หัวข้อ : เล่มที่ ๓ สงครามอัศวิน ตอนที่ ๕ ภูเขาแร่เหล็ก

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:21

ตอนที่ ๕

 

ภูเขาแร่เหล็ก

 

 

ส่วนของช่างฝีมือเท่าที่ได้รู้ในตอนนี้ มีแค่ทักษะสร้างกับทักษะเลือกวัตถุดิบ บวกกับการสันนิษฐานจากข้อมูลอื่นๆ ที่ผ่านมา ทักษะที่เป็นเงื่อนไขในการได้อาชีพแต่ละอาชีพจะมีด้วยกัน ๗ ทักษะทั้งสิ้น ได้แก่ทักษะพื้นฐานของอาชีพนั้น ๓ ทักษะ กับทักษะจากอาชีพอื่น ๔ อาชีพอาชีพละ ๑ ทักษะ

เฉินเฟิงไม่ได้จัดเป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้มาพักใหญ่แล้ว ทักษะส่วนใหญ่ถ้าไม่โผล่มาเพราะใช้ไอเท็ม ก็โผล่มาเพราะใช้อาวุธ ตอนนี้ได้แต่ภาวนาให้อาชีพช่างฝีมือไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะจำพวกเวทมนตร์ เพราะเขาไม่มีข้อมูลทางด้านนี้เลยแม้แต่น้อย

เขาคุ้ยเจอค้อนยักษ์ที่ถูกทิ้งจมฝุ่นมาเนิ่นนาน จากการค้นคว้าที่ผ่านมาทำให้ทราบว่า แต่ละอาชีพจะต้องการระดับของทักษะแต่ละทักษะแค่ไม่เกินระดับ ๕ และถึงยังไงระดับของทักษะ ๕ ระดับแรกก็เลื่อนได้ง่ายมาก ดังนั้นเฉินเฟิงจึงแบกค้อนไปทุบสัตว์อสูรเสียเลย น่าเสียดายที่อัตราการทุบถูกเป้าหมายต่ำเอามากๆ ทำให้กว่าจะเลื่อนถึงระดับ ๕ ได้ ก็ต้องเสียเวลาไปถึง ๒ วันเต็มๆ

ทักษะที่ได้มาคือทักษะ “ใช้อาวุธหนัก” ของนักรบคลั่ง เฉินเฟิงลองยืมกระบองห่วงทองของอู้คงมาใช้ดูอย่างกังขา แต่ทุบกระทิงตายไปเป็น ๗ - ๘ ตัวก็ไม่เห็นจะได้ทักษะใหม่อะไรโผล่มา จึงสันนิษฐานต่อไปว่าอาวุธที่ผ่านการปลดผนึกแล้วถูกจัดอยู่ในประเภทเดียวกัน เมื่อใช้แล้วจะทำให้ได้ทักษะเดียวกันด้วยเช่นกัน

ชั่วพริบตาเดียว เวลาในเกมได้ผ่านไปแล้ว ๘ วัน แต่ก็เท่ากับเวลาในโลกความจริงแค่หนึ่งวันกว่าเท่านั้น วิหารจันทราเทพส่งข้อความมาหนหนึ่งว่า ตอนนี้ส่วนใหญ่เธอจะช่วยเซียวหยาวทำงาน ถึงเธอจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่เซียวหยาวคลั่งไคล้สมาคมถึงขนาดนั้น แต่ยังไงเธอก็เป็นทั้งเพื่อนสนิทและอดีตเพื่อนร่วมชั้นของเซียวหยาว จึงได้แต่ช่วยเซียวหยาวจนถึงที่สุด

คนที่เหมือนหายสาบสูญไปเลยกลายเป็นครุโฬเสียนี่ นอกจากที่ได้คุยกันในช่วงแรกๆ แล้ว ก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ อีกเลย

แต่แค่ทักษะเดียวยังต้องใช้เวลาฝึกตั้ง ๓ วันกว่าจะเลื่อนขึ้นถึงระดับ ๕ แบบนี้ต่อให้มีเวลามากแค่ไหนก็ไม่พอให้ฝึกแน่ เฉินเฟิงตัดสินใจเปลี่ยนแผน ก่อนอื่นไปศึกษาที่บอร์ดสนทนาซะหน่อย ดูว่าพอจะหาข่าวสารที่เป็นประโยชน์ได้บ้างหรือเปล่า

ประกาศส่วนใหญ่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร นอกจากมีระเบียบการเกี่ยวกับกลุ่มและสมาคมเพิ่มมาแล้ว ก็ไม่มีข่าวใหม่อะไรอีก แน่ละว่าระเบียบการใหม่ๆ พวกนี้ได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่ถกกันมากที่สุดของบอร์ดสนทนา ถึงยังไงครุโฬก็รับปากแล้วว่าจะตั้งกลุ่มให้เอง เฉินเฟิงจึงไม่คิดจะไปปวดหัวกับเรื่องพวกนี้

หลังจากท่องบอร์ดอยู่พักใหญ่ๆ จนเฉินเฟิงทำท่าจะตัดใจ ก็พอดีหันไปเห็นหัวข้อสนทนาที่น่าสงสัยอยู่หัวข้อหนึ่ง เป็นหัวข้อสนทนาซึ่งบอกสถานที่ที่เป็นแหล่งขุดแร่

อาจเป็นเพราะไม่มีผู้เล่นคนใดรับซื้อแร่ ทำให้บอร์ดนั้นออกจะเงียบเหงาเอาการ ของจำพวกวัตถุดิบเกี่ยวพันกับอาชีพช่างฝีมือชนิดแยกไม่ออก ดังนั้นเฉินเฟิงจึงจำตำแหน่งของแหล่งแร่นั้นเอาไว้อย่างตั้งอกตั้งใจ

