หัวข้อ : เล่มที่ ๓ สงครามอัศวิน ตอนที่ ๙ สงครามอัศวิน

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:24

ตอนที่ ๙

 

สงครามอัศวิน

 

 

เมื่อออกจากปากทางหุบเขามรณะ เนื่องจากบริเวณนี้สามารถใช้ม้วนคาถากลับบ้านได้แล้ว ดังนั้นจึงมีพวกผู้เล่นที่ต่างก็อยากได้ส่วนแบ่งมาชุมนุมกันอย่างคับคั่ง ก็ไอเท็มที่สัตว์อสูรระดับราชาจะระเบิดให้มีแต่ไอเท็มชั้นเลิศทั้งนั้นนี่ !

พวกเฉินเฟิงทั้ง ๗ ต่างก็หาที่เหมาะๆ ตั้งหลักกัน เฉินเฟิงเปลี่ยนอาวุธไปใช้ธนูที่ใช้โจมตีจากระยะไกล แล้วกำชับทุกคนว่ารักษาชีวิตไว้สำคัญที่สุด เมื่อมองดูฝูงคนที่มาออกันเต็มไปหมดแล้ว ต่อให้บังเอิญฟลุคฆ่ายักษ์สามตาเกล็ดมังกรได้จริง จะมีโอกาสได้แบ่งไอเท็มหรือเปล่านี่ ได้แต่พึ่งดวงสถานเดียว

รออยู่พักใหญ่ ยักษ์สามตาเกล็ดมังกรก็ไม่ยอมออกมาจากหุบเขามรณะเสียที และก็มีพวกผู้เล่นกระโดดเข้าร่วมขบวนรนหาที่ตายอย่างไม่ขาดสาย เฉินเฟิงเปิดช่องมวลชนดูข่าวคราวความเคลื่อนไหวอย่างเซ็งๆ ในช่องมวลชนกำลังถกกันเรื่องความแข็งแกร่งของยักษ์สามตาอย่างคึกคัก

จนถึงตอนนี้ที่พอจะทราบก็มี พลังโจมตีสูง ๕,๐๐๐ จุดขึ้นไป หากอยู่ในระยะใกล้จะมีโอกาสโดนโจมตีด้วยคลื่นเสียงอีกต่างหาก พลังทำลายมีประมาณ ๒,๐๐๐ จุด

เมื่อดูถึงตรงนี้ เฉินเฟิงก็เลือกตัดใจทันที อย่าว่าแต่ถูกยักษ์สามตาโจมตีตรงๆ เลย แค่เสียงคำรามของมัน ในคนทั้ง ๗ ก็มีคนที่ทนรับได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น

เฉินเฟิงบอกการตัดสินใจของตัวเองออกไป คนทั้ง ๖ ต่างก็ทราบดีว่าเวลานี้พวกตนยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยักษ์สามตา ถึงไอเท็มชั้นเลิศจะยั่วยวนแค่ไหน ชีวิตก็สำคัญกว่า อย่าว่าแต่ในพวกเขาทั้ง ๗ ไม่มีใครเคยเรียนเวทมนตร์กันเลยสักคน แถมในช่องมวลชนยังถกกันว่าอัตราการยิงโดนของลูกธนูมีไม่ถึง ๑/๑,๐๐๐ เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ทั้ง ๗ จึงไปจากปากทางหุบเขามรณะ แล้วเดินทางกันต่อ

 

เมืองมังกรเมฆใหญ่แค่ไหนกันแน่ ?

คำถามนี้เกรงว่านอกจากคนออกแบบเมืองนี้แล้ว คงไม่มีใครสามารถตอบได้ นอกจากหมอกบางๆ ที่ปกคลุมอยู่ทั่วเมืองทำให้ไม่สามารถมองเห็นสภาพภายในเมืองโดยรวมทั้งหมดได้แล้ว การออกแบบก่อสร้างของตัวเมืองมังกรเมฆเองก็แปลกประหลาดไม่ใช่น้อย

ตลอดทั้งเมืองคดเคี้ยวไปมาเหมือนลำตัวมังกร ช่วงกลางถูกซ่อนลับตาอยู่ในตัวภูเขา ลักษณะโดยรวมคล้ายตัวอักษร ที่วางราบกับพื้น

คนทั้ง ๗ ขี่ม้าไปตามถนนใหญ่ ขี่อยู่ ๒ ชั่วโมงกว่าจะไปถึงใจกลางของเมือง พอได้เห็นคนไปๆ มาๆ กันอย่างคึกคัก เฉินเฟิงก็มีอาการร่าเริงสุดๆ

และแล้วก็หาภัตตาคารเจอจนได้ แน่นอนว่ามื้อนี้เฮยโถวต้องเป็นเจ้ามือเลี้ยงทุกคนอย่างเต็มที่ นี่เป็นครั้งแรกที่คนทั้ง ๖ ได้มารับประทานอาหารในภัตตาคาร และต่างก็เป็นเหมือนเฉินเฟิงตอนที่ได้เข้าภัตตาคารครั้งแรกเปี๊ยบ แต่นอกจากจะร้องชมรสชาติของอาหารไม่ขาดปากแล้ว ทั้ง ๕ ยังจัดแจงด่าเฮยโถวเสียเลือดโชกไปทั้งตัว ค่าที่รู้ว่ามีที่ดีๆ อย่างนี้ให้เสพสุขแท้ๆ แต่ดันไม่ยอมพาพวกเขามากันเสียที

เฮยโถวได้แต่ยิ้มแห้งๆ ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดี เพราะถึงเขาจะไม่ได้เพิ่งเข้าภัตตาคารเป็นครั้งแรก แต่ก็เพิ่งจะเคยมานั่งรับประทานอาหารในภัตตาคารเป็นครั้งแรกเหมือนกัน แม้ราคา ๕๐๐ เหรียญเงินออกจะแพงไปสักหน่อย ทว่านับแต่นี้ไปภัตตาคารของแต่ละเมืองก็ได้ลูกค้าประจำเพิ่มมาอีก ๖ ราย...

