หัวข้อ : เล่มที่ ๑ ยอดฝีมือซื่อบื้อ ตอนที่ ๙ ระหว่างทาง

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:29

ตอนที่

 

ระหว่างทาง

 

 

ทันใดนั้นม่านควันหนาทึบได้พลุ่งขึ้นอย่างฉับพลัน หลังควันจางไป ก็มีคนแต่งตัวเป็นนินจาเหมือนเซียวหยาวสองคนปรากฏตัวขึ้น ทำเอาวิหารจันทราเทพสะดุ้งโหยง รีบคว้าอาวุธมาถือทันที

เซียวหยาวแกล้งกะพริบตาปริบๆ แล้วพูดว่า

“นายรู้ได้ยังไงน่ะ ? เขาสองคนมีทักษะพิเศษ ‘พรางกาย’ ของนินจาเชียวนะ แถมยังเป็นนินจาที่มีขั้นของทักษะนี้สูงที่สุดด้วย ถ้าพวกเขาไม่ขยับตัวหรือส่งเสียง กระทั่งฉันเองยังไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ด้วย”

วิหารจันทราเทพลูบอกเบาๆ แล้วทุบเซียวหยาวเข้าให้หนึ่งปึ้ก

“ฮะ ! น้องเซียวหยาว ที่แท้ก็รู้อยู่ก่อนแล้วเหรอ แล้วทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะฮึ ? ทำเอาฉันตกใจแทบแย่ !”

นินจาทั้งสองรีบขอโทษขอโพยวิหารจันทราเทพแล้วแนะนำตัว พวกเขาสองคนคือหัวหน้าและรองหัวหน้าสมาคมนินจานั่นเอง หัวหน้าสมาคมชื่อ ฟูมะ โคทาโร่ รองหัวหน้าสมาคมชื่อ อิงะ คันทาโร่ เป็นพวกบ้านินจาอย่างสมบูรณ์แบบ และเป็นผู้เล่นเกมราชาแห่งราชันที่ได้อาชีพนินจาสองคนแรกสุด

รอจนทั้งสองแนะนำตัวเองเสร็จแล้ว ในศีรษะเฉินเฟิงก็มีเสียงจากระบบดังขึ้นว่า ทักษะสืบเสาะกับทักษะพรางกายของนินจาเลื่อน ๒ ระดับรวดกลายเป็นระดับ ๕

ความจริงเฉินเฟิงไม่ได้มองวิชาพรางกายออกหรอก ถึงเขาจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ไม่รู้ว่าบางอย่างนั้นคืออะไร กระทั่งวิหารจันทราเทพเองตอนที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในป้อมก็รู้สึกผิดปกติอยู่เหมือนกัน มีแต่เซียวหยาวที่เป็นนินจาคนเดียวที่มีท่าทีปกติเกินไปจนผิดสังเกต ดังนั้นเฉินเฟิงก็จึงลองหลอกถามดู คิดไม่ถึงว่าเลยจะอำสำเร็จ

ปกติฟูมะกับอิงะจะยุ่งกับการฝึกพวกมือใหม่อยู่แต่ในหมู่บ้านอิวะ น้อยครั้งจะปรากฏตัวที่นอกหมู่บ้าน พอดีครั้งนี้ได้ยินว่าเฉินเฟิงจะผ่านทางมา จึงเจียดเวลาเพื่อจะมาเจอหน้ายอดฝีมือซื่อบื้อในตำนานโดยเฉพาะ และกะจะหาทางโน้มน้าวเฉินเฟิงเข้าสมาคมด้วยเสียเลย

คิดไม่ถึงว่าวิชาพรางกายที่แสนจะภาคภูมิใจดันถูกเฉินเฟิงดูออกเสียได้ ความมั่นใจที่จะโน้มน้าวเลยพังครืน แต่พอได้รู้ว่าเฉินเฟิงแค่อำเท่านั้น ก็กลบเกลื่อนแก้ขวยว่าพวกเขาคงตื่นเต้นเกินไป แน่นอนว่าสุดท้ายก็ลากเฉินเฟิงเข้าสมาคมไม่สำเร็จ แต่ต่างก็ใส่ชื่ออีกฝ่ายในช่องเพื่อนของนาฬิกา

หลังจากคุยนั่นคุยนี่กันเรื่อยเปื่อยได้ราวๆ ครึ่งชั่วโมง ฟูมะกับอิงะก็ทำท่าจะอำลา แต่อยู่ๆ เฉินเฟิงก็ล้วงดาวกระจายกากบาทออกมาจากในอกเสื้อพร้อมกับถามว่า

“คุณสองคนรู้หรือเปล่าครับว่าเจ้านี่หาซื้อได้ที่ไหน ?”

ฟูมะรับดาวกระจายไปอย่างช็อคสุดขีด แล้วนินจาทั้งสามรวมทั้งเซียวหยาวก็แสดงอาการผิดปกติทันที เฉินเฟิงเห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บว่านี่คงเป็นความลับของอาชีพอีกแหงๆ จึงพูดอย่างตัดใจว่า

“ถ้าไม่สะดวกจะบอกก็ช่างเถอะครับ ผมก็ไม่อยากทำให้เพื่อนต้องลำบากใจเหมือนกัน แล้วยังไงก็ต้องหาที่ขายเจอเข้าจนได้สักวันอยู่ดี”

