม่เจียมตัวจริงๆ นั่นแหละ พวกนายยังคิดจะไปหาเรื่องพวกเขาอีกเรอะ ? ต่อให้มีพวกสฺยงป้ามาเพิ่ม พวกเราก็สู้พวกเขาไม่ได้อยู่ดี พอเดินเข้าไปใกล้นั่นแหละถึงได้รู้ว่า แค่นักดาบก็มีตั้ง ๕ คนเข้าไปแล้ว แล้วยังมีจอมเวท นักบวช นินจา นายพราน นักรบคลั่ง พอดูดีๆ คนที่ยังไม่ได้อาชีพมีแค่ ๕ คนเท่านั้น พวกเขาไม่มาหาเรื่องเราก็บุญแล้ว !”

วณิพกลอยชายแลบลิ้น “ขนาดนั้นเชียว ? ตั้ง ๖ อาชีพ ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีกลุ่มไหนมีจำนวนอาชีพมากขนาดนี้ ! พวกเราสู้ไม่ได้จริงๆ เสียด้วย ไม่รู้พวกเขารับสมัครสมาชิกหรือเปล่าแฮะ ? ฉันว่าพวกเราไปขอเข้าเป็นพวกกันเหอะ”

สองแสงกล้ายิ้มเจื่อนๆ “กลัวว่าพวกเขาจะไม่รับน่ะสิ ! ฉันเองก็ไม่เคยเห็นกลุ่มหรือสมาคมไหนมีจำนวนอาชีพมากขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน ตอนแรกยังนึกว่าดูผิดซะด้วยซ้ำ แต่เครื่องป้องกันเฉพาะของแต่ละอาชีพพวกนั้น ฉันไม่มีทางดูผิดแน่”

สองหนุ่มหันมามองหน้ากัน คิดไม่ถึงเลยว่าแค่มองผู้หญิงหน่อยเดียวก็ก่อเรื่องได้ด้วย กลุ่มแบบนี้ถ้าได้เข้าร่วมล่ะก็ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ยืดได้แน่ แต่ตอนนี้ดันไปล่วงเกินพวกนั้นเสียแล้ว ต่อให้พวกนั้นคิดจะรับสมัครสมาชิก ก็คงไม่รับพวกเขาแหงๆ

ทันใดนั้นทางด้านหลังของทั้งสามได้มีเสียงห้าวๆ ของผู้ชายดังขึ้นว่า

“ฉันฟังผิดหรือเปล่าเนี่ย กลุ่มหรือสมาคมไหนกันหรือที่ยอดเยี่ยมถึงขนาดทำให้พี่ใหญ่เกิดอยากจะเข้าไปเป็นสมาชิกได้ ?”

สองแสงกล้าหันไปมอง แล้วพูดว่า

สฺยงป้าตาตี้[1] (ยึดครองแผ่นดิน) , ส้มโอ (โหยวจื่อ) , ตัวใหญ่ (ต้าเก้อเอ๋อร์) ทำไมวันนี้พวกนายสามคนมาผลัดเวรกันเร็วจริง ? นายไม่ได้ฟังผิดหรอก แต่กลัวว่าพวกเราคงไม่มีโอกาสเข้ากลุ่มนั้นแล้วล่ะ”

ส้มโอพูดว่า “ตอนนี้สมาคมไหนบ้างไม่พยายามรับสมัครคนอย่างเอาเป็นเอาตาย ยังจะมีที่ไม่ยอมรับสมาชิกอีกเหรอ ? แถมพวกเราไม่ใช่พวกไร้น้ำยาซะหน่อย พี่ใหญ่พี่รองต่างก็ได้อาชีพแล้ว กลุ่มที่อยากจะได้ตัวพวกเราน่ะมีเยอะขนาดเข้าแถวจากที่นี่ไปถึงหมู่บ้านอิวะโน่นเชียวนะ แล้วกลุ่มไหนกันที่มันหยิ่งขนาดนี้ ?”

“กลุ่มที่มีผู้เล่น ๖ อาชีพ จำนวนสมาชิกไม่กระจ่าง มีสาวๆ มากเป็นพิเศษ และมีไอเท็มเครื่องมือแบบพิเศษอีกต่างหาก แบบนี้นายว่าควรจะหยิ่งหรือเปล่าล่ะ ?” วณิพกลอยชายว่า

สฺยงป้าต้าตี้ตะลึง “มีต้นทุนให้หยิ่งได้จริงๆ ด้วยแฮะ แต่ดูจากท่าทางของพี่ใหญ่แล้ว เหมือนถูกเขาปฏิเสธมางั้นแหละ ?”

สองแสงกล้าถอนใจ “ก็ไม่เชิง...แต่ก็ไม่ต่างกันนักหรอก เมื่อกี้ฉันเข้าไปทักทาย แต่เพราะวณิพกลอยชายกับโลมาสีม่วงไปดูซี้ซั้วจ้องสาวๆ ในกลุ่มนั้น พวกนั้นเขาเลยไม่พอใจ บวกกับพวกเรามันไม่เจียมตัว ดันคิดจะไปขอซื้อไอเท็มพิเศษของพวกเขา สุดท้ายเลยถูกแกล้งปั่นหัวกลับมานี่แหละ”

ตัวใหญ่พูดว่า “วณิพกลอยชายกับโลมาสีม่วงก่อเรื่องอีกแล้ว พวกนายช่วยทำตัวดีๆ หน่อย อย่าเที่ยวไปก่อเรื่องอีกได้มั้ยหา ! พี่ใหญ่ ไอเท็มพิเศษอะไรหรือ ? เห็นพูดถึงตั้งสองครั้งแล้ว มันสำคัญขนาดนั้นเชียว ?”

“นั่นสิ ฉันเองก็สงสัยเหมือนกัน” ส้มโอสนับสนุน

วณิพกลอยชายแอบส่งกล้องส่องทางไกลให้ส้มโอ “ดูเครื่องมือของพวกผู้เล่นด้านขวานั่นเอาเองก็แล้วกัน แล้วก็อย่าไปจ้องสาวๆ ในกลุ่มนั้นเข้าเชียวนะ แค่เหลือบมองก็ไม่ได้เด็ดขาด”

ส้มโอรับกล้องส่องทางไกลมาส่องดูอยู่พักใหญ่ จนถูกสองแสงกล้าห้ามไว้ ถึงค่อยพูดว่า

“ก็อีเตอร์ธรรมดาๆ นี่นา ฉันดูไม่เห็นออกเลยว่ามันต่างกันที่ตรงไหน ?”

“ส้มโอ นายตาลายไปแล้วหรือไง อีเตอร์ทุกอันเรืองแสงได้กันทั้งนั้น นายไม่เห็นหรือไง ?” โลมาสีม่วงว่า

ส้มโอทำหน้างง “เรืองแสง ? ไม่เห็นมีนี่ ? แสงสีอะไรหรือ ? ทำไมฉันดูยังไงก็เหมือนอีเตอร์ธรรมดาๆ ล่ะ ? ถ้าไม่เชื่อพวกนายก็ลองมาดูเอาเองสิ !”



[1] สฺยงป้าต้าตี้ (ยึดครองแผ่นดิน) คำ “สฺยง” สย ออกเสียงควบกล้ำ โดยเน้นหนักที่เสียง ส.เสือ เหมือนอย่างคำว่า “กรง” ที่ กร ออกเสียงควบ และเน้นหนักที่เสียง ก.ไก่ (จุดพินทุอยู่ใต้พยัญชนะตัวไหน หมายถึงต้องเน้นหนักที่เสียงพยัญชนะตัวนั้น)

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:43

0 ความคิดเห็น