หัวข้อ : ม่านม่านชิงหลัว บทที่ 4

โพสต์เมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:36

บทที่ 4 

 

อาหลัวมองเห็นแต่ไกลว่าคนทั้งสองสนทนากันอย่างถูกคอที่ใต้ต้นท้อ และได้ยินเสียงระรื่นโสตของชิงเฟยดังมาเป็นระยะๆ จึงคิดในใจว่า ...หากอยู่ในยุคปัจจุบันละก็ ได้เห็นคู่ดูตัวที่ดีเลิศปานนี้ สาวๆ ไม่ทราบมากมายเท่าใดคงได้แห่กันโถมเข้าใส่ ฝ่ายที่หน้าแดงจะเป็นหนุ่มหล่อเสียละมาก!... แล้วคิดต่อว่า ...ห้าคุณชายแห่งเมืองเฟิงได้เห็นแล้วสองราย ไม่รู้ว่าอีกสามรายหน้าตาอย่างไรกันบ้าง... คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจไปหาที่เงียบสงบ มาที่นี่ตั้งหกปีกว่าเข้าไปแล้ว เพิ่งจะได้สัมผัสกับธรรมชาติเป็นครั้งแรก ทั้งยังเป็นสถานที่งดงามถึงเพียงนี้ หากฟ้ามืดลงกว่านี้ก็จะมองไม่เห็นแล้ว

เสียงผู้คนที่กระทบโสตค่อยๆ แผ่วจางหาย อาหลัวจำเส้นทางขามาไว้ ครั้นเห็นดอกท้อ ๒-๓ กิ่งยื่นออกมาจากด้านหลังศิลาใหญ่ ก็ลองเดินอ้อมไปดูที่ด้านหลังศิลา พบว่าที่แท้ศิลาใหญ่คือฉากบังตาธรรมชาตินี่เอง เด็กสาวนอนลงที่ใต้ต้นท้อ ห่างจากตัวออกไปไม่ไกลนักมีธารน้ำไหลผ่าน ผืนหญ้าที่ใต้ร่างทั้งดกและหนา มองจากพื้นดินขึ้นไป ดอกท้อสีชมพูกับท้องฟ้าสีครามถักทอประสาน อาหลัวทอดถอนใจชม “งดงามมากจริงแท้!”

“งดงามมากจริงๆ!” เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามา

อาหลัวสะดุ้งในใจ แต่ไม่ขยับตัว หลับตาลงพูดว่า “หากมิใช่เพราะกระจั๊วที่ซี้ซั้วต่อคำเมื่อกี้ทำลายทิวทัศน์ จะงดงามยิ่งกว่านี้!”

เสียงนั้นเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หากมีคนกลายเป็นไก่ตกน้ำ จะไม่เพียงทำลายทิวทัศน์เท่านั้น แต่จะเป็นทิวทัศน์ที่ชวนหัวใจวายด้วย!”

อาหลัวทราบดีว่าจอมยุทธ์ผู้นั้นมาแล้ว และตัวนางสู้เขาไม่ได้อย่างแน่นอน ที่นี่เป็นเคหาสน์ตากอากาศของฮู่กว๋อกงจู่ คาดว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นชายหนุ่มที่มาร่วมในงานเลี้ยงคนใดคนหนึ่ง ตัวนางนั้นจะดีจะชั่วก็ยังเป็นถึงคุณหนูของบ้านมหาเสนาบดี เขาน่าจะไม่มีทางทำอะไรนาง คิดแล้วก็ชักจะใจกล้า หลับตาลงอย่างไม่แยแสสนใจ

จอมยุทธ์เห็นนางไม่ตอบคำ ก็พูดว่า “จะโยนเจ้าลงไปในน้ำจริงๆ ละนะ ไม่กลัวรึ?”

อาหลัวสอดสองมือหนุนศีรษะ ขาข้างหนึ่งยกขึ้นไขว่ห้าง หลับตาลงพูดเรียบเรื่อย “มิใช่มารยาทไม่พึงดู มองเห็นว่ามีกูเหนี่ยงผู้หนึ่งงีบพักผ่อนอยู่ที่นี่ ผู้ที่ทราบมารยาทพึงกล่าวขอขมา หน้าแดงก่ำหันหลังให้เดินจากไปสิจึงจะถูกต้อง!”

จอมยุทธ์แค่นเสียงเชอะ “ดูจากกิริยาท่าทางนั่นของเจ้าก็มิใช่กุลสตรีตระกูลสูงเช่นกันละน่า! ไม่รู้ว่าสาวใช้ของบ้านใด หากมาอยู่ที่บ้านข้า มีหวังได้ถูกลงไม้จนสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเสียนานแล้ว”

อาหลัวคิดในใจ ...ตั้งหกปีกว่าข้าจะได้ออกจากบ้านสักหน อยากจะชมดอกไม้ชมทิวทัศน์ให้เต็มที่สักหน่อยยังจะมีมารผจญอีก โชคร้ายเป็นบ้า!... ฟังจากถ้อยคำของอีกฝ่าย ดูเหมือนจะเป็นคนในตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่งเช่นกัน ตอแยไม่ได้ หลบเสียก็ได้ เด็กสาวกระโดดผลุงลุกขึ้น ปัดดินบนตัวออก มองสำรวจตัวเองขึ้นๆ ลงๆ จนแน่ใจว่าไม่มีเศษหญ้าติดมา ก็หันหลังให้ทิศที่เสียงของจอมยุทธ์ดังมาแล้วเดินตรงไปข้างหน้า เดินไปพลางเปรยลอยๆ ไปพลางว่า “ยกที่ให้ท่านแล้ว ขี้งก!”

ภาพตรงหน้าพลันพร่ามัววูบ ชายหนุ่มผู้นั้นได้มายืนตรงหน้านาง อาหลัวตกใจผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าว คิดในใจ ...เป็นวิชาตัวเบาหน่อยก็กระโดดพรวดออกมาแกล้งให้คนตกใจเล่นรึไง?... ก่อนจะหรี่ตาพิจารณาอีกฝ่ายขึ้นๆ ลงๆ

รูปร่างไม่เลว สูงพอๆ กับไท่จื่อ หน้าตาก็ไม่เลว คมสันได้รูป ระหว่างคิ้วแววองอาจปรากฏชัด วันนี้ทั้งวันนางสังเกตดูชายหนุ่มรวมเบ็ดเสร็จแค่ ๒-๓ คนเท่านั้น ไฉนทุกคนถึงเป็นสินค้าชั้นเลิศกันหมดละหนอ?

ชายหนุ่มเอามือกอดอก “บอกมา เป็นยาโถวของบ้านใด?”

อาหลัวเห็นอีกฝ่ายอายุเพียง ๑๘-๑๙ ปีเท่านั้น ก็คิดในใจว่า ...เห็นข้าเป็นเด็กน้อยขี้มูกกรังจริงๆ หรือไร?... จึงเอามือเท้าสะเอวเอียงคอถามกลับไปว่า “บอกมา เป็นไอ้เด็กเวรของบ้านใด!”

ชายหนุ่มถลึงตา เรียวปากผุดรอยยิ้มเย็นชาขึ้นบางๆ “ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงชมดอกท้อในวันนี้มีกันอยู่แค่นี้เท่านั้น เจ้าบอกออกมาเองก็แล้วไป หากข้าตรวจสอบพบและไปขอเจ้ามาไว้ที่บ้านข้าละก็ ดูทีรึว่าข้าจะสั่งสอนเจ้ายังไง! ยายเด็กไร้การอบรม! รับบุญคุณแล้วไม่คิดทดแทนยังพอทำเนา นี่ยังกล้าเล่นสกปรกลอบกัดเสี่ยวเหยีย[1]ของเจ้า ข้าน่ะเกลียดคนที่ลอบกัดข้างหลังที่สุด!”

