หัวข้อ : เล่มที่ ๒ แรกเผยประกายกล้า ตอนที่ ๘ รู้สารพัด

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:41

ตอนที่ ๘

 

รู้สารพัด

 

ตอนแรกเซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพกำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกในการขี่ม้ากันอยู่ข้างๆ ครั้นเห็นรู้สารพัดเข้ามาทักเฉินเฟิง ก็นึกว่าเป็นคนรู้จักของเฉินเฟิง แต่พอเห็นเฉินเฟิงไม่ได้แนะนำให้พวกเธอรู้จัก ก็พากันประหลาดใจ ต่อมาเมื่อเห็นอาการตกตะลึงพรึงเพริดของรู้สารพัด ก็พากันปิดปากแอบหัวเราะ

พอได้ยินเสียงหัวเราะ เฉินเฟิงค่อยนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักกันเลย จึงกระแอมเบาๆ แล้วพูดแนะนำกับสองสาวว่า

“พี่ชายท่านนี้มีนามกรว่า รู้สารพัด รู้แจ้งแทงตลอดตั้งแต่ดาราศาสตร์เบื้องบนยันภูมิศาสตร์เบื้องล่าง ไม่ว่าจะมีคำถามพิสดารพันลึกขนาดไหน หรือเรื่องที่ไม่เข้าใจอะไร ให้มาถามเขาได้เลย ถ้าเขารู้เขาจะบอกจนหมดไส้หมดพุง แถมอธิบายได้ยาวเหยียดไม่มีวันจบวันสิ้น ช่วยประหยัดค่าสอบถามได้อีกต่างหากเชียวนะ !

“จริงสิ เขายังมีฉายาว่า...เอ...นักตอบคำถามอันดับหนึ่งแห่งเกมราชาแห่งราชัน...ผู้สุดยอดไร้เทียมทานแห่งจักรวาล...ขออภัย ชื่อมันยาวไปหน่อย ผมเลยจำไม่ค่อยได้ พี่รู้สารพัด พี่แนะนำตัวเอาเองก็แล้วกันนะ !”

พอรู้สารพัดได้ยินที่เฉินเฟิงแนะนำตัวเขา หน้าก็แดงก่ำไปจนถึงหูทันที ปรากฏว่าตอนที่เจอกับเฉินเฟิงครั้งแรก เขาแนะนำตัวเองกับเฉินเฟิงแบบนี้จริงๆ แต่มาตอนนี้พอได้เห็นว่าเครื่องป้องกันของทั้งสาม ไม่ว่าคนไหนก็เจ๋งกว่าเขาทั้งนั้น บวกกับกระทั่งสัตว์อสูรระดับ ๔๕ ยังกำราบได้ ข่าวสารแค่เล็กๆ น้อยๆ ของเขาจะมีหน้าเอาออกไปพูดอวดได้ยังไงกันเล่า ?

รู้สารพัดกระแอมติดต่อกันหลายครั้งเพื่อกลบเกลื่อนใบหน้าที่แดงก่ำของตัวเอง แล้วพูดว่า

“พี่เฉินเฟิง ! อย่าแกล้งหยอกผู้น้องเล่นอีกเลยน่า ความสามารถอันน้อยนิดของผู้น้องจะมีหน้าไปอวดได้ยังไงกันว่ารู้แจ้งแทงตลอดในทุกเรื่อง นั่นผมแค่ล้อเล่นตอนที่เพิ่งได้เจอกันเท่านั้นเองครับ

“ชื่อของผมคือ ครุโฬ[1] (คะ-รุ-โล) จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้อาชีพอะไรเลยสักอาชีพ รู้สารพัดเป็นฉายาที่คนอื่นเขาตั้งให้น่ะครับ ทีหลังผู้น้องไม่กล้าใช้แล้วล่ะ ไม่งั้นได้หน้าแตกตายเลย จริงสิ ไม่ทราบว่าคุณสุภาพสตรีสองท่านนี้ชื่อว่าอะไรหรือครับ ?”

เดิมทีสองสาวยังแค่แอบหัวเราะ แต่พอได้ยินคำแนะนำตัวของเฉินเฟิง ก็ปล่อยก๊ากออกมาอย่างสุดกลั้นทันที ยิ่งพอเห็นสีหน้าสุดยอดปูเลี่ยนๆ ของครุโฬ ก็ต้องรีบสูดหายใจลึกๆ อยู่หลายครั้งกว่าจะกลั้นหัวเราะได้อย่างยากเย็น

วิหารจันทราเทพพูดอย่างเปิดเผยว่า

“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อวิหารจันทราเทพ คุณเรียกฉันว่าจันทราเทพก็ได้ค่ะ คุณถ่อมตัวเกินไปแล้วล่ะ ฉันเองก็เคยได้ยินฉายารู้สารพัดมาเหมือนกัน แค่ไม่เคยพบคุณมาก่อนเท่านั้น แต่ทุกคนต่างก็บอกว่าคุณเก่งมาก ฉันเองก็ยังไม่ได้อาชีพเหมือนกันค่ะ !”

ความจริงเซียวหยาวไม่ค่อยชินกับการแนะนำตัวเอง แต่ในเมื่อวิหารจันทราเทพแนะนำตัวเองไปแล้ว จึงได้แต่พูดว่า

“สวัสดีค่ะ เรียกฉันว่าเซียวหยาวก็ได้ ตอนนี้ฉันเป็นนินจา แต่ความจริงอาชีพมันก็ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไรหรอกนะ”

วิหารจันทราเทพรีบเสริมทันทีว่า

“นั่นสิ ! ขอแค่มีพี่เฉินเฟิงอยู่ด้วย รับรองว่าเรื่องได้อาชีพไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ! หลายวันมานี้พวกเราเองก็เรียนรู้อะไรๆ จากเขามาเยอะมาก เขาบอกว่าจะสอนคุณจับสัตว์เลี้ยง คุณก็ต้องจับหลักให้ดีๆ ล่ะ ! เพราะเพื่อนของฉันที่เป็นนักฝึกสัตว์บอกว่า ความลับของอาชีพที่เฉินเฟิงรู้ ยังมากกว่าที่สมาคมรู้เสียอีก !”

เซียวหยาวพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเสริมว่า

“ฉันเองก็เคยได้ยินชื่อของคุณมาก่อนเหมือนกันค่ะ ! ทุกคนต่างบอกว่าคุณคือผู้รอบรู้สารพัดตัวจริงในเรื่องภารกิจและการสร้างไอเท็ม เพียงแต่ไม่เคยมีโอกาสได้รู้จักคุณมาก่อนเท่านั้น ที่แท้รู้สารพัดก็เป็นแค่ฉายานี่เอง มิน่าล่ะใครๆ ถึงบอกว่าคุณน่ะหาตัวยากมาก ! ทุกคนเรียกคุณว่ารู้สารพัดก็เหมาะสมดีแล้วล่ะค่ะ ส่วนเฉินเฟิงพอจะฝืนใจเรียกได้ว่าเป็นผู้รู้สารพัดในเรื่องความลับของอาชีพล่ะมั้งนะ ! ตอนนี้เขาเองก็เป็นนินจาเหมือนกัน ความลับของอาชีพนินจาที่เขารู้ยังมากกว่าที่สมาคมนินจารู้เหมือนกันค่ะ !”

เมื่อได้ยินว่าเฉินเฟิงรู้ความลับของอาชีพมากกว่าสมาคมอาชีพเสียอีก แถมที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ไม่ได้รู้แค่อาชีพเดียวเสียด้วย นัยน์ตาครุโฬก็ใสปิ๊ง รีบเกาะเฉินเฟิงหนึบทันที เอาแต่เรียกคุณพี่คร้าบไม่ขาดปาก

ครั้นเซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพเห็นปฏิกิริยาของครุโฬ ก็พากันหัวเราะก๊ากจนปวดท้องอีกครั้ง ส่วนเฉินเฟิง ถึงจะถูกท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของครุโฬทำเอาขนลุกซู่ แต่พอได้ยินสองสาวพูดว่าครุโฬคือผู้รู้สารพัดจริงๆ ก็รีบถามคำถามที่สำคัญมากๆ ทันที นั่นคือ : ขนนกอันไหนกันแน่ที่ภารกิจนี้ต้องการ ? ตอนอยู่บนยอดเขาไทแทนเขาอุตส่าห์ขนมาตั้งกองพะเนิน ถึงอย่างนั้นก็ยังอดกลัวไม่ได้ว่าจะไม่มีอันไหนที่ตรงกับที่ภารกิจต้องการเลยสักอัน !

แต่คำตอบเหนือความคาดหมายอย่างมาก นั่นคือมีแต่พวกขนที่ดูโดดเด่นแปลกตาไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่ไม่ใช่ไอเท็มที่ภารกิจต้องการ ส่วนที่เหลือใช่ทั้งหมด ! ครุโฬยังบอกเพิ่มเติมว่า ขนของพญาครุฑมีประโยชน์อื่นด้วย นั่นคือสามารถใช้สร้างไอเท็มเพิ่มความเร็วได้มากมายหลายชนิด ราคาในตลาดมืดก็สูงเอาการเลยทีเดียว แต่ตอนนี้มีแต่ราคาไม่มีผู้ซื้อ เพราะช่างฝีมือที่สามารถสร้างไอเท็มได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

เฉินเฟิงหลงนึกว่าการที่ไม่มีสมาคมช่างฝีมือแปลว่ายังไม่มีผู้เล่นคนไหนได้อาชีพช่างฝีมือเสียอีก พอรู้ว่ามีคนได้อาชีพช่างฝีมือด้วย ก็รีบยิงคำถามเป็นการใหญ่

เพียงแต่ช่างฝีมือพวกนี้ต่างก็ทำตัวลึกลับกันแทบทั้งนั้น แถมยังมีเพื่อนไม่มากอีกต่างหาก ครุโฬเองก็รู้จักช่างฝีมือแค่คนเดียว และรับปากว่าหากมีโอกาสจะต้องแนะนำให้เฉินเฟิงได้รู้จักแน่ๆ

เฉินเฟิงเลือกขนนกชนิดที่เอามาด้วยเยอะที่สุดออกมาหนึ่งอันกับดอกไม้เจ็ดสีหนึ่งต้น จากนั้นก็พบว่าขนของวานรขนทองที่ถอนออกมาก่อนหน้านี้ไม่ทราบหายไปไหนเสียแล้ว โชคดีที่ไอเท็มนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะหาไม่ได้ ว่าแล้วก็ถอนขนของอู้คงออกมาอีกกำทันที

แน่นอนว่าอู้คงดิ้นรนประท้วงอย่างไม่พอใจอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเฉินฟิงได้แต่ประเคนแส้เทพสีหราชใส่มันไปหนึ่งที พออู้คงถูกแส้เทพสีหราชหวดเข้าให้ ก็เปลี่ยนเป็นเสงี่ยมหงิมในพริบตา ทำให้ครุโฬสนอกสนใจแส้เทพสีหราชอย่างมาก

หลังจากรวบรวมไอเท็มที่ภารกิจต้องการทั้ง ๓ ชนิดครบ และมอบไปเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับแหวนมา ๓ วง บนแหวนแต่ละวงมีชื่อของพวกเขาสามคนสลักอยู่ แสดงว่าเป็นไอเท็มที่ไม่สามารถขายโอนได้เช่นกัน

ขอเพียงสวมแหวนวงนี้ แล้วร่ายคาถาใช้ม้วนคาถากลับบ้าน ก็จะสามารถไปยังแท่นบวงสรวงแห่งเวทได้

ผู้บวงสรวงกำชับมาเป็นพิเศษว่า ให้พวกเฉินเฟิงพกเงินไปมากๆ หน่อย เพราะการจะเรียนเวทมนตร์ต้องจ่ายเงินแพงมาก ทางที่ดีควรทำบัตรโอนเงินก่อน ค่อยใช้ม้วนคาถากลับบ้านไปที่แท่นบวงสรวงแห่งเวท