ฟูมะยิ้มกระอักกระอ่วน กระแอมเล็กน้อยแล้วพูดว่า

“ความจริงบอกคุณก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะถ้าคุณได้เห็นลิสต์รายการภารกิจของเกมราชาฯ คุณก็ต้องรู้อยู่ดี ความจริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับที่สำคัญอะไรมาก ขอแค่คลี่คลายภารกิจที่หัวหน้าหมู่บ้านอิวะมอบหมายให้ได้ ก็จะสามารถหาซื้อได้ในหมู่บ้านอิวะ ที่พวกเราตกใจกันมากคือ คุณไปได้ดาวกระจายนี่มาจากไหน หรือมีที่อื่นที่หาซื้อได้ด้วย หรือมีใครผลิตมันออกมา ? ดาวกระจายนี่เป็นอาวุธที่นินจาทุกคนเก็บรักษาและใช้ที่นอกหมู่บ้านกันอย่างระมัดระวังมาก หากซัดไปถูกสัตว์อสูร มันจะหายไปทันที ต่อให้มีคนเก็บได้ ผู้เล่นทั่วไปก็จะไม่สนใจอาวุธที่มีพลังโจมตีแค่ ๘๐ จุดอย่างเจ้านี่ และคนที่มีความสามารถมากพอจะข้ามทะเลทรายมรณะได้ ส่วนใหญ่ก็ไม่คิดจะมาคลี่คลายภารกิจพิลึกๆ ของหัวหน้าหมู่บ้านอิวะ เพราะอย่างนั้นมันเลยกลายเป็นความลับที่ไม่เป็นความลับไป”

เฉินเฟิงบอกไปว่าเขาได้มาตอนที่กำราบหลายฝู มีแค่สิบกว่าอันเท่านั้น หลายฝูไปได้มาจากไหน เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เลยจนปัญญาจะตอบคำถามของพวกฟูมะ ส่วนที่เขารู้ความลับของดาวกระจาย เพราะเขาจะลองใช้ไอเท็มทุกอย่างดูหมด ถึงได้รู้เข้า

วิหารจันทราเทพนั่งฟังจนมึนไปหมด แต่พอรู้ว่าเกี่ยวกับความลับของอาชีพอีกแล้ว ก็เลยเลี่ยงออกไปเดินเล่นข้างนอกป้อม เรื่องนี้กลายเป็นสัญญาณลับที่รู้กันระหว่างเพื่อนในโลกแห่งเกมราชาฯไปเสียแล้ว

ฟูมะกับอิงะเองก็สนใจหลายฝูอย่างมากเหมือนสองสาว แต่ติดขัดที่ธรรมเนียมเรื่องความลับ ทำให้ไม่สะดวกจะออกปากถาม เฉินเฟิงไม่ได้ใส่ใจจะเก็บเป็นความลับ แต่ตัวเขาเองก็รู้อะไรไม่มากนัก จึงบอกพวกฟูมะไปแค่ว่าหลายฝูเป็นสุนัขเก็บกวาดทาง ส่วนจะใช้วิธีไหนไปจับ ก็ต้องอาศัยความสามารถส่วนบุคคลล่ะนะ

สุดท้ายนินจาทั้งสองปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง ว่าเฉินเฟิงอุตส่าห์ใจกว้างบอกข่าวเรื่องนี้ให้ทั้งที พวกเขาก็ควรตอบแทนอะไรบ้าง ดังนั้นทั้งสองจึงมอบดาวกระจายที่มีอยู่ทั้งหมดให้เฉินเฟิง

เดิมทีเฉินเฟิงคิดจะหาซื้อดาวกระจายพวกนี้อยู่แล้ว เมื่อเห็นทั้งสองยืนกรานยกให้ จึงรับไว้อย่างไม่เกรงใจ

 

หลังจากเข้าสู่ที่ราบสูงดินเหลืองแล้ว สัตว์อสูรที่โผล่มาส่วนใหญ่จะว่องไวมาก แต่โชคดีที่จะไม่เป็นฝ่ายลงมือโจมตีผู้เล่นก่อน หลักๆ ก็มีแพะเขาแฉกและปิศาจหินที่เคยพบมาแล้วที่เนินเขาวายุจันทราบนเกาะเริ่มต้น แต่สีจะต่างกัน ที่นี่จะเป็นสีเหลืองดิน ส่วนที่อยู่บนเนินเขาวายุจันทราจะเป็นสีเงิน

เซียวหยาวบอกว่าสัตว์อสูรทั้งสองพวกนี้อยู่ระดับ ๓๐ ทั้งนั้น เป็นสัตว์อสูรที่พวกนินจาใช้เป็นเป้าฝึกวิชากันมากที่สุด แต่ตอนนี้ยังต้องขึ้นเขา จึงได้แต่ปล่อยพวกมันไปก่อน

ถึงแม้เฉินเฟิงกับวิหารจันทราเทพอยากจะลองปราบแพะเขาแฉกดูสัก ๒ - ๓ ตัว แต่แพะเขาแฉกโผล่มาทีละเป็น ๓๐ กว่าตัว บวกกับธรรมเนียมสัตว์อสูรประเภทเดียวกันเวลาโจมตีจะช่วยกันรุม ทุกคนจึงได้แต่มองโดยไม่หาญไปแตะไปต้องพวกมัน แต่กับปิศาจหิน ทั้งสามช่วยกันเก็บไปซะหนึ่งตัว ปิศาจหินที่นี่อยู่กระจายกันห่างมาก ไม่ได้รวมกลุ่มแห่กันเข้ามารุมอย่างบนเนินเขาวายุจันทรา เซียวหยาวพูดกลั้วหัวเราะว่าปราบเจ้านี่ไม่เคยได้ไอเท็มอะไรดีๆ เลย อย่างดีที่สุดที่เคยได้ก็แค่ค้อนยักษ์ระดับที่ ๔ แค่ถือก็หนักจะตายอยู่แล้ว จนตอนนี้ก็ยังนอนสงบนิ่งขายไม่ออกอยู่ในคลังเก็บไอเท็มอยู่เลย

