หัวข้อ : ม่านม่านชิงหลัว บทที่ 1

โพสต์เมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:28

ม่านม่านชิงหลัว
 
เขียนโดย...จวงจวง

 
ผืนหญ้าแผ่ครึ้มในเถื่อนกว้าง          น้ำค้างพรมพร่างทุกแห่งหน
มียอดหญิงงามอยู่หนึ่งคน                   เนตรขนงสุกใสดุจจำนรรจ์
โอ้ว่าสวรรค์ทรงลิขิต                             ให้เจ้าแลข้าได้พบพาน
ต้องดั่งใจข้าอธิษฐาน                            หลงรักนงคราญเพียงแรกยล
ผืนหญ้าแผ่ครึ้มในเถื่อนกว้าง          น้ำค้างพรมพร่างทั่วไพรสณฑ์
มียอดหญิงงามอยู่หนึ่งคน                   เนตรขนงพริ้มพรายดั่งสายธาร
โอ้ว่าสวรรค์ทรงลิขิต                             ให้เจ้าแลข้าได้พบพาน
ข้ากุมมือเจ้าใจประสาน                        ร่วมทางด้วยกันตราบวันวาย
 

จาก "ซือจิง หมวดกว๋อเฟิง หมวดย่อยเจิ้งเฟิง บทผืนหญ้าแผ่ครึ้มในเถื่อนกว้าง"

 

 

 
บทที่ 1 

 

เมื่อลืมตาขึ้น เฉิงชิ่งหลับตาลงทันที ค่อยลืมตาขึ้น แล้วหลับตาลงอีกครั้ง หลังจากทำซ้ำอย่างนี้ไปหลายรอบ หญิงสาวก็สรุปว่าตัวเองไม่ได้ฝันไปอย่างแน่นอน เธอไม่ได้กำลังนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน แต่มาอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นตาแห่งหนึ่ง

ลองขยับมือเท้า...แขนขาแข็งแรงสมบูรณ์ดีไม่มีเสียหาย โยกศีรษะไปมา...ค่อนข้างเบา สติยังแจ่มใสดี เธอลุกขึ้นนั่ง...ไม่มีปัญหา

เฉิงชิ่งนั่งเหม่ออยู่บนเตียง ใครกันที่ย้ายเธอจากในบ้านมาที่นี่อย่างเงียบกริบตอนดึกดื่นเที่ยงคืน? ถึงขนาดไม่ทำให้เธอตกใจตื่นเสียด้วย

หญิงสาวเป็นคนนอนไวมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะเวลาที่พ่อแม่ไปดูงานต่างเมือง เหลือเธออยู่เฝ้าบ้านเพียงลำพัง ประสาทหูของเธอจะไวมากจนเหลือเชื่อ กระทั่งหนูคลานเข้าไปคุ้ยถังขยะในครัว ขามันเพิ่งจะแตะถูกฝาถังขยะ เธอก็กระโดดลงจากเตียงวิ่งเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว เงื้อไม้เทนนิสฟาดลงใส่เป็นที่เรียบร้อย หนูแก่ที่ยึดครองครัวมานานสะดุ้งตัวลอย เผ่นหนีไปอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น ตอนมุดออกทางช่องพัดลมระบายอากาศมันหยุดชะงัก เอี้ยวตัวกลับมามองเธออย่างดูถูกด้วยดวงตาเม็ดถั่วเล็กจิ๋ว เหมือนกำลังพูดว่า ‘ก็แค่คุ้ยขยะเอง ต้องทำกันขนาดนี้เชียว?’

เฉิงชิ่งเป็นฟืนเป็นไฟไล่หนูไปแล้ว ก็กลับขึ้นเตียงไปนอนต่อ หลังจากนั้นไม่มีเสียงใดมารบกวนเธออีก เธอหลับสนิทดีมากโดยไม่แม้แต่จะฝัน ครั้นตื่นนอนและลืมตาขึ้นก็มาอยู่ที่นี่แล้ว

หันไปมองรอบตัว...ห้องไม่ได้ใหญ่ ประมาณสิบกว่าตารางเมตร บนผนังทาสีขาวโพลนแขวนภาพทิวทัศน์ขุนเขาสายธารหนึ่งภาพกับภาพกลอนคู่หนึ่งภาพ เขียนว่า

“ดวงบุหลันเด่นสว่างกลางนภา ดุจคันฉ่องจินดาในสายลม

สดับเสียงคลื่นไผ่สุดรื่นรมย์ พิรุณพรมฤาพะวงมิพรั่นใจ”

