หัวข้อ : เล่มที่ ๓ สงครามอัศวิน ตอนที่ ๓ แน่วแน่ในสิ่งควร

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:19

ตอนที่ ๓

 

แน่วแน่ในสิ่งควร

 

 

ค่าระดับทักษะจะสูงหรือต่ำนั้น ไม่สามารถใช้วิชาตรวจสอบสืบทราบได้ หากตัวผู้เล่นคนนั้นไม่บอกออกมาเอง ก็จะไม่มีใครทราบได้ ดังนั้นทุกคนจึงมักใช้ทักษะพิเศษย่อยหรือผลการโจมตีของผู้เล่นคนนั้นมาคาดคะเนระดับของทักษะกันเป็นหลัก

แส้เทพสีหราชเป็นเทพศาสตราโดยแท้ เพราะสามารถเปล่งอานุภาพทักษะพิเศษย่อยของทักษะแส้ระดับสูงถึง ๒๐ - ๓๐ ออกมาได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เฉินเฟิงคาดไม่ถึงเอาเลย คิดถึงตอนแรกที่เขานึกรังเกียจพลังโจมตีต่ำต้อยติดดินของมัน มาตอนนี้ถึงเพิ่งจะรู้ว่าตัวเขามันกบในกะลาแท้ๆ

หลังจากต่างอิ่มหมีพีมันกันแล้ว เฉินเฟิงค่อยทราบคำตอบของเรื่องหนึ่งที่เขาเคยนึกกังขามาโดยตลอด

นอกจากตอนที่อยู่ในวิหารมังกรเงิน ทุกครั้งที่เขาส่งเสบียงกรังให้เพื่อนร่วมทางรับประทาน มักจะได้รับการอ้อมแอ้มปฏิเสธเสมอ ทำให้เขาสงสัยมานานว่าทำไมทุกคนถึงยอมทนหิวจนกลับมาถึงเมืองโดยไม่ยอมรับน้ำใจจากเขากันทั้งนั้น ? ตอนแรกเขาหลงคิดว่าพวกเธอเกรงใจเขาเสียอีก มาตอนนี้เขาค่อยเข้าใจว่า เสบียงกรังที่เขารับประทานอยู่เป็นประจำรสชาติมันอุบาทว์ขนาดไหนเมื่อเทียบกับอาหารมื้อนี้ ถึงราคาอาหารมื้อนี้จะตั้ง ๕๐๐ เหรียญเงินก็เถอะ รสชาติก็ห่างกันไกลสุดกู่เกินไปจริงๆ คนที่สติปกติดีทุกคนคงเลือกที่จะยอมจ่ายเหมือนกันทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ !

ทุกครั้งที่เข้าไปในเมืองแล้วพวกเพื่อนร่วมทางเชิญไปรับประทานอาหารด้วยกัน เขามักจะปฏิเสธ เพราะตัวเองทานเสบียงจนอิ่มแล้ว ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสมานั่งรับประทานอาหารในภัตตาคาร

เฉินเฟิงที่เข้ามาในเกมราชาแห่งราชันเพราะหวังหาเงินมาเลี้ยงปากท้องอดนึกนับถือบริษัทเกมเลจจ์ไม่ได้ที่ไม่ยอมปล่อยกระทั่งหนทางฟันกำไรเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ แม้ทุกคนจะทราบดีว่าของพวกนี้เป็นสิ่งสมมติที่ถูกสร้างขึ้นมาลวงความรู้สึกทั้งนั้น แต่รสชาติที่สัมผัสได้อย่างเป็นจริงเป็นจังก็ยังเอาชนะสติปัญญาในการไตร่ตรองเหตุผลอยู่นั่นเอง ด้วยเหตุนี้เหล่าผู้เล่นจึงได้แต่ยอมควักเงินในเกมมาเข้าร้านอาหารแต่โดยดี

เฉินเฟิงเพิ่งจะเติมพลังใส่ท้องจนอิ่มตื้อ อเล็กซ์ก็ส่งข้อความมาบอกว่ามันหิวแล้ว ทำเอาเขาชักจะกลุ้มใจ เพราะเรียกมันออกมาไม่ได้แบบนี้ แล้วจะให้อาหารมันได้ยังไงกันเล่า ?

ถ้าสัตว์เลี้ยงต้องทนหิวนานเกินไป มันจะตายหรือย้อนเล่นงานเจ้าของได้ ถึงแม้ตอนนี้อเล็กซ์จะย้อนเล่นงานเจ้าของไม่ได้ แต่เกิดมันตายขึ้นมา เฉินเฟิงมีหวังขาดทุนย่อยยับแน่

ทุกคนต่างตกตะลึงที่สัตว์เลี้ยงส่งข้อความได้ด้วย แต่พอเฉินเฟิงเอาข้อความที่อล็กซ์ส่งมาให้ดู ทุกคนจะไม่เชื่อก็ไม่ได้แล้ว ถึงแม้นานๆ ทีทุกคนก็พอจะเคยได้รับอาการร้องขออะไรบางอย่างของสัตว์เลี้ยงมาบ้าง แต่เทียบกับการส่งข้อความมาบอกเจ้าของได้เองแล้ว การส่งข้อความได้ออกจะน่าตกใจมากอยู่ เพราะความคิดต้องการอะไรบางอย่างของสัตว์เลี้ยงมักจะเลือนรางมาก

เฉินเฟิงอธิบายเทคนิคในการได้ทักษะสื่อสารพลางมือก็หยิบแส้เทพสีหราชออกมาศึกษาดู เดิมทีพวกขบวนนักเวทและสัตว์ก็เป็นยอดฝีมือด้านการฝึกสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว เมื่อได้ทราบข่าวสารนี้ ก็พากันดีใจแทบคลั่ง

ยังดีที่ถึงจะเรียกอเล็กซ์ออกมาจากแส้เทพสีหราชไม่ได้ แต่สามารถจะใส่ไอเท็มเข้าไปได้ง่ายมาก ช่องเรียกสัตว์เลี้ยงเข้ามาเก็บแต่ละช่องสามารถใส่ไอเท็มได้ไม่ใช่น้อย แต่ต้องเป็นช่องที่มีสัตว์เลี้ยงอยู่จึงจะสามารถใส่ไอเท็มได้