ต่อมาเขาพบข่าวที่มีประโยชน์อีกข่าวในบอร์ดสนทนาเดียวกันนี้ นั่นคือมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งมีร้านรับซื้อแร่อยู่ น่าเสียดายที่ตำแหน่งของเมืองนี้อยู่ทางตอนเหนือของทวีปกู่ย่าซึ่งเวลานี้ถูกอดีตสมาคมอัศวินยึดครอง นอกจากนี้ก็มีที่เมืองซึ่งเป็นสวรรค์ของพวกที่ถูกระบบประกาศจับตาย นั่นคือ “เมืองมังกรเมฆ” เมืองใหญ่อันดับหนึ่งแห่งทางเข้าด้านเหนือสุดของหุบเขามรณะ

มีข่าวสองข่าวนี้ ก็เข้าใกล้การได้ทักษะครบ ๗ ทักษะเข้าไปอีกก้าว เฉินเฟิงหยิบ “อีเตอร์” ซึ่งเป็นไอเท็มที่จำเป็นต้องใช้ในการขุดแร่ออกมา หลังจากเทียบตำแหน่งกับแผนที่แล้ว ก็ออกเดินทางสู่หมู่บ้านอิวะ เนื่องจากแหล่งแร่ที่ใกล้ที่สุดอยู่แถวๆ ปากทางเข้าหุบเขามรณะ...สถานที่ซึ่งถึงอยากจะลืมก็ลืมไม่ลงนั่นเอง

มาถึงหุบเขามรณะ เฉินเฟิงก็รู้สึกทะแม่งๆ ทันที เพราะเวลานี้ที่นี่กลายเป็นทะเลมนุษย์ไปเสียแล้ว แตกต่างจากสภาพเวิ้งว้างวังเวงของก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเคยมาโดยสิ้นเชิง พวกพ่อค้าเร่จมูกไวต่างก็วางแผงแบกะดินขายของอยู่เต็มไปหมด

เฉินเฟิงได้แต่อ้าปากค้าง ไม่เข้าใจเลยว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น หลังจากลองถามพวกพ่อค้าเร่ ๒ - ๓ คนดูถึงได้ทราบว่าคนพวกนี้มาเพื่อสำรวจถ้ำสามคูหาสุดบูรพานี่เอง

หลังจากเหตุการณ์วิหารมังกรเงินในครั้งก่อน ถ้ำสามคูหาสุดบูรพาได้ขยายกว้างขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว แถมยังมีชั้นใต้ดินโผล่มาอีก ๒ - ๓ ชั้น และมีสัตว์อสูรชนิดใหม่ๆ โผล่มาอีกหลายชนิด ผู้เล่นจำนวนมากฆ่าสัตว์อสูรที่นี่แล้วได้ไอเท็มดีๆ ไปกันหลายอย่าง ครั้นเรื่องนี้แพร่ออกไปปากต่อปาก ที่นี่ก็กลายสภาพเป็นสุดจะคึกคักอย่างที่เห็นในตอนนี้นี่แหละ

มีคนมากจะทำอะไรก็ง่าย เวลานี้ครึ่งช่วงแรกของหุบเขามรณะกล่าวได้ว่ามีแต่คลื่นมนุษย์ จนอัตราการเกิดใหม่ของสัตว์อสูรไม่ทันกับจำนวนของผู้เล่นที่ฮือกันเข้าไปปักหลักรอเสียแล้ว ผู้เล่นบางคนที่อยากจะลองไปหยั่งเชิงที่บึงกักมังกรมานานต่างรีบฉวยโอกาสอันหาได้ยากยิ่งนี้รวมกลุ่มกันเข้าไป เมื่อลดอันตรายลงได้ถึงครึ่งทางแบบนี้ ได้ยินว่าปริมาณของวัตถุดิบ ๒ ชนิดที่ใช้ผลิตน้ำยาสีเขียวเพิ่มความเร็วลดจำนวนลงไปโขเลยทีเดียว

ข่าวนี้ทำให้เฉินเฟิงมองเห็นโอกาสค้าขายในทันที เดิมทีเขาคิดจะเอาน้ำพุเศียรมังกรไปขายที่เมืองชิงจ้าง แต่เนื่องจากพวกผู้เล่นส่วนใหญ่ที่อยู่รอบๆ เมืองต่างก็ยุ่งอยู่กับการก่อสร้างศูนย์สมาพันธ์ ทำให้ตลาดมีแต่ความเงียบเหงา และพลอยทำให้เขาต้องเก็บแผนขายของหาเงินเอาไว้ก่อน

กระนั้นสภาพอันคึกคักครึกครื้นของหุบเขามรณะได้นำมาซึ่งกระแสเงินตราและกระแสผู้คน และทำให้วัตถุดิบสำหรับทำน้ำยาสีเขียวมีช่องทางขายออกได้พอดี แถมเรื่องขุดแร่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรมากมายด้วย ดังนั้นเฉินเฟิงจึงหาทำเลเหมาะๆ ล้วงผ้าสำหรับวางแผงแบกะดินที่ไม่ได้ใช้งานมานานออกมา แล้วเริ่มขายน้ำพุเศียรมังกร

บนผืนผ้ามีกาน้ำวางอยู่แค่ ๒๐ กาเศษ จากประสบการณ์วางแผงขายของในเกาะเริ่มต้นทำให้เฉินเฟิงทราบดีว่าจะใจร้อนไม่ได้ จึงลงนั่งขัดสมาธิรอลูกค้ามาเยือนเสียเลย

เพียงแต่...ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง พวกพ่อค้าเร่ข้างหน้าเขาต่างก็มีลูกค้าอย่างน้อย ๒ - ๓ รายกันทุกคน มีแต่แผงของเขาแผงเดียวที่ดันไม่มีใครมาถามไถ่ขอซื้อเลยสักคน

พ่อค้าเร่ขายน้ำยาเน้นกำไรค่าเดินทางรายหนึ่งมองเฉินเฟิงอยู่พักใหญ่ แล้วถามอย่างประหลาดใจว่า

“พี่ชายท่านนี้ กาน้ำของพี่ใส่อะไรไว้หรือครับ ? คงไม่ใช่กาน้ำเปล่าๆ หรอกนะ ? ตอนเริ่มเล่นผู้เล่นทุกคนต่างก็ได้กาน้ำมาฟรีๆ คนละใบกันทั้งนั้น ไม่ค่อยมีคนซื้อใบที่สองกันหรอกนะครับ”

เฉินเฟิงหัวเราะ “กาน้ำเปล่าๆ...มิน่าล่ะผมถึงได้ไม่มีลูกค้า เพราะดันลืมเขียนบอกนี่เองว่าข้างในใส่อะไรไว้ กาน้ำพวกนี้ใส่น้ำพุเศียรมังกรเอาไว้ครับ แต่ละกาใส่ไว้ ๑ ลิตร”

พ่อค้าเร่ตะลึง “กาละหนึ่งลิตร ?! งั้นทั้งหมดนี่ก็ ๒๐ กว่าลิตรน่ะสิ !! พี่ชายขายยังไงครับ ?”