เมื่อเพิ่มเหล้าเร้นดรุณมาด้วย อาหารมื้อนี้คนทั้ง ๗ ก็ใช้เวลารับประทานกันถึงเกือบ ๓ ชั่วโมง จนต่างอิ่มทั้งเหล้าและอาหารกันเต็มที่แล้ว ทั้งหมดก็พากันไปเช่าห้อง ขอพักผ่อนก่อนค่อยว่ากันทีหลัง สองสาวนัดกันว่าจะไปช้อปปิ้ง ส่วนสี่หนุ่มต่างพร้อมใจกันนอนแผ่หราหลับเป็นตายทันที

เฉินเฟิงทั้งไม่ได้ดื่มเหล้าและชินกับการตรากตรำแบบนี้อยู่แล้ว จึงถามถึงตำแหน่งที่ตั้งของร้านตีเหล็กอย่างละเอียด แล้วขอตัวไปเดินเล่นในเมืองตามลำพัง

จนถึงตอนนี้ก็ยังมีผู้เล่นไม่ใช่น้อยมุ่งหน้าไปยังหุบเขามรณะ เมื่อเฉินเฟิงเปิดช่องมวลชนขึ้นดูอย่างประหลาดใจ ก็พบว่ายักษ์สามตาเกล็ดมังกรไม่เพียงแต่ยังไม่ถูกฆ่าตายเท่านั้น มันยังฆ่าผู้เล่นไปแล้วไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ราย ผู้เล่นจำนวนไม่น้อยต่างก็เริ่มประท้วงว่าสัตว์อสูรตัวนี้ออกแบบมาโอเวอร์เกินไปแล้ว โชคดีที่ขอบเขตความเคลื่อนไหวของมันอยู่แค่ภายในหุบเขามรณะ และแล้วหุบเขามรณะก็กลายเป็นหุบเขาที่เข้าไปแล้วต้องมรณะสถานเดียวสมชื่อ

เฉินเฟิงนึกดีใจที่ครั้งนี้พวกเขา ๗ คนตัดสินใจถอยออกมา ไม่อย่างนั้นตอนนี้มีหวังยังรอฟื้นคืนชีพกันอยู่เลยแหงๆ หลังจากผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ ฐานะของจอมเวทคงจะสูงขึ้นอีกมากแน่ๆ

หลังจากซื้อไอเท็มมาเสริมเสร็จเรียบร้อย เฉินเฟิงก็หาอยู่ตั้งนานกว่าจะหาไอ้ที่เรียกว่าร้านตีเหล็กเจอ มันคือโรงไม้เล็กๆ ที่ดูกระจอกสุดๆ จนไม่สามารถจะกระจอกไปกว่านี้ได้อีกแล้ว มิน่าเล่าถึงถูกพวกผู้เล่นมองข้ามไปได้ง่ายๆ

เมื่อเข้าไปในร้าน ดูยังไงก็ไม่เหมือนร้านตีเหล็กเลยแม้แต่น้อย บนผนังมีอาวุธจำพวกดาบกับภาพอักษรแขวนอยู่อย่างสะเปะสะปะ ดาบดูธรรมดาดาษดื่น แต่ภาพอักษรกลับงดงามโดดเด่นดั่งหงส์มังกรโลดทะยาน

ชื่อของเถ้าแก่คือ หูจื่อหลิง[1] เคราที่ดกหนาบวกกับรูปร่างสูงใหญ่กำยำ แต่ดันแต่งชุดแบบผู้คงแก่เรียน ไม่ว่าจะดูยังไงก็หาความเข้ากันไม่ได้เลย !

ตั้งแต่เฉินเฟิงก้าวเข้าประตูไป เถ้าแก่ก็เอาแต่โฆษณาขายภาพอักษรของตัวเองโดยไม่เปิดโอกาสให้เฉินเฟิงได้อ้าปากพูดแม้แต่คำเดียว แล้วราคาของภาพแต่ละภาพก็ดันแพงหูฉี่จนสะดุ้ง ทำเอาเฉินเฟิงทำตัวไม่ถูกไปเลย นี่ถ้าไม่เพราะหน้าประตูแขวนป้ายเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “ร้านตีเหล็กเขี้ยวมังกร” ล่ะก็ เขาคงอดสงสัยไม่ได้ว่าตูมาผิดที่หรือเปล่าหว่า ?

สุดท้ายด้วยความสามารถในการพล่ามยัดเยียดขายอย่างไม่ยอมจบยอมสิ้นของเถ้าแก่หูจื่อหลิง ทำให้เฉินเฟิงทนไม่ไหวต้องยอมซื้อภาพมา ๓ ภาพในราคา ๓,๐๐๐ เหรียญเงินจนได้ จากนั้นถึงค่อยมีโอกาสได้เปิดปากพูดถึงจุดประสงค์ในการมา

ราคาของแร่เหล็กสูงขึ้นอีกแล้ว ตอนที่เถ้าแก่หูจื่อหลิงบอกราคาในตอนนี้ของแร่เหล็กออกไป ปฏิกิริยาของเฉินเฟิงทำเอาเขาสะดุ้งโหยง แต่เมื่อเฉินเฟิงเอาก้อนแร่เหล็ก ๓,๐๐๐ หน่วยออกมา หนนี้เปลี่ยนเป็นปฏิกิริยาของเถ้าแก่หูจื่อหลิงทำเอาเฉินเฟิงสะดุ้งโหยงแทน

ตอนนี้ราคาของแร่เหล็กแต่ละหน่วยคือ ๗๐ เหรียญเงิน ในแร่เหล็ก ๓,๐๐๐ หน่วยนี้ ๘๐๐ หน่วยเป็นแร่เหล็กที่พวกเฮยโถวฝากขาย รายรับรวดเดียว ๑๕๐,๐๐๐ เหรียญเงินทำเอาเฉินเฟิงยิ้มร่าดีใจจนปากหุบไม่ลง

ตอนแรกที่ใช้เงิน ๘๐,๐๐๐ เหรียญเงินรับซื้อแร่เหล็ก ๒,๐๐๐ หน่วย เขาไม่คิดเลยว่าจะขายได้กำไรมาถึง ๖๐,๐๐๐ เหรียญเงินในรวดเดียว นับว่าทำดีได้ดีจริงๆ