เพื่อป้องกันตัวเองเผลอลืมว่ามีอเล็กซ์อยู่ด้วย เฉินเฟิงจึงใส่อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงเข้าไปรวดเดียว ๑๐๐ ห่อ เมื่ออยู่ในช่องเรียกสัตว์เลี้ยงเข้ามาเก็บ อเล็กซ์จะต้องการอาหารแค่วันละ ๑ ห่อ แบบนี้ก็อยู่ไปได้อีกนานล่ะนะ

ครั้นจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ ทักษะสื่อสารของนักฝึกสัตว์ก็เลื่อนขึ้นรวดเดียว ๒ ระดับ กลายเป็นทักษะที่ ๒ ที่บรรลุถึงระดับ ๑๐ และได้ “ทักษะพหุสื่อสาร” ทักษะพิเศษย่อยอย่างแรกมา

บรรดาสมาชิกของขบวนนักเวทและสัตว์ที่ตอนแรกกะจะออฟไลน์ไปพักผ่อนพากันเอาสัตว์เลี้ยงของตัวเองออกมาศึกษากันใหญ่ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้สัตว์เลี้ยงและตัวเองบรรลุถึงความเข้าใจร่วมกัน ส่วนครุโฬเองเคยทดลองมาแล้วหนหนึ่งก่อนหน้านี้ มาครั้งนี้ได้ฟังเฉินเฟิงบอกเทคนิคในการได้ทักษะสื่อสารอีกครั้ง จึงลองทดสอบดูอีกหน ปรากฏว่าผลลัพธ์ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเหมือนเดิม จึงได้แต่บอกลาขอตัวออฟไลน์ไปพักผ่อนก่อน

ก่อนจะไป ครุโฬกำชับเฉินเฟิงชนิดย้ำแล้วย้ำอีกว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ห้ามรับปากเข้าร่วมเป็นสมาชิกในขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์เด็ดขาด แม้เฉินเฟิงจะนึกประหลาดใจ แต่ก็รับปากไป เพราะตอนนี้เขาเองก็ยังไม่คิดจะเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มหรือสมาคมไหนอยู่แล้ว

ผ่านการเดินทางและทำนู่นทำนี่มาสองวันเต็ม เฉินเฟิงเองก็ชักจะเพลียเหมือนกัน แต่เนื่องจากในโลกความจริงเขาได้ตั้งเอาไว้แล้วว่าให้สามารถอยู่ในเกมได้ ๗ วัน บวกกับอยู่ในเกมก็สามารถพักผ่อนได้เหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงไปรับสัตว์เลี้ยงทั้ง ๓ ตัวกลับมา แล้วเช่าห้องเล็กๆ ในโรงแรมพักผ่อน

 

หลังจากได้นอนพักตลอดคืน สมองเฉินเฟิงก็ปลอดโปร่งขึ้นมาก ครั้นหันไปเห็นราชาสุนัขป่าน้อย ก็คิดจะติดต่อเซียวหยาว แต่ปรากฏว่าเธอไม่ได้ออนไลน์ เดิมทีเขาคิดจะมอบราชาสุนัขป่าน้อยให้เธอ จะได้ปลดหนี้ปลดสินกันไป เมื่อเป็นแบบนี้ก็ได้แต่รอให้เธอออนไลน์ล่ะนะ

เฉินเฟิงเปิดแผนที่โลก แล้วศึกษาเส้นทางต่อไปของตัวเอง

ครุโฬเคยบอกไว้ว่า น้ำพุเศียรมังกรต้องเอาไปขายที่เมืองชิงจ้างถึงจะมีโอกาสได้ราคาสูงหน่อย ส่วนเซียวหยาวก็น่าจะยังอยู่ที่ฟากตะวันออกของทวีปเหมือนกัน...

นอกจากนี้เขาเองยังไม่ได้เรียนเวทมนตร์เลย ถึงผู้บวงสรวงจะบอกไว้ว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ใช้แหวนวงนี้ไปถึงได้ทั้งนั้น แต่หลังจากผ่านประสบการณ์เคี่ยวกรำในหลายวันมานี้ บวกกับสีหน้ามีเลศนัยของผู้บวงสรวง ทำให้เฉินเฟิงตัดสินใจว่าขอฝึกพื้นฐานให้แน่นกว่านี้แล้วค่อยไปแท่นบวงสรวงแห่งเวทท่าจะดีกว่า แล้วเฉินเฟิงก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปทางตะวันออก

หลังจากเติมไอเท็มและอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงจนเต็มอัตรา เป้าหมายแรกของเฉินเฟิงคือเตรียมจะไปฝึกวิชาที่สนามรบโบราณซึ่งเดินทางผ่านมาเมื่อวานซืนนี้ เพราะครุโฬแนะนำไว้ว่าที่นั่นเป็นสวรรค์สำหรับฝึกวิชาของพวกผู้เล่นที่เพิ่งจะได้อาชีพโดยเฉพาะ ตำแหน่งของมันอยู่ตรงกลางระหว่างเมืองเขี้ยวมังกรกับเมืองชิงจ้าง เป็นบึงซึ่งมีพื้นที่ประมาณ ๑๐ ตารางกิโลเมตร สัตว์อสูรส่วนใหญ่จะมีระดับอยู่ที่ ๒๕ - ๓๐

นานมากแล้วที่ไม่เคยต้องเหนื่อยขนาดนี้ การฝึกวิชาพื้นฐานนี่มันหนักหนาสาหัสจริงๆ เฉินเฟิงอยู่ที่สนามรบโบราณมาแล้ว ๑๐ วัน แต่ละวันต้องสู้กับสัตว์อสูรอย่างน้อย ๑๒ ชั่วโมง พอเหนื่อยก็ไปพักที่ใจกลางบึงซึ่งเป็นเขตปลอดภัยเพียงแห่งเดียว มีลักษณะเป็นป้อมหน้าตาแปลกๆ ที่เกิดจากการประกอบกันของซากกระดูกสัตว์อสูรขนาดยักษ์ พื้นที่วัดโดยรอบกว้างแค่ประมาณเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒๐ กว่าเมตร แต่เนื่องจากบรรยากาศมันเย็นยะเยือก ผู้เล่นที่มาพักผ่อนที่นี่จึงมีไม่มากนัก

ระหว่างต่อสู้ เฉินเฟิงสั่งให้หลายฝูไปล่อสัตว์อสูรมา ส่วนซวงเว่ยกับอู้คงจะลงมือได้ก็ต่อเมื่อสัตว์อสูรมีมากกว่า ๓ ตัว และรับหน้าที่ป้องกันไม่ให้สัตว์อสูรหนีไปได้เป็นหลัก ส่วนเฉินเฟิงก็พยายามใช้แส้เทพสีหราชอย่างเอาเป็นเอาตาย