“ยังมีอีกหลายลิตรเลยครับ แต่ผ้าผืนนี้มันเล็กเกินไปเลยวางไม่จุ ราคากาละ ๑,๕๕๐ เหรียญเงิน ไม่ทราบว่าแพงไปหน่อยไหม ?”

พ่อค้าเร่อุทานอย่างตกตะลึง “หนึ่งพันห้าร้อยห้าสิบเรียญ ?! จริงหรือเปล่าครับ ? ไม่แพง...ไม่แพงเลยซักนิด ถูกมากๆ ด้วยซ้ำ !” พ่อค้าเร่หยิบกระเป๋าเงินออกมานับเงินทันทีแล้วพูดว่า “พี่ชายขายให้ผมรวดเดียว ๕ กาได้หรือเปล่าครับ ? แล้วถ้าสะดวกจะตามผมกลับไปที่เมือง ผมจะซื้อเพิ่มได้อีก ๑๐ กา”

เฉินเฟิงพูดอย่างดีใจ “ไม่มีปัญหาแน่นอนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ผมยังไม่คิดจะกลับไปที่เมือง ไม่ทราบว่าคุณมีการ์ดหรือเปล่าครับ ? ถ้ามีก็ซื้อขายกันตรงนี้ได้เลย ไม่งั้นต้องแวะไปธนาคารก่อนสักรอบ กระเป๋าเงินนี่มันออกแบบมาได้น่าโมโหชะมัด !”

พ่อค้าเร่หน้าสลด “การ์ดราคาตั้ง ๕,๐๐๐ เหรียญเชียวนะพี่ ผู้น้องเสียดายตังค์ งั้นขอซื้อ ๕ กาก่อนก็แล้วกันครับ ผมกลัวคนจะแย่งกันซื้อจนพี่ขายหมดไปซะก่อน”

ทั้งสองจ่ายเงินรับสินค้ากันเป็นที่เรียบร้อย โดยเฉินเฟิงรับปากว่าจะเก็บไว้ให้พ่อค้าเร่อีก ๑๐ กา แต่เนื่องจากพ่อค้าเร่เน้นขายน้ำยาเป็นหลัก จึงพกแต่เหรียญเงินล้วนๆ ทำให้กระเป๋าเงินของเฉินเฟิงมีเงินไหลเข้ารวดเดียวถึง ๗,๗๕๐ เหรียญ ทำเอากระเป๋าแทบจะเต็ม ๑๐,๐๐๐ เหรียญไปเลย

การค้ารายนี้กระตุ้นให้พ่อค้าเร่รายอื่นๆ รอบด้านหันมาให้ความสนใจในทันที จึงทยอยกันเข้ามาถามไถ่ว่าเฉินเฟิงขายอะไรกันแน่ เพราะของที่ทำให้พ่อค้าเร่ยอมควักกระเป๋าซื้อต้องมีกำไรสูงไม่ใช่เล่น เนื่องจากพ่อค้าเร่พวกนี้ต่างก็ตั้งเป้าจะได้อาชีพพ่อค้ากันทั้งนั้น จึงจมูกไวกับช่องทางค้าขายเป็นพิเศษ

พริบตาเดียวรอบๆ แผงของเฉินเฟิงก็ถูกคนมามุงดูกันแน่นขนัด หลังจากสอบถามจนทราบว่าขายอะไรราคาเท่าไหร่แล้ว พวกพ่อค้าเร่ก็แย่งกันซื้อเป็นการใหญ่ แต่กระเป๋าเงินของเฉินเฟิงเกือบจะเต็มหนึ่งหมื่นเหรียญแล้ว พ่อค้าเร่แถวนี้ก็ดันพกแต่เหรียญเงินกันทั้งนั้นเสียด้วย ขืนขายอีก จำนวนเงินในกระเป๋าก็จะเกินขีดจำกัด และถูกโอนเข้าสู่ธนาคารโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการโอนให้ระบบถึง ๑๐% ดังนั้นเฉินเฟิงจึงได้แต่ใช้วิธีเดิม คือใช้ของแลกของ

หลังจากแก่งแย่งกันอย่างดุเดือดมาได้พักใหญ่ๆ น้ำพุเศียรมังกรที่เหลือก็ถูกแลกกับของอื่นไปจนหมด ยกเว้น ๑๐ ขวดที่รับปากว่าจะเหลือไว้ให้พ่อค้าเร่รายแรก และเนื่องจากอัตราการแย่งชิงสูงมาก ของที่แลกมาได้จึงมีแต่ของดีราคาแพงทั้งนั้น เฉลี่ยแล้ว ๑ กาขายได้ราคาประมาณ ๒,๒๐๐ เหรียญเงิน

แต่หลังจากสงครามแย่งซื้อสิ้นสุดลง ผู้เล่นหลายคนได้บอกกับเฉินเฟิงว่า พวกเขาก็ยังได้กำไรมากโขอยู่ดี เพราะตอนนี้ราคาของน้ำพุเศียรมังกรพุ่งพรวดขึ้นเป็นลิตรละ ๓,๐๐๐ เหรียญเงินแล้ว