อาหลัวยิ้มเย็นชาเลียนแบบอีกฝ่าย “ใครใช้ให้ตาของท่านดันมองซอกแซกเองเล่า ดูเหมือนในกฎหมายของแคว้นหนิงจะมีอยู่ข้อหนึ่งระบุไว้ว่า การจ้องมองสตรีดีงามเปะปะจะต้องถูกลงทัณฑ์ควักลูกตา ที่ข้าไม่ไปฟ้องร้องน่ะถือว่าท่านโชคดีแล้ว สถานที่ที่งดงามปานนี้ ข้าไม่อยากเห็นเรื่องโหดเหี้ยมเช่นนั้นเกิดขึ้นดอกนะ โจรราคะ!”

ชายหนุ่มได้ฟังหน้าพลันเปลี่ยนสี “ไร้เหตุผลสิ้นดี!” แล้วยื่นมือมาหมายจะจับตัวอาหลัว

อาหลัวขยับตัวหลบวูบ ตวัดเท้าซ้ายเตะออกไปทันควัน

ชายหนุ่มเอียงศีรษะหลบได้ เลิกคิ้วขึ้น “เป็นลูกแมวป่าที่มีเขี้ยวเล็บคมกริบเสียด้วย เข้ามาอีก!” หมัดเงื้อขึ้นนำพาสายลมแรงพุ่งตรงเข้าใส่หน้าผากของเด็กสาว

อาหลัวลอบคร่ำครวญในใจ ...ตาคนนี้เป็นวิชาตัวเบาในตำนานเทียวนะ ไม่ใช่ตาสีตาสาในตลาดที่ไม่เป็นวิชาป้องกันตัวสักหน่อย เราจะไปสู้ชนะได้ยังไง?... คิดแล้วร้องโวยวายออกไปว่า “บุรุษที่ดีไม่วิวาทกับสตรี ท่านรังแกเด็กถือเป็นวีรบุรุษผู้กล้าแบบใดกัน!” พร้อมกันนี้ก็อาศัยปฏิกิริยาที่ว่องไวจากการฝึกคาราเต้มานานปีหลบวูบๆ ไป ๒-๓ ท่าอย่างรวดเร็ว

เดิมทีชายหนุ่มก็ไม่ได้ใช้พลังภายในอยู่แล้ว ครั้นได้ยินที่เด็กสาวพูดจึงหยุดมือ “ก็ได้...อายุยังน้อยแค่นี้ยังจะต้านรับข้าได้สักกี่กระบวนท่ากัน บอกมาซะ อยู่บ้านใด? บอกมาแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”

อาหลัวก้มศีรษะลงร้องในใจ ...โชคร้ายชะมัด!... หกปีมานี้ไม่เคยได้ก้าวเท้าออกจากประตูบ้านจนแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่รอมร่อ อุปนิสัยของยุคปัจจุบันจึงยังไม่ถูกขัดเกลาจนเลือนหาย ทำให้ไม่ได้นึกรู้ตัวเอะใจสักนิดว่าไปหาเรื่องคนอื่นเขาเข้าให้แล้ว เด็กสาวกลอกตาเล็กน้อยแล้วพูดอะไรบางอย่างออกมาเบาๆ ชายหนุ่มฟังไม่ถนัด จึงเดินเข้าไปใกล้สองก้าว อาหลัวพลันเงยหน้าขวับกะทันหัน จ้องเขม็งไปข้างหน้าร้องเสียงดังว่า “อ๊ะ! ฟูเหริน!”

ชายหนุ่มตกใจหันขวับไปมองด้านหลัง อาหลัวฉวยจังหวะนี้กระแทกหัวเข่าใส่สุดแรงเกิด ถูกจุดยุทธศาสตร์ของอีกฝ่ายเข้าให้อย่างจัง ตามด้วยสองมือสับลงเต็มแรง ชายหนุ่มที่ไม่ทันตั้งตัวล้มตึงลงกับพื้นทันที แต่กลับยังคงไม่หมดสติ ปากเค้นเสียงออกมาว่า “เจ้า...เจ้า!”

อาหลัวกระโดดขึ้นใช้ท่าสันมือดาบสับซ้ำลงไปอีกที ส่งผลให้ชายหนุ่มสลบเหมือดโดยสิ้นเชิง แล้วจึงค่อยตบมือไล่ฝุ่นพูดยิ้มๆ อย่างย่ามใจ “ซือฝุ[2]ข้าบอกว่าผู้ชายธรรมดาทั่วไปถูกสันมือดาบของข้าเข้าไปทีเดียวก็สมองเสื่อมได้แล้ว คงจะเพราะตอนนี้ยังเด็กอยู่ แรงจึงไม่พอ โจรราคะ ใครใช้ให้เจ้ามาก่อกวนอารมณ์สุนทรีย์ของข้าเล่า!”

มองดูสีท้องฟ้า เวลาไม่เช้าแล้ว อีกประเดี๋ยวก็ต้องกลับเข้าไปอยู่ใต้ท้องฟ้าสี่เหลี่ยมของคฤหาสน์มหาเสนาบดีนั่นตามเดิม ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ไม่ทราบอีกเมื่อไรจึงจะได้เห็นอีก คิดแล้วโทสะในใจให้ลุกฮือขึ้นอีกหลายส่วน จัดแจงถอดเสื้อผาวตัวนอกของชายหนุ่มออกมาฉีกเป็นแถบผ้า จับตัวเขามัดไว้กับต้นท้อ เสร็จแล้วถลึงตามองดูสารรูปทุลักทุเลของอีกฝ่าย ค่อยรู้สึกหายโกรธลงทีละน้อย

กระเป๋าเงินใบหนึ่งร่วงตกลงมาจากเสื้อผาวตัวนอกของชายหนุ่ม ฝีมือปักเย็บละเอียดประณีต อาหลัวเปิดออกดู มีตั๋วเงินมูลค่าสูงอยู่ ๒-๓ ใบ เศษเงินเล็กน้อย[3] เม็ดทอง ๒-๓ เม็ด[4] ยังมีป้ายหยกสี่เหลี่ยมอีกหนึ่งชิ้น เด็กสาวหัวเราะฮี่ฮี่ทันที ...ไอ้หนูเอ๋ย ถือเสียว่านี่คือการปล้นคนรวยช่วยคนจนก็แล้วกันนะ จงเป็นถังทองคำใบแรกของข้าเสียเถิด ใครใช้ให้เจ้าทำลายอารมณ์เบิกบานในการได้ออกนอกบ้านเป็นครั้งแรกของข้าเล่า!...

อาหลัวยิ้มตาหยีพลางซุกเก็บตั๋วเงินไว้ในอกเสื้อ ค่อยหันมาพินิจดูป้ายหยกอย่างละเอียด ครั้นเห็นตัวอักษร “วังอานชิงหวาง” บนป้ายหยก ก็ตะลึงพรึงเพริดหัวใจแทบวายในบัดดล

...คนคนนี้คือหลิวเจว๋? โอรสของอานชิงหวาง หลานลุงแท้ๆ ของหนิงหวาง? มิน่าเล่าถึงได้ทั้งโอหังทั้งเจ้าคิดเจ้าแค้นปานนี้! สวรรค์ช่วย เราดันไปมีเรื่องกับเขาได้ยังไงกัน?...