เฉินเฟิงแสดงท่าทีสนอกสนใจค้อนยักษ์มาก และออกปากขอซื้อจากเซียวหยาว เซียวหยาวเองก็ตกลงทันที แถมขายให้ในราคาเดียวกับที่ขายให้ร้านขายไอเท็ม คือ ๒,๕๒๐ เหรียญเงิน

ค้อนยักษ์นี้ร้านขายไอเท็มจะรับซื้อในราคา 70% ของราคาขาย นั่นคือร้านขายไอเท็มจะขายค้อนยักษ์นี้ในราคา ๓,๖๐๐ เหรียญเงิน ปกติการซื้อขายระหว่างผู้เล่นจะซื้อขายกันที่ราคา 90% ไอเท็มที่มีอัตราแย่งกันซื้อสูงแถมหาซื้อจากร้านขายไอเท็มไม่ได้ จะมีความเป็นไปได้ที่ราคาจะถีบสูงกว่าเดิมหลายเท่าตัว ค้อนยักษ์เองก็เป็นไอเท็มที่ในตอนนี้หาซื้อไม่ได้ในร้านขายไอเท็มเช่นกัน แต่เซียวหยาวบอกว่าไม่เคยเห็นใครแบกมันไปปราบสัตว์อสูรมาก่อน และวิจารณ์ว่าเฉินเฟิงนี่พิลึกจริงๆ

รุดหน้ากันต่อ เส้นทางบนเขาชันขึ้นทุกที ซวงเว่ยเดินลำบากเอาการอยู่ เฉินเฟิงได้แต่ลงจากหลังของมันมาเดินเอง ขอบเขตการสำรวจต้นทางของหลายฝูก็หดแคบลงมาก

หลังจากเดินไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ได้พบกับไอเท็มเป้าหมาย ๑ ใน ๓ อย่างที่ต้องมาเอา...ดอกไม้เจ็ดสี แต่เนินเขานี้อยู่อีกฟากของภูเขาโดยมีผาลึกขวางกลาง ปริมาณดอกไม้เยอะไม่ใช่เล่น ทำให้สามารถมองเห็นได้ในทันที

เฉินเฟิงคุ้ยเป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้อยู่พักหนึ่ง แล้วหยิบตะขอสำหรับปีนกับเชือกออกมา สองสาวได้แต่มองตาค้าง ของพวกนี้ใช่ว่าพวกเธอจะไม่เคยเห็นมาก่อน นานๆ ทีเถ้าแก่ร้านไอเท็มก็แนะนำขายให้พวกเธอบ้างเหมือนกัน แต่พวกเธอไม่เคยแม้แต่จะคิดซื้อมันเลย นึกไม่ถึงว่าจะมีคนถึงขนาดพกมันติดตัวอยู่ด้วย

เฉินเฟิงหยิบจอบยากับกล่องคงความสดออกมาโดยไม่สนใจอาการตาค้างของสองสาว ถึงแม้ตอนมอบหมายภารกิจ ทางวิหารจะไม่ได้บอกว่าต้องเอามาโดยที่ยังสดๆ อยู่ แต่เฉินเฟิงคิดเอาเองว่าในเมื่อจะเด็ดดอกไม้ ก็ต้องเอากลับไปแบบสดๆ สิ

เขาฝากกระเป๋าเป้กับอาวุธทั้งหมดให้สองสาวช่วยเฝ้า แล้วมัดเชือกเข้ากับตะขออย่างคล่องแคล่ว ในโลกความจริง เฉินเฟิงเคยไปร่วมปีนเขาอยู่หลายครั้ง ดังนั้นจึงพอจะคุ้นเคยกับของพวกนี้ดี เขาใช้ไอเท็มพวกนี้เด็ดดอกไม้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว

คิดไม่ถึงว่าแค่ไปกลับเที่ยวนี้ ไม่เพียงทำให้ได้ทักษะแยกชนิดและทักษะเด็ดสะสมของนักเก็บสมุนไพร แถมยังทำให้ทักษะปีนไต่ของนักผจญภัยที่หยุดค้างเติ่งแค่ระดับ ๓ และทักษะเลือกวัตถุดิบของช่างฝีมือที่หยุดค้างแค่ระดับ ๒ ต่างก็เลื่อนขึ้นไปอีกอย่างละ ๑ ระดับ

สองสาวไม่ได้สนใจนักว่าเฉินเฟิงไปเก็บดอกไม้มาได้ยังไง แต่หันไปสนใจธนูสองคัน ดาบสั้น ทวนยาว และกระบอกใส่ลูกธนูที่มีลูกธนูอัดอยู่เต็ม ๓ กระบอก ในเป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้ที่เปิดค้างไว้ยังมองเห็นดาบสองมือ ดาบวงเดือน และโล่เหล็กกลม คนคนเดียวดันพกอาวุธซะเยอะขนาดนี้ ทั้งสองลองหยิบอาวุธบางอย่างมาแกว่งๆ ดูอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ทั้งสองสาวต่างก็สนใจธนูมือเดียวมาก กำลังจะถามเฉินเฟิงว่าไปซื้อมาจากไหน แต่เห็นเฉินเฟิงกลับมาปุ๊บก็ทำท่าดีอกดีใจอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว ทั้งสองจึงซุบซิบกันแล้วหัวเราะกิ๊ก ทำเอาเฉินเฟิงงงว่าเขาทำอะไรแปลกๆ ลงไปหรือ และสำรวจตัวเองเป็นการใหญ่ แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ จึงได้แต่ไม่เข้าใจ

คิดไม่ถึงว่าสองสาวเห็นท่าทางเลิ่กลั่กของเขาแล้วยิ่งหัวเราะหนักขึ้นไปอีก ทำเอาเฉินเฟิงรู้สึกเหมือนถูกแกล้งยังไงยังงั้น !