ถึงแม้แท่นบวงสรวงนี้จะสามารถไปซ้ำได้ แต่ผู้บวงสรวงเอาศีรษะรับประกันว่ามีผู้เล่นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยที่ยอมไปแท่นบวงสรวงเป็นครั้งที่สอง สีหน้ามีเลศนัยของนักบวงสรวงทำเอาทุกคนรู้สึกตงิดๆ กระทั่งผู้เล่นที่ฟังอยู่ใกล้ๆ ยังพลอยนึกอยากลองของไปตามๆ กัน

ครั้นผู้บวงสรวงเห็นว่าคนเริ่มจะมาสนใจมุงดูกันมาก จึงพูดทิ้งท้ายอีกประโยคว่า

“ภารกิจที่ต้องไปคลี่คลายต่างกัน แท่นบวงสรวงที่ต้องไปและเวทมนตร์ที่จะได้เรียนก็แตกต่างกันไปด้วย”

คำพูดนี้กระตุ้นให้ทุกคนฝันหวานกันเป็นแถวๆ แล้วพวกเฉินเฟิงทั้งสี่คนก็ตกเป็นเป้าสายตาของมหาชนอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมีผู้เล่นนึกออกว่าเฉินเฟิงคือยอดฝีมือซื่อบื้อคนนั้นนั่นเอง ทุกคนก็เฮละโลล้อมกันเข้าไปแย่งกันรุมยิงคำถามใส่เขาทันที

ไม่ทราบว่าพวกผู้เล่นคนที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากยอดฝีมือซื่อบื้อกับพวกผู้เล่นที่เคยค้าขายด้วยพากันเผยแพร่เรื่องที่เฉินเฟิงยินดีแบ่งปันความรู้ให้ทุกคนโดยไม่เห็นแก่ตัวออกไปตั้งแต่เมื่อไร ฟังว่าขอเพียงคุณกล้าออกปากถาม เขาจะตอบคำถามให้คุณอย่างแน่นอน แถมคำตอบยังละเอียดมากเสียด้วย

ผลจากการที่ข่าวลือผิดๆ พวกนี้แพร่ออกไป ทำให้เฉินเฟิงกลายเป็นบุคคลผู้แสนจะดีเลิศประเสริฐศรีไปเลย บางคนถึงกับสงสัยว่าเขาอาจเป็นบุคคลระดับสูงในบริษัทเลจจ์ เพราะยังไม่เคยพบว่ามีคำถามไหนที่เขาไม่รู้คำตอบมาก่อน !

เฉินเฟิงกับครุโฬต่างชินกับการถูกผู้คนห้อมล้อมเสียแล้ว แต่สองสาวไม่ได้ชินไปด้วย ครู่หนึ่งให้หลังเฉินเฟิงก็ถูกสองสาวลากตัวออกจากวิหารไปได้อย่างทุลักทุเล

แค่ช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ทักษะชื่อเสียงของเฉินเฟิงก็ได้เลื่อนรวดเดียวถึง ๒ ระดับอย่างเงียบเชียบ

ครุโฬเองก็แหวกวงล้อมของมหาชนออกมาได้อย่างลำบากยากเย็น เขาเพิ่งจะสำนึกเป็นครั้งแรกว่าการถูกฝูงชนรุมล้อมถามคำถามมันน่าขนหัวลุกขนาดไหน พอเทียบปริมาณฝูงชนที่เคยเข้ามารุมล้อมถามโน่นถามนี่จากเขากับฝูงชนที่เข้ามารุมล้อมถามเฉินเฟิงแล้ว ช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน ในที่สุดเขาก็ซึ้งแล้วว่าอาการคลั่งไคล้สุดขีดมันเป็นยังไง

“หากติดตามเฉินเฟิง ต้องมีอนาคตแน่ !”

ความคิดนี้ผุดขึ้นในศีรษะของครุโฬอย่างฉับพลันทันใด ครุโฬเองก็เป็นนักเล่นเกมอาชีพเช่นกัน แต่เขามาเล่นเกมนี้ก่อนเฉินเฟิงเกือบ ๓ เดือน

เฉินเฟิงถามอย่างประหลาดใจว่า ในเมื่อครุโฬเป็นนักเล่นเกมอาชีพ แล้วทำไมจนป่านนี้ถึงยังไม่ได้อาชีพไหนเลยสักอาชีพ ?

หลังจากฟังครุโฬอธิบายแล้ว เขาค่อยทราบว่าเป็นเพราะเกมหลักที่ครุโฬเล่นไม่ใช่เกมนี้ ในเกม ฝันที่เป็นจริง ครุโฬเป็นช่างฝีมือระดับสูงติดอันดับต้นๆ ของเกมเลยทีเดียว !

ถ้าไม่เพราะผู้เล่นเกมฝันที่เป็นจริงพากันเปลี่ยนไปเล่นเกมอื่นเป็นจำนวนมาก บวกกับเพื่อนหลายคนของเขาแนะนำเกมนี้ให้ เขาคงไม่โผล่มาที่นี่หรอก

ความถนัดของครุโฬคือข่าวสารและการสร้างไอเท็ม ในช่วงเวลาสามเดือนที่เขาเข้ามาเล่นเกมราชาแห่งราชัน มีพวกผู้เล่นระดับผู้นำของสมาคมหลายสมาคมมาชักชวนเขาเข้าสมาคม แต่เขาก็ปฏิเสธไปหมดทุกราย

ส่วนเรื่องของอาชีพในเกมราชาแห่งราชันนั้น ครุโฬเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่า สืบข่าวอยู่เป็นนานสองนาน ดันไม่มีเบาะแสของอาชีพสายผลิตไอเท็มเลยสักนิด