อาหลัวมองป้ายหยก แล้วหันไปมองหลิวเจว๋ที่ถูกมัดอยู่กับต้นท้อ นึกด่าตัวเองในใจที่ดันก่อเรื่องพลางช่วยแก้มัดให้ชายหนุ่มมือเป็นระวิง แก้มัดยังไม่ทันเสร็จ หลิวเจว๋ก็แค่นเสียงอู้อี้ออกมา เด็กสาวตกใจจนมือไม้อ่อน ...เป็นจอมยุทธ์จริงๆ ด้วย ฟื้นเร็วอย่างนี้เชียว?... จะเล่นงานเขาซ้ำอีกก็ไม่กล้า และทันทีที่หลิวเจว๋ฟื้น นางไม่มีปัญญาจะจัดการเขาให้อยู่หมัดอีกหนได้เสียด้วย อาหลัวตัดสินใจเด็ดขาด อย่างไรก็แก้เชือกเกือบจะเสร็จแล้ว จึงรีบยัดป้ายหยกใส่ในอกเสื้อหลิวเจว๋แล้วชักเท้าเผ่นหนีทันที

นางยังไม่ทันวิ่งพ้นจากรัศมีสายตาของหลิวเจว๋ หลิวเจว๋ก็ฟื้นขึ้นมาเสียก่อน ชายหนุ่มมองเงาหลังสีเขียวอ่อนที่เห็นอยู่ไกลๆ นั้น ก่อนจะหันมาดูตัวเอง ดิ้นเพียงเล็กน้อยแถบผ้าที่มัดตัวอยู่ก็ขาดออก เขาลุกขึ้นยืน ลูบหลังคอเบาๆ “ยายเด็กบ้า! อายุยังน้อยก็ลงมือได้หมดจดปานนี้ ใช้วิทยายุทธ์ใดกัน? หลิวอิง!”

ที่ด้านหลังต้นท้อห่างออกไปไม่ไกลนักปรากฏชายหนุ่มสวมชุดรัดกุมผู้หนึ่งขยับวูบออกมา กล่าวตอบอย่างนอบน้อมว่า “ดูเหมือนจะเป็นเพลงหมัดชุ่นของส้าวหลินขอรับ แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว”

หลิวเจว๋คลำด้านในอกเสื้อ เหลือแต่ป้ายหยกของวัง ดูท่าทางยายหนูนั่นจะรู้ฐานะของเขาแล้ว “เจ้ามาถึงเมื่อไร?”

หลิวอิงชะงัก ยังคงกล่าวตอบอย่างนอบน้อมเช่นเดิม “ตอนที่เด็กหญิงคนนั้นแก้มัดให้จู่ซ่าง[5]ขอรับ”

หลิวเจว๋ยิ้มเย็นชาพูดว่า “ตอนที่นางแก้มัดให้ข้า ได้ใช้เพลงหมัดชุ่นของส้าวหลินด้วย?”

หลิวอิงคุกเข่าลงโดยแรงทันที “จู่ซ่างโปรดลงทัณฑ์”

หลิวเจว๋หัวเราะก้อง “ได้เห็นซื่อจื่อ[6]ของเจ้าถูกเด็กหญิงตัวเล็กๆ อัดสลบก็รู้สึกเหลือเชื่อ และนึกว่าข้ามีเจตนาอื่นแอบแฝง จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ จากนั้นก็กังวลว่าข้าจะตำหนิลงโทษที่เจ้าไม่ยื่นมือเข้าช่วย ถูกหรือไม่?”

หลิวอิงหน้าแดงเรื่อ “จู่ซ่างปราดเปรื่อง”

หลิวเจว๋ทำหน้าเคร่ง “จงไปตรวจสอบให้กระจ่างว่านางคือสาวใช้ของบ้านใด แล้วขอตัวเข้ามาในวังให้ข้า! เหยีย[7]จะค่อยๆ จัดการสั่งสอนนางเอง!”

หลิวอิงเก็บเสื้อผาวที่ขาดเป็นแถบผ้าไปอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวก็ส่งเสื้อผาวอีกตัวมาให้ผู้เป็นนายสวม

หลิวเจว๋ก้าวเดินแช่มช้าตรงไปทางงานเลี้ยงพลางคิดในใจ ...ยายเด็กบ้า กล้ามาอัดเปิ่นกงจื่อ[8]สลบได้!... พลันนึกถึงตอนที่ช่วยดึงตัวอาหลัวขึ้นจากลำธาร ชั่วพริบตานั้นสายลมได้พัดมา หอบผมม้าของนางพลิ้วเปิดออกเผยให้เห็นดวงตาสุกใสดั่งแก้วเจียระไน รอยยิ้มก็ผุดพรายบนเรียวปากอย่างเผลอตัว ...น่าสนุก!...

 <>::<>::<>

อาหลัวทราบดีอยู่แก่ใจว่าก่อเรื่องเข้าให้แล้ว หากถูกหลิวเจว๋จับตัวได้ละก็ เขาไม่แก้แค้นนี่สิแปลก ด้วยเหตุนี้เมื่อกลับไปถึงในงานเลี้ยง เด็กสาวจึงร้องโอดครวญว่าปวดศีรษะ ฟูเหรินใหญ่กับชิงเหล่ยและชิงเฟยกำลังรื่นเริงกับงานเลี้ยงเต็มที่ ครั้นเห็นชิงหลัวทำลายบรรยากาศ ฟูเหรินใหญ่ก็หน้าตึง “เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่แท้ๆ เหตุใดจึงเกิดปวดหัวขึ้นมาเสียแล้ว?”

อาหลัวบีบเสียงกล่าวอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “คงจะเพราะไปตากลมในป่ามา ต้าเหนียง พวกเราจะกลับกันเมื่อไรหรือ?”

ฟูเหรินใหญ่ขึงตาใส่นางอย่างแค้นเหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า[9] “เวลานี้งานเลี้ยงช่วงค่ำยังไม่เริ่ม องค์หญิงยังไม่มีบัญชา องค์ไท่จื่อกำลังต้องใจต้าเจี่ยของเจ้า เจ้าทำเช่นนี้เจตนาจะทำลายเรื่องดีๆ ของพี่สาวเจ้าทั้งคู่หรืออย่างไร?”

อาหลัวลอบถอนใจ ...ตอนที่ข้าช่วยพวกนาง ไยท่านจึงไม่พูดบ้าง? รู้อย่างนี้ข้าไม่ลงมือช่วยเสียดีกว่า ปล่อยให้ชิงเหล่ยแสดงความทุเรศ ให้บ้านมหาเสนาบดีหลี่ขายหน้าไปเสีย! เป็นบุตรสาวภรรยารองเหมือนกันหมดแท้ๆ เหตุใดจึงต่างกันมากปานนี้? หอเขียวแล้วอย่างไรเล่า เหนียงคนงามของข้าเข้ามาในบ้านสกุลหลี่ตอนอายุ ๑๖ อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพียงเพราะเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและวิชา เคยเลื่องลือนามสะท้านเมืองเฟิง พวกท่านก็พากันหวาดกลัวปานนี้? ข้าดูว่าพวกท่านแต่ละคนต่างงามไปคนละแบบ ก็ไม่ได้ด้อยสักหน่อย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ... ใจคิดดังนี้ แต่ปากกลับเปล่งเสียงครวญครางดังขึ้นอย่างเห็นได้ชัดว่าทรมานมาก

ชิงเหล่ยกัดริมฝีปาก กระซิบที่ริมหูฟูเหรินใหญ่ ฟูเหรินใหญ่นิ่งคิดแล้วกล่าวว่า “อีกสองชั่วยาม งานเลี้ยงช่วงค่ำจึงจะเลิก ให้รถม้าพาเจ้ากลับไปส่งก่อนค่อยมารับพวกข้าก็แล้วกัน”

อาหลัวมองชิงเหล่ยอย่างงุนงง ชิงเหล่ยขยิบตาให้นาง อาหลัวคิดในใจ ...หรือเป็นเพราะเราช่วยดีดพิณคลายวิกฤตให้ ต้าเจี่ยผู้นี้จึงยอมดีกับเราเล็กน้อยจนได้ในที่สุด?...