ทีแรกเขากะจะบอกให้สองสาวลองใช้ไอเท็มพวกนี้ไปเก็บดอกไม้สัก ๒ - ๓ ดอก แต่เห็นสองสาวเอาแต่หัวเราะเขา เลยชักจะโมโห รีบเก็บไอเท็มทันทีโดยไม่สนใจสองสาวอีก แล้วหยิบเป้ขึ้นสะพายจ้ำพรวดๆ ล่วงหน้าไป ด้วยเหตุนี้สองสาวจึงพลาดโอกาสเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย

หลังจากสองสาวพยายามหยุดอาการหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังแล้ว ก็ไล่ตามไปจนทันเฉินเฟิง เซียวหยาวง้อว่า

“อย่างอนเลยน่า เฉินเฟิง พวกเราขอโทษก็แล้วกันนะ อย่าเดินเร็วแบบนั้นสิ”

“นั่นสิ ขอโทษจริงๆ พวกเราไม่ได้ตั้งใจนะ อย่าเดินเร็วแบบนั้นเลยน่า พวกเราตามไม่ทันแล้ว” วิหารจันทราเทพเสริม

เฉินเฟิงเองไม่ใช่คนขี้ใจน้อยอะไร เห็นสองสาวยอมขอโทษแล้วก็หายโกรธ หยุดเดินรอให้ทั้งสองตามมาทัน แล้วถามว่า

“เมื่อกี้พวกเธอหัวเราะอะไรกัน ผมทำอะไรตลกหรือ ?”

วิหารจันทราเทพเร่งเดินใกล้เข้ามาหลายก้าวแล้วพูดว่า

“ไม่ใช่ ความจริงพวกเราไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเธอเก็บดอกไม้ยังไง พวกเราขำที่เธอขนอาวุธมาซะเยอะแยะต่างหาก”

เซียวหยาวเองก็เร่งฝีเท้าตามมาสมทบแล้วพูดว่า

“นั่นสิ นายคิดจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทุกอาชีพหรือไง ? คนเดียวดันพกอาวุธมาตั้ง ๖ อย่าง บวกกับดาวกระจายแล้วยังสัตว์เลี้ยงสองตัวอีก ศึกนี้ของนายมันน่าตกใจเป็นบ้า แล้วนายยังบอกว่าจะซื้อค้อนยักษ์อีก แบบนี้ก็มีอาวุธ ๘ อย่างน่ะสิ ไม่เกินไปหน่อยหรือ ? อีกอย่างนายขนของมาตั้งเยอะแยะขนาดนี้ ไม่หนักบ้างหรือไง ?”

เฉินเฟิงค่อยเข้าใจ จึงพูดว่า “เรื่องน้ำหนักน่ะไม่เท่าไหร่หรอก ใส่ไว้ในเป้แล้วมันก็ไม่ได้เพิ่มน้ำหนักอะไรนัก ผมไม่กล้าคิดจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทุกอาชีพหรอก แต่พวกเธอก็รู้นี่ว่าผมบอกไปแล้วว่าจะไม่เข้าสมาคมไหนทั้งนั้น แถมมันไม่มีเบาะแสเรื่องวิธีได้ทักษะอาชีพเลยด้วย ก็เลยได้แต่ลองใช้ไอเท็มมันทุกอย่าง ดูว่าพอจะควานหาทางได้อาชีพมาได้บ้างหรือเปล่า”

สองสาวค่อยทราบถึงสาเหตุที่เฉินเฟิงแบกไอเท็มมาด้วยเป็นกองพะเนิน วิหารจันทราเทพชักจะกังวลขึ้นมาบ้างแล้วว่าหรือเธอเองก็ต้องแบกไอเท็มกองพะเนินแบบนี้เหมือนกัน เป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้แบบของเฉินเฟิงใช่จะหามาได้ง่ายๆ เสียด้วย

เซียวหยาวฉวยโอกาสโน้มน้าวทั้งสองเข้าสมาคมนินจาอีกครั้ง วิหารจันทราเทพเริ่มจะลังเลเอนเอียงตาม ทำเอาเฉินเฟิงชักจะไม่พอใจเซียวหยาว ยังดีที่เซียวหยาวเห็นบรรยากาศเริ่มไม่ค่อยดี จึงรีบเปลี่ยนเรื่องมาถามถึงธนูมือเดียว

เฉินเฟิงบอกว่าหลายฝูเอามาให้ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหาซื้อได้ที่ไหน แถมยังบอกตรงๆ อย่างไม่มีการปิดบังว่ามันช่วยเพิ่มทักษะธนูมือเดียวของจอมยุทธ์พเนจรได้ด้วย ถ้าสองสาวสนใจอาชีพจอมยุทธ์พเนจร เขาก็จะให้ยืมใช้