เมื่อพ่อค้าเร่รายแรกได้ยินทุกคนแฉความลับนี้ ก็ชักกังวลว่าเฉินเฟิงจะนึกเสียใจและกลับคำที่รับปากไว้ว่าจะเก็บน้ำพุไว้ให้เขา ๑๐ กา จึงเร่งเร้าให้เฉินเฟิงรับประกันว่าจะไม่เปลี่ยนใจไปขายให้คนอื่นอย่างกระวนกระวาย สุดท้ายทุกคนเลยพลอยรู้กันไปหมด

ครั้นรู้ว่ายังมีของเหลือในสต็อก พวกพ่อค้าเร่ที่แย่งแพ้เมื่อครู่ก็เริ่มคิดเกลี้ยกล่อมให้เฉินเฟิงเปลี่ยนใจขายให้พวกเขาแทน ทำเอาพ่อค้าเร่คนแรกร้อนใจจนกระโดดเหยงๆ

โชคดีที่เฉินเฟิงไม่ใช่คนไม่รักษาคำพูด เขายืนกรานว่าไม่มีวันเปลี่ยนใจในเรื่องที่ได้ตกลงกันไปเรียบร้อยแล้วเด็ดขาด

เมื่อผู้เล่นพวกนี้เห็นเขาไม่มีทีท่าว่าจะหวั่นไหว ก็หันไปเสนอราคาให้พ้อค้าเร่รายแรกแทน และรุกไล่จนพ่อค้าเร่มีอันต้องวิ่งหนีอุตลุด ส่วนเฉินเฟิงกลายเป็นไม่มีใครมายุ่งด้วยไปเลย

หักส่วนที่ขายให้พ่อค้าเร่รายแรกไปแล้ว น้ำพุ ๑๔ ลิตรที่เหลือแลกของมาได้ไม่ใช่น้อย ในจำนวนนี้เฉินเฟิงชอบอานม้ามากที่สุด อานม้าอานนี้มีสีขาวล้วน นอกจากช่วยเพิ่มพลังป้องกันขึ้นอีก ๖๐๐ จุดแล้ว ยังมีช่องใส่ไอเท็มอีก ๒๐๐ ช่อง แค่อานม้านี้อานเดียวก็แลกน้ำพุเศียรมังกรไปถึง ๘ กา ราคาในท้องตลาดประมาณ ๒๐,๐๐๐ เหรียญ นอกจากนี้ก็มีสนับมือติดหนาม ไอเท็มอาวุธประเภทอาวุธสำหรับสู้ประชิดตัว ชั้นกลาง ระดับที่ ๕ พลังโจมตี ๑๘๐ จุด คุณสมบัติเสริมเพิ่มระดับทักษะวิชาหมัด ๕% พลังป้องกันต่างหาก ๕๐ จุด ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นม้วนคาถา ไม่ก็น้ำยา

หลังจากส่งมอบสินค้ากันเสร็จเรียบร้อย ระบบก็แจ้งให้ทราบว่าทักษะตั้งแผงลอยและทักษะใช้สินค้าแลกสินค้าเลื่อนขึ้นอย่างละ ๑ ระดับ ที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจคือ ทักษะชื่อเสียงเองก็เลื่อนขึ้น ๑ ระดับด้วยเช่นกัน ก็เฉินเฟิงไม่ได้บอกชื่อตัวเองออกไปสักหน่อย ดังนั้นจึงอดงงไม่ได้

ความจริงแค่พ่อค้าเร่พวกนั้นเห็นไอเท็มที่เขาเลือก ก็พอจะเดาได้ไป ๗๐ - ๘๐% แล้วว่าเขาคือใคร ก็ใครใช้ให้เขาเลือกแต่ไอเท็มที่ชาวบ้านเขาไม่ฮิตกันทั้งนั้นเล่า...

 

หลังจากจัดการขายน้ำพุเสร็จเรียบร้อย เฉินเฟิงก็ออกเดินทางต่อโดยเดินผ่านปากทางเข้าด้านขวาของหุบเขามรณะขึ้นไปบนเนินเขา ภาพทิวทัศน์ตรงหน้าเปลี่ยนเป็นกว้างไกลในบัดดล ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกว่าสภาพภูมิประเทศดูคุ้นตาชอบกล คล้ายๆ กับภูมิประเทศรอบๆ วิหารมังกรเงิน เพียงแต่ไม่มีตัววิหารอยู่เท่านั้น

ป่าต้นใบเข็มทอดตัวเป็นทิวสูงๆ ต่ำๆ ตามระดับพื้นที่ ปาดวาดเป็นผืนภาพทิวทัศน์สีเขียวขจี แต่ดันมีภูเขาสูงเด่นลูกหนึ่งโผล่มาทำลายความสมบูรณ์แบบของมันเสียได้ ภูเขาลูกนั้นอยู่ตรงตำแหน่งที่เดิมทีควรจะเป็นที่ตั้งของตัววิหารพอดี สีที่ดำสนิทของมันดูแล้วหาความสวยงามไม่ได้เลย แต่นั่นแหละคือเป้าหมายของเขา “ภูเขาแร่เหล็ก” ซึ่งเป็นแหล่งขุดก้อนแร่เหล็ก

ดูเผินๆ เหมือนไม่ไกลเท่าไหร่ แต่แค่เดินไปให้ถึงป่าต้นใบเข็มก็กินเวลาไปตั้ง ๓ ชั่วโมงแล้ว แถมนี่เป็นความเร็วจากการขี่ซวงเว่ยเสียด้วย ถ้าเปลี่ยนเป็นเดินเท้าล่ะก็...เฉินเฟิงไม่อยากจะคิด

หลังจากเข้าไปในป่า ก็มีทั้งนกและสัตว์ต่างๆ โผล่ให้เห็นหนาตาขึ้นมาก แต่ก็เป็นแค่สัตว์เล็กสัตว์น้อยทั้งนั้น ไม่ได้มีพลังโจมตีอะไร

เดินใกล้เข้าไปอีกหน่อย ก็ไม่สามารถมองเห็นภูเขาทั้งลูกได้อีกแล้ว ตอนเห็นจากที่ไกลยังไม่รู้สึกอะไรนัก ตอนนี้พอมาถึงตีนเขาถึงค่อยรู้ว่า ภูเขาแร่เหล็กลูกนี้มันใหญ่มหึมาจนเหลือเชื่อ !