ชิงเฟยไม่ได้เอ่ยอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ครั้นชิงหลัวหันไปมอง ก็เห็นอีกฝ่ายมีอาการของสาวน้อยในห้วงรักเต็มตัว จึงปล่อยให้ชิงเฟยใจลอยต่อไป ส่วนตัวนางเองเนื่องจากจำเป็นต้องออกไปจากงานเลี้ยงเพื่อหลบเลี่ยงจากหลิวเจว๋ตัวยุ่งยาก จึงปล่อยให้เจวียนเอ๋อร์ประคองเดินออกไปข้างนอก

เดินไปได้สองก้าว อาหลัวก็หันกลับมาพูดขึ้นแทบจะพร้อมๆ กับฟูเหรินใหญ่ว่า “เรื่องที่มางานเลี้ยงชมดอกท้อนี้ กลับไปแล้วอย่าได้เอ่ยถึงละ”

อาหลัวนึกดีใจที่ฟูเหรินใหญ่คิดตรงกัน และกล่าวเสริมว่า “หากองค์หญิงทรงทราบว่าคุณหนูสามของบ้านสกุลหลี่มาในงานด้วยแต่กลับไม่ได้เข้าเฝ้าถวายบังคม อย่างไรก็ถือว่าเป็นการเสียมารยาท ทั้งเวลานี้อาหลัวยังมาไม่สบาย ต้องออกจากงานเลี้ยงกลางคันอีกด้วย จะยิ่งเป็นการไม่เคารพหนักขึ้น”

ฟูเหรินใหญ่พยักหน้าอย่างชื่นชมเห็นพ้อง

อาหลัวเดินสังเกตไปตลอดทาง ไม่พบว่ามีใครจับตามองนาง จึงค่อยขึ้นรถม้าอย่างวางใจ

กลับถึงคฤหาสน์ เด็กสาวมองเห็นฟูเหรินเจ็ดเฝ้าชะเง้อชะแง้มองออกมาข้างนอกได้แต่ไกล ในใจให้อุ่นวาบ ยิ้มร่าพลางร้องเรียกว่า “ข้ากลับมาแล้ว เหนียง!”

ดวงตาฟูเหรินเจ็ดทอประกายอบอุ่นแผ่ซ่าน นางอิงประตูเฝ้ารออยู่ตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงหลัวออกห่างไปจากข้างกายนาง เพิ่งจะแค่วันเดียวนางก็คิดถึงเสียแล้ว หลังจากดูเวลา ฟูเหรินเจ็ดก็ขมวดคิ้ว “ซานเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงกลับมาโดยไม่รอร่วมงานเลี้ยงช่วงค่ำเล่า? กลับมาคนเดียวหรือ?”

อาหลัวร้องเสียงดัง “กินไปพลางเล่าไปพลางได้หรือไม่? ข้าหิวจังเลย”

ฟูเหรินเจ็ดส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วสั่งให้จางมานำอาหารขึ้นโต๊ะ ก่อนจะกล่าวกับบุตรสาวว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าออกไปข้างนอกนั้นกินไม่อิ่มดอก มาเถิด มากินด้วยกันกับเหนียง”

อาหลัวเหนื่อยมาทั้งวัน จึงหิวแล้วจริงๆ และเห็นว่าข้าวต้มกับข้าวที่บ้านนี่สิอร่อย “ในงานเลี้ยงขององค์หญิงตอนเที่ยงมีแต่พวกขนมนึ่งขนมเปี๊ยะเล็กๆ น้อยๆ ให้กินเท่านั้น ทั้งข้ายังไม่กล้ากินมากเกินไป ไม่เช่นนั้นฟูเหรินใหญ่จะเอ็ดเอาว่าไม่สุภาพ ต้องระวังภาพลักษณ์ งานเลี้ยงช่วงค่ำมีอาหารมากมาย กลับกินไม่ได้เสียแล้ว”

ฟูเหรินเจ็ดถามว่า “เหตุใดจึงกินไม่ได้เล่า?”

อาหลัวกลัวว่าฟูเหรินเจ็ดจะเป็นห่วง จึงไม่กล้าเล่าให้นางฟังว่าตนไปมีเรื่องกับซื่อจื่อของวังอานชิงหวางมา หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยเล่าเรื่องที่ดีดพิณแทนชิงเหล่ยออกมา ปรากฏว่าฟูเหรินเจ็ดหน้าถอดสี เด็กสาวจึงกล่าวปลอบใจนางว่า “ในกระโจมมีเพียงพวกเราห้าคนเท่านั้น พวกเราไม่พูด คนอื่นย่อมไม่มีทางรู้ดอก”

ฟูเหรินเจ็ดน้ำตาร่วงพรู “ซานเอ๋อร์ เจ้าก่อเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว! เกรงว่ายาโถวเจวียนเอ๋อร์นั่นคงไม่อาจเอ่ยปากได้อีกเสียแล้ว”

อาหลัวใจหายวาบ “พวกเราไม่พูดแล้วจะกลายเป็นก่อเรื่องได้อย่างไร? ฟูเหรินใหญ่คงไม่ใจคอโหดเหี้ยมปานนั้นกระมัง? เจวียนเอ๋อร์รับปากแล้วนี่ว่าจะไม่พูดแพร่งพรายแม้แต่คำเดียว”

ฟูเหรินเจ็ดถอนหายใจ “คนเขากล่าวกันว่า ‘ฟ้ารู้ ดินรู้ เจ้ารู้ ข้ารู้’ มาบัดนี้ฟูเหรินใหญ่รู้ คุณหนูใหญ่คุณหนูรองรู้ เจวียนเอ๋อร์รู้ เจ้ารู้ข้ารู้ รอจนพวกนางกลับมาเมื่อไร มีหรือเหล่าเหยียจะไม่รู้? ฟูเหรินสามฟูเหรินสี่จะไม่รู้? ชิงเหล่ยกับท่านแม่ของนางไม่กล้าพูด เหล่าเหยียกับฟูเหรินใหญ่ไม่มีทางแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด แต่ชิงเฟยกับท่านแม่ของนางเล่า? พวกนางขัดตาที่ฟูเหรินสามอาศัยบุตรสาวได้รับความโปรดปรานจากเหล่าเหยียมานานแล้ว หากพวกนางแพร่งพรายออกไป ผลลัพธ์นี้...จะทำอย่างไรกันดี?”

อาหลัวตกตะลึง “เหนียง ก็ตอนนั้นข้าเห็นว่าชิงเหล่ยน่าสงสารนี่ แม้แทบจะไม่ได้คบค้าหาสู่กัน แต่ก็ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน นางอายุเพียง ๑๖ ปีเท่านั้นเอง”

ฟูเหรินเจ็ดนิ่งคิดแล้วเอ่ยว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ได้แต่รอดูเจตนาของเหล่าเหยียเท่านั้น”

อาหลัวคิดในใจ ...ตอนนั้นใครจะไปนึกเล่าว่าจะก่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างนี้! ดูท่าทางจะประสบการณ์ไม่มากพอจึงคิดอ่านไม่รอบคอบ ไม่ได้ออกจากคฤหาสน์มาตั้งหกปี จึงดูเบาความคิดจิตใจของคนโบราณเกินไป ลำพังช่วยดีดพิณแทนชิงเหล่ยนั้นยังพอทำเนา แต่ชิงเหล่ยกลับได้รับความสนใจจากไท่จื่อเพราะเสียงพิณนั้นเสียด้วยนี่สิ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงกลายเป็นว่าพวกเราหลอกลวงเบื้องสูงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดีไม่ดีจะต้องอาญาถูกตัดหัวเพราะการนี้ก็เป็นไปได้เสียด้วยซ้ำ...