ถึงแม้เขาจะเคยเล่นอาชีพสายนักสู้มาก่อน แต่หลังจากที่ต้องเจอกับการเน้นอาศัยแต่หาของวิเศษ กับวันเวลาแห่งฝันร้ายที่ต้องฆ่าสัตว์อสูรระดับกลางวันละหลายพันหรืออาจถึงหลายหมื่นตัวกว่าจะได้เงินมาพอยาไส้ เขาเลยขอผ่านดีกว่า อย่าว่าแต่ตอนเล่นอาชีพสายนักสู้ พวกเพื่อนๆ ที่รู้จักมีแต่พวกชอบหาเรื่องทะเลาะวิวาท ไม่ก็เที่ยวท้าคนโน้นคนนี้ดวลไปวันๆ ทั้งสิ้น คิดจะมีรายรับที่มั่นคงนั้นไม่ง่ายเลย

การที่เกม “ราชาแห่งราชัน” ซึ่งเพิ่งจะผงาดขึ้นมาได้ไม่นานทำให้ครุโฬสนใจ เพราะเขาเป็นนักเล่นเกมที่ชอบทดลองเอามากๆ บวกกับการที่เกมนี้มีการร่วมมือกับธนาคารอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ช่วยขจัดปัญหาใหญ่อีกปัญหาที่พวกนักเล่นเกมอาชีพอย่างเขาเกลียดมากที่สุด นั่นคือ “การหาผู้ซื้อ !”

ไม่ต้องพูดถึงว่าต้องพยายามแทบล้มประดาตายมากแค่ไหนกว่าจะได้เงินมามากพอและต่อเนื่อง หลังจากได้เงินมาแล้วยังดันไม่รู้จะมีใครยอมซื้อนี่สิยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะเวลานี้พวกต้มตุ๋นยิ่งมียั้วเยี้ยไปหมดเสียด้วย ส่วนบริษัทเกมเองก็ดันไม่มีปัญญาขจัดปัญหานี้ เกิดตัวเองพลาดถูกหลอกต้มจนต้องขาดทุนป่นปี้ละก็ มีแต่ต้องนอนคลุมโปงร้องไห้โฮอยู่คนเดียวเท่านั้น

เป็นนักเล่นเกมอาชีพมาได้ ๓ - ๔ ปี ครุโฬก็หมดสิ้นความกระตือรือร้นที่เคยมีต่อเกมไปนานแล้ว หลังจากเกมฝันที่เป็นจริงเริ่มเสื่อมความนิยม ครุโฬยังเคยคิดจะลองไปหางานอื่นทำด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่อาจเป็นเพราะปลีกตัวออกจากสังคมมานานเกินไป บวกกับตัวเองไม่ได้มีความถนัดพิเศษอะไร สุดท้ายก็ต้องเข้าไปลองเล่นเกมอื่นๆ ที่พอจะมีชื่อเสียงดูอีกตามเคย

ด้วยความที่หมดทางเลือกเสีย ๓๐% และถูกสภาพความจริงบีบบังคับเสีย ๗๐% ทำให้ครุโฬเริ่มมองหาแหล่งทำงานแหล่งใหม่ ซึ่งก็คือเกมที่เขาจะสามารถเข้าไปหาเงินเลี้ยงปากท้องได้เกมต่อไป

พูดตามจริงแล้วเกมราชาแห่งราชันไม่ใช่ทางเลือกแรกที่เขาเลือก เพราะถึงแม้เงินของเกมราชาฯจะแลกเปลี่ยนได้ง่าย แต่การหาเงินในเกมนี้ยากเสียยิ่งกว่ายาก ที่แย่กว่านั้นคือ ภายในของเกมราชาฯมีความเปลี่ยนแปลงสูงมาก ของที่วันนี้มีราคาสูง ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ราคาจะยังสูงเหมือนเดิม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือระเบิดแสง เพราะทันทีที่รู้วิธีได้มันมา ไอเท็มที่เดิมราคาในตลาดมืดแพงมหาโหดจะถูกลงฮวบฮาบในเวลาแค่ไม่กี่วัน ประเด็นนี้ทำให้ครุโฬที่อาศัยการรวบรวมข่าวสารและสร้างไอเท็มเฉพาะตัวเป็นหลักต้องชะงักเท้าทันควัน แต่เขาก็ไม่อยากกลายเป็นเครื่องจักรฝึกวิชาด้วยเหมือนกัน ตอนนี้จึงเหลือทางเลือกแค่ทางเดียวที่จะทำให้มีรายรับเข้ามาอย่างมั่นคงไปตลอด และอาจถึงขั้นได้กำไรสูงมากอีกด้วย แต่ครุโฬก็พลาดโอกาสนั้นไปเสียแล้ว นั่นคือเข้าไปเป็นบุคคลระดับผู้นำของสมาคมต่างๆ หรือทำให้ตัวเองกลายเป็นเจ้าของอาณาจักร...“ขึ้นเป็นราชา”

ทางออกข้อแรกได้ถูกพวกนักเล่นเกมอาชีพที่เข้ามาเล่นเกมนี้เร็วกว่าเขาหนึ่งก้าวยึดไปหมดแล้ว ส่วนทางออกข้อหลังเงื่อนไขก็มหาโหดเกินไป ไม่มีทางที่คนเพียงคนเดียวจะทำสำเร็จได้

เดิมทีเขาคิดจะบอกลาเกม “ราชาแห่งราชัน” อยู่รอมร่อ แต่การปรากฏตัวของเฉินเฟิงทำให้เขาเปลี่ยนใจ เพราะเขามองเห็นพายุลูกใหม่...ถึงแม้ตอนนี้เฉินเฟิงจะยังอ่อนหัด แต่จะต้องเติบโตยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน ขอแค่ให้เวลาอีกหน่อย แถมด้วยให้ “ผู้ช่วยเหลือจำนวนหนึ่ง” เท่านั้น

ครุโฬตัดสินใจว่าจะลองเสี่ยงกับสายตาอันเฉียบคมในการมองคนของตัวเองอีกสักครั้ง ถึงยังไงเครื่องป้องกันและไอเท็มต่างๆ ที่เขามีในเกมฝันที่เป็นจริง เขาก็ขายทิ้งไปหมดแล้ว เกมอื่นๆ หรือก็มีจุดที่ไม่ถูกใจไปเสียทั้งนั้น เกมราชาแห่งราชันนี้เขาเองก็ชอบมันมากอยู่ ถ้ามีโอกาสจะขยายกิจการในเกมนี้ได้ ก็ถือเป็นทางเลือกที่ไม่เลวล่ะนะ

ครุโฬมองไปทางทิศที่พวกเฉินเฟิงเดินลับหาย แล้วสาวเท้าติดตามไปทันทีพลางร้องตะโกนในใจ

“ฉันมาแล้ว ! อนาคตของ ‘ราชาแห่งราชัน’ !”