นอกจากนี้ได้ยินว่าก้อนโลหะก็ใช้แลกวัตถุดิบเหล็กกล้าได้ เฉินเฟิงจึงถามถึงราคาของก้อนโลหะอย่างอยากรู้อยากเห็น ปรากฏว่าก้อนโลหะที่เดิมร้านขายไอเท็มรับซื้อในราคาก้อนละ ๑๐ เหรียญเงินเองก็ถูกกระแสวัตถุดิบขาดแคลนนี้ทำเอาราคาสูงขึ้นไปเป็นก้อนโลหะระดับต่ำสุดราคาก้อนละ ๒๐๐ เหรียญเงิน

ครั้นได้ยินราคานี้ เฉินเฟิงก็รีบไปขนก้อนโลหะทั้งหมดที่มีออกมาโละขายทิ้งทันที ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเล่นเกมมาจนถึงวันนี้ ถึงเฉินเฟิงจะฆ่าสัตว์อสูรไปไม่มากมายอะไรนัก แต่ก็ไม่เคยเงินขาดมือถึงขนาดต้องเคลียร์ไอเท็มในคลังมาก่อน เมื่อลองนับก้อนโลหะที่เก็บเอาไว้ทั้งหมด ปรากฏว่ามีมากถึง ๑,๕๐๐ กว่าก้อนทีเดียว

หูจื่อหลิงเถ้าแก่ร้านตีเหล็กปลดผนึกก้อนโลหะจนมืออ่อนไปเลย แถมในจำนวนนั้นยังมีก้อนโลหะระดับสูงอยู่ถึง ๓๐ กว่าก้อน คาดว่าน่าจะเป็นก้อนโลหะที่พฤกษ์ไพธอนสารหนูแดงระเบิดให้มานั่นเอง

ค่าปลดผนึกแต่ละก้อนคือ ๘ เหรียญเงิน ก้อนโลหะระดับกลางรับซื้อในราคาก้อนละ ๕๐๐ เหรียญเงิน ก้อนโลหะระดับสูงรับซื้อในราคาก้อนละ ๑,๐๐๐ เหรียญเงิน หลังจากเคลียร์ก้อนโลหะในคลังจนหมดเกลี้ยงแล้ว เฉินเฟิงก็ไปธนาคารโอนเงินเข้าบัญชีเสร็จเรียบร้อย ลองนับเงินในบัญชีดู ปรากฏว่ามีมากกว่าหนึ่งล้านเหรียญเงินแล้ว

เถ้าแก่หูจื่อหลิงแอบกระซิบว่า ราคานี้จะคงอยู่ไปอีกระยะหนึ่ง ยินดีต้อนรับเฉินเฟิงมาเยือนอีกครั้ง แน่นอนว่าถ้าช่วยซื้อผลงานอันยอดเยี่ยมของเขาไปอีกหลายใบได้ด้วยจะยิ่งดีมาก

ตอนแรกเฉินเฟิงยังคิดจะถามข้อมูลเกี่ยวกับวิธีสกัดแร่ แต่หูจื่อหลิงดันเริ่มพยายามยัดเยียดขายภาพอักษรของตัวเองอีกแล้ว เขาจึงได้แต่รีบเผ่นหัวซุกหัวซุน และเข้าใจในที่สุดว่ารอยยิ้มไม่น่าไว้วางใจของปิศาจหลิวตอนที่เขาบอกขอตัวมาที่นี่หมายถึงอะไร...

ตอนนี้เงินของเฉินเฟิงมากพอจะซื้อบ้านของตัวเองได้แล้ว ตอนแรกเขายังคิดว่าชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่มีทางเก็บเงินซื้อได้เสียอีก ปรากฏว่าแค่อาทิตย์เดียวเขาก็ซื้อบ้านได้แล้ว

จำได้ว่าในบอร์ดสนทนามีนักเล่นเกมอาชีพระดับอาวุโสหลายคนเสนอแนะว่า หากต้องการมีรายได้มั่นคงในเกมราชาแห่งราชัน การซื้อบ้านเป็นของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมาก นอกจากช่องเก็บไอเท็มฟรี ๑๐,๐๐๐ ช่องแล้ว ที่น่าดึงดูดใจที่สุดคือ สามารถเพิ่มจำนวนช่องเก็บไอเท็มในบ้านได้ด้วยการซื้อเฟอร์นิเจอร์มาเพิ่ม และสามารถไปกลับเมืองที่ตัวเองกำหนดเอาไว้ ๓ เมืองได้ตามใจชอบ แถมยังมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูพละกำลังได้เร็วกว่าปกติ ๓ เท่าตัวเหมือนกับศูนย์สมาพันธ์

ถึงขนาดมีนักเล่นเกมอาชีพบางรายยอมโอนเงินจริงเข้ามาในเกมเพื่อซื้อบ้านกันเลยทีเดียว ขอเพียงกุมโอกาสให้ดีๆ รับซื้อตอนราคาตก และปล่อยขายตอนราคาขึ้น บวกกับสามารถไปได้ทั่วทวีป ก็จะสามารถเรียกทุนคืนมาได้อย่างรวดเร็ว

ตอนแรกเฉินเฟิงเองก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับหัวข้อสนทนานี้นัก ไม่ต้องพูดถึงว่าในธนาคารของเขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น แต่ถึงจะมีเงินมากพอ เฉินเฟิงก็ไม่คิดจะเสียเงินซื้อของสมมติพวกนี้อยู่แล้ว

แต่หลังจากเล่นเกมนี้มาได้พักหนึ่ง เฉินเฟิงก็พบว่า มีผู้เล่นมากมายยินดียอมจ่ายเงินเพื่อแลกกับเวลา ดังนั้นหากสามารถกุมความเร็วไว้ได้และมีพลังมากพอ การหาเงินก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรมากมายนัก ตัวอย่างเช่นแร่เหล็กกับก้อนโลหะที่กำลังขึ้นราคาอยู่ในตอนนี้ ถ้ามีบ้านเป็นของตัวเอง ก็จะสามารถไปกลับระหว่างทางเหนือกับทางใต้ได้อย่างง่ายดาย แค่ค่ารับซื้อก้อนโลหะอย่างเดียว ก็ฟันกำไรอื้อซ่าได้แล้ว