ในใจเด็กสาวเริ่มจะหวาดกลัว ระบอบสังคมนิยมที่ปกครองสังคมด้วยกฎหมายนี่สิดีกว่า! ทุจริตในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างมากก็โดนแค่ตัดสิทธิ์สอบเท่านั้น ที่นี่ทุจริตในการสอบต้องชดใช้ด้วยชีวิต ตัวนางไม่เคยคิดละเอียดถึงขั้นนี้มาก่อนจริงๆ

เวลาหกปีที่ไม่ได้สัมผัสสังคม ถูกล้อมกรงเลี้ยงอยู่แต่ใต้ท้องฟ้าสี่เหลี่ยม จึงเป็นเหมือนกบน้อยก้นบ่อนั่งมองท้องฟ้าอยู่แต่ในบ่อ บทลงโทษตามกฎหมายของที่นี่ไม่เหมือนกับในยุคปัจจุบัน ชนชั้นอภิสิทธิ์ก็แตกต่างกัน ศิลปินและช่างฝีมือเลิศของที่นี่เผลอทำผิดนิดเดียวก็ถึงตายได้ อาหลัวแทบจะหมดความมั่นใจในการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไป ความรู้สึกสิ้นแรงที่ต้องปล่อยให้คนอื่นมาแล่เนื้อเถือหนังตามใจชอบได้แผ่ซ่านขึ้นในใจ

ฟูเหรินเจ็ดเห็นท่าทางท้อแท้สิ้นหวังของบุตรสาว ก็รีบกล่าวปลอบเป็นพัลวัน “จะดีจะชั่วเตียของเจ้าก็เป็นถึงมหาเสนาบดีฝ่ายขวาของรัชกาลนี้ หากเรื่องแพร่งพรายออกไปยังพอจะบอกได้ดอกว่าต้าเจี่ยของเจ้าป่วยกะทันหัน ตัวเจ้ายังเล็กอยู่ จึงเกิดทิฐิดีดพิณไปหนึ่งเพลง หนึ่งนั้นเพราะรักพี่สาว สองนั้นเพราะกลัวว่าบ้านมหาเสนาบดีจะเสียหน้า”

อาหลัวมองฟูเหรินเจ็ดแน่วนิ่ง “อย่างนั้นเจวียนเอ๋อร์เล่า? นางจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

ฟูเหรินเจ็ดกลัวว่าบุตรีจะเกิดปมขึ้นในใจ จึงตอบว่า “เหนียงเพียงแต่เคยชินกับการคิดในทางร้ายที่สุดไว้ก่อนไปเสียทุกเรื่องเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะไม่มีอะไรก็เป็นได้”

อาหลัวเอ่ยถามเบาๆ “ตลอดมาข้าไม่เคยทราบว่าชนชั้นสูงในเมืองเฟิงแห่งนี้มีอิทธิพลมากเท่าใด หากพวกเขาต้องการสาวใช้สักคนแล้วคนอื่นไม่ยกให้ พวกเขาจะแย่งชิงเอาหรือไม่? หากเห็นใครขัดตาก็ไปฆ่าเขาได้หรือเปล่า?” เด็กสาวอดไม่ได้ต้องนึกถึงถ้อยคำของหลิวเจว๋ที่พูดว่าจะหาตัวนางให้พบ แล้วเอาตัวไปไว้ที่บ้านเขาจัดการสั่งสอนเสียให้หนำใจ

ฟูเหรินเจ็ดตบไหล่บุตรสาวเบาๆ พลางถอนหายใจ “แม้ไม่แย่งชิงโดยเปิดเผย โดยเบื้องลับผู้ใดเล่าจะบอกกล่าวได้กระจ่าง? เมื่อก่อนเหนียง...”

เด็กสาวมองผู้เป็นแม่อย่างแปลกใจ “เมื่อก่อนท่านทำไมหรือ?”

ฟูเหรินเจ็ดมองดอกห่ายถังในเทียนจิ่ง แสงจันทร์นำพาเงาของดอกห่ายถังทอทาบลงบนพื้น เงาเป็นลายด่างนั้นส่ายไหวอยู่เบาๆ ภาพทิวทัศน์เช่นนี้ช่างดูอ้างว้างเหมือนดังจิตใจของนางเสียนี่กระไร “เมื่อก่อน เหนียงคือกูเหนี่ยงซึ่งเป็นดาวเด่นของเรือนชำระบุปผาแห่งเมืองเฟิง เหนียงได้พบกับแขกผู้หนึ่ง เราต่างต้องใจกัน สัญญากันว่าตอนประมูลคลี่ดอกตูม เขาจะแข่งประมูลราคาซื้อตัวเหนียงไป สองคนร่วมบินเคียงคู่...ผลคือเขาได้มาซื้อตัวเหนียงไปจริง แต่เขากลับเสียชีวิตกะทันหันในคืนนั้น ส่วนตัวเหนียงถูกวางยาหมดสติไป ครั้นฟื้นตื่นมาก็ได้กลายเป็นฟูเหรินเจ็ดของคฤหาสน์มหาเสนาบดีเสียแล้ว...จนบัดนี้กระทั่งว่าผู้ที่ฆ่าเขาคือใคร เหนียงยังไม่รู้ด้วยซ้ำ เตียของเจ้าโปรดปรานเหนียงอยู่หลายวัน เห็นเหนียงเย็นชานักจึงได้หมดความกระตือรือร้น...เช่นนี้เอง...เหนียงจึงอยู่ที่เรือนสี่เหลี่ยมแห่งนี้มา ๑๔ ปี” น้ำเสียงฟูเหรินเจ็ดราบเรียบ ไร้ระลอกอารมณ์ ทว่าความคับแค้นใจที่แฝงอยู่ในน้ำคำกลับสุดจะสามารถกลบเกลื่อนได้

อาหลัวฟังแล้วรู้สึกแย่อย่างมาก พลันนึกขึ้นได้ถึงเงินที่หยิบฉวยมาจากตัวหลิวเจว๋ จึงรีบล้วงออกมามอบให้ฟูเหรินเจ็ด “พวกเราไปจากที่นี่ได้หรือไม่? เงินเหล่านี้คงจะพอให้พวกเราใช้ชีวิตได้แล้วกระมัง?”

ฟูเหรินเจ็ดมองตั๋วเงินอย่างอัศจรรย์ใจ “ซานเอ๋อร์ ไปเอามาจากไหนหรือ? เหตุใดจึงมีเงินมากมายปานนี้ได้?”

อาหลัวจำต้องเล่าให้ฟังแต่ต้นจนจบว่าไปมีเรื่องกับหลิวเจว๋ได้อย่างไร ฟูเหรินเจ็ดยิ่งฟังหน้าก็ยิ่งเผือดสี ครั้นฟังถึงอาหลัวถอดเสื้อผาวของหลิวเจว๋มัดเขากับต้นท้อและหยิบฉวยเงินของเขามา ก็เหลือกตาเป็นลมล้มพับไป ทำเอาอาหลัวตกใจทั้งตบหน้าทั้งหยิกชีพจรเหรินจง[10]เป็นพัลวัน พลางสำนึกเสียใจแทบดิ้นตาย หากวันนี้นางไม่ออกไปนอกบ้าน ก็จะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นทั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะเห็นท่าทางน่าสงสารของชิงเหล่ย นางคงไม่ดีดพิณดอก บ้านมหาเสนาบดีจะขายหน้า หลี่ชิงเหล่ยจะขายหน้าก็ไม่เกี่ยวกับนางสักหน่อย แล้วก็...ถ้าไม่ไปมีเรื่องกับตาหลิวเจว๋นั่นก็ดีสิ แต่ว่า...เสียใจไปแล้วจะมีประโยชน์หรือ?

ครู่ใหญ่ให้หลังฟูเหรินเจ็ดจึงค่อยๆ ฟื้นคืนสติมา เห็นอาหลัวมองนางอย่างร้อนใจก็คว้าตัวอาหลัวมากอดแล้วร้องไห้โฮ “ซานเอ๋อร์ จะทำอย่างไรกันดี?”