เขาคิดจะเร่งฝึกให้ทักษะแส้เลื่อนถึงระดับ ๒๐ โดยเร็วที่สุด เพื่อจะลองดูว่าทักษะร้องเรียกจะสามารถเรียกอเล็กซ์ออกมาได้จริงๆ หรือเปล่า เรียกได้ว่าเขาเค้นสมองคิดเพื่อหาทางเพิ่มโอกาสในการใช้แส้ให้ได้มากที่สุดอย่างสุดกำลังจริงๆ สัตว์อสูรแต่ละตัวถูกเขาโบยตัวละไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ทีจนตายคาแส้ ก็อบลินเองก็โดนไปตัวละไม่ต่ำกว่า ๑๕๐ แส้

ใน ๑๐ วันนี้พวกผู้เล่นที่มาฝึกวิชาบริเวณนี้ต่างก็เห็นเขากันทั้งนั้น ตอนแรกที่ได้เห็นผู้เล่นคนหนึ่งนำสัตว์เลี้ยงมาด้วย ๓ ตัว ก็พากันนึกว่าเป็นผู้ฝึกสัตว์มาฝึกสัตว์เลี้ยง แถมอาวุธที่เฉินเฟิงใช้ดันเป็นแส้เสียด้วย ความเร็วในการโจมตีก็ไม่ได้เร็วอะไรมากมาย เหมือนจะเปิดโอกาสให้สัตว์เลี้ยงได้โจมตีด้วย จะได้เพิ่มค่าประสบการณ์ขึ้นอีกหน่อย อันเป็นรูปแบบมาตรฐานในการฝึกวิชาของพวกผู้ฝึกสัตว์

แต่ต่อมาพวกผู้เล่นที่ค่อนข้างคุ้นเคยกับเกมราชาฯก็พบว่า ระดับของสัตว์เลี้ยง ๓ ตัวนั้นไม่ต่ำเลย พลังโจมตีของแส้ของคนเป็นเจ้าของนี่สิที่ต่ำมากเสียจนน่าอนาถ กระทั่งก็อบลินระดับแค่ ๒๕ ยังต้องหวดตั้งเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะฆ่ามันสำเร็จ จึงอดรู้สึกทะแม่งๆ ไม่ได้

ผู้เล่นใจดีบางคนอดรนทนไม่ได้ ต้องเข้าไปช่วยเตือนด้วยความหวังดีให้เขาเปลี่ยนไปใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพกว่านี้หน่อย เฉินเฟิงจะหันมายิ้มพลางพูดขอบคุณ แล้วฝึกแบบเดิมๆ ของเขาต่อไป

วิธีการฝึกอันแสนพิลึกนี้ทำให้เฉินเฟิงถูกพวกผู้เล่นตั้งฉายาให้ว่า “นักฝึกสัตว์จอมทารุณกรรมสัตว์อสูร” ในเวลาไม่นาน ฉายานี้บ่งบอกว่าเขาเป็นพวกชอบทารุณกรรมสัตว์ชัดๆ เพราะเห็นๆ อยู่ว่าสัตว์อสูรทำอะไรเขาไม่ได้ แต่เขาก็ดันไม่ยอมปล่อยให้มันได้ตายแบบสบายๆ กลายเป็นว่าคนที่รู้จักชื่อของเขามีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น

แต่ในภายหลัง เมื่อทุกคนต่างทราบว่าเขาก็คือเฉินเฟิงนั่นเองแล้ว ก็พากันกระจายข่าวลือไปว่าวิธีฝึกแบบนี้คือวิธีลับในการฝึกวิชาให้สำเร็จอย่างรวดเร็วนั่นเอง และแน่นอน เถ้าแก่ร้านขายอาวุธพากันประหลาดใจว่าทำไมอยู่ดีๆ อาวุธสำหรับมือใหม่ถึงได้ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าขึ้นมากะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ

ไม่ทราบเป็นเพราะวิธีเคี่ยวกรำแบบนี้ได้ผล หรือเป็นเพราะก่อนหน้านี้เฉินเฟิงมีโอกาสลงมือน้อยเกินไปจริงๆ ใน ๑๐ วันมานี้ทักษะแส้ของเฉินเฟิงได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๑๕ แล้ว

นอกจากนี้ ทักษะสังหารด้วยโทสะของนักรบคลั่งได้เลื่อนขึ้น ๑ ระดับ ทักษะชื่อเสียงของนักผจญภัยเองก็เลื่อนขึ้น ๑ ระดับเช่นกัน ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะฉายาใหม่ “นักฝึกสัตว์จอมทารุณกรรมสัตว์อสูร” นี่หรือเปล่า แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เฉินเฟิงไม่ทราบจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีอีกแล้ว

ต่อมาความเปลี่ยนแปลงของแส้เทพสีหราชทำเอาเฉินเฟิงอดขนลุกไม่ได้ เพราะตอนที่ระดับของทักษะใช้แส้เลื่อนขึ้นถึงระดับ ๑๐ นอกจากจะได้ทักษะย่อยชนิดเป็นผู้ถูกกระทำแบบแปลกๆ ที่ชื่อว่า “แส้ยาวไม่ถึง” แล้ว ระดับของแส้เทพสีหราชก็เลื่อนขึ้นไปอีก ๑ ระดับ

ตอนนี้แส้เทพสีหราชกลายเป็นอาวุธระดับที่ ๓ พลังโจมตี ๒๐ จุด ช่องเรียกสัตว์เลี้ยงเข้ามาเก็บเพิ่มขึ้นเป็น ๕ ช่อง คุณสมบัติเสริมสามารถใช้ความคิดบังคับให้ยืดหดได้ เพิ่มประสิทธิภาพของทักษะข่มขวัญและทักษะสื่อสารเป็นสองเท่า

บวกกับผลของประสิทธิภาพในการข่มขู่ ทุกครั้งที่ฟาดใส่สัตว์อสูร จะส่งผลให้มันเคลื่อนไหวช้าลงหลายวินาทีต่างๆ กันไป ถึงแม้เปอร์เซ็นต์สำเร็จจะแปรผันตามระดับของสัตว์อสูร และพลังโจมตีในตอนนี้จะยังน้อยนิดอยู่มากก็ตาม แต่แค่นี้ก็ใช้รับมือสัตว์อสูรในเขตสนามรบโบราณได้เหลือเฟือแล้ว อันที่จริงพูดได้ว่าเป็นฝ่ายเฆี่ยนเอาๆ อยู่ข้างเดียวเสียด้วยซ้ำ สัตว์อสูรส่วนใหญ่จึงถูกทารุณกรรมจนถึงตายจริงอย่างที่ชาวบ้านชาวช่องเขานินทากันนั่นแหละ