แต่เฉินเฟิงอดสงสัยไม่ได้ว่า ก่อนนี้ตอนที่ขึ้นไปบนเขาไทแทน เขาจำไม่เห็นได้เลยมีภูเขาสีดำลูกนี้อยู่ด้วย !

ที่นี่เงียบเหงาเหมือนบอร์ดที่บอกตำแหน่งของมันไม่มีผิด ระหว่างทางที่ผ่านมาเขาไม่เห็นผู้เล่นคนไหนเลยสักคน จนเมื่อมาถึงช่วงฐานของภูเขา ค่อยเห็นผู้เล่นโผล่มา ๒ - ๓ คน

ผู้เล่นตัวดำปิ๊ดปี๋คนหนึ่งโผล่พรวดออกมารับหน้าเฉินเฟิง แล้วคลี่ริมฝีปากยิ้มกว้าง

“ไฮ ! สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณเอาน้ำติดตัวมาด้วยหรือเปล่า ? ช่วยแบ่งขายให้ผมสักหน่อยได้ไหมครับ ? อยู่ที่นี่แล้วเสียน้ำเร็วเป็นบ้า”

คนอื่นๆ ต่างก็พลอยชะงักมือที่กำลังทำงานแล้วล้อมวงเข้ามาดู ท่าทางคงจะมาขอน้ำดื่มเหมือนกัน ดูจากปากของแต่ละคนที่แห้งจนแตกทำให้เดาได้ว่าคนพวกนี้คงจะขาดแคลนน้ำมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

ความผิดพลาดคือบทเรียนสอนใจ หลังกลับจากไปผจญภัยที่หุบเขามรณะ ในเป้ของเฉินเฟิงก็พกอาหารและน้ำดื่มมากกว่าชาวบ้านชาวช่องอย่างน้อยสิบเท่าตัวตลอดเวลาไม่เคยขาด ก็ใครใช้ให้ครั้งก่อนเขาโดนพวกสาวๆ ขอแบ่งน้ำดื่มจนแทบจะไม่มีเหลือให้ตัวเขาเองดื่มกันเล่า เขายังจำความทรมานในตอนนั้นได้อย่างแม่นยำเลยทีเดียวเชียวแหละ

เฉินเฟิงพยักหน้ารับ แล้วส่งกาที่ใส่น้ำจนเต็ม ๖ กาไปให้โดยไม่พูดอะไรสักคำ ไม่แค่ให้ฟรีๆ ยังแถมเสบียงให้อีกต่างหาก

หลายคนนั้นรับน้ำไปอย่างยินดี แต่ไม่มีใครยอมรับเสบียงเลยสักคน

ชายฉกรรจ์ตัวดำที่เข้ามาทักทายเฉินเฟิงเป็นคนแรกยิ้มพลางพูดว่า

“ต้องขอขอบคุณพี่ชายมากครับสำหรับน้ำ พวกเราขาดน้ำกันมาสองวันแล้ว ถ้าวันนี้พี่ชายไม่ได้มา พวกเราก็มีแต่ต้องล่าถอยกลับเมืองไปก่อนสถานเดียว ดูท่าพี่ชายเองก็รู้ดีเหมือนกันสินะว่าเส้นทางนี้มันไกลเอาการ ถึงได้เตรียมน้ำมาซะเยอะแยะขนาดนี้ คงจะเตรียมมาตั้งหลักสู้ระยะยาวเหมือนกันสินะครับ ?”

เฉินเฟิงรับเนื้อย่างที่ชายฉกรรจ์ส่งมาให้พลางพูดว่า

“แหะๆ ผมเพิ่งจะมาเป็นครั้งแรกเองครับ ! ผมแค่ค่อนข้างจะขี้กลัวอดน้ำเท่านั้น เลยพกน้ำติดตัวมาเยอะหน่อยตลอดนั่นล่ะ เส้นทางนี้ไกลเอาการจริงๆ ครับ ถ้ารู้แต่แรกผมคงเอาน้ำมาเยอะกว่านี้แน่ จริงสิ พี่น้องทั้งหลายอุตส่าห์ถ่อกันมาตั้งไกลขนาดนี้ แสดงว่าแร่เหล็กนี่มีประโยชน์อื่นนอกจากเอาไปขายที่เมืองมังกรเมฆสินะครับ ?” จากนั้นกัดเนื้อย่างไปหลายคำ แล้วชมอย่างจริงใจ “ว้าว ! อร่อยจังแฮะ เนื้อย่างนี้ซื้อมาจากไหนหรือครับ ?”

หลายคนนั้นสุมศีรษะซุบซิบกันอยู่ครู่ ทำให้เฉินเฟิงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าละเมิดข้อถือสาเข้าให้อีกแล้ว จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วก้มหน้ากินเนื้อย่างในมือไป

แล้วชายฉกรรจ์ตัวดำก็เป็นตัวแทนกล่าวตอบตามเคยว่า

“ถึงยังไงอีกไม่นานทุกคนก็ต้องรู้กันอยู่ดี เห็นแก่ที่คุณอุตส่าห์ใจกว้างแบ่งน้ำให้พวกเรา พวกเราจะบอกคุณก็แล้วกันครับ !”