สองสาวคิดไม่ถึงว่าเฉินเฟิงจะบอกออกมาอย่างใจกว้างแบบนี้ แต่ในเมื่อหาซื้อไม่ได้ จะไปแย่งเขาก็ไม่หน้าด้านพอ จึงได้แต่บอกว่าไว้คราวหน้ามีโอกาสค่อยว่ากันใหม่

เวลานั้นทิวทัศน์รอบด้านเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ทางข้างหน้าขยายกว้างขึ้นมาก แล้วป่าทึบก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เป็นป่าต้นไม้ที่มีใบเล็กเรียวเหมือนเข็ม

เซียวหยาวเตือนทั้งสองว่าที่นี่จะมีวานรขนทองโผล่มา แต่ในป่ามีสัตว์อสูรอื่นที่ต้องระวัง คือ นกฮูก ถ้าเกิดเจอพวกมันเข้าล่ะแย่แน่ เพราะระดับสูงถึง ๔๕ แถมโผล่มาทีละ ๖ ตัว แล้วยังสามารถลดพลังโจมตีของอาวุธจำพวกดาบลงครึ่งหนึ่งได้ด้วย แต่ยังดีที่พวกมันกลัวแสงสว่างจ้าๆ

เซียวหยาวถือระเบิดแสงหลายลูกไว้ในมือเตรียมเอาไว้ แล้วสั่งว่าถ้าเธอโยนระเบิดแสง ให้เฉินเฟิงกับวิหารจันทราเทพรีบหลับตาลงทันที หนึ่งนาทีให้หลังค่อยลืมตาได้ ไม่อย่างนั้นตาจะพร่ามองไม่เห็นไปประมาณครึ่งชั่วโมง

นอกจากนี้ถ้าเจอเสือดาวหิมะ ก็อย่าไปยุ่งกับมัน เพราะระดับของมันคือ ๕๐ ยังดีที่มันจะโจมตีแต่ผู้เล่นที่หลงมาคนเดียว ถ้าเจอผู้เล่นเป็นกลุ่ม มันจะไม่ลงมือโจมตีก่อน เฉินเฟิงฟังแล้วรีบเรียกหลายฝูกลับมาทันที จะได้ไม่เผลอตกเป็นอาหารของเสือดาวหิมะ

อะไรที่ไม่อยากเจอละจะยิ่งได้เจอ

“วู้ว ! วู้ว !” เสียงกรีดร้องของลมแว่วมา แสดงว่านกฮูกที่มีประสาทฉับไวคงตรวจจับได้แล้วว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญรุกล้ำอาณาเขตของมัน จึงแห่กันมาประกาศศักดาแน่ๆ !

จริงดังคาด พอเงยหน้ามองไป ก็เห็นพวกมันบินพึ่บพั่บเป็นกลุ่มมืดทะมึนลอยออกมาจากด้านในป่า ชั่วพริบตานกฮูกหกตัวก็บินมาถึงเหนือศีรษะ เสียงกรีดร้องแหบพร่าดังสะท้านก้อง

“ฮูก ! ฮูก !”

เหตุที่นกฮูกปราบได้ยากเย็น นอกจากจะเป็นเพราะมันสามารถลดพลังโจมตีได้ถึงครึ่งหนึ่งแล้ว อีกเหตุผลที่ผู้เล่นไม่อยากจะเจอะเจอมันคือ มันรู้จักประสานกันโจมตี

ปกติเวลาสัตว์อสูรทั้งฝูงรุมเข้าโจมตีผู้เล่น มักจะรู้จักแค่ต่างตัวต่างสู้เอาเอง ก่อนนี้ตอนที่เฉินเฟิงเจอฝูงสุนัขป่า ที่เขาสามารถหนีทันเวลาในตอนท้าย เพราะพวกมันไม่รู้จักประสานกันโจมตี แต่นกฮูกจะรู้จักแบ่งเป็นกลุ่มย่อย หมุนเวียนกันโจมตีและป้องกันไม่ให้ผู้เล่นใช้เวทมนตร์ได้ ดังนั้นปกติถ้าผู้เล่นที่รวมกลุ่มกันฝึกวิชาได้เจอกลุ่มนกฮูก ก็จะรีบใช้ม้วนคาถากลับบ้านทันที พวกเฉินเฟิงเองก็อยากจะทำอย่างนั้น แต่เส้นทางที่ผ่านมาไม่ใช่สั้นๆ จะให้พวกเขาหนีศึกนี้แล้วยอมไปเดินมาใหม่อีกรอบ พวกเขาก็ต้องคิดหนักเหมือนกัน

ทั้งสามมองฝูงนกฮูกที่วางท่ากร่างอยู่กลางอากาศแล้วคิดในใจว่า ถึงยังไงพวกเขาก็มีไพ่ตายคือระเบิดแสงอยู่ ถึงตอนนั้นใครจะเป็นฝ่ายหนีก็ยังไม่แน่

เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า การต่อสู้ระหว่างทั้งสามกับฝูงนกฮูกทวีความดุเดือดร้อนแรงขึ้นทุกขณะ นกฮูกหกตัวแบ่งเป็นสามกลุ่มหมุนเวียนกันโจมตี ท่ามกลางเสียงกรีดร้องแหบพร่า ปากและกรงเล็บของพวกมันระดมจิกใส่ตัวของทั้งสามสร้างแรงกดดันอย่างต่อเนื่องไม่มีขาดช่วง