หลังจากคิดแล้วคิดอีก เฉินเฟิงก็ตัดสินใจซื้อบ้านของตัวเอง เขาถูกส่งไปยังบ้านของตัวเองผ่านทางคำสั่งใหม่ของระบบ ครั้นเห็นบ้านแล้วรู้สึกว่าคล้ายกับห้องที่เขาอยู่ในโลกความจริงมากทีเดียว ในพื้นที่ขนาด ๔ ผิง[2] มีเตียง ๑ เตียง โต๊ะเขียนหนังสือ ๑ ตัว และตู้ใส่ของ ๑ ใบ นอกนั้นโล่งโจ้งไม่มีอะไรอีก แต่ที่นี่ดีกว่าในโลกภายนอกอยู่หน่อย เพราะด้านหลังมีลานโผล่มาด้วย ดูท่าจะเป็นที่สำหรับใช้เลี้ยงสัตว์เลี้ยง มีรางใส่อาหารกับรางใส่น้ำอย่างละราง

เฉินเฟิงกำหนดเมืองที่จะสามารถไปกลับได้ ๓ เมืองดังนี้ เมืองมังกรเมฆ เมืองท่าเซียงห่าย และเมืองเขี้ยวมังกร ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดมุม ๓ มุมของทวีปกู่ย่าพอดี เขาใช้เวลาอีก ๓ ชั่วโมงย้ายไอเท็มจากในคลังเก็บไอเท็มมาที่นี่ พอเห็นหลายฝูกับราชาสุนัขป่าน้อยเบนเน็ตต์เล่นกันอยู่ที่ลานหลังบ้าน เขาก็นึกถึงเซียวหยาวขึ้นมาทันที

เฉินเฟิงติดต่อเซียวหยาวอีกครั้ง ซึ่งเธอก็กำลังอยู่ในเมืองมังกรเมฆด้วยพอดี ดังนั้นจึงนัดเจอกันที่ภัตตาคาร พร้อมกันนั้นก็นัดพวกเฮยโถวไปด้วยเพื่อเอาเงินค่าขายแร่ไปให้ และแน่นอนว่ากะจะไปเฉ่งเรื่องหูจื่อหลิงด้วยอีกเรื่อง

ที่ภัตตาคาร เฮยโถวกับเจี๋ยเต๋อพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดชีวิต แต่หยกม่วงกับปิศาจหลิวสิพากันหัวเราะคิกคักอย่างเปิดเผยชนิดไม่มีการเกรงอกเกรงใจกันเลย ปรากฏว่าเวลาที่ต้องไปขายก้อนแร่เหล็ก ทั้ง ๖ มีอันต้องเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาทุกครั้ง ครั้งนี้เฉินเฟิงเป็นฝ่ายบอกขึ้นเองว่าจะไปให้ ทุกคนย่อมจะเห็นพ้องด้วยความยินดียิ่ง แถมยังพร้อมใจกันทำเป็นลืมบอกเรื่องความสามารถในการยัดเยียดขายภาพของเถ้าแก่หูจื่อหลิงอีกต่างหาก เฉินเฟิงจึงได้แต่ถอนหายใจที่ดันมีเพื่อนแบบนี้โดยทำอะไรคนทั้ง ๖ ไม่ได้

พอได้ยินว่าก้อนโลหะเองก็ขึ้นราคาสูงทะลุเพดานเหมือนกัน ทุกคนก็รีบเคลียร์คลังไอเท็มกันทันที แต่ก็ยังไม่มีใครยอมไปหาหูจื่อหลิงอยู่ดี สุดท้ายต่างก็ขายให้เฉินเฟิงที่คิดจะขอกำไรจากค่าแรงในราคาก้อนละ ๑๙๐ เหรียญเงิน

ทั้ง ๖ สะสมก้อนโลหะได้รวมกันประมาณ ๙๐๐ ก้อน ทำเอากระเป๋าเงินเฉินเฟิงกลวงไปในพริบตา แถมยังต้องวิ่งไปกลับธนาคารอีก ๓ รอบกว่าจะจ่ายเงินให้ทุกคนได้หมด แน่นอนว่ามีก้อนโลหะบางก้อนเป็นก้อนโลหะระดับกลาง ซึ่งถือว่าให้เฉินเฟิงได้กำไรไป เพียงแต่เฉินเฟิงมีอันต้องหอบภาพอักษรกลับมาอีก ๒ ภาพเท่านั้น

หลังจากเคลียร์ก้อนโลหะจนหมดแล้ว ทั้ง ๖ ก็ออฟไลน์ไปก่อน หนึ่งนั้นเป็นเพราะจนตอนนี้ภัยพิบัติที่หุบเขามรณะก็ยังไม่สิ้นสุดลง สองเป็นเพราะต่างก็ออนไลน์มานานเกินไปแล้ว

เซียวหยาวมารับเบนเน็ตต์แล้วจากไปอย่างรีบร้อน ได้คุยกันแค่ไม่กี่คำ เธอก็ถูกคนอื่นลากไปเสียแล้ว ถึงเฉินเฟิงอยากจะคุยกันอีกสักหน่อย แต่เห็นท่าทางอ่อนเพลียของเธอ จึงได้แต่บอกให้เธอพักผ่อนเสียบ้าง

เฉินเฟิงนับเงินในกระเป๋า เห็นว่าเหลืออยู่แค่ ๓๐๐ เหรียญทองกับ ๑,๕๕๐ เหรียญเงิน ดูท่าไม่ไปขุดแร่อีกสักหลายวัน คงไม่มีเงินเหลือพอมารับซื้อแน่

ขณะเตรียมจะจากไป ชายฉกรรจ์แปลกหน้ารูปร่างสูงใหญ่กำยำคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาหาเฉินเฟิงแล้วพูดว่า

“พี่น้องเฉินเฟิง คุณก็อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือครับ ! ยังจำผมได้หรือเปล่า ? พวกเรากำลังตามหาคุณอยู่พอดี เพราะมีบางเรื่องอยากจะเตือนคุณเอาไว้น่ะครับ !”

เฉินเฟิงมองอยู่พักใหญ่ก็ยังนึกไม่ออกว่านี่ใครกันหว่า จนกระทั่งผู้ชายตรงหน้าเอามือปิดหน้าตัวเองไว้ ๕ - ๖ ส่วน เขาค่อยนึกออกว่าอีกฝ่ายคือมังกรผงาดฟ้าแห่งขบวนมังกรอัศวินของแท้นั่นเอง ก็ใครใช้ให้หมวกเกราะของอัศวินมันชอบบังหน้าไปตั้ง ๕ - ๖ ส่วนกันเล่า !