จะยังไงเฉินเฟิงก็ไม่ได้หลอมมาจากเหล็ก ถึงพลังใจจะยังเต็มร้อย แต่การต่อสู้อย่างหักโหมเป็นเวลา ๑๐ วันติดต่อกันก็ทำเอาเขาเหนื่อยแทบอ้วก แถม ๑๐ วันมานี้เขากินแต่เสบียงกรังยาไส้ ทำให้อดคิดถึงอาหารในภัตตาคารไม่ได้

เฉินเฟิงดูเวลา วิหารจันทราเทพน่าจะเลิกงานได้แล้ว เขารับปากเธอไว้ว่าเธอออนไลน์เมื่อไหร่จะไปฝึกวิชาด้วยกัน ราชาสุนัขป่าน้อยเองก็น่าจะเปลี่ยนเจ้าของได้แล้ว เอาแต่ฝึกวิชาอย่างเดียวมันก็น่าเบื่อเกินไป หาเพื่อนมาไว้เถียงกันเล่นสิจะได้ไม่เหงาปาก

พอคิดได้ดังนี้ เฉินเฟิงก็ตัดสินใจจะไปพักผ่อนที่เมืองชิงจ้างสักหน่อย นอกจากกะจะไปทานอาหารให้อร่อยสักมื้อแล้ว จะได้ฉวยโอกาสรอไปด้วยเลยว่าวิหารจันทราเทพจะออนไลน์หรือเปล่า

เขาไม่ใช่คนตระหนี่ชนิดที่เป็นแต่หาเงินกับเก็บเงินโดยไม่รู้จักเสพสุขกับชีวิต ความจริงในเมืองทุกเมืองต่างก็มีภัตตาคาร ตอนเฉินเฟิงเดินเล่นในเมืองก็เคยเห็นป้ายภัตตาคารผ่านตาอยู่เหมือนกัน แต่อาจเป็นเพราะพวกผู้เล่นบนเกาะเริ่มต้นเป็นมือใหม่กันทั้งนั้น จึงอดเสียดายที่จะจ่ายค่าอาหารให้ภัตตาคารไม่ได้ ทำให้บรรยากาศภายในภัตตาคารออกจะโหวงเหวงวังเวง บวกกับเฉินเฟิงเองก็ไม่ได้ชอบทานเหล้าเสียด้วย เขาจึงได้แต่เดินผ่านมันไปทุกครั้ง

เฉินเฟิงเดินทางพลางคิดถึงรสชาติสุดแสนจะอร่อยเลิศล้ำของอาหารในภัตตาคารเมืองเขี้ยวมังกรไปพลาง คิดไปคิดมา น้ำลายก็ทำท่าจะไหลย้อย อาหารที่ขบวนนักเวทและสัตว์เป็นเจ้ามือมื้อนั้น ทำให้ภัตตาคารในเกมราชาฯได้ลูกค้าขาประจำเพิ่มมาอีกหนึ่งราย และทำเอาในกาลข้างหน้าเฉินเฟิงต้องหมดเงินไปกับค่าอาหารเพิ่มขึ้นไม่ใช่น้อยๆ ซึ่งคิดว่านี่คงเป็นเรื่องที่พวกขบวนนักเวทและสัตว์ทั้งเจ็ดคนต่างก็คาดไม่ถึงเป็นแน่ !

แน่นอนว่าที่เฉินเฟิงเกิดความคิดขยันฝึกซ้อมเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง ก็เป็นเพราะพวกขบวนนักเวทและสัตว์อีกเหมือนกัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงถูกกำหนดขึ้นมาในสภาพคลุมเครือเช่นนี้เอง และจะยิ่งคลุมเครือมากขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่กำลังเดินทางเพลินๆ ข้างหน้าก็มีเสียงต่อสู้กันอย่างดุเดือดดังมา แค่ฟังจากเสียงตวาดก็รู้แล้วว่าอย่างน้อยมีคนไม่ต่ำกว่า ๓๐ คนกำลังตะลุมบอนกัน เฉินเฟิงไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว จึงเรียกหลายฝูกับอู้คงกลับมา

นับแต่ได้ทักษะพหุสื่อสารเป็นต้นมา การออกคำสั่งพวกสัตว์เลี้ยงก็ง่ายขึ้นมาก ก่อนหน้านี้เขาต้องสั่งไปทีละตัวๆ มาตอนนี้สั่งแค่ครั้งเดียวก็ได้แล้ว

แต่อู้คงดูท่าจะไม่พอใจอย่างมากที่เฉินเฟิงจัดให้มันเป็นสัตว์เลี้ยงระดับเดียวกับหลายฝู จึงมักจะรอให้สั่งซ้ำที่ตัวมันแค่ตัวเดียวถึงจะยอมทำตาม ทำให้เฉินเฟิงอดโมโหไม่ได้

ครั้งนี้เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เฉินเฟิงลืมนิสัยนี้ของอู้คงเสียสนิท หลังจากออกคำสั่งเปลี่ยนเส้นทางไปแล้ว อู้คงก็ยังมุ่งหน้าต่อไปโดยแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่กว่าปกติคนหนึ่ง มือถือขวานขนาดยักษ์ยืนอยู่ด้านหน้าอู้คง ลักษณะแบบนี้ไม่ต้องบอกก็ทราบว่าเป็นผู้เล่นที่ได้อาชีพนักรบคลั่งอย่างแน่นอน

มีบางอาชีพหลังจากที่ได้อาชีพแล้ว ร่างกายจะขยายขนาดใหญ่ขึ้น อาชีพนักรบคลั่งเป็นอาชีพหนึ่งที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด

ชายฉกรรจ์หัวเราะอย่างลำพองแล้วพูดว่า

“ทางนี้มีลิงจ๋อหลงมาตัวนึงโว้ย ! ถือกระบองท่าทางไม่เลวเสียด้วยแน่ะ สีทองทั้งอันเชียว ถูกใจฉันว่ะ เอามาให้ฉัน พยัคฆ์สุวรรณผยอง (จินป้าหู่) ใช้กำลังเหมาะมือพอดี...เฮ้ย ! ยังไม่รีบส่งมาให้อีก หรืออยากจะให้ฉันลงมือหา ?”