แต่ดาบซามูไรของเซียวหยาวก็ฟันซ้ายปาดขวาวูบๆ อย่างรวดเร็วจนน้ำไม่อาจกระเซ็นผ่านสมกับที่เป็นนินจา เฉินเฟิงคอยยิงธนูใส่อยู่ด้านหลัง ส่วนวิหารจันทราเทพยืมทวนยาวของเฉินเฟิงมาใช้ แทงฟุ่บๆ ขึ้นใส่ตลอดเวลา พร้อมกับหาจังหวะใช้ยาฟื้นพลังให้เฉินเฟิงกับเซียวหยาว

แม้นกฮูกทั้งหกตัวจะหมุนเวียนกันโจมตีไม่มีหยุดพัก แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้ทั้งสามได้ เพราะทั้งสามพยายามกันพวกนกฮูกให้อยู่ห่างออกไปในระยะห้าก้าวอย่างสุดฤทธิ์ ทำให้พอจะสกัดขวางการโจมตีของพวกนกฮูกได้บ้าง แต่นกฮูกหกตัวนี้ก็ร้ายไม่ใช่เล่น พลังโจมตีของดาบซามูไรและลูกดอกต่างก็ถูกทอนลงเหลือแค่ครึ่งเดียว แถมทั้งสามคนไม่มีใครใช้เวทมนตร์เป็นเลยสักคน วิชาวายุมังกรหมุนของเซียวหยาวไม่แค่ใช้กับพวกมันไม่ได้ผลเท่านั้น ยังดันไปช่วยฟื้นพลังป้องกันให้พวกมันอีกต่างหาก พวกเขาถึงตกอยู่ในสภาพได้แต่พยายามยันไปเรื่อยๆ แบบนี้

ทั้งสามเบิ่งตามองยาฟื้นพลังหมดไปขวดแล้วขวดเล่าแล้วอยากจะร้องไห้ ยาฟื้นพลังทั้งหมดที่ใช้ตอนเดินทางผ่านทะเลทรายมรณะยังไม่มากเท่าที่ใช้ไปในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ เฉินเฟิงจับตาดูสถานการณ์แล้วเห็นว่าชักจะเลวร้ายลงทุกที จึงแอบมองสำรวจไปรอบๆ แล้วตัดสินใจสู้พลางถอยพลางไปยังตำแหน่งที่จะช่วยให้สู้ได้อย่างมีเปรียบกว่านี้

จวบจนแผ่นหลังชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นติดกันสามต้น สีหน้าเฉินเฟิงก็ค่อยผ่อนคลายลง เก็บหน้าไม้ เลิกพึ่งพลังทำลายที่น้อยนิดจนน่าสมเพชของลูกดอกเงิน เปลี่ยนมาใช้ดาบสองมือพุ่งเข้าฟันแบบเต็มกำลัง ทำให้แรงกดดันทางด้านเซียวหยาวเบาลงอย่างฮวบฮาบ

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ฝูงนกฮูกโจมตีลำบากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะเฉินเฟิงกับเซียวหยาวแยกกันโจมตีคนละด้าน บวกกับด้านหลังมีต้นไม้เรียงติดกันสามต้นขวางเอาไว้ ทำให้ทั้งสามไม่ต้องกังวลว่านกฮูกจะอ้อมมาเล่นงานทางด้านหลัง

ถึงนกฮูกจะรู้จักแยกกลุ่มประสานโจมตีแบบที่ถ้าไปโจมตีแต่ตัวโน้น ก็จะถูกตัวนี้เล่นงานทีเผลอลอบจิกเข้าให้ แต่ตอนนี้ทั้งสามยืนเรียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ทำให้นกฮูกไม่สามารถใช้วิธีรุมสองต่อหนึ่งแบบก่อนหน้านี้ได้ แถมบางทียังถูกเซียวหยาวกับเฉินเฟิงรุมสองต่อหนึ่งเอาด้วยซ้ำ เมื่อเป็นแบบนี้ยาฟื้นพลังของทั้งสามก็สิ้นเปลืองน้อยลงมาก

แต่ถ้ายังสู้กันด้วยรูปแบบนี้ต่อไป จากพลังป้องกันของพวกนกฮูก ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าต้องยันกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะนกฮูกบัดซบพวกนี้ดันใช้ยาฟื้นพลังเป็นด้วย แถมเป็นยาฟื้นพลังระดับสูงอีกต่างหาก ทำให้ทั้งสามยิ่งอยากจะร้องไห้ เพราะยาฟื้นพลังที่นกฮูกบ้าพวกนี้ใช้ไปเป็นไอเท็มที่พวกเขาควรจะได้หลังจากที่ฆ่าพวกมัน !

ทันใดนั้นเฉินเฟิงก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่เพิ่งมาถึงที่นี่ เซียวหยาวเคยบอกไว้ว่านกฮูกพวกนี้กลัวเวทมนตร์แสง ไม่รู้ว่าพวกมันกลัวเวทมนตร์ไฟด้วยหรือเปล่า ?