มังกรผงาดฟ้าบอกว่า “จริงสิ ที่ผมมาหาคุณเพราะมีธุระสองเรื่องครับ เรื่องแรกคือเป็นตัวแทนของขบวนอัศวินมังกรของแท้แสดงความขอบคุณคุณและพวกเพื่อนๆ ของคุณ พูดตามตรง ถ้าไม่เพราะพวกคุณช่วยส่งข่าว พวกเราคงไม่มีโอกาสได้จัดการเศษเดน ๔ คนนั้นแน่ !”

“อะไรกันครับ พวกผมต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายขอบคุณพวกคุณ ! แต่ทำไมถึงแค่ ๔ คนล่ะครับ ? แล้วอัศวินอีก ๔ คนล่ะ ? แล้วก็พวกคุณไม่ได้เจอกับยักษ์สามตาเกล็ดมังกรหรอกหรือครับ ?”

มังกรผงาดฟ้ายิ้มแห้งๆ “อีก ๔ ตัวนั้นดันโชคดีอย่างบัดซบ ถูกยักษ์สามตาฆ่าตายในพริบตาไปน่ะครับ พวกเราเองก็พลอยโดนกวาดไปด้วยตั้งครึ่ง แต่ความจริงแค่ที่ฆ่าไปได้ ๔ คนนี่ พวกเราก็ดีใจกันมากแล้ว พี่น้องไม่รู้หรอกว่าพวกเราไล่ตามฆ่าเศษเดนพวกนี้มานานแค่ไหนแล้ว พวกมันลดหายไปตั้ง ๕ คนในรวดเดียวนี่ ต่อไปก็คงกำแหงไม่ออกแล้วล่ะครับ

“จริงสิ ยังมีธุระอีกเรื่อง คือเรื่องของเศษเดน ๔ คนที่รอดไปได้นั่น เพราะครั้งนี้พวกมันพ่ายแพ้ยับเยิน ดังนั้นพวกมันเลยสาบานว่าจะฆ่าพวกคุณให้ได้ ระยะนี้เวลาออกจากเมืองจึงอยากให้พวกคุณระวังตัวกันสักหน่อย พยายามอย่าเดินทางเพียงลำพังเด็ดขาด”

พอฟังแล้วเฉินเฟิงก็รีบเขียนข้อความฝากถึงพวกเฮยโถวทั้ง ๖ คนทันที จะได้ไม่เผลอเลินเล่อตายไปแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่

หลังจากขอบคุณมังกรผงาดฟ้าที่ช่วยมาเตือนแล้ว มังกรผงาดฟ้าก็กำชับอีกครั้งว่าถ้าเจอพวกเศษเดนอัศวินพวกนั้นอีก ต้องรีบส่งข่าวแจ้งให้พวกเขาทราบทันที หลังจากทั้งสองฝ่ายต่างแลกชื่อกันในช่องเพื่อนแล้วค่อยขอตัวจากไป

ความจริงเมื่อมีบ้านของตัวเองแล้ว ก็ไม่ต้องไปกลัวอีกว่าอัศวินพวกนั้นจะมาหาเรื่องเขา เวลา ๓ วันต่อมา เฉินเฟิงก็ไปกลับระหว่างเมือง ๓ เมืองทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการรับซื้อก้อนโลหะ

เนื่องจากไม่สามารถใช้หุบเขามรณะเป็นทางผ่านไปมาได้เป็นการชั่วคราว ราคาของก้อนโลหะจึงไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก และทรงตัวอยู่ระหว่างก้อนละ ๘๐ - ๑๒๐ เหรียญเงิน

แล้วเฉินเฟิงก็อาศัยกำไรก้อนละ ๑๐๐ เหรียญเงินขึ้นไปสะสมเงินไปเรื่อยๆ ๓ วันมานี้ เขาลืมไปแล้วว่าไปที่ร้านตีเหล็กมาแล้วกี่รอบ ถึงช่วงหลังๆ ราคาของก้อนโลหะจะตกลงเหลือแค่ก้อนละ ๑๒๐ เหรียญเงินโดยประมาณ เงินในธนาคารของเฉินเฟิงก็ยังสะสมได้จนเกือบถึง ๑ ล้านเหรียญอยู่ดี ตอนนี้เงินในบัญชีของเขามีอยู่ถึง ๖,๐๐๐ เหรียญทองกับ ๓๖๙,๗๐๐ เหรียญเงิน

การค้าขายครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ทักษะตั้งแผงลอยเลื่อนขึ้นไปเป็นระดับ ๑๒ ได้ทักษะย่อย “ได้รับส่วนลด ๑๐% จากร้านขายไอเท็มของระบบ” เพิ่มมา ถ้าบวกกับซื้อในปริมาณมาก จะได้ลดมากที่สุดถึง ๑๕% ต่อไปขอแค่ไปนั่งขายยาฟื้นพลังที่ข้างร้านขายไอเท็ม ก็มีกำไรได้แล้ว

นอกจากนี้เนื่องจากปริมาณการรับซื้อของเฉินเฟิงแทบจะไร้ขีดจำกัด แถมยังเก็บข้อมูลของผู้ขายเอาไว้ไม่ใช่น้อย ทำให้ทักษะตั้งกลุ่มได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๕ ระดับของทักษะชื่อเสียงเองก็เลื่อนขึ้นไปอีก ๓ ระดับ

อาจเป็นเพราะ ๓ วันก่อนหน้านี้เขารับซื้อมามากเกินไป พอมาวันที่ ๔ รับซื้ออยู่เป็นครึ่งค่อนวัน ยังรับซื้อก้อนโลหะได้แค่ ๕๐ ก้อน บวกกับกำไรชักจะเหลือน้อย เขาจึงอู้เข้าไปนั่งในภัตตาคารอย่างเซ็งๆ

พวกเฮยโถวทั้ง ๖ คนออนไลน์อีกครั้ง แล้วชวนเฉินเฟิงไปขุดแร่ด้วยกัน แต่ยักษ์สามตาเกล็ดมังกรยังคงยึดครองหุบเขามรณะเอาไว้อยู่เหมือนเดิม เฉินเฟิงจึงได้แต่เดินทางอ้อมเป็นเพื่อนคนทั้ง ๖ เมื่อมีม้าแล้วอย่างนี้ ใช้เวลาประมาณ ๒ วันทั้ง ๗ ก็น่าจะไปถึงจุดหมาย

เฉินเฟิงฉวยโอกาสที่ทุกคนเตรียมไอเท็มกับเครื่องป้องกันแวะไปที่ร้านตีเหล็กอีกครั้ง แต่พอก้าวเข้าประตูร้านไป เถ้าแก่หูจื่อหลิงกลับไม่ได้พยายามโฆษณาขายภาพอักษรเช่นเคย

เฉินเฟิงถามอย่างประหลาดใจ “วันนี้เถ้าแก่ดูแปลกจังครับ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ?”