 

“ลูกพี่ ! ลูกพี่บอกว่าจะแนะนำคนที่เก่งมากๆ ให้พวกเรารู้จักไม่ใช่หรือ ? แล้วทำไมถึงมีแต่ลูกพี่มาแค่คนเดียวล่ะ !”

“นั่นสิ ! แถมยังสั่งให้พวกเรามาให้ตรงเวลาอีก สุดท้ายพอพวกเรามาแล้ว ดันเปลี่ยนเวลานัดตั้ง ๓ หน ตกลงว่าคนที่ว่านี่ใหญ่มาจากไหนกันแน่ ? พวกเราละอยากจะเห็นหน้าจริงๆ”

“พระขรรค์ธรรมเมฆจำนรรจ์[2] (ฝอเจี้ยนอวิ๋นซัว) ดาบผู้กล้าพลิ้วละลิ่ว (เสียเตาเพียวเหมี่ยว) อดทนกันหน่อยน่า ! พวกนายชอบบ่นนักไม่ใช่หรือไงว่าไม่มีโอกาสวาดลวดลายให้สุดฝีมือสักทีน่ะ ? ถ้าตามคนคนนี้ไปบุกบั่นละก็ รับรองชื่อกระฉ่อนแน่ อีกอย่าง พวกนายไม่เชื่อสายตาฉันหรือไง ? คนคนนี้พวกนายเองก็น่าจะรู้จัก เพราะช่วงนี้ชื่อของเขาดังไม่ใช่เล่นเชียวล่ะ !”

“พวกเราจะไม่เชื่อสายตาของลูกพี่เลได้ยังไง เพียงแต่คนที่เข้าตาลูกพี่ได้นี่หายากมากเลยนะ ! เพราะหัวหน้าสมาคมทุกสมาคมที่มีอยู่ในตอนนี้ ไม่มีใครเข้าตาลูกพี่เลยสักคน หรือจะเป็น หลงเยี่ยอิ่ง (มังกรในเงาวิกาล) ?”

“ฉันว่าไม่น่าจะใช่นะ ! เพราะได้ยินว่าหลงเยี่ยอิ่งหยิ่งจะตาย แถมพวกผู้บริหารของสมาคม หมอนี่ก็เลือกแต่คนสนิทของตัวเองทั้งนั้น ถึงสมาคมจะโตเร็วมาก แต่ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่ อย่าว่าแต่ที่นี่มันอยู่ทางใต้ เขาจะมาโผล่แถวนี้ได้ยังไง ? อีกอย่าง เขาสร้างศัตรูมากเกินไป เลยไม่ตรงกับเงื่อนไขของลูกพี่

“ตอนนี้คนที่พอจะมีชื่อเสียงน่ะเยอะเอาการอยู่นะ ! ยิ่งหลังจากที่เลจจ์ประกาศกฎใหม่ด้วยแล้ว พวกบิ๊กๆ ก็โผล่มาเต็มไปหมด ตอนนี้ไม่ว่าที่ไหนก็กำลังประกาศรับสมัครสมาชิกกันทั้งนั้น แถมยังมีขบวนทหารรับจ้างผุดขึ้นอีกเพียบ ได้ยินว่าทวีปเขตสงครามทางตะวันออกกำลังจะเปิดใช้แล้ว ฉันเดาว่าคนที่พี่จะแนะนำให้พวกเรารู้จัก ตอนนี้คงยังไม่มีอิทธิพลอะไรแหงๆ !”

“ความคิดของพระขรรค์ธรรมฯก้าวหน้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่ ทำไมลูกพี่อย่างฉันไม่เห็นรู้เลย ? นายเริ่มเลิกจะเชื่อแบบหัวปักหัวปำว่าการใช้กำลังสามารถแก้ไขได้ทุกปัญหาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ? ถูกต้อง ! ตอนนี้เขายังเป็นแค่ผู้เล่นธรรมดาๆ แต่ผลกระทบที่เขาสร้างขึ้นน่ะไม่เบาเลยทีเดียว พูดถึงขบวนทหารรับจ้าง สมาพันธ์ดาบกระบี่ของพวกเราล่ะ ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว ?”

ดาบผู้กล้าพลิ้วละลิ่วตาใสขึ้นมาทันที เก็บดาบที่ตัวเขาเอาแต่เช็ดแล้วเช็ดอีกกลับคืนฝัก แล้วเงยหน้าขึ้นมองลูกพี่

“ลูกพี่คิดจะเริ่มบุกบั่นยุทธภพแล้วหรือ ?”