เฉินเฟิงกำลังคิดจะออกปากห้าม อีกฝ่ายก็พูดต่อขึ้นก่อนว่า

“เดิมทีแร่เหล็กน่ะขายไม่ได้ราคาเลยสักนิด แต่นับตั้งแต่เกมราชาฯเปิดให้สร้างศูนย์สมาพันธ์เป็นต้นมา ราคาแร่เหล็กก็เปลี่ยนไปมาก ถึงจะมีแต่เมืองมังกรเมฆที่รับซื้ออยู่เหมือนเดิม แต่ตอนนี้ราคาแร่เหล็กหนึ่งหน่วยได้เพิ่มสูงขึ้นถึง ๓ เท่าตัว แถมดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ราคาแร่เหล็กยังมีโอกาสสูงขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่าด้วย แต่การขุดแร่ไม่ใช่เทคนิคลับอะไร ดังนั้นถ้ามีผู้เล่นรู้กันมากเข้า ผ่านไปสักพักราคาของมันก็คงตกลงไปจนเป็นปกติแล้วล่ะครับ”

ถึงนี่จะไม่ใช่ข่าวสารเกี่ยวกับทักษะ แต่ก็เป็นข่าวสารเกี่ยวกับช่องทางหาเงินข่าวใหญ่ทีเดียว แถมยังเป็นช่องทางหาเงินที่ใครเร็วใครได้เสียด้วย แต่เนื่องจากเฉินเฟิงไม่ทราบว่าราคา ๓ เท่าตัวของแร่เหล็กมันเท่าไหร่ จึงไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากมาย และได้แต่พูดขอบคุณไปตามมรรยาทเฉยๆ

ชายฉกรรจ์ตัวดำเห็นเฉินเฟิงแทบไม่มีอาการตื่นเต้น จึงย้ำว่า

“ราคาสามเท่าตัวน่ะ ตั้ง ๔๕ เหรียญเงินเชียวนะครับ ! ต่อให้เป็นผู้เล่นมือใหม่ วันหนึ่งก็ขุดได้ตั้ง ๑๐ กว่าหน่วย ถ้าโชคดีหน่อยอาจได้ถึง ๔๐ - ๕๐ หน่วยเชียวนะ ! เฉลี่ยแล้ววันหนึ่งจะมีรายรับตั้ง ๑,๐๐๐ เหรียญเงินทีเดียว ! ดังนั้นตอนนี้พวกเราถึงได้ขุดกันอย่างเอาเป็นเอาตายไงครับ กระทั่งจะกลับเมืองไปเติมน้ำยังไม่อยากจะเสียเวลาไปเลย แล้วก็เนื้อย่างนั่นน่ะไม่ได้ซื้อมาหรอกครับ พวกเราย่างกันเองต่างหาก รสชาติใช้ได้เลยใช่ไหม ?”

ถ้ามาได้ยินจำนวนเงินนี้สัก ๑๐ วันก่อนหน้านี้ เฉินเฟิงอาจถึงกับกระโดดโหยง แต่หลังจากได้กำไรก้อนใหญ่จากการขายระเบิดในหมู่บ้านอิวะ เงิน ๑,๐๐๐ เหรียญเงินก็กลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยสำหรับเขาไปเสียแล้ว

เห็นผู้เล่นเหล่านี้ออกจะใจดีปานนี้ เฉินเฟิงก็ไม่อยากจะทำให้ชายฉกรรจ์ผิวดำหมดอารมณ์ จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนาไปเสียว่า

“การเปิดให้มีศูนย์สมาพันธ์ไปเกี่ยวข้องกับการขึ้นราคาของแร่เหล็กได้ยังไงกันหรือครับ ? แย่จริง...ลืมถามชื่อพี่น้องทุกท่านไปเสียสนิท ผมขอแนะนำตัวเองก่อนก็แล้วกันนะครับ ผมชื่อเฉินเฟิง พี่น้องทั้งหลายชื่ออะไรกันบ้างหรือครับ ?”

ชายฉกรรจ์ผิวดำพูดว่า “ที่แท้พี่ชายก็คือเฉินเฟิงนี่เอง ! พวกเรากำลังประหลาดใจอยู่เชียวว่า ทำไมถึงมีคนที่เพิ่งมาภูเขาแร่เหล็กเป็นครั้งแรกรู้จักพกน้ำมามากหน่อยกับเขาด้วย ได้ยินว่าความจุกระเป๋าเป้ของพี่ชายมหาศาลมาก ไม่ทราบสนใจจะรับซื้อแร่เหล็กเอาไว้ก่อนไหมครับ ? เพราะพวกเรากำลังกลุ้มกันอยู่เชียวว่าไม่ทราบจะขนมันกลับไปยังไงดี !

“การสร้างศูนย์สมาพันธ์ไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือเล็กก็ต้องใช้เหล็กกล้าทั้งนั้นครับ และเวลานี้วัตถุดิบสองชนิดที่ใช้ในการผลิตเหล็กกล้า ก็คือก้อนโลหะและแร่เหล็ก เพียงแต่คนส่วนใหญ่หากไม่เอาก้อนโลหะไปแลก ก็จ่ายเงินซื้อตรงๆ วัตถุดิบในเกมราชาฯน่ะมีจำกัด เมื่อปริมาณความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหัน ราคาก็เลยพลอยพุ่งสูงตามไปด้วยไงครับ”

เฉินเฟิงอดตกใจไม่ได้ที่คนพวกนี้เคยได้ยินชื่อเขาด้วย นิสัยเปิดเผยของชายฉกรรจ์ผิวดำทำให้เฉินเฟิงสลัดความกระอักกระอ่วนทิ้งไป และบอกว่ายินดีจะช่วยรับซื้อแร่เหล็กให้

ครั้นชายฉกรรจ์ผิวดำได้ยินเฉินเฟิงบอกว่ายินดีรับซื้อแร่เหล็ก ก็ดีใจจนล้วงกระเป๋าคาดเอวของตัวเองออกมาเตรียมซื้อขายทันควัน ผู้เล่นที่ยืนอยู่ข้างๆ คนหนึ่งพูดกลั้วหัวเราะว่า

“พี่เฮยโถวขา ! พี่จะลืมแนะนำตัวเองก็ช่างพี่สิ แต่ไหงดันลืมแนะนำพวกเราไปด้วยล่ะพี่ ? สวัสดีค่ะพี่เฉินเฟิง ฉันชื่อ หยกม่วง (จื่อเซฺวียน) พวกเพื่อนๆ เรียกฉันว่าเสี่ยวเซฺวียน[1]ค่ะ” จากนั้นไล่แนะนำไปทีละคน ได้แก่ เฮยโถว (ศีรษะดำ) , เจี๋ยเต๋อ (อัจฉริยะคุณธรรม) , เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัย (ชูรู่เย่าผิงอาน) , อู่ชิวเฟิง (ลมสารทเริงระบำ) และ ปิศาจหลิว (หลิ่วเยา) เนื่องจากตัวเธอเองก็เปื้อนดำไปทั้งตัว ตอนเฉินเฟิงนับจำนวนคนเมื่อครู่จึงดูไม่ออกว่าเธอคือผู้หญิง