ดูมีรสนิยมมากทีเดียว

กวาดมองไปอีก...ฝ้าเพดานทำจากแผ่นไม้นำมาต่อกันทีละแผ่น พื้นปูด้วยอิฐโบราณก้อนใหญ่ ริมหน้าต่างมีโต๊ะยาวแกะสลักลวดลายตั้งอยู่ บนโต๊ะวางพิณหนึ่งตัวกับกระถางกล้วยไม้อีกหนึ่งกระถาง ตกแต่งอย่างเรียบง่ายมีรสนิยม

หญิงสาวรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวนิดๆ ขึ้นมาอย่างปุบปับ เมื่อลองลูบดู...เตียงไม้กระดาน คนที่นอนเตียงนุ่มๆ ยี่ห้อซิมมอนส์จนชินมานอนเตียงแบบนี้ก็ต้องปวดเมื่อยเป็นธรรมดา หันมาดูเตียงนี้ต่อ...เป็นแบบโบราณ เหมือนเครื่องเรือนสไตล์โบราณยุคหมิงชิง[1] เป็นเตียงปะรำสี่เสาที่ติดม่านรอบเตียง ทั้งยังใช้ชิ้นส่วนลายหรูอี้สี่บรรจบเชื่อมด้วยชิ้นส่วนกากบาทมาทำการเชื่อมต่อด้วยวิธีเข้าสลักอีกด้วย ฝีมือละเอียดประณีต ด้านในทั้งสี่ด้านของเตียงติดผ้าม่านเนื้อแพรบางเบาสีเหลืองอ่อน เฉิงชิ่งคิดในใจ ...เตียงนี้สวยมากจริงๆ ทำเลียนแบบได้สวยประณีตขนาดนี้ ราคาไม่ใช่น้อยๆ แน่นอน... หมอนเป็นทรงยาว บนตัวหมอนมีลวดลาย หญิงสาวลองลูบดู เมื่อจับถูกเม็ดเล็กๆ ข้างในก็ยิ้มออกมา ที่แท้ “ในหมอนปักลายมีแต่แกลบ[2]” คืออย่างนี้นี่เอง!

รอบด้านเงียบสงัดจนผิดปกติ เมื่อตื่นแล้วเฉิงชิ่งก็ไม่คิดจะจ่อมอยู่บนเตียงต่อ หญิงสาวอยากจะดูว่าที่นี่คือที่ไหน และใครเป็นคนพาเธอมา เธอเหยียดขาออกคิดจะสวมรองเท้า ครั้นเห็นขาที่เหยียดออกก็ตกตะลึง ก่อนจะยกมือขึ้นดูตรงหน้า แล้วตกตะลึงอีกครั้ง ก้มลงดูตัวเอง ลูบดูอย่างรวดเร็ว

บัดดลนั้นในหัวเธอขาวโพลนไปหมด เฉิงชิ่งร้อนใจแทบเสียสติ ได้ยินแต่เสียงหัวใจเต้นกระหน่ำโครมคราม น้ำตาเอ่อคลอ

ร...ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเธอ! เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็ไม่ใช่เสื้อผ้ายุคปัจจุบันด้วย!

เธอหอบหายใจโดยแรง อ้าปากร้องตะโกนออกมาโดยสัญชาตญาณ

“แม่!”

ได้ยินเสียงประตูถูกผลักเปิดออก หญิงสาววัยประมาณ ๒๐ ต้นก้าวเข้ามาอย่างรีบร้อน “ซานเอ๋อร์[3] เหนียงอยู่นี่ ละเมอฝันร้ายหรือลูก?”

เฉิงชิ่งตะลึงพรึงเพริดอีกครั้ง “เหนียง[4]?”

หญิงสาวตรงหน้าเดินเข้ามากอดเธออย่างอ่อนโยน “ซานเอ๋อร์ โอ๋...มีเหนียงอยู่ด้วย ไม่ต้องกลัวนะ ฝันร้ายหรือเจ้า? ดูสิ...เหงื่อออกเต็มหน้าเทียว!” กล่าวพลางใช้ผ้าแพรเนื้อบางในมือเช็ดเหงื่อให้เฉิงชิ่งอย่างเบามือ

กลิ่นหอมอ่อนๆ กำจรมา เฉิงชิ่งตกใจจนตัวสั่นสะท้าน

นี่ไม่ใช่ความฝันจริงๆ ด้วย!