พระขรรค์ธรรมเมฆจำนรรจ์เองก็มองมาด้วยสายตาคำถาม แต่ปากยังไม่ลืมตอบว่า

“ตอนนี้สมาพันธ์ดาบกระบี่ของพวกเรามีสมาชิกทั้งหมด ๙๐ คน แต่มีนักเล่นเกมอาชีพรวมทั้งฉันกับดาบผู้กล้าฯแล้วแค่ ๑๕ คนเท่านั้น ถ้าลูกพี่ยอมกลับมากุมบังเหียนเองละก็ เรื่องเพิ่มจำนวนสมาชิกน่ะหมูมาก แค่พวกเราประกาศชื่อที่ลูกพี่ใช้ในเกมฝันที่เป็นจริง พวกผู้เล่นต้องแห่กันมาสมัครสมาชิกอย่างกับแร้งลงแน่ นี่ถ้าไม่เพราะลูกพี่สั่งให้พวกเราคัดคนให้ดีๆ ป่านนี้สมาพันธ์เรามีคนทะลุร้อยไปแล้ว ลูกพี่ยังจะสังเกตการณ์อีกนานแค่ไหนกัน ? นี่มันเกือบจะครึ่งปีแล้วนะ พวกพี่น้องรอกันจนเบื่อจะแย่แล้ว”

“เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ ! ตอนแรกที่ฉันสวมรอยเข้ามาเป็นพนักงานของเลจจ์ ก็เพราะคิดจะตีซี้กับพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูง หรือพวกโปรแกรมเมอร์ที่ออกแบบเกม ใครจะไปคิดว่าเลจจ์จะรักษาความลับเก่งขนาดนี้ ทำเอาฉันอดคิดไม่ได้ว่าเสียเวลาเปล่าแท้ๆ

“อีกแค่เจ็ดวันฉันก็จะเป็นอิสระแล้ว ตอนแรกฉันกะว่าจะรอถึงตอนนั้นค่อยแนะนำเขาให้พวกนายรู้จัก แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว เพราะฉันคิดจะให้เขาเป็นหัวหน้า”

ดาบผู้กล้าพลิ้วละลิ่วลุกพรวดขึ้นยืนทันทีอย่างตกตะลึง ร้องโพล่งว่า

“เดี๋ยวก่อนลูกพี่ ! ลูกพี่บอกว่าจะให้เขาเป็นหัวหน้าเนี่ยนะ ? อย่าว่าแต่พี่น้องทุกคนจะไ่ยอมเลย ฉันนี่แหละจะคัดค้านเป็นคนแรก ! ฉันไม่สนหรอกว่าหมอนั่นแน่แค่ไหน ที่ทุกคนมาที่เกมนี้ก็เพราะเห็นแก่หน้าลูกพี่กันทั้งนั้นนะ แต่พี่ดันจะให้คนนอกเป็นหัวหน้า มันไม่ค่อยเข้าท่านาพี่นา !”

ถึงพระขรรค์ธรรมเมฆจำนรรจ์จะไม่ได้แสดงท่าทีร้อนใจอย่างชัดเจนอย่างดาบผู้กล้าพลิ้วละลิ่ว แต่จากสีหน้าที่แสดงออก ทำให้ไม่ต้องถามก็ทราบว่าเขาคิดเหมือนกับดาบผู้กล้าฯ แต่พอเห็นท่าทีเอาจริงของพี่ใหญ่ เขาก็นึกประหลาดใจว่าคนแบบไหนกันนะที่ทำให้ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเกมฝันที่เป็นจริงยอมตกเป็นรองอย่างเต็มอกเต็มใจแบบนี้ได้ ?

“อย่าเพิ่งโวยวายไปเลยน่า ฉันรู้ดีว่าพี่น้องทุกคนต่างสนับสนุนฉันกันทั้งนั้น แต่ตอนนี้ต่อให้ไปเชิญเขามาเป็นหัวหน้า เขาก็ไม่มาเป็นให้หรอก เขาน่ะปฏิเสธคำเชิญของทุกสมาคมมาแล้วเชียวนะ ! ได้ยินว่าบางสมาคมบอกจะยกให้เขาเป็นถึงรองหัวหน้าสมาคมเลยทีเดียว ดังนั้นเขาอาจไม่เห็นสมาพันธ์เล็กๆ ของพวกเราอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ! จะบอกให้นะว่า เขาเพิ่งจะเข้ามาเล่นเกมราชาแห่งราชันแค่ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ แถมไม่ได้เข้าสังกัดสมาคมไหนทั้งสิ้น แต่ข่าวสารล่าสุดระบุว่า เขาได้อาชีพเรียบร้อยแล้ว”

ครั้งนี้กระทั่งพระขรรค์ธรรมเมฆจำนรรจ์ก็นั่งไม่ติด ร้องโพล่งอย่างตกใจ

“อาทิตย์เดียว ! เป็นไปได้ไง ? ต่อให้เป็นนักเล่นเกมอาชีพหักโหมเล่นติดต่อกันไม่หลับไม่นอนก็เถอะ ถ้าไม่มีข่าวสารเข้าช่วยก็ไม่มีทางได้อาชีพหรอก ! ตอนแรกฉันเองยังเสียเวลาไปตั้งเกือบสองเดือน แถมยังต้องแยกร่างเปิดอีก username ไปเข้าสมาคมนั่น กว่าจะได้อาชีพมาแบบเลือดตาแทบกระเด็น หรือหมอนั่นจะเป็นหัวหน้าสมาคมไหนที่เกิดประสาทกลับไปเปิด username ใหม่มาเริ่มหัดใหม่หมดกันน่ะ ?”

“ไม่น่าจะใช่นะ เพราะฉันตรวจสอบดูหมดแล้ว ฉันรู้จักหัวหน้าสมาคมทุกคนดี ไม่ว่าใครต่างก็เคยออนไลน์พร้อมเขากันทั้งนั้น ฉันบอกแล้วว่าอาชีพไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง รู้จักกันแค่ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ เขาก็ทำให้ฉันตกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำอีกจนไม่รู้จะอธิบายยังไงถูก นั่นไม่ใช่เรื่องที่แค่อาศัยโชคช่วยก็ทำสำเร็จได้หรอกนะ ! ผู้เล่นที่กระทั่งคลังเก็บไอเท็มก็ยังใช้ไม่เป็น ไม่มีทางเป็นหัวหน้าสมาคมไหนมาเปิด username ใหม่แน่

“เขาก็คือมือใหม่ที่โด่งดังที่สุดในตอนนี้ ‘ยอดฝีมือซื่อบื้อเฉินเฟิง’ ยอดฝีมือที่น่าจะเพิ่งเป็นนักเล่นเกมอาชีพเป็นครั้งแรก คนคนนี้ถ้าไม่ได้มาเป็นเพื่อน ก็จะกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวมากทีเดียว !”