หูจื่อหลิงหัวเราะ “คุณลูกค้าซื้อภาพอักษรของจื่อหลิงไปตั้ง ๑๐ ภาพแล้ว จื่อหลิงจะไปมีหน้าบังคับขายต่อได้ยังไงล่ะครับ ? ผมอยากจะขอให้คุณช่วยอะไรสักอย่าง ไม่ทราบว่าคุณยินดีช่วยหรือเปล่าครับ ?”

เฉินเฟิงพูดโดยไม่ต้องคิดว่า “ลองบอกมาก่อนเถอะครับ ! ถ้าช่วยได้ผมจะช่วยแน่ หลายวันมานี้เพราะได้เถ้าแก่ช่วยเหลือแท้ๆ ผมถึงได้กำไรตั้งมากขนาดนี้ !”

หูจื่อหลิงพูดว่า “ในภาพอักษรทั้ง ๑๐ ภาพของผมมีเหมืองแร่ซ่อนอยู่ ขอแค่คุณช่วยผมขุดแร่แก้วผลึกจากที่นั่นกลับมา ผมจะให้ของพิเศษแก่คุณ ๑ อย่าง แต่คุณต้องไปทำสิ่งนี้ด้วยตัวคุณเองเพียงคนเดียว ไม่ทราบว่าคุณยอมทำหรือเปล่าครับ ?”

เฉินเฟิงตะลึง คิดในใจว่า “หรือนี่จะเป็นภารกิจของระบบ ? คิดไม่ถึงว่าการหัวอ่อนยอมซื้อภาพก็ทำให้ได้รับภารกิจได้ด้วย !”

เดิมทีที่เขามายังเมืองมังกรเมฆก็เพื่อสืบข่าวความลับของทักษะอาชีพช่างฝีมืออยู่แล้ว เพียงแต่ทุกครั้งที่ออกปากถาม เถ้าแก่ก็เอาแต่พยายามยัดเยียดขายภาพอยู่นั่นแล้ว ทำให้เขาตัดใจที่จะหาข่าวจากที่นี่ไปเลย ถ้าไม่เพราะก้อนโลหะขึ้นราคากระฉูด ให้ตายเขาก็ไม่มีทางยอมมาที่นี่หลายครั้งขนาดนี้แน่ !

แน่ละว่าเฉินเฟิงย่อมจะรับปากยอมทำภารกิจนี้

หูจื่อหลิงให้หนังสือซึ่งบนปกเขียนเอาไว้ว่า “อักขระบรรยาย” แก่เฉินเฟิง แล้วบอกอย่างมีลับลมคมในว่าความลับอยู่ในภาพอักษรกับในหนังสือเล่มนี้นี่แหละ ตัวเขาเองไม่สะดวกจะบอกมากไปกว่านี้ ได้แต่อวยพรให้เฉินเฟิงหาแร่แก้วผลึกพบเร็วๆ

เฉินเฟิงถามต่อว่ามีกำหนดเวลาหรือเปล่า และมีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องระวังอีกไหม ? ผลปรากฏว่าไม่มีกำหนดเวลา เงื่อนไขมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือ ต้องทำให้สำเร็จด้วยตัวคนเดียว

 

คนทั้ง ๗ เพิ่งจะออกจากประตูเมืองทิศตะวันตกได้ไม่ถึง ๕ กิโลเมตร เรื่องยุ่งยากก็มาเยือน ข้างหน้ามีอัศวิน ๑๐ กว่าคนขวางทางเอาไว้ ต่างขี่ม้าชั้นเลิศสีแดง มือถือทวนขนาดมหึมา

พวกที่ไม่ยอมตัดใจเสียทีพวกนั้นอีกแล้ว...

เฉินเฟิงส่งข่าวขอความช่วยเหลือไปในช่องมวลชน และแอบติดต่อมังกรผงาดฟ้า ถึงยังไงที่นี่ก็ใช้ม้วนคาถากลับบ้านได้ ขอแค่ไม่ถูกฆ่าตายในพริบตา ก็สามารถหนีได้ทุกเวลา เขาแอบตัดสินใจว่าจะให้คนพวกนี้ได้เจอดีซะบ้าง ไม่อย่างนั้นจะหลงคิดว่าพวกเขากระจอกงอกง่อยจนนึกจะรังแกยังไงก็ได้ การที่พวกนี้เที่ยวมาหาเรื่องกันครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เฉินเฟิงชักโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว

อัศวินที่อยู่ด้านหน้าคนหนึ่งซึ่งบนตัวไม่ได้เรืองแสงสีแดงก้าวออกมาพูดอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจอย่างสุดๆ ว่า

“ใครเป็นหัวหน้ากลุ่ม ? ออกมาพูดกันหน่อยซิ ! ได้ยินว่าพวกนายใช้แผนสกปรกกลั่นแกล้งพี่น้องของเรา ถ้าวันนี้ไม่มีคำแก้ตัวที่ฟังขึ้นล่ะก็ เกิดฉันประกาศให้สมาชิกทุกคนไล่ฆ่าพวกนายละอย่ามาทำโวยวายเด็ดขาด !”