เจี๋ยเต๋อพูดว่า “เนื้อย่างพวกนี้เสี่ยวเซฺวียนลงมือย่างเองเชียวนะครับ ! ถึงจะเตรียมไว้ให้เข้าออกฯก็เถอะ แต่พวกเราเลยพลอยมีลาภปากไปด้วย ! อ๊ากกกกก...” พูดจบก็มีเสียงร้องโหยหวนต่อท้ายมาทันควัน

เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยพูดเบาๆ “ฮึฮึ ไม่รู้จักเข็ดจริงๆ !”

ครั้นเห็นสายตาเพชฌฆาตของหยกม่วง ทุกคนก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที

เฉินเฟิงรับซื้อแร่เหล็กที่คนทั้ง ๖ ทุ่มเทเรี่ยวแรงขุดมาได้ในหลายวันมานี้เอาไว้ทั้งหมดในราคาหน่วยละ ๔๐ เหรียญเงินโดยใช้การ์ดโอนเงินจากบัญชีของตัวเองมาเพิ่ม ก้อนแร่ทั้งหมด ๒,๐๐๐ หน่วย รวมจ่ายไปทั้งสิ้น ๘๐,๐๐๐ เหรียญเงิน

ทั้ง ๖ อ้าปากหวอมองเฉินเฟิงเอาแร่เหล็กใส่เข้าไปในเป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้จนหมดเกลี้ยงเหมือนใช้เวทมนตร์ก็ไม่ปาน แล้วได้แต่ทอดถอนใจอย่างสุดทึ่งโดยพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

ปัญหาเรื่องขนกลับไปไม่ไหวที่กำลังกลุ้มใจกันอยู่ตอนนี้ก็คลี่คลายแล้ว แร่เหล็กพวกนี้ถ้าขนไปที่เมืองมังกรเมฆ จะสามารถขายได้ในราคาหน่วยละ ๔๕ เหรียญเงิน ส่วนต่างของราคานั้นทุกคนต่างยกให้เฉินเฟิงได้กำไรไป

หลังกินเนื้อย่างเสร็จ ทุกคนก็ทำงานกันต่อ เฉินเฟิงสั่งอู้คงกับหลายฝูให้ไปเดินเล่นสูดอากาศ ส่วนตัวเองล้วงอีเตอร์ออกมากระโดดเข้าร่วมวงขุดแร่กับทุกคน

เสียงเจาะหินดังสนั่นไปทั่วภูเขาแร่เหล็กอีกระลอกแทรกสลับกับเสียงหัวเราะเฮฮาเป็นระยะๆ และเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจนานๆ ครั้งเมื่อขุดพบก้อนแร่เหล็ก

 

เฉินเฟิงเหงื่อไหลชุ่มโชก แต่ในใจแสนจะเบิกบาน เพราะเขาขุดได้แร่เหล็กก้อนใหญ่ทุก ๑ ชั่วโมง

ตั้งแต่ใช้อีเตอร์เริ่มขุด จะได้แต่ก้อนแร่ขนาด ๒ - ๕ หน่วยตลอด แปลว่าแร่แต่ละก้อนได้ราคาตั้ง ๙๐ - ๒๒๕ เหรียญเงิน ฟังดูอาจจะไม่มากมายอะไร แต่นี่เป็นกำไรล้วนๆ เชียวนะ ! ทั้งไม่ต้องไปทนเจ็บและไม่ต้องทนดื่มยาฟื้นพลังที่รสชาติสุดจะทนทาน

คนทั้ง ๖ ต่างตกตะลึงกับก้อนแร่ที่เฉินเฟิงขุดได้ ไม่ทราบเพราะอะไร แร่เหล็กที่เฉินเฟิงขุดได้มักจะใหญ่กว่าแร่เหล็กที่ทุกคนขุดได้หนึ่งเบอร์ตลอด

หยกม่วงทนอั้นไว้ไม่อยู่ออกปากถามขึ้นว่า

“พี่เฉินเฟิง ทำไมก้อนแร่ที่พี่ขุดได้ถึงใหญ่กว่าก้อนแร่ที่พวกเราขุดได้ทุกครั้งเลยล่ะคะ ?”

ความจริงคนที่เหลือทั้ง ๕ ต่างก็อยากจะถามเหมือนกัน แต่เกรงใจไม่กล้าถาม เมื่อได้ยินหยกม่วงออกปากถาม จึงพากันชะงักมือโดยพร้อมเพรียง

เฉินเฟิงตอบว่า “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน คงเป็นเพราะระดับของทักษะเลือกวัตถุดิบของช่างฝีมือล่ะมั้ง ? ทุกครั้งที่เลื่อนขึ้น ๑ ระดับก็จะขุดเจอได้ง่ายขึ้นอีกหน่อย แต่พวกคุณมาขุดกันตั้งหลายวันแล้วไม่ใช่เหรอ ? หยกม่วง ตอนนี้ระดับของทักษะเลือกวัตถุดิบของเธออยู่ระดับเท่าไหร่แล้วล่ะ ?”

“นอกจากวันแรกที่ขุดทั้งวันเลยได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๓ แล้ว มันก็ไม่เลื่อนขึ้นอีกเลยน่ะค่ะ ในพวกเรามีแต่เฮยโถวที่เลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๔ คนอื่นที่เหลือต่างก็เหมือนกับฉัน แต่เฮยโถวเขาขุดตั้งหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ เชียวนะคะกว่าจะเลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๔ น่ะ แล้วระดับของพี่ล่ะ อยู่ระดับไหนแล้วคะ ?”