ดาบผู้กล้าฯอ้าปากหวอ ทำหน้าไม่เห็นด้วยอย่างแรง แล้วส่ายศีรษะพลางพูดว่า

“ไอ้หนูตัวตลกนั่นน่ะเหรอ ? ไหงมันถึงได้อาชีพแล้วล่ะเนี่ย ? ไม่กี่วันก่อนฉันยังเพิ่งจะเห็นมันถูกแมงป่องยักษ์รังแกในทะเลทรายมรณะอยู่หยกๆ ! ตอนแรกยังว่าจะเข้าไปช่วยซะหน่อย แต่เห็นมันใช้ยาฟื้นพลังยังกับบ้าเลยเปลี่ยนใจ ดันกล้ามาท้าทายทะเลทรายมรณะคนเดียวได้ ช่วยไปก็เท่านั้น ลูกพี่บอกเองไม่ใช่หรือว่าคนที่ไม่รู้จักประมาณตนน่ะ ไม่คู่ควรรับมาเป็นพวกหรอก ?”

“น่าเสียดายจริงๆ พลาดโอกาสสร้างบุญคุณไปซะแล้ว ที่เห็นนั่นเขาน่าจะกำลังทดลองอะไรบางอย่างอยู่ล่ะมั้ง ? ฉันบอกแล้วว่าเขายังเป็นมือใหม่เอี่ยมอ่องอยู่เลย และไม่ได้เป็นแค่มือใหม่ของเกมราชาแห่งราชันเท่านั้น น่าจะพูดว่าเป็นมือใหม่ของเกมออนไลน์มากกว่า

“พวกเราเป็นนักเล่นเกมอาชีพมาก็หลายปี ยังไม่เคยเห็นวิธีฝึกเล่นแบบเขามาก่อน ความเร็วในการค้นพบความลับต่างๆ ของเขาก็เร็วจนทิ้งห่างพวกเราไปไม่เห็นฝุ่น ได้ยินว่าเขากำราบสัตว์เลี้ยงได้อีกตัวแล้ว แถมเป็นสัตว์เลี้ยงที่ระดับสูงกว่าเขาเสียด้วย วานรขนทองระดับ ๔๕ แค่สัตว์เลี้ยงตัวนี้ สงสัยพระขรรค์ธรรมฯดวลกับมันตัวต่อตัวยังสู้มันไม่ได้เลยมั้ง !”

พระขรรค์ธรรมเมฆจำนรรจ์แลบลิ้นอย่างตกใจ พยักหน้าเป็นความหมายว่าพี่ใหญ่พูดถูกแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาเพิ่งจะเจอวานรขนทองมาหยกๆ และนั่นไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่ารื่นรมย์เลย เพราะพวกเขาทั้งกลุ่มรวม ๕ คนแทบจะดับอนาถกันถ้วนหน้า ทำเอาเขาหน้าแตกไม่มีชิ้นดี

“ยังไงก็หาทางดึงเขาเข้าสมาพันธ์ดาบกระบี่ให้ได้ก่อนเถอะ ! ส่วนจะให้ใครเป็นหัวหน้า ถึงเวลาก็ค่อยให้พี่น้องของเราตัดสินใจกันเอาเอง แล้วก็อย่ามัวแต่เอาวิธีที่ใช้ในเกมฝันที่เป็นจริงมาใช้ในเกมนี้ เพราะมันใช้ไม่ได้ผลหรอกนะ ที่พวกเราเสียเปรียบกันมาตั้งขนาดนี้ยังไม่พออีกหรือ ? รอจนทวีปเขตสงครามเปิดใช้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละจะเป็นเวลาแห่งการช่วงชิงความเป็นใหญ่ในเกมราชาแห่งราชันที่แท้จริง ตอนนี้เป้าหมายสำคัญคือต้องรวบรวมบุคลากร ต้องมีบุคลากรเก่งๆ พวกเราถึงจะมีโอกาสผงาดขึ้นมาได้”

ขณะนั้นเองได้มีคนสี่คนตรงเข้ามาหาแต่ไกล สองชายสองหญิงต่างก็ขี่ม้า ผู้นำทางอยู่หน้าสุดคือลิงตัวหนึ่ง...ลิงสีทอง

ผู้ขี่ม้าหนึ่งในสี่ตัวหันมาเห็นคนทั้งสาม ก็เร่งฝีเท้าเข้ามาหา คนบนหลังม้าตะโกนทักมาแต่ไกล

“พี่น้องเลเอทท์ ! ขอโทษด้วยที่ปล่อยให้รอตั้งนาน เมื่อกี้ผมถูกคนล้อมจนปลีกตัวออกมาไม่ได้น่ะ อ๊ะ ! มีเพื่อนมาด้วยสองคนหรือ ! ต้องขอโทษอย่างมากครับ ผมไม่ค่อยคุ้นกับทางในเมืองชิงจ้างด้วย เลยหาอยู่ตั้งนานกว่าจะหาประตูตะวันตกเจอ”

 

และแล้วไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงให้หลัง คนกลุ่มใหญ่เมื่อครู่ก่อนก็เหลือแต่เฉินเฟิงกับครุโฬแค่สองคนเท่านั้น

หลังจากขายดาบสั้นให้เลเอทท์เรียบร้อยแล้ว พอจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกัน ก็ปรากฏว่ามีแต่เฉินเฟิงคนเดียวที่เป็นหน้าใหม่ คนอื่นที่เหลือต่างก็เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อกันมาก่อนทั้งนั้น สุดท้ายวิหารจันทราเทพกับเลเอทท์ต่างบอกว่าต้องขอตัวออฟไลน์ เพราะใกล้ได้เวลาทำงานแล้ว เฉินเฟิงจึงรีบถามว่าร้านขายอาวุธอยู่ที่ไหน แล้วรีบไปซื้อไม้เท้าเวทมนตร์ชั้นสูงมาให้วิหารจันทราเทพ ปลดหนี้หนึ่งรายไปเป็นที่เรียบร้อยในสิบนาที