หลังจากได้รับคำยืนยันจากเซียวหยาวว่านกฮูกกลัวเวทมนตร์ไฟแล้ว เฉินเฟิงก็สั่งให้ซวงเว่ยใช้คาถาศรเพลิงแบบไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันทันที ศรเพลิงทุกดอกที่ยิงไปถูกนกฮูก ลดพลังชีวิตของพวกมันไปถึงดอกละ ๕๐๐ จุด ทั้งสามดีใจสุดๆ รีบเร่งฟันดาบในมือใส่ไม่ยั้ง ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเฉินเฟิงเป็นฝ่ายได้เปรียบเต็มประตู พวกนกฮูกได้ตกอยู่ในสภาพน่าสงสารไปเสียแล้ว ความเคลื่อนไหวของนกฮูกทั้งหกตัวช้าลงทุกทีๆ แถมจากเดิมทีรุกและรับอย่างมีระบบ กลายเป็นเริ่มจะเละเทะ

“พลั่ก !” นกฮูกตัวหนึ่งร่วงตกลงมากระแทกพื้นดังสนั่น ลำตัวขนาดยักษ์กวาดเอาฝุ่นบนพื้นลอยฟุ้งตลบ พอตัวหนึ่งตกลงมาแล้ว นกฮูกที่เหลือก็เหมือนวงแตก บินไปทางโน้นทางนี้มั่วซั่วสับสนไปหมด

หลายฝูที่ตอนแรกหลบอยู่ด้านข้างอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวรีบใช้วิชาบุกทะลวงเข้าลอบกัดจากข้างหลังทันทีจนพวกนกฮูกบินชนกันเองและแหกปากกรีดร้องลั่น เฉินเฟิงฉวยโอกาสที่พวกนกฮูกกำลังระส่ำระสายสอยนกฮูกร่วงตกลงมาสองตัวอย่างไม่คิดจะเกรงใจ นกฮูกที่เหลือสามตัวต่างตาลีตาเหลือกบินหนีไปคนละทิศละทาง

หลังศึกนี้ ทักษะธนูของเฉินเฟิงเลื่อนขึ้นอีก ๑ ระดับ ทักษะฟันก็ทะลวงผ่านด่านระดับ ๕ เลื่อนขึ้นสู่ระดับ ๖ ทักษะบัญชาการเลื่อนขึ้นรวดเดียว ๔ ระดับเป็นระดับ ๕ ชื่อตำแหน่งก็ได้เลื่อนจาก หัวหน้ากลุ่มย่อย เป็น หัวหน้ากลุ่ม จำกัดจำนวนสมาชิกสูงสุดในกลุ่มคือ ๑๐ คน

ข้างวิหารจันทราเทพ เนื่องจากเฉินเฟิงให้เธอใช้ทวน จึงได้รับทักษะใหม่คือ ทักษะบุกทะลวงของอัศวิน ต่อมาในภายหลัง อาวุธของวิหารจันทราเทพจะเหมือนเฉินเฟิง คือมากขึ้นทุกที และสามารถบุกบั่นจนสร้างชื่อเสียงขึ้นมาได้ในเกมราชาแห่งราชันนี้ ผู้คนต่างเรียกเธอว่า นักบวชหญิงแมงมุม เพราะเธอใช้อาวุธพร้อมกัน ๘ ชนิด และมีแต่แมงมุมที่มี ๘ มือ

ระหว่างที่ต่างก็หอบหายใจจนตัวโยน เฉินเฟิงถามขึ้นว่า

“เซียวหยาว ระเบิดแสงราคาลูกละเท่าไหร่น่ะ ?”

เซียวหยาวผ่อนลมหายใจจนเป็นปกติ แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“นี่น่ะหาซื้อไม่ได้หรอกนะ ฉันเองก็มีแค่ ๒ ลูก แต่มีนินจาบางคนทำขึ้นได้ ราคาในตลาดมืดลูกละ ๕๐๐ เหรียญเงิน อยู่ๆ มาถามเรื่องนี้ทำไม ?”

เฉินเฟิงไม่ได้ตอบเซียวหยาวในทันที แต่หันไปถามวิหารจันทราเทพว่า

“เมื่อกี้ใช้ยาฟื้นพลังไปทั้งหมดกี่ขวดหรือ ?”

วิหารจันทราเทพนับอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า

“ใช้ยาฟื้นพลังระดับต่ำไปทั้งหมด ๖๐ ขวด ระดับกลาง ๒ ขวด แต่ไอเท็มที่ได้มามียาฟื้นพลังระดับสูง ๓ ขวด ระดับกลาง ๒ ขวด ม้วนคาถา ๒ - ๓ ม้วน สร้อยคอ ๑ เส้น กับเงินอีก ๒,๖๐๐ เหรียญเงิน หักลบลูกดอกเงินของเธอแล้ว ถือว่าพวกเราได้กำไร”

เฉินเฟิงคำนวณอยู่ชั่วครู่ แล้วพูดว่า

“ก็ยังดี แล้วถ้าเราใช้ระเบิดแสงตั้งแต่แรก นกฮูกจะตาบอดนานแค่ไหน ?”

เซียวหยาวบอกว่า “ประมาณสิบนาที ถ้าไม่เพราะมันหาซื้อยาก ฉันก็ใช้ไปแล้ว แถมวันนี้ถ้าไม่เพราะมีซวงเว่ย สิบนาทีนั้นก็แค่พอให้เราหนีได้เท่านั้น”

“หึหึ ผมไม่ได้โทษที่เธอไม่ยอมใช้ระเบิดแสงสักหน่อย ผมแค่เห็นว่าพวกนกฮูกมันจัดการยากขนาดนี้ ก็เลยลองถามดูว่ามันราคาลูกละกี่เหรียญ ครั้งหน้ารบกวนช่วยซื้อให้ผมสัก ๒ - ๓ ลูกหน่อยนะ ไม่งั้นขืนเจอพวกมันแล้วต้องหนีลูกเดียวนี่คงน่าทุเรศชะมัด”

สีหน้าเซียวหยาวค่อยดีขึ้น แล้วทั้งสามก็เริ่มแบ่งของที่ได้มากัน

เห็นซวงเว่ยใช่คาถาศรเพลิงได้ ทั้งสองก็ทั้งทึ่งและอิจฉา เพราะในโลกแห่งเกมราชาฯตอนนี้ เรื่องที่โดนโวยมากที่สุดคือการใช้เวทมนตร์