อาหลัวสงบเยือกเย็นลงอย่างรวดเร็วและวิเคราะห์ให้ฟูเหรินเจ็ดฟังว่า “เหนียง ซื่อจื่อของวังอานชิงหวางไม่ทราบว่าข้าคือใคร และงานเลี้ยงในวันนี้ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าคุณหนูสามของบ้านมหาเสนาบดีหลี่ได้ไปร่วมงานด้วย ข้าแสดงตัวว่าเป็นสาวใช้ของที่บ้านอยู่ตลอด ข้าคิดว่าหลังจากที่เตียทราบสถานการณ์แล้ว จะต้องไม่มีทางยอมให้ข้าทำลายแผนการใหญ่ของท่านเรื่องยกชิงเหล่ยให้สมรสกับไท่จื่อเด็ดขาด ท่านจะต้องคิดหาทุกวิถีทางขัดขวางไม่ให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป วันนี้ชิงเฟยสนทนากับเฉิงซือเยว่หนึ่งในห้าคุณชายอย่างถูกคอยิ่ง หากบ้านสกุลหลี่เกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้น จ้วงหยวนที่อนาคตสดใสจะถอยระย่อหรือไม่ก็พูดยากอยู่ ดังนั้นนางกับฟูเหรินสี่จะไม่มีทางแพร่งพรายออกไปเช่นกัน ส่วนตัวข้านั้น จะอย่างไรก็ยังเป็นบุตรสาวของท่าน แต่เกรงว่าด้านเจวียนเอ๋อร์คงจะช่วยคุ้มไม่อยู่เสียแล้ว วันนี้ข้าควรจะไปเตือนนางจึงจะถูกว่าทางที่ดีให้หนีไปเสีย”

ฟูเหรินเจ็ดดึงมือบุตรสาวมากุมไว้ “ซานเอ๋อร์ เจวียนเอ๋อร์หนีไม่ได้ดอก บ่าวทาสที่หลบหนีหากถูกจับตัวได้ผลลัพธ์จะยิ่งอนาถ ปกติล้วนแต่ถูกตีจนตายให้จบเรื่องทั้งสิ้น”

ถูกตีจนตาย? อาหลัวตกตะลึง นึกเจ็บใจอย่างที่สุด เพราะความบุ่มบ่ามและประมาทเพียงชั่ววูบของนางกลับทำร้ายเจวียนเอ๋อร์ ไม่แน่ว่าเจวียนเอ๋อร์อาจต้องจบชีวิตอีกด้วย ขณะที่ตัวนางไร้กำลังจะหยุดยั้งได้ เด็กสาวลอบตัดสินใจว่า ต่อไปจะทำอะไรต้องห้ามอวดดีห้ามวู่วาม ห้ามเอาความคิดของคนยุคปัจจุบันมาใช้กับที่นี่โดยง่ายดายเด็ดขาด จะทำสิ่งใดต้องระมัดระวังรอบคอบให้มากกว่านี้

จังหวะนี้เสี่ยวอวี้ได้มารายงานว่าฟูเหรินใหญ่พาชิงเหล่ย ชิงเฟยกลับมาแล้ว และเหล่าเหยียเชิญฟูเหรินเจ็ดกับคุณหนูสามไปพบ

อาหลัวมองฟูเหรินเจ็ดแล้วพูดว่า “เหนียง ต้องทำเป็นว่าท่านไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นละ มีคนรู้เพิ่มอีกคนล้วนแต่ไม่ดีทั้งสิ้น”

ฟูเหรินเจ็ดน้ำตาร่วงอีกครั้ง “ซานเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งจะอายุเพียง ๑๒ ปีเท่านั้น เรื่องเหล่านี้จะให้เจ้าไปเผชิญหน้าตามลำพังได้อย่างไร?”

อาหลัวเช็ดน้ำตาให้นาง “ข้าสามารถแสร้งซื่อแสร้งโง่ได้ เพราะข้ายังเด็ก พวกเขาไม่ระแวงป้องกันข้ามากมายอะไรนัก แต่หากท่านทราบเรื่องด้วย พวกเขาจะระแวงท่านเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน และท่านก็จะมีอันตรายเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน ให้ท่านบอกพวกเขาว่า ข้ากลับมาถึงก็ร้องโวยวายว่าปวดศีรษะแล้วเข้านอน ท่านเพิ่งจะปลุกข้าตื่นเมื่อกี้นี้เอง”

 <>::<>::<>

ครั้นเดินเข้าไปในห้องโถง มีเพียงมหาเสนาบดีหลี่กับฟูเหรินใหญ่อยู่สองคน ฟูเหรินเจ็ดพาชิงหลัวไปน้อมคารวะ มหาเสนาบดีหลี่ถอนหายใจกล่าวว่า “อวี้ถัง เจ้าปิดบังเสียข้าย่ำแย่นัก! ข้านึกประหลาดใจอยู่เทียว เมื่อก่อนชื่อเสียงด้านวิชา ความรู้ และรูปโฉมของเจ้าล้วนเป็นเอกในเมืองเฟิง เหตุใดจึงปั้นสอนบุตรสาวไม่ได้?”

อาหลัวกำลังคิดจะเอ่ยปาก ฟูเหรินเจ็ดกลับชิงกล่าวตอบเสียก่อนว่า “เหล่าเหยีย ข้าเป็นผู้สั่งห้ามอาหลัวเปิดเผยฝีมือเองเจ้าค่ะ ด้วยคิดจะเก็บซ่อนไว้ สักวันจะได้เปล่งเสียงเมื่อไรต้องสะท้านขวัญ[11]”

ฟูเหรินใหญ่ก้าวพรวดเข้ามา เงื้อมือตบฉาดใส่ฟูเหรินเจ็ด “นางแพศยา! ‘เปล่งเสียงเมื่อไรต้องสะท้านขวัญ’ อันยอดเยี่ยม วันนี้อาหลัวสะท้านฟ้าแล้วด้วยซ้ำ!”

ฟูเหรินเจ็ดเอามือกุมแก้มหัวเราะเสียงแหลม “ให้เพียงบุตรสาวของพวกนางหาได้ที่พักพิง[12]ดีๆ เหตุใดไม่ให้บุตรสาวของข้าหาได้บ้างเล่า!” ฟูเหรินเจ็ดยิ้มพลางหันกายมาส่งสายตาให้ชิงหลัวที่กำลังเลือดขึ้นหน้า ห้ามบุตรสาววู่วาม

อาหลัวขาอ่อนยวบทรุดลงคุกเข่า “ข้าผิดเอง วันนี้ข้าไม่ควรช่วยต้าเจี่ยดีดพิณเลย!” เวลานี้ได้แต่แสดงท่าทีอ่อนแอเท่านั้น ทั้งที่ในใจนางนึกอยากจะลุกพรวดขึ้นตบฟูเหรินใหญ่กับมหาเสนาบดีหลี่หลายๆ ฉาดจนลงไปนอนวัดพื้นใจแทบขาด

มหาเสนาบดีหลี่ที่มองดูอย่างเฉยเมยอยู่ด้านข้างหัวเราะก้องพูดว่า “ผู้ใดบอกว่าเจ้าทำผิดกัน? หากเจ้าไม่ดีดเพลงนั้น ไท่จื่อมีหรือจะต้องใจชิงเหล่ย อาหลัว เจ้ามีความชอบอย่างไม่อาจลบล้างเทียวละ!” แล้วยื่นมือมาประคองชิงหลัวขึ้น รั้งเข้ามาโอบไว้แนบอก ลูบศีรษะนางเบาๆ กล่าวต่อว่า “เตียเพียงโกรธที่เหนียงของเจ้าปิดบังเตียเท่านั้น เตียยังนึกดีใจเสียด้วยซ้ำว่าที่แท้อาหลัวของเตียก็เป็นยอดพธูที่เป็นเลิศทั้งรูปโฉมและวิชาเช่นกัน!”

ขนทุกเส้นบนแผ่นหลังของชิงหลัวลุกเกรียวเป็นตุ่มๆ ไปทั้งหลัง ความรู้สึกสมเพชตัวเองอย่างลึกล้ำได้ผุดขึ้นในใจอีกครั้ง การแสดงออกของมหาเสนาบดีหลี่แตกต่างจากพ่อค้ามนุษย์ที่ยิ้มร่าหน้าบานหลังจากพบว่าสินค้าในมือสามารถขายได้ราคาสูงกว่าเดิมอย่างผิดความคาดหมายตรงไหนหรือ? นางไม่มีทางยอมเป็นเงื่อนไขต่อรองในการขายธิดาแลกฐานะของมหาเสนาบดีหลี่เด็ดขาด!