เฉินเฟิงเชิดหน้าก้าวออกไป ร้องว่า

“ผมนี่แหละหัวหน้ากลุ่ม ไม่ทราบว่าพวกเราไปใช้แผนสกปรกตั้งแต่เมื่อไหร่หรือครับ ? คุณเองเป็นถึงหัวหน้าสมาพันธ์ การปกครองกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ที่มีเรื่องบาดหมางกับพวกคุณในครั้งนี้ พวกเราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด หรือสมาพันธ์ของคุณอนุญาตให้ลูกน้องขวางทางดักปล้นกันครับ ? หรือสมาพันธ์ของคุณเป็นสมาพันธ์มหาโจรมาแต่แรกแล้ว ?”

อัศวินที่นำหน้าตะลึง “ขวางทางดักปล้น ? ขบวนอัศวินมังกรที่ฉัน หลงเยี่ยอิ่ง (มังกรในเงาวิกาล) ปกครองเป็นขบวนมหาโจร ? นายกำลังล้อเล่นหรือเปล่า ? ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ตอนที่พี่น้องของเราหลายคนกำลังล้างจุดแดงกันที่ปากทางด้านเหนือของหุบเขามรณะ (การฆ่าสัตว์อสูรธาตุความมืดจะสามารถลดปริมาณจุดแสงสีแดงของประกาศจับได้) พวกนายกลับร่วมมือกับขบวนอัศวินมังกรของแท้ศัตรูคู่อาฆาตของขบวนเรามาลอบทำร้าย ทำให้พี่น้องของพวกเรา ๕ คนต้องถูกลดระดับลงไปถึง ๑๐ กว่าระดับ แถมยังสูญเสียเครื่องป้องกันไปทั้งหมด เรื่องนี้พวกนายมีอะไรจะเถียง ?”

เฉินเฟิงหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ ! น่าขำสิ้นดี ! ดักปล้นกลายเป็นถูกลอบโจมตี ? ท่านหัวหน้าหลงเยี่ยอิ่งขอรับ คุณคิดหรือว่าผู้เล่นไม่กี่คนที่กระทั่งอาชีพก็ยังไม่มีจะกล้าไปหาเรื่องขบวนอัศวินมังกรโดยไม่มีเหตุผล ?”

นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าพูดกับหลงเยี่ยอิ่งแบบนี้ ถึงแม้สมาคมอัศวินจะทำให้สมาคมอาชีพอื่นๆ พากันไม่พอใจ แต่เนื่องจากพลังโจมตีของอาชีพอัศวินแข็งแกร่งเกินไป พวกผู้เล่นทุกคนจึงได้แต่กล้าแค้นไม่กล้าพูด เขาพูดว่าขวา จะไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้าว่าซ้ายเด็ดขาด

หลงเยี่ยอิ่งผู้ถูกเทิดทูนไว้ในตำแหน่งสุดสูงมาโดยตลอดได้ลืมไปเรียบร้อยแล้วว่าเขาเองก็เป็นแค่ผู้เล่นธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น...

หลงเยี่ยอิ่งนึกไม่ถึงเลยว่าหลังจากประกาศชื่อของตัวเองออกไป นินจากระจอกๆ ตรงหน้าจะยังกล้าหัวเราะใส่หน้าเขาได้ !

การเปลี่ยนแปลงระบบของเกมราชาฯในระยะนี้ทำให้สมาคมที่เขาอุตส่าห์ทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างขึ้นมาถูกบีบให้ต้องเปลี่ยนเป็นกลุ่ม แถมตอนนี้เพื่อที่จะแย่งสร้างศูนย์สมาพันธ์ ทำเอาทุลักทุเลแทบด่าวดิ้นอยู่ทุกวันไม่มีเว้น และเขายังยอมเปิดศึกกับกลุ่มเล็กๆ หลายกลุ่มเพื่อที่จะยึดครองเหล็กกล้าอีกต่างหาก ช่วงนี้เป็นเวลาที่ต้องการใช้คนแท้ๆ แต่ลูกน้องที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญดันมาโดนเก็บไปรวดเดียวถึง ๕ ราย ความหงุดหงิดที่พอกพูนสะสมมาตลอดระยะนี้เพิ่มพรวดเต็มจนล้นในพริบตา ทำให้อารมณ์เป็นฝ่ายเอาชนะเหตุผลไปในที่สุด หลงเยี่ยอิ่งหัวเราะดังลั่น ร้องว่า

“คนอื่นอาจจะไม่กล้า แต่จากที่เห็นฉันว่าพวกนายก็กล้ากันไม่ใช่เล่นเลยนี่ กะอีแค่มาหาเรื่องพวกเราขบวนอัศวินมังกร คงแค่เรื่องกล้วยๆ มั้ง ! กล้าทำก็ต้องกล้ารับ ประกาศชื่อมา แล้วเตรียมตัวตายซะ แบบนั้นฉันหลงเยี่ยอิ่งยังพอจะนับนายเป็นลูกผู้ชายได้บ้าง ! ให้นายเลือกดวลกับคนไหนก็ได้ตามแต่ใจ ไม่อย่างนั้นนายโผล่มาในเขตอิทธิพลของขบวนอัศวินมังกรเมื่อไหร่ เจอหนึ่งครั้ง ฆ่าหนึ่งครั้ง จะฆ่าจนกว่าพวกนายไม่กล้ามาเล่นเกมนี้อีก !”

บัณฑิตเจอนักสู้ เหตุผลไม่เข้าหู[3]โดยแท้ เฉินเฟิงเองก็ชักเดือดแล้วเหมือนกัน จึงร้องอย่างโกรธจัด

“ไม่แยกแยะผิดถูก ไม่พิสูจน์จริงเท็จ วันนี้นับว่าผมเฉินเฟิงได้รับทราบแล้วว่าหลงเยี่ยอิ่งเป็นคนแบบไหน ! น่าเสียดายที่พบหน้ามิสู้ยินนาม[4] ให้ผมเลือกดวลกับคนไหนก็ได้ตามแต่ใจใช่มั้ย ? ดีมาก ! ผมเฉินเฟิงขอท้าดวลกับคุณหลงเยี่ยอิ่ง วันนี้เราสองคนไม่ตายไม่เลิก !”