ในเกมส่วนใหญ่ กล่าวได้ว่าอาชีพจอมเวทเป็นอาชีพพื้นฐานอาชีพหนึ่ง แต่ในเกมนี้มีจอมเวทน้อยสุดๆ เพราะนอกจากกว่าจะได้เรียนเวทมนตร์แต่ละแขนง ก็ต้องคลี่คลายภารกิจให้สำเร็จเสียก่อนแล้ว เวลาจะใช้ยังมีข้อจำกัดเยอะมาก

ผู้เล่นมากมายที่เล็งอยากจะได้อาชีพนี้ต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีไปคลี่คลายภารกิจเพื่อจะเรียนเวทมนตร์ แต่พอเรียนสำเร็จแล้วกลับไม่สามารถสู้กับศัตรูเพียงลำพังได้ เพราะเวทมนตร์ที่ค่อนข้างแข็งแกร่งทั้งหมดต้องเสียเวลามานั่งร่ายมนตร์นานเป็น ๒ - ๓ นาที ดังนั้นถ้าไม่มีผู้เล่นคนอื่นคอยคุ้มครองล่ะก็ รอจนคุณร่ายมนตร์จบ ก็โดนสัตว์อสูรมันส่งกลับบ้านเก่าไปเป็นชาติแล้ว

ที่อนาถกว่านั้นคือ ถ้าไม่ใช่ธาตุที่ใช้ข่มกันได้ ยังจะกลายเป็นช่วยฟื้นพลังให้สัตว์อสูรไปเสียด้วย การเป็นเวทมนตร์แค่แขนงเดียวจึงอยู่รอดได้ลำบากมาก ดังนั้นคนที่ใช้เวทมนตร์โจมตีได้จึงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย และด้วยเหตุนี้เมื่อเจอกับสัตว์อสูรที่ไม่กลัวพลังโจมตีของวัตถุอย่างนกฮูกหรือปิศาจหิน พวกผู้เล่นจึงมักใช้วิธีเลี่ยงหลบไปให้ไกลๆ พวกมันเป็นหลัก เพราะผลลัพธ์ที่ได้มักไม่คุ้มค่ากับการลงทุน

สร้อยคอที่ได้มาไม่สามารถใช้ม้วนคาถาปลดผนึกปลดผนึกได้ เซียวหยาวกับวิหารจันทราเทพตัดสินใจฝากไว้ที่เฉินเฟิงก่อน เพราะศึกนี้เขาลงแรงมากที่สุด แถมเขายังชอบสะสมไอเท็มพิลึกๆ อีกต่างหาก เหตุผลข้อหลังนี้ทำเอาเฉินเฟิงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ดูท่านิสัยขยันลองใช้ไอเท็มของเขาจะถูกมองว่าเป็นนิสัยพิลึกๆ ไปเสียแล้ว

แต่เพื่อป้องกันข้อกังขาในภายหลัง หลังจากปรึกษากันแล้ว ทั้งสามก็ตกลงกันว่าให้เฉินเฟิงเอาสร้อยเส้นนี้ไปอย่างเดียว ส่วนของอื่นๆ ที่เหลือสองสาวแบ่งกันคนละครึ่ง ถ้าวันหลังปลดผนึกได้แล้วสร้อยเส้นนี้กลายเป็นของราคาแพง ถือว่าเฉินเฟิงได้กำไรไป แต่ถ้าไม่ได้มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่ ก็ถือว่าเฉินเฟิงซวยไปก็แล้วกัน

เฉินเฟิงเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก จึงยอมรับข้อตกลงนี้

ความจริงจะว่าไปแล้วก็น่าประหลาดอยู่ที่ตั้งแต่ทั้งสามรวมกลุ่มกันเป็นต้นมา โอกาสได้ไอเท็มดีๆ ก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ ก่อนหน้านี้ตอนเฉินเฟิงอยู่คนเดียว แค่ฆ่าสัตว์อสูรไปไม่กี่ตัว อย่างน้อยที่สุดก็ต้องได้ม้วนคาถามาเป็นรางวัลปลอบใจหลายม้วน แต่ตั้งแต่เริ่มออกเดินทางจากเมืองชิงจ้างมาถึงที่นี่ ทั้งสามฆ่าสัตว์อสูรไปไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยตัว แต่นอกจากสร้อยเส้นนี้แล้ว ก็ได้ม้วนคาถามาแค่ ๖ ม้วน แถมมีแต่ม้วนคาถากลับบ้านกับม้วนคาถาปลดผนึกทั้งนั้นเสียด้วย แม้แต่ก้อนโลหะกับอัญมณีที่เจอบ่อยที่สุดยังได้มาแค่ไม่กี่ก้อน เรื่องนี้ทำให้เฉินเฟิงนึกประหลาดใจอย่างมาก แต่ไม่ได้พูดออกมา

ของที่ปลดผนึกไม่ได้ มีแต่ต้องเอาไปไว้ที่คลังเก็บไอเท็มเป็นว่าที่ของวิเศษไปก่อน เพราะจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครทราบว่านอกจากม้วนคาถาปลดผนึกแล้ว ยังมีวิธีไหนที่สามารถปลดผนึกได้อีก และผู้ปลดผนึกก็ยังเป็นแค่ตำนานเท่านั้น


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:24 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:29

0 ความคิดเห็น