ครั้นตัดสินใจแล้ว เด็กสาวก็บีบน้ำตาออกมา เงยหน้าขึ้นมองมหาเสนาบดีหลี่พลางเอ่ยว่า “เหนียงเพียงแต่หวังดีคิดอ่านแทนอาหลัวเท่านั้น เตียอย่าได้ตำหนิท่านอีกเลย อย่าว่าแต่อาหลัวก็แค่ดีดพิณได้ วิชาอักษร ภาพวาด โคลงฉันท์กาพย์กลอนเรียนไม่ได้แม้แต่ส่วนเดียวของเหนียงเสียด้วยซ้ำ หากเตียพอใจ อาหลัวจะเรียนจากเหนียงทุกอย่างก็แล้วกันเจ้าค่ะ” น้ำเสียงออดอ้อนถึงขีดสุด

มหาเสนาบดีหลี่จ้องดวงตารื้นน้ำตาของธิดาคนเล็กเขม็ง หัวเราะหึหึกล่าวว่า “นี่สิถึงจะเป็นบุตรสาวที่น่ารักของเตีย ต่อไปห้ามมีอะไรปิดบังเตียอีกละ ประเสริฐมาก!”

ฟูเหรินใหญ่ฉวยโอกาสพูดว่า “ข้าน่ะกลัวแต่ว่าหากองค์หญิงกับไท่จื่อทรงทราบเรื่องนี้เข้า จะตำหนิโทษลงมานี่สิ น้องเจ็ด ตอนนั้นอาเหล่ยใจเสาะ อาหลัวก็ทำเพื่อมิให้บ้านมหาเสนาบดีเราต้องขายหน้ากลางงานเลี้ยง ดีนั้นดีอยู่ดอก เพียงแต่หากแพร่งพรายออกไปแล้วจะทำอย่างไรกันดี!”

“อาหลัวจะไม่ดีดพิณอีกไปตราบชั่วชีวิต ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครอื่นทราบอยู่แล้วว่าอาหลัวดีดพิณเป็น ศิลปวิชาอื่นสุ่มเลือกมาเรียนสัก ๒-๓ วิชา เชื่อว่าก็ไม่ด้อยเช่นกันเจ้าค่ะ” ฟูเหรินเจ็ดกล่าวทันควัน

มหาเสนาบดีหลี่พยักหน้า “เอาเถิด มีชิงเหล่ยที่ดีดพิณเป็นเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ชิงเฟยถนัดเขียนอักษร อาหลัว เจ้าจงตั้งใจเรียนร่ายกลอนกับเหนียงของเจ้าก็แล้วกัน”

อาหลัวเห็นสายตาของมหาเสนาบดีหลี่วนเวียนไปมาอยู่แต่ที่มือของนาง ก็ให้หวาดกลัวถึงขีดสุด ร้องโพล่งออกมาอย่างลืมตัว “อาหลัวเป่าตี๋ได้ด้วยเจ้าค่ะ! เหนียงบอกว่าข้ามีพรสวรรค์ด้านดนตรี จึงกำลังจะสอนข้าอยู่เทียว”

สายตามหาเสนาบดีหลี่จึงค่อยเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง “ประเสริฐ ร่ายกลอนเป็น เป่าตี๋เป็น ก็ดีเหมือนกัน”

ในที่สุดอาหลัวก็ประคองฟูเหรินเจ็ดเดินออกจากห้องโถง ได้ยินมหาเสนาบดีหลี่พูดเสียงเย็นชามาอีกว่า “อวี้ถัง เจ้าจงสอนอาหลัวให้ดีๆ นางอายุยังน้อย มีหลายเรื่องที่ยังไม่รู้ความ แต่เจ้ารู้ดี”

ฟูเหรินเจ็ดกล่าวรับคำเบาๆ

กลับถึงสวนห่ายถัง น้ำตาอาหลัวก็ไหลรินลงมา ไม่ว่าจะเป็นในยุคปัจจุบันหรือยุคโบราณ นางก็ไม่เคยรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่หนักอึ้งเช่นนี้มาก่อน แม้แต่เมื่อตอนที่เพิ่งจะข้ามมายังโลกต่างมิติแห่งนี้และกลายเป็นอีกคน ก็ยังไม่ได้รู้สึกอย่างชัดเจนถึงความหวาดกลัวของการไม่สามารถว่ากล่าวกันด้วยเหตุผลได้เช่นนี้เลย หากไม่บอกว่าเป่าตี๋เป็น มือคู่นี้จะถูกมหาเสนาบดีหลี่ทำให้พิการไปแล้วหรือไม่? นางย่อมจะรู้สึกหวาดกลัวเป็นธรรมดา

เด็กสาวบอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าต้องใช้สมองคิดหาหนทางเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำแบบนี้

 <>::<>::<>

ณ ใจกลางป่าบริเวณมุมตะวันออกเฉียงเหนือของวังอานชิงหวาง ภายในเรือนสามชั้นหลังเล็กหลังหนึ่งจุดตะเกียงสว่างไสว รอบบริเวณเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง

ฟังว่าในวังเคยมีสาวใช้ที่อยากรู้อยากเห็นผู้หนึ่ง ตอนที่เดินผ่านผืนป่าซึ่งล้อมรอบเรือนสนวาตะแห่งนี้ นางมองเห็นกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง จึงไล่ตามเข้าไป จากนั้นก็ไม่ได้กลับออกมาอีกเลย ด้วยเหตุนี้ทุกคนในวังจึงพากันมองว่าที่นี่คือเขตหวงห้าม และเลือกที่จะเดินอ้อมเพื่อเลี่ยงเสีย

ซื่อจื่อเคยเรียกตัวหงอวี้กูเหนี่ยงดาวเด่นของเรือนชำระบุปผาแห่งเมืองเฟิงเข้าไปขับร้องบรรเลงเพลงภายในเรือนสนวาตะ หงอวี้กูเหนี่ยงกลับไปแล้วได้เล่าว่า ซื่อจื่อปฏิบัติต่ออาคันตุกะอย่างสุภาพเปี่ยมมารยาท ที่พำนักก็เงียบสงบสูงรสนิยม ด้วยเหตุนี้เรือนสนวาตะจึงได้ถูกบรรดาสาวน้อยจินตนาการว่าเป็นที่พักพิงในดวงใจ และเฝ้าวาดหวังว่าจะได้ร่วมครองรักกับซื่อจื่ออยู่ที่นี่ไปตราบชั่วชีวิต

เวลานี้หลิวเจว๋กำลังวาดภาพ สาวใช้ซือฮั่วฝนหมึกอย่างระมัดระวัง สายตาจับจ้องแต่เพียงแท่งหมึกในมือกับจานฝนหมึก ออกแรงสม่ำเสมอ ไม่เร็วไม่ช้า ระมัดระวังไม่ให้น้ำหมึกกระเซ็นออกไป และไม่ให้เกิดเสียงเสียดสี

หลิวเจว๋ลากเส้นกรอบใบหน้าของดรุณีน้อยอย่างประณีตตั้งใจ กระโปรงยาวถูกสายลมพัดพลิ้วขึ้น จากนั้นถูกหยกประดับบนปลายเชือกแพรถักที่ห้อยอยู่ข้างเอวกดไว้ เรือนร่างของดรุณีน้อยอรชรอ้อนแอ้น ไหล่บ่าบอบบางลำคอเรียวระหง เรือนผมดำขลับบิดเกล้าดุจม่านหมอก ปักปิ่นหยกกล้วยไม้อยู่เฉียงๆ บุคลิกงามสง่าโดดเด่น ซึ่งก็คือภาพเหมือนของกู้เทียนหลิน ธิดาของมหาเสนาบดีกู้นั่นเอง

หลิวเจว๋มองดูอย่างพอใจ ก่อนจะยกพู่กันรวบรวมสมาธิ เพื่อจะแต้มวาดดวงตาบนใบหน้าของหญิงงาม ผู้คนกล่าวกันว่า “วาดมังกรเติมตา”[13] พู่กันนี้ของหลิวเจว๋แต้มลงไป กู้เทียนหลินย่อมจะเดินออกมาจากในรูปทันที

ไม่ทราบเพราะเหตุใดพลันในศีรษะของชายหนุ่มได้ผุดภาพดวงตาสุกใสดั่งแก้วเจียระไนคู่หนึ่งขึ้น เขาหลับตาลงนึกถึงแววตาของกู้เทียนหลินอีกครั้ง แล้วลืมตาขึ้นแต้มพู่กันลงไปอย่างรวดเร็ว ครั้นวาดเสร็จสิ้นและพินิจดูอีกครา ก็ต้องถือพู่กันตะลึงลาน เหตุไฉนจึงได้วาดออกมาเป็นดวงตาของยายเด็กบ้าคนนั้นเล่า?