หลายวันมานี้ท่าทางอู้คงจะอุดอู้จนเซ็งได้ที่จริงๆ เนื่องจากต้องช่วยเฉินเฟิงฝึกทักษะแส้ มันเลยได้แต่ช่วยไล่ต้อนสัตว์อสูรให้เท่านั้น หนนี้มีคนมาหาเรื่องเองถึงที่ แถมยังทำท่าวางโตสุดๆ อีกต่างหาก มันจึงฟาดกระบองใส่ชายฉกรรจ์ไปหลายเปรี้ยงทันทีอย่างไม่มีการเกรงอกเกรงใจ

เมื่อเป็นแบบนี้ถึงเฉินเฟิงคิดจะหลบก็หลบไม่พ้นเสียแล้ว แม้จะรู้สึกระคายหูกับคำพูดของชายฉกรรจ์คนนี้อยู่เหมือนกันก็เถอะ แต่ตัวเขายึดถือหลักประนีประนอมเป็นใหญ่ จึงได้แต่ฝืนยิ้มแล้วรีบเข้าไปห้าม เผื่อว่าจะยังพอไกล่เกลี่ยสถานการณ์ได้

พยัคฆ์สุวรรณผยองที่คิดจะลงมือกลับถูกชิงลงมือก่อนเสียแล้ว แถมยังคาดไม่ถึงว่าอู้คงจะร้ายกาจขนาดนี้ โชคดีที่พื้นฐานของเขาแกร่งพอ จึงไม่ถึงกับตายคาที่ในทันที เขารีบควงขวานป้องกันอย่างแน่นหนาทันควัน และไม่เสียทีที่เป็นยอดฝีมือในสาขาอาชีพนักรบคลั่ง หลังถูกโจมตีแม้จะตระหนกแต่ไม่ลนลาน ชั่วครู่เดียวก็พาตัวพ้นจากภาวะวิกฤติมาได้ มีรุกมีรับ ประจัญกันได้อย่างสบายๆ

เฉินเฟิงออกคำสั่งอีกครั้งให้อู้คงถอยมาตั้งรับพลางร้องตะโกนว่า

“พี่ชายท่านนี้โปรดยั้งมือไว้ก่อน แค่เข้าใจผิดกันเท่านั้น มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ครับ !”

น่าเสียดายที่พยัคฆ์สุวรรณผยองไม่คิดจะเลิกราอย่างสันติ พอเห็นอู้คงเปลี่ยนไปตั้งรับ ก็ใช้ทักษะย่อย “ขว้างขวาน” ไล่โจมตีทันที

แม้ปกติหลายฝูจะเป็นคู่แข่งของอู้คง แต่เพราะต่างก็เป็นสัตว์เลี้ยงของเฉินเฟิงด้วยกันทั้งคู่ จึงย่อมจะเข้าข้างอู้คงเป็นธรรมดา มันใช้คาถาคมวายุพุ่งชนอากาศที่ผนึกเป็นรูปคมขวานซึ่งไล่ตามอู้คงมาเบี่ยงออกไปได้ทันเวลาพอดี อากาศรูปคมขวานที่เบี่ยงทิศทางพุ่งไปชนต้นไม้ใหญ่หักไป ๓ - ๔ ต้นถึงค่อยสลายไป จากนั้นซวงเว่ยก็แถมคาถาศรเพลิงเข้าให้อีกหนึ่งดอกอย่างไม่คิดจะล้าหลัง ถึงจะโจมตีไม่ถูกพยัคฆ์สุวรรณผยอง แต่ก็ส่งผลให้เขาต้องหยุดชะงัก ไม่สามารถไล่ตามเล่นงานอู้คงต่อได้

หนนี้เฉินเฟิงชักปวดกบาลอย่างแท้จริง ไม่ต้องหวังแล้วว่าจะแก้ไขความเข้าใจผิดได้ เพราะความแค้นระหว่างสองฝ่ายได้ถูกเพาะขึ้นเรียบร้อยไปแล้ว

สัตว์เลี้ยงโจมตีมีค่าเท่ากับตัวผู้เล่นลงมือเอง นี่เป็นเรื่องที่ผู้เล่นทุกคนต่างก็รับรู้ร่วมกัน ถ้าอู้คงลงมือแค่ตัวเดียว ยังพอจะแก้ตัวได้ว่าสัตว์เลี้ยงหนี แต่หลายฝูกับซวงเว่ยพลอยลงมือด้วยนี่ เท่ากับประกาศสงครามชัดๆ

ครั้งนี้เฉินเฟิงมีปากยากจะอธิบายเสียแล้ว นี่เป็นความซวยที่เกิดจากทักษะพหุสื่อสารแท้ๆ เนื่องจากทักษะนี้เป็นทักษะที่ถูกกระทำ เพื่อให้สามารถสั่งการสัตว์เลี้ยงได้พร้อมๆ กัน การสื่อสารระหว่างสัตว์เลี้ยงและตัวผู้เล่นจึงกลับคืนสู่สภาพสื่อสารกันด้วยความคิด แต่เนื่องจากระดับได้เลื่อนขึ้นเป็นสามารถสื่อสารกันได้ทุกเวลา ดังนั้นขอเพียงผู้เล่นมีความคิดเกิดขึ้น สัตว์เลี้ยงทุกตัวจะสามารถรับได้พร้อมกันในทันที

พอทักษะย่อยของนักรบคลั่งถูกใช้ออก เฉินเฟิงก็เกิดความคิดอยากตอบโต้ขึ้นมาทันควัน เขายังไม่ทันระงับความคิดนี้ หลายฝูกับซวงเว่ยก็ลงมือไปเรียบร้อยแล้ว

ครั้นพยัคฆ์สุวรรณผยองถูกโจมตีถอยกลับไป พวกพ้องที่อยู่ด้านหลังก็ถูกกระตุ้นให้หันมาสนใจทันควัน แล้วผู้เล่นถือดาบต่างขนาดกันสามคนก็เข้ามาช่วยทันที

พยัคฆ์สุวรรณผยองแผดหัวเราะก้อง

“นี่เรอะมีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ ! วันนี้ฉันจะเอากระบองในมือไอ้ลิงจ๋อนั่นมาแน่ๆ แกจะส่งมาให้เอง หรือจะให้ฉันลงมือแย่งหา ไอ้หนู ? เดี๋ยวจะหาว่าพวกฉันใช้วิธีหมาหมู่เข้ารุม ฉันจะให้โอกาสแกสักครั้ง กล้ารับคำท้าดวลตัวต่อตัวกับฉันมั้ย ? ช่างเหอะ ฉันว่าไงๆ แกก็ไม่กล้าอยู่แล้ว !”