เฉินเฟิงตกใจ “สูงสุดแค่ระดับ ๔ เหรอ ? เป็นไปไม่ได้มั้ง ! ผมขุดแค่ไม่ถึงครึ่งวันก็เลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๗ แล้วนะ แล้วพวกเธอจะยังอยู่แค่ระดับ ๓ - ๔ ได้ยังไงกัน ?”

ทั้ง ๖ ต่างก็ตกตะลึงอ้าปากค้างกับคำตอบนี้

เฉินเฟิงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า

“ทักษะเลือกวัตถุดิบของพวกคุณเลื่อนขึ้นเพราะขุดแร่อย่างเดียวเลยหรือเปล่าครับ ?”

เฮยโถวพยักหน้า “ใช่ครับ ! ตอนแรกมีผมมาขุดอยู่คนเดียว ต่อมาพอเห็นมันขึ้นราคา ถึงได้ลากพวกเพื่อนๆ มาขุดด้วย ก่อนจะมาที่นี่ผมยังไม่มีทักษะนี้เลยครับ”

เฉินเฟิงค่อยทำท่าเข้าใจ “ผมเข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้ผมสะสมท่อนไม้จนได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๓ แต่หลังจากนั้นสะสมเท่าไหร่มันก็ไม่เลื่อนระดับขึ้นอีกเลย ต่อมาตอนที่สะสมหนังเสือก็เลื่อนขึ้นอีก ๑ ระดับ ตอนแรกผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่พอฟังที่คุณบอกเมื่อกี้ ผมก็เข้าใจแล้วล่ะ คือทักษะนี้ถ้าสะสมของแค่อย่างเดียว มันจะเลื่อนระดับได้ช้ามาก ผมเองก็ได้เลื่อนระดับอีกหนเพราะมาขุดแร่นี่ล่ะ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะสะสมวัตถุดิบ ๓ ชนิด ถึงได้เลื่อนระดับเร็วกว่าทุกคนล่ะมั้งนะ !”

“สะสมท่อนไม้ก็เลื่อนระดับได้ด้วย !” หยกม่วงอุทาน “งั้นสะสมแล้วเอาไปทำอะไรได้หรือคะ ? แล้วมีที่ไหนขายหรือเปล่า ? ๒ - ๓ วันมานี้พวกฉันเองก็เก็บท่อนไม้มาทำเชื้อเพลิงเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เห็นมีใครได้เลื่อนระดับเลยนี่คะ ? เข้าออกฯ เธอเก็บมากกว่าเพื่อนเลยนี่ ได้เลื่อนระดับบ้างหรือเปล่า ?”

เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ คนอื่นๆ เองต่างก็ตอบแบบเดียวกัน แล้วต่างรอฟังคำอธิบายจากเฉินเฟิงอย่างสงสัย

“แหะๆ ขอโทษทีครับ ! ผมพูดไม่เคลียร์เองแหละ” เฉินเฟิงออกตัว “ไม่ใช่ว่าเก็บท่อนไม้แล้วจะได้เลื่อนระดับหรอกนะ น่าจะพูดว่าเลื่อยไม้จะถูกต้องกว่า แต่ถ้าหยกม่วงไม่พูดขึ้นมา ผมเองก็คงไม่ทันนึกเหมือนกันว่าท่อนไม้ที่เลื่อยแล้วเอาไปใช้ทำอะไรได้ แล้วก็ขอโทษด้วยครับ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีที่ไหนขายท่อนไม้บ้าง ตอนนั้นผมแค่ทดลองดูว่าใช้ไอเท็มแล้วจะได้ทักษะอะไรบ้าง เลยพบเข้าโดยบังเอิญเท่านั้น”

ทั้ง ๖ ค่อยเข้าใจในที่สุด หยกม่วงถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นเลื่อยราคาปื้นละเท่าไหร่หรือคะ ? แล้วพี่เลื่อยไม้ไปมากแค่ไหนกว่าจะเลื่อนขึ้นถึงระดับ ๓ ?”

เมื่อเข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยได้ยินคำถามของหยกม่วง ก็ทำหน้าอึดอัดใจทันที เพราะดูเหมือนคำถามนี้จะเข้าข่ายถามความลับของทักษะอาชีพเสียแล้ว !

คนที่เหลือต่างก็สังเกตเห็นว่าเฉินเฟิงเองก็มีสีหน้าอึดอัดใจเช่นกัน แสดงว่าครั้งนี้ถามลึกเกินไป แต่ทุกคนต่างก็ยังอยากจะรู้คำตอบอยู่ดี

เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยกำลังจะสะกิดเตือนหยกม่วงไม่ให้ถามต่อ ก็พอดีเฉินเฟิงพูดตอบขึ้นว่า

“ขอโทษทีครับ ! ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเลื่อยราคาปื้นละเท่าไหร่ ตอนนั้นผมซื้อไอเท็มรวดเดียวหลายอย่างมาก เลยจำไม่ได้แล้วว่าไอเท็มชิ้นไหนราคาเท่าไหร่บ้าง แต่ในร้านขายไอเท็มน่าจะหาซื้อได้นะ ของผมซื้อมาจากเมืองเริ่มต้น ราคาอย่างมากน่าจะแค่ไม่กี่ร้อยเหรียญเงินมั้ง ! ส่วนเรื่องต้องเลื่อยไม้มากแค่ไหนถึงจะเลื่อนขึ้นถึงระดับ ๓ ผมเองก็ไม่ได้ไปนับเสียด้วย แต่น่าจะ ๑๐๐ กว่าท่อนเป็นอย่างน้อยแหละนะ จำนวนที่แน่นอนนี่ผมไม่รู้จริงๆ ต้องขอโทษด้วยนะครับ”



[1] เสี่ยวเซฺวียน : เสี่ยว เป็นคำเรียกนำหน้าชื่อผู้ที่อายุเท่ากันหรือน้อยกว่าอย่างสนิทสนมหรือเอ็นดู แปลคล้ายๆ หยกน้อย , ลูกหยก หรือหนูหยก ก็ได้ทั้งนั้น


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:31 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:21

0 ความคิดเห็น