ซือฮั่วแอบเหลือบดู คิดในใจว่าช่างเป็นหญิงสาวที่งามนัก เพียงแต่เหตุใดดวงตาคู่นั้นจึงแฝงแววพยศ มีชีวิตชีวาดังจะเอ่ยวาจาเช่นนั้น ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนดวงตาที่อยู่บนใบหน้าของคุณหนูผู้สำรวมเป็นกุลสตรีเช่นนี้เลย

หางตาหลิวเจว๋กวาดมาเห็นสีหน้าของซือฮั่ว ชายหนุ่มมองภาพวาดดีๆ ที่กลับมาถูกดวงตาคู่นี้ทำลายเสียได้ ก็ยื่นมือออกไปหมายจะขยำภาพ ครั้นสายตาสบกับดวงตาในภาพก็ชะงักมือ มองดูอยู่ครู่หนึ่งค่อยสั่งซือฮั่วว่า “นำไปเข้ากรอบให้ดีๆ ละ”

ซือฮั่วก้มหน้ากล่าวรับคำเบาๆ

นิ้วมือหลิวเจว๋เคาะโต๊ะเขียนภาพเบาๆ อยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยถามว่า “บ้านที่ไปร่วมในงานเลี้ยงชมดอกท้อมีกี่บ้านที่พาสาวใช้ไปด้วย? หือ?”

หลิวอิงได้คุกเข่าอยู่ที่ห้องด้านนอกมาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ แล้ว มายามนี้เมื่อได้ยินผู้เป็นนายเอ่ยปากถาม ก็กล่าวตอบเบาๆ ว่า “องค์หญิงทรงเชิญราชินีกุลมา ๗ ครอบครัว บุตรีและภรรยาของขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ๑๔ ครอบครัว สาวใช้ที่ครอบครัวเหล่านี้พาไปด้วยมีจำนวนทั้งสิ้น ๕๗ นาง และได้เชิญคุณชายในเมืองเฟิงต่างหากอีก ๒๓ ราย ล้วนแต่มิได้พาสาวใช้ไปด้วยทั้งสิ้น ในสาวใช้ทั้ง ๕๗ นาง สู่เซี่ย[14]ต่างตรวจเทียบทีละนางดูแล้ว หามีเด็กหญิงผู้นั้นไม่ องค์หญิงทรงพาสาวใช้ไปด้วย ๘ นาง ในเคหาสน์มีสาวใช้ ๑๔๖ นาง ก็ไม่มีเด็กหญิงผู้นั้นเช่นกันขอรับ”

หลิวเจว๋ยิ่งฟังสีหน้ายิ่งปั้นยาก เมื่อนึกถึงว่าเด็กหญิงผู้นั้นหลอกเล่นงานเขาสำเร็จถึงสองครั้งในวันเดียว แต่ตัวเขากลับหาตัวนางไม่พบอย่างนั้นรึ? ซื่อจื่อแห่งวังอานชิงหวางผู้นี้กลับมาถูกนางอัดสลบจับมัดกับต้นไม้ ทั้งยังถูกปล้นเงินไปอีกด้วย ขืนเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เขาสู้กระโดดแม่น้ำตูหนิงตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดยังจะดีกว่า

หลิวอิงเห็นเส้นเลือดบนหลังมือผู้เป็นนายผุดนูนขึ้นมา ในใจทราบดีว่านี่เป็นความอัปยศอย่างมหันต์สำหรับเจ้านายของเขา แต่ตอนนั้นตัวเขากลับยืนลังเลดูอยู่เฉยๆ เพราะหลงนึกว่าจู่ซ่างมีเจตนาอื่นแอบแฝงเสียได้ ซึ่งเรื่องนี้จะโทษเขาได้ละหรือ? ด้วยระดับฝีมือของจู่ซ่าง เหตุใดจึงมาถูกเด็กหญิงผู้หนึ่งใช้สันมือฟันสลบได้กันเล่า? แล้วยามนี้ยังกลับหาตัวเด็กหญิงคนนั้นไม่พบอีกด้วย หลิวอิงลังเลเล็กน้อย ค่อยรวบรวมความกล้าพูดว่า “จู่ซ่าง จะเป็นบุตรสาวของครอบครัวพรานล่าสัตว์ในหมู่บ้านละแวกนั้นได้หรือไม่ขอรับ?”

หลิวเจว๋ถลึงตา “ตรวจสอบ!”

หลิวอิงน้อมคำนับ แล้วรีบร้อนจากไป


<>::<>::<>::<>::<>::<>

[1] เสี่ยวเหยีย แปลว่า เจ้านายน้อย เป็นการพูดเชิงข่มโดยยกตัวเองขึ้นเป็นเจ้านายของคู่สนทนา
[2] ซือฝุ หรือ ซือฟู่ แปลว่า อาจารย์ เป็นคำเรียกอาจารย์ผู้สอนวิชาเฉพาะทางให้
[3] เศษเงิน ในที่นี้หมายถึง ตำลึงเงิน (ดูภาพที่ 24 หน้า)
[4] เม็ดทอง คือทองก้อนลักษณะเหมือนเม็ดถั่ว (ดูภาพที่ 25 หน้า)
[5] จู่ซ่าง แปลว่า เจ้านายเหนือหัว
[6] ซื่อจื่อ คือตำแหน่งผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ โดยมากจะหมายถึงบุตรชายคนโตของหวาง
[7] เหยีย แปลว่า เจ้านาย, นายท่าน
[8] เปิ่นกงจื่อ แปลว่า ข้าคุณชายผู้นี้ เป็นคำเรียกแทนตัวเองของซื่อจื่อ
[9] แค้นเหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า เป็นสำนวนหมายถึง ขัดใจ เจ็บใจในความไม่เอาถ่าน ไม่ได้ดั่งใจของคนที่ตั้งความหวังเอาไว้ และร้อนใจอยากให้เขาก้าวหน้า ได้ดี
[10] ชีพจรเหรินจง คือตำแหน่งตรงกลางร่องใต้จมูก (ดูภาพที่ 26 หน้า)
[11] มาจากคำเต็มว่า “หากไม่โผบินก็แล้วไป โผบินเมื่อไรพุ่งทะยานสุดฟ้า หากไม่เปล่งเสียงก็แล้วไป เปล่งเสียงเมื่อไรต้องสะท้านขวัญ” หมายถึงผู้ที่ปกติไม่แสดงความสามารถอะไร พอแสดงความสามารถออกมา ก็โดดเด่นเหนือใครในทันที
[12] ที่พักพิง มีความหมายโดยนัยว่า “สามี” และ “บ้านของสามี”
[13] วาดมังกรเติมตา หมายถึง วาดส่วนที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นการใส่วิญญาณให้ภาพดูมีชีวิต
[14] สู่เซี่ย แปลว่า ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา, ผู้อยู่ใต้อาณัติ, ลูกน้องใต้สังกัด
แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:37 โดย หลินโหม่ว

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:36

0 ความคิดเห็น