ถ้ากระทั่งเรื่องนี้ยังทนไหว คงไม่มีเรื่องไหนอีกแล้วที่ทนไม่ไหว ถึงปกติเฉินเฟิงจะสุภาพอ่อนโยน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนแหยรังแกง่าย เจอคนพาลหาเรื่องถึงขนาดนี้ ต่อให้เป็นพระโสดาบันก็ยังเดือด

ขณะจะออกปากรับคำท้าดวล ผู้เล่นที่ถูกล้อมโจมตีก็ฝ่าวงล้อมอันแน่นหนาพุ่งเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสองพลางตะโกนว่า

“รอเดี๋ยว ! อย่าวู่วามรับคำท้าเชียวนะ ! มันไม่คิดจะดวลตัวต่อตัวหรอก อย่าหลงกลมันเด็ดขาด !”

เสียงนี้คุ้นหูเอามากๆ พอดูดีๆ แล้วปรากฏว่าเป็นคนรู้จักจริงๆ ด้วย เฉินเฟิงโพล่งว่า

“หนานอี๋ ทำไมถึงเป็นเธอได้ล่ะ ?”

พอได้ยินว่าเป็นคนรู้จักของตัวเอง หนานอี๋ก็เผลอตะลึงไปชั่วขณะ แค่ชั่ววูบนี้ทำให้ตัวเธอที่ก็ฝืนยืนหยัดแทบจะไม่ไหวอยู่แล้วถูกผู้เล่นที่ใช้ดาบฟันใส่ไป ๔ - ๕ ดาบในทันที

ครั้นพยัคฆ์สุวรรณผยองกับผู้เล่นอีกสามคนเห็นหนานอี๋ทำลายแผนการของพวกตน ก็โดดเข้ารุมหนานอี๋โดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าทันที ดูท่าคิดจะฆ่าเธอให้ตายก่อนค่อยว่ากันทีหลัง

แน่ละว่าเฉินเฟิงไม่คิดจะยืนดูเฉยๆ อยู่แล้ว ต่อให้เปลี่ยนเป็นผู้เล่นคนอื่นที่เขาไม่รู้จัก เขาก็ไม่มีทางยืนดูอยู่เฉยๆ เหมือนกัน อย่าว่าแต่หนานอี๋เป็นคนรู้จักของเขาด้วย

พอความคิดบังเกิด อู้คงก็พุ่งเข้าสู่สนามรบอีกครั้งทันที กระบองห่วงทองสกัดขวางผู้เล่นสามคนนั้นเอาไว้ หลายฝูเองก็ใช้ท่าบุกโจมตีก่อกวนวงล้อมอย่างไม่มีการเกรงอกเกรงใจ

เฉินเฟิงหนีบท้องม้า กระโดดไปรวดเดียวไกล ๖ เมตร แส้เทพสีหราชสะบัดขวับกรีดอากาศเสียงดังสนั่น แต่เป้าหมายคือหนานอี๋ที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขันถึงขีดสุด ไม่ใช่พวกผู้เล่นที่กำลังล้อมโจมตีแต่อย่างใด เฉินเฟิงเหวี่ยงเบาๆ ส่งเธอขึ้นมานั่งที่ข้างหลัง หนึ่งคนสามสัตว์เลี้ยงเคลื่อนไหวประสานกันอย่างไร้ที่ติ เหมือนฝึกซ้อมกันมาแล้วเป็นร้อยพันรอบก็ไม่ปาน เหมือนสายน้ำไหลต่อเนื่องกันอย่างไม่มีการขาดตอน กว่าพยัคฆ์สุวรรณผยองจะรู้สึกตัวและคิดขัดขวาง เฉินเฟิงก็พาหนานอี๋พุ่งทะลวงเข้าสู่สนามรบวงในที่รบกันดุเดือดยิ่งกว่าไปแล้ว

สมาชิกขบวนนักเวทและสัตว์ทั้ง ๖ คนปรากฏแก่สายตา พวกผู้เล่นที่ล้อมโจมตีอยู่รอบๆ มีอย่างน้อย ๒๐ กว่าคน สถานการณ์ไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายขบวนนักเวทและสัตว์อย่างมาก เฉินเฟิงตวาดเบาๆ

“หนานอี๋เปลี่ยนไปใช้หน้าไม้เร็ว !” แล้วซัดดาวกระจายนำไปก่อนหนึ่งกำโดยไม่มีการร้องทักทาย

เมื่อทางด้านหลังถูกโจมตีอย่างกะทันหัน สถานการณ์ก็เปลี่ยนเป็นสับสนอลหม่านทันควัน เฉินเฟิงฉวยโอกาสใช้ท่าบุกทะลวงไปหลายครั้ง บวกกับแส้เทพสีหราชที่ยืดหดได้ดังใจนึกและฝีมือยิงธนูอันแม่นยำของหนานอี๋ทางด้านหลัง ในที่สุดก็สามารถก่อกวนการประสานโจมตีของฝ่ายศัตรูสำเร็จจนได้

ชายหนุ่มในชุดนักเวทคนหนึ่งเห็นผลลัพธ์ที่พยายามแทบแย่กว่าจะได้มาถูกขัดขวางให้ชะงักลงเสียแล้ว ก็พูดเสียงดังก้อง

“พยัคฆ์สุวรรณผยองทำอะไรของแกหา ? แค่ให้เฝ้านอกวงไว้ก็ยังทำไม่สำเร็จเรอะ ! ผู้มาคือใคร ? ขวัญกล้าบังอาจมาสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับความแค้นของพวกเราสมาพันธ์ดาบกระบี่ !”

พยัคฆ์สุวรรณผยองพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ

“พี่ใหญ่ มันเป็นพวกเดียวกัน ตอนแรกฉันเกือบจะโดนลอบกัดอยู่แล้วเชียว !” คนพาลชิงเป็นฝ่ายฟ้องก่อนเสียแล้ว พยัคฆ์สุวรรณผยองตอบคำถามชายในชุดนักเวทพลางสั่งพวกพ้องให้หดวงล้อมแคบเข้า

เฉินเฟิงส่งข้อความขอเข้าร่วมกลุ่ม แต่กลับถูกหัวหน้าคมพิรุณปฏิเสธกลับมา

คมพิรุณพูดว่า “เฟิงซฺยง[1] ทำไมถึงเป็นคุณได้ล่ะ ? ขอบคุณในเจตนาดีค่ะ แต่คนพวกนี้ไม่ควรไปตอแยด้วยหรอกนะ เป้าหมายของพวกมันคือพวกเราเจ็ดคน คุณหาโอกาสหนีไปก่อนเถอะ !”