หลังจากเลเอทท์กับวิหารจันทราเทพออฟไลน์ไปแล้ว เซียวหยาวก็บอกว่าต้องกลับสมาคมไปจัดการอะไรนิดหน่อย ตอนแรกเฉินเฟิงกะจะชวนเธอไปจับสุนัขป่าด้วยกัน แต่ในเมื่อเธอไม่ว่างเสียแล้ว จึงจำต้องบอกลาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะถึงยังไงสัตว์เลี้ยงก็โอนให้กันได้ จึงไม่จำเป็นว่าเธอต้องไปด้วย

เดิมทีเฉินเฟิงคิดจะข้ามทะเลทรายมรณะเป็นเพื่อนเธอ แต่เธอบอกว่าโคบุกับเคย์มะรอเธออยู่ที่เมืองท่าเซียงห่าย พอได้ยินชื่อสองพี่น้องนี้ เฉินเฟิงก็หมดอารมณ์และเลิกคิดไปเป็นเพื่อนเซียวหยาวทันควัน

ส่วนพระขรรค์ธรรมเมฆจำนรรจ์กับดาบผู้กล้าพลิ้วละลิ่วต่างช่วยกันชักชวนเฉินเฟิงเข้าเป็นสมาชิกของสมาพันธ์ดาบกระบี่ตามที่เลเอทท์สั่งไว้อย่างกระตือรือร้น น่าเสียดายที่เฉินเฟิงยังไม่อยากเข้าสมาคมหรือสมาพันธ์ไหนทั้งสิ้น เพราะนอกจากยังต้องไปจับสุนัขป่าแล้ว เขายังต้องไปคลี่คลายภารกิจอีกสองอย่างเพื่อให้ได้ทักษะจำเป็นในการได้อาชีพนักฝึกสัตว์ แถมเขายังไม่ได้ไปเรียนเวทมนตร์เลยด้วย !

หลังจากทั้งสองพยายามชวนอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเฉินเฟิงได้แต่บอกว่าไว้คราวหน้าค่อยว่ากันใหม่ก็แล้วกัน แล้วแลกกันใส่ชื่อในช่องเพื่อน ทั้งสองถึงค่อยจากไป

สะสางธุระเสร็จไปหลายเรื่องในเวลาสั้นๆ แบบนี้ เฉินเฟิงรู้สึกไม่ค่อยชินยังไงชอบกล บวกกับหลายวันที่ผ่านมาเขาอยู่กับเซียวหยาวและวิหารจันทราเทพจนเริ่มจะคุ้นเคย พอไม่มีเสียงสองสาวคอยกระเซ้าเย้าแหย่ให้ได้ยิน จึงรู้สึกเนือยไปเยอะ

ครุโฬไม่รู้ไปซื้อม้ามาตั้งแต่เมื่อไร ตั้งแต่ออกมาจากวิหารเมืองชิงจ้าง ครุโฬก็ตามพวกเฉินเฟิงทั้งสามมาตลอดทาง เนื่องจากเฉินเฟิงรับปากไว้ว่าจะสอนครุโฬจับสัตว์เลี้ยง ดังนั้นทั้งสามจึงไม่นึกประหลาดใจแต่อย่างใดกับการที่ครุโฬตามมาด้วยต้อยๆ

พอเห็นทุกคนสลายตัวไปกันหมดแล้ว ครุโฬก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกยังไงพิกล พอได้ยินเฉินเฟิงบอกว่าจะกลับไปที่เกาะเริ่มต้น ก็รีบถามทันทีว่าจะกลับไปทำอะไร เพราะค่าตั๋วเรือไม่ใช่ถูกๆ เลย

เฉินเฟิงชี้ไปที่อู้คงแล้วหัวเราะ “ก็เพราะไอ้ลิงตัวนี้แหละ ตอนแรกพวกเราสามคนช่วยกันจับมันได้ แล้วหารกันไม่ลงตัว ผมเลยต้องจับหมาป่าให้เซียวหยาวหนึ่งตัวเป็นของชดเชยไง !”

ครุโฬค่อยเข้าใจในที่สุด เขาหลงตกใจว่าเฉินเฟิงจับวานรขนทองได้ด้วยตัวคนเดียว ถ้าสามคนร่วมมือกัน ก็ค่อยมีความเป็นไปได้หน่อย

พออู้คงได้ยินเฉินเฟิงสะกิดแผลเก่าของมันอีกแล้ว ก็ร้องเจี๊ยกๆ โวยวายไม่ได้หยุด แต่พอเฉินเฟิงงัดแส้เทพสีหราชออกมาทำท่าจะสั่งสอนมัน อู้คงก็รีบหุบปากฉับอย่างว่าง่ายทันที

ครุโฬเห็นอู้คงถูกกำราบจนเชื่องขนาดนี้ก็นึกขำ จึงถามว่า

“พี่ใหญ่ แส้ของพี่นี่เจ๋งจริงๆ วานรขนทองเห็นมันปุ๊บก็เชื่องเชียว หาซื้อได้ที่ไหนหรือครับ ? ผมได้มาสักเส้นนี่คงกำราบสัตว์เลี้ยงสะดวกขึ้นเยอะ”



[1] ครุโฬ (คะ - รุ - โล) เป็นภาษาบาลี แปลว่า ครุฑ ส่วนคำทับศัพท์ภาษาจีนอ่านว่า เจียโหลวหลัว

[2] พระขรรค์ธรรมเมฆจำนรรจ์ (ฝอเจี้ยนอวิ๋นซัว) พระขรรค์ แปลว่า ดาบ หรือ กระบี่ ; จำนรรจ์ คือ จำนรรจา แปลว่า พูด


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:28 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:41

0 ความคิดเห็น