พวกเฮยโถวทั้ง ๖ ต่างก็ทราบจากช่องมวลชนแล้วว่าเฉินเฟิงได้ส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปแล้ว เดิมทีต่างคิดว่าขอแค่มีคนมาช่วย ก็น่าจะไม่ถึงกับโดนเล่นงานอะไรมาก ต่อให้ไม่มีใครมาช่วย อย่างมากก็แค่หนีกลับเข้าไปในเมืองมังกรเมฆอีกครั้งเท่านั้น

ใครจะไปนึกว่าสองคนนี้จะยิ่งพูดยิ่งเดือด เจี๋ยเต๋อที่ไหวตัวได้เร็วที่สุดในคนทั้ง ๖ เห็นสีหน้าเฉินเฟิงเปลี่ยนไป ก็ทำท่าจะห้าม แต่ดันช้าเกินไปเสียแล้ว จึงได้แต่รีบรั้งเฮยโถวที่มุทะลุที่สุดเอาไว้ เรื่องจะได้ไม่เลยเถิดไปกันใหญ่

รั้งทางนี้ไว้ได้ รั้งทางโน้นไม่อยู่ หยกม่วงโกรธจัดจนก้าวพรวดออกไปข้างหน้า ร้องตะโกนว่า

“พี่เฟิง ฉันถือหางพี่ ! ฉันชื่อหยกม่วง ใครจะท้าดวลฉันรับทั้งนั้น !”

เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยหันไปมองเจี๋ยเต๋อด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา

อู่ชิวเฟิงที่ปกติไม่ค่อยได้เอ่ยปากพูดพลันก้าวพรวดออกไปประกาศนามด้วยอีกคนว่า

“อู่ชิวเฟิง นับผมด้วยคน !”

เจี๋ยเต๋อยังไม่ทันมีปฏิกิริยาใด ปิศาจหลิวก็ก้าวพรวดตามออกไปประกาศนามทันที เฮยโถวฉวยโอกาสที่เจี๋ยเต๋อมัวแต่ตะลึงชิงก้าวออกไปประกาศนามเหมือนกัน

ตอนนี้สายเกินไปที่จะรั้งสถานการณ์กลับเสียแล้ว เจี๋ยเต๋อกับเข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยได้แต่แข็งใจก้าวออกไปประกาศนามแบบตามน้ำ เพราะจะยอมอยู่นิ่งให้โดนมองเป็นคนขี้ขลาดกระไรได้

หลงเยี่ยอิ่งเห็นกลุ่มคนตรงหน้าต่างแย่งกันประกาศนามอย่างไม่มีการถอยหนี เหมือนไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ก็ยิ่งหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง ร้องว่า

“ดี...ดีมาก...ประเสริฐ ! ต่างก็ไม่กลัวตายกันทั้งนั้น ! วันนี้จะให้โอกาสพวกนายสักครั้ง ไม่ว่าคนไหนก็ตามในพวกนายประมือกับฉันได้มากกว่า ๑๐ กระบวนท่า จะถือว่าฉันเป็นฝ่ายแพ้ !”

เสียงจากระบบได้ดังขึ้นกลางอากาศว่า

“การนัดดวลตัวต่อตัวของผู้เล่นเฉินเฟิงและหลงเยี่ยอิ่งไม่สัมฤทธิ์ผล เนื่องจากระดับห่างกันเกินที่ทางระบบกำหนด หากต้องการยืนกรานนัดดวล โปรดนัดกันอีกครั้ง แต่จะเปลี่ยนเป็นแบบตัดสินเป็นตาย ก่อนการต่อสู้จะสิ้นสุดลง ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถออกจากเกมหรือใช้ม้วนคาถากลับบ้านได้”

เฉินเฟิงงงไปชั่วครู่ แล้วค่อยนึกขึ้นได้ว่ากฎใหม่ของการดวลระบุว่าระดับของผู้ดวลทั้งสองฝ่ายจะต้องห่างกันไม่เกิน ๓ ระดับ แต่เขาก็ยื่นคำร้องขอนัดดวลอีกครั้งทันทีอย่างไม่มีการลังเล

ขณะนั้นเอง ทางด้านหลังได้มีเสียงฝีเท้าม้าห้อตะบึงมา ผู้เล่นประมาณ ๔๐ - ๕๐ คนกำลังวิ่งเข้ามาหา ผู้เล่นที่นำหน้าซึ่งสวมชุดอัศวินเหมือนกันร้องตะโกนว่า

“ช้าก่อน ! หลงเยี่ยอิ่ง ! คู่ต่อสู้ของนายคือฉัน อย่าดีแต่รังแกมือใหม่สิวะ !”

ครั้นเห็นว่ามีคนมาช่วยแล้ว เจี๋ยเต๋อก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ที่แท้ก็มังกรผงาดฟ้า ศัตรูคู่อาฆาตของหลงเยี่ยอิ่งนั่นเอง เขารีบส่งข้อความไปบอกพวกพ้องอีก ๕ คนว่าอย่าทำอะไรวู่วามอีก

ซึ่งความจริง พวกเขามาถือคุณธรรมน้ำมิตรกันในตอนนี้ มีแต่จะยิ่งทำให้เฉินเฟิงถอยลำบากมากขึ้นโดยไม่ได้ช่วยอะไรเลย ปกติเจี๋ยเต๋อเป็นเสนาธิการของคนทั้ง ๖ คนอยู่แล้ว และต่างก็เข้าใจดีว่าที่เขาพูดมาเป็นความจริง



[1] หูจื่อหลิง : หู เป็นแซ่ จื่อหลิง เป็นชื่อ แต่ในที่นี้ผู้เขียนจงใจเล่นคำ นั่นคือ หูจื่อ แปลว่า หนวดเครา ดังนั้นจึงแปลได้อีกอย่างว่า นายหลิงเคราดก

[2] ผิง เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีน ๑ ผิง = ๓.๓ เมตร

[3] บัณฑิตเจอนักสู้ เหตุผลไม่เข้าหู หมายถึง คนมีเหตุผลพูดกับคนที่ไม่มีเหตุผลและไม่คิดจะฟังเหตุผล เหมือนให้นักวิชาการไปพูดกับทหาร ต่อให้พูดจนปากฉีก ฝ่ายทหารก็ไม่ยอมรับฟัง

[4] พบหน้ามิสู้ยินนาม หมายถึง เจอตัวจริงแล้วปรากฏว่าด้อยกว่าชื่อเสียงที่ลือกัน


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:32 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:24

0 ความคิดเห็น