เฉินเฟิงที่ถูกปฏิเสธถึงกับงงไปจนแทบจะถูกทวนเล่มหนึ่งแทงเข้าให้ แต่อู้คงกับหลายฝูที่ติดตามมาถึงไม่มีทางปล่อยให้ผู้เล่นที่ใช้ทวนคนนี้ทำสำเร็จอยู่แล้ว ต่างแย่งกันโจมตีใส่ผู้เล่นใช้ทวนที่คิดจะลอบกัดทันทีจนทำเอาฝ่ายนั้นลนลานรับมือไม่ทันไปเลย ส่วนซวงเว่ยก็จัดแจงส่งศรเพลิงเข้าไปซ้ำเติมอย่างไม่มีการเกรงใจ สามสัตว์เลี้ยงประสานโจมตีทำเอาผู้เล่นใช้ทวนถึงกับบาดเจ็บสาหัสในทันที

เฉินเฟิงค่อยรู้สึกตัว และพูดว่า “หัวหน้าคมพิรุณเกรงใจเกินไปแล้วครับ ถึงผู้น้องจะไม่ได้เก่งกาจอะไร แต่เพื่อนฝูงมีภัยแบบนี้ จะให้ผู้น้องนั่งดูเฉยๆ โดยไม่ยอมช่วยได้ยังไงกัน ? อย่าว่าแต่ผู้เล่นพวกนี้ทำตัวอันธพาลเกินไปมาก ต่อให้ผมไม่คิดจะตกกระไดพลอยโจน พวกเขาก็ไม่ยอมปล่อยผมอยู่แล้ว !” พูดจบก็ส่งข้อความขอเข้าร่วมกลุ่มไปอีกครั้ง

พยัคฆ์สุวรรณผยองแผดหัวเราะก้อง “ไอ้หนูรู้ดีนี่หว่า แต่วันนี้ฉันจะยอมใจดีสักครั้ง ขอแค่แกทิ้งลิงจ๋อตัวนั้นไว้ ฉันจะยอมปล่อยแกไป เป็นยังไง ?”

อยู่ๆ ชายในชุดนักเวทก็ร้องสั่งขึ้นกะทันหันให้พวกพ้องถอยไปชั่วคราว แต่ยังคงรักษาสภาพโอบล้อมเอาไว้อยู่ จากนั้นตำหนิว่า

“พยัคฆ์สุวรรณผยอง นายมีสิทธิ์ตัดสินใจตั้งแต่เมื่อไหร่ ? เป็นแต่หาเรื่องยุ่งมาให้ฉันได้ทั้งวันไม่มีเว้น แค่เรื่องเล็กนิดเดียวก็ยังทำไม่สำเร็จ ออกไปเฝ้านอกวงให้ดีๆ ซะ ! ถ้ายังมีใครบุกเข้ามาได้อีกล่ะก็ ระวังฉันจะเลิกเห็นแก่ความเป็นพี่น้อง !”

พยัคฆ์สุวรรณผยองถูกสวนหน้าหงายกลับมา ก็ได้แต่จ้องเฉินเฟิงเขม็งอย่างเป็นเดือดเป็นแค้นโดยไม่กล้าพูดอะไรอีก

ชายหนุ่มนักเวทเปลี่ยนมาพูดกับเฉินเฟิงว่า “พี่ชายท่านนี้ไม่คุ้นตาเลย ที่แท้ก็ไม่ใช่สมาชิกของขบวนนักเวทและสัตว์นี่เอง เมื่อครู่น้องชายของผมมุทะลุไปหน่อย หากไปล่วงเกินคุณเข้า ก็โปรดอภัยให้ด้วยเถิดนะครับ คุณช่วยเห็นแก่หน้าผมหน่อยได้ไหม ? วันนี้สมาพันธ์ดาบกระบี่จะสะสางความแค้น คุณช่วยถอยไปก่อนได้หรือเปล่าครับ ? วันหน้าหากคุณมีเวลาว่างแวะมาที่เมืองชิงจ้าง ขอแค่ไปที่ภัตตาคารแล้วบอกว่าต้องการพบผม เทวอาจารย์มังกร (หลงเทียนซือ) ผมจะมาพบคุณอย่างแน่นอน เป็นยังไงครับ ?”

อยู่ๆ ท่าทีก็เปลี่ยนเป็นอ่อนลงอย่างนี้ ทำเอาเฉินเฟิงอดงงไม่ได้ แต่ชื่อสมาพันธ์ดาบกระบี่นี่ทำไมถึงรู้สึกคุ้นๆ หูชอบกลอยู่ เพียงแต่นึกไม่ออกขึ้นมากะทันหัน

หนานอี๋ส่งข้อความมาว่า “พี่เฟิงอย่าถูกมันหลอกเอาเชียวนะ ! หมอนั่นเป็นหัวหน้าของพวกนี้ เมื่อกี้เขานั่นแหละที่หลอกพี่หมิ่นเจิ้งว่าจะท้าดวลตัวต่อตัวกัน พอพี่หมิ่นเจิ้งตกลง เขาก็กลับคำเปลี่ยนเป็นสั่งพรรคพวกล้อมเล่นงานพวกเรา”

เฉินเฟิงหัวเราะอย่างองอาจ “ถึงแม้ผมเฉินเฟิงจะไม่ใช่บุคคลผู้ยิ่งใหญ่อะไร แต่คิดจะให้ผมทิ้งเพื่อนในเวลาที่เพื่อนกำลังมีภัยนี่ ผมเห็นจะทำไม่ได้หรอกครับ ก่อนนี้ผมไม่ได้เป็นสมาชิกของขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ก็จริง แต่นับแต่บัดนี้ไปผมเป็นแล้วครับ หากพี่น้องมังกรเห็นแก่หน้ากันจริงๆ ละก็ อย่างนั้นไม่ว่าครั้งนี้จะมีความแค้นใดกัน ก็ขอให้ละวางไว้ชั่วคราวก่อนจะได้ไหมครับ ?” พร้อมกันนั้นเฉินเฟิงก็ส่งข้อความให้หนานอี๋ว่า “ต่อให้รับคำท้าดวลตัวต่อตัว ก็ไม่น่าจะกลายเป็นแบบนี้ได้นี่นา ! สู้ไม่ได้ก็ยอมแพ้แล้วกลับเมืองไปก็สิ้นเรื่อง ทำไมถึงถูกบีบจนกลายเป็นแบบนี้ได้ล่ะ ?”

หนานอี๋แค้นใจจนพูดออกมาตรงๆ โดยไม่ผ่านทางช่องเพื่อน

“พี่เฟิง ก็เพราะพวกมันวางแผนหลอกเราน่ะสิ ! เราจะขอยอมแพ้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในเขตปลอดภัยเท่านั้น ไม่งั้นก็มีแต่ต้องสู้กันจนตายถึงจะหยุดได้ แล้วยังไงพวกเราก็ทอดทิ้งพี่หมิ่นเจิ้งไว้คนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว !”

เฉินเฟิงเพิ่งจะได้ทราบก็ตอนนี้เองว่าการดวลตัวต่อตัวมีปัญหาแบบนี้ด้วย ตอนที่ถูกพยัคฆ์สุวรรณผยองยั่วให้รับคำท้าเมื่อกี้ เขาเองก็ไม่ทันได้คิดอะไรมากมาย ดูท่าคนของสมาพันธ์ดาบกระบี่จะวางอุบายเอาไว้จริงๆ

ครั้นเทวอาจารย์มังกรฟังที่เฉินเฟิงพูดจบ ก็พลันร้องสั่งให้พวกพ้องทั้งหมดเก็บอาวุธ แล้วพูดอย่างนอบน้อม

“คุณคือพี่ท่านเฉินเฟิงจริงๆ หรือครับ ?”

เฉินเฟิงงงไปชั่วขณะกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เมื่อทราบถึงที่มาที่ไปของเรื่องในครั้งนี้แล้ว เขาก็พูดอย่างไม่มีการเกรงอกเกรงใจอีกต่อไปว่า

“คำว่าพี่ท่านเห็นจะไม่กล้ารับล่ะครับ แต่ผมเดินไม่เคยเปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เคยเปลี่ยนแซ่ และก็ชื่อเฉินเฟิงจริงๆ”

เทวอาจารย์มังกรสั่งให้พวกพ้องที่สวมชุดนินจาคนหนึ่งใช้วิชาตรวจสอบตรวจสอบดู พอได้รับคำยืนยันปุ๊บ ก็เป็นฝ่ายขอยอมแพ้ในการดวลตัวต่อตัวทันที จวงหมิ่นเจิ้งได้แต่ตะลึง แล้วรีบยอมรับด้วยความยินดี

นอกจากอยู่ภายในเขตปลอดภัยแล้ว การจะหยุดการท้าดวลตัวต่อตัว มีแต่ต้องให้ฝ่ายออกปากท้าเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาก่อน และได้รับการเห็นพ้องจากฝ่ายรับคำท้าเท่านั้นจึงจะได้ แต่ฝ่ายออกปากท้าจะโดนหักแต้มแพ้เพิ่มขึ้นอีก ๑ แต้ม และถูกปรับห้ามไม่ให้เป็นฝ่ายท้าใครดวลเป็นเวลา ๑๐ วัน

เทวอาจารย์มังกรไม่สนใจเสียงบ่นกันพึมของพวกลูกน้อง ประสานมือคารวะแล้วพูดว่า

“เฟิงซฺยง ครั้งนี้เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วล่ะครับ ! โปรดอภัยที่ผู้น้องมีตาไม่รู้จักไท่ซาน[2] ผู้น้องคือหัวหน้าตึกมังกรพยัคฆ์ ตึกที่ ๗ ของสมาพันธ์ดาบกระบี่ เฟิงซฺยงเป็นผู้ซึ่งท่านหัวหน้าสมาพันธ์ได้กำหนดไว้ให้เป็นสมาชิกกิติมศักดิ์ของสมาพันธ์เรา ในเมื่อขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์เป็นเพื่อนของคุณ อย่างนั้นความแค้นที่มีต่อกันถือว่าเจ๊ากันไปก็แล้วกันครับ

“หัวหน้าคมพิรุณ ผมเทวอาจารย์มังกรขอเป็นตัวแทนพี่น้องทุกคนขอขมาคุณด้วยครับ และยินดีที่จะชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดให้แก่ขบวนนักเวทและสัตว์ ไม่ทราบว่าแบบนี้จะได้หรือเปล่า ?”

เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกกลับตาลปัตรสุดๆ แบบนี้ ทำเอาเฉินเฟิงถึงกับทำตัวไม่ถูก ชื่อเสียงของเขามีประโยชน์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย ทำไมเขาไม่เห็นรู้เรื่องเลย ? จึงพูดอย่างสงสัยว่า

“พี่น้องมังกรโปรดอภัยที่ผมซื่อบื้อไปหน่อย หัวหน้าสมาพันธ์ของคุณคือยอดฝีมือท่านใดหรือครับ ? แล้วดูเหมือนผู้น้องจะยังไม่เคยเข้าร่วมกลุ่มหรือสมาคมไหนๆ เลยนะ ! ไม่เคยเป็นสมาชิกกิติมศักดิ์ของที่ไหนเลยด้วย คุณจำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ ?”



[1] คำว่า “เฟิงซฺยง” (ซย ออกเสียงควบกล้ำ เน้นหนักที่เสียง ซ ) แปลว่า พี่เฟิง เป็นการเรียกผู้ชายที่อายุน้อยหรือมากกว่าอย่างให้เกียรติตามมรรยาท ภาษาแต้จิ๋วคือคำว่า “เฮีย” ซึ่งจะใช้ต่างกับคำว่า “เกอ” (พี่ชาย แต้จิ๋วอ่าน ก๊อ) ที่ใช้เรียกญาติพี่น้องผู้ชายหรือคนรู้จักที่นับถือเหมือนพี่ชายแท้ๆ ที่อายุมากกว่าอย่างสนิทสนม

[2] มีตาไม่รู้จักไท่ซาน ความหมายคล้ายมีตาแต่ไร้แวว แต่จะเน้นหนักไปที่ เห็นผู้ยิ่งใหญ่มาอยู่ตรงหน้า แต่ดันไม่รู้ว่าเขาคือผู้ยิ่งใหญ่ ; ไท่ซาน คือ เทือกเขาไท่ซาน เทือกเขาที่สูงที่สุดในประเทศจีน


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:30 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:19

0 ความคิดเห็น