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกได้ถึงอาการตัวสั่นของเธอ จึงอุ้มเธออย่างเบามือขึ้นมานั่งบนตัก โอบเธอไว้พลางตบหลังให้เบาๆ เอ่ยปลอบว่า “เหนียงอยู่ด้วยนะ...ซานเอ๋อร์คนดี ไม่ต้องกลัวนะไม่ต้องกลัว”

เวลานี้เฉิงชิ่งได้ตกอยู่ในสภาพตกใจมากเกินไปจนช็อค แข็งทื่อไปทั้งตัว ชั้นแต่จะพูดก็ยังพูดไม่ออก หญิงสาวตรงหน้าเพิ่งจะสังเกตเห็นความผิดปกติก็ตอนนี้ จึงเริ่มเขย่าตัวเธอ “ซานเอ๋อร์ เป็นอะไรไปหรือ? ใครก็ได้มานี่ซิ!”

คนอีกสองคนวิ่งเข้าประตูมา คนหนึ่งแต่งกายแบบสาวใช้ อีกคนแต่งกายแบบหญิงสูงวัยคราวป้า ถามหน้าตาตื่นว่า “ฟูเหรินเจ็ด[5] คุณหนูเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?”

เสียงของหญิงสาวตรงหน้าแฝงความโกรธเกรี้ยวและคับแค้นใจ

“คุณหนูกลัวการนอนคนเดียวมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งพวกเจ้าก็พลอยไม่เห็นพวกข้าสองแม่ลูกอยู่ในสายตาด้วยอย่างนั้นรึ จึงได้เชือนแชเช่นนี้?”

ผู้มาใหม่ทั้งสองคุกเข่าลงกับพื้นดัง “ตึง!” หน้าถอดสีทันที หญิงสูงวัยออกจะใจกล้ากว่าสักหน่อย เอ่ยปากว่า “ฟูเหรินเจ็ด เหล่าหนู[6]เห็นว่าฟ้าสว่างมากแล้ว เวลาไม่เช้าแล้ว[7] จึงไปนำชุดสวมสอบไตรมาสมาให้คุณหนู ไม่นึกว่าคุณหนูจะละเมอฝันร้ายอีกแล้วน่ะเจ้าค่ะ!”

สาวใช้ที่ยังเด็กกล่าวเสียงเครือ “วันนี้คุณหนูนอนจนสาย เสี่ยวอวี้ร้องเรียกไปสองครั้งเห็นคุณหนูขานรับ ก็นึกว่าคุณหนูตื่นแล้ว จึงรีบไปเตรียมน้ำร้อนเจ้าค่ะ ฟูเหรินยกโทษให้เสี่ยวอวี้เถิดนะเจ้าคะ ต่อไปนี้ถ้าคุณหนูยังไม่ลุก เสี่ยวอวี้จะไม่กล้าไปที่ไหนอีกแล้ว!”

ฟูเหรินเจ็ดเห็นหญิงรับใช้ทั้งสองตื่นตระหนกลนลานกันปานนี้ก็ถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “ยังไม่รีบไปตระเตรียมอีก วันนี้จะสะเพร่าไม่ได้เด็ดขาด!”

จางมา[8]กับเสี่ยวอวี้มองฟูเหรินเจ็ดอย่างตื้นตัน โขกศีรษะคำนับแล้วรีบเดินออกไป

ฟูเหรินเจ็ดเอ่ยปลอบเฉิงชิ่งเบาๆ “ซานเอ๋อร์ จางมากับเสี่ยวอวี้ต่างเป็นคนที่เหนียงเลือกอยู่นานทั้งคู่ ในใจของทั้งสองคนต่างหวังดีต่อเจ้าทั้งนั้นนะ”

ฟันของเฉิงชิ่งยังคงสั่นกระทบกัน หญิงสาวยังคงไม่เข้าใจดีนักว่าเกิดอะไรขึ้น จึงพยักหน้าอย่างลืมตัว เค้นเสียงเบาหวิวเหมือนเสียงยุงออกมาในที่สุดว่า “อื้อ”

ฟูเหรินเจ็ดประคองดวงหน้าบุตรสาวตัวน้อยให้เงยขึ้น น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนปานนั้น “ซานเอ๋อร์ เหนียงทราบว่าเจ้ากลัวการสอบไตรมาสในวันนี้มาก แต่เหนียงมีบุตรสาวเพียงเจ้าคนเดียว หากเจ้าดื้อแพ่งจนเลยเวลาสอบ ต้องขายหน้านั้นถือว่าเรื่องเล็ก แต่จะให้เหนียงทนยอมให้เจ้าถูกตีได้อย่างไร? เช่นนี้ต่อไปความเป็นอยู่ในคฤหาสน์มหาเสนาบดีของเราแม่ลูกจะยิ่งลำบากกว่าเดิมแน่แท้” กล่าวพลางสีหน้าได้ทอแววเจ็บแค้นขมขื่น

จังหวะนี้จางมาได้ประคองถือเสื้อผ้าตั้งหนึ่ง เสี่ยวอวี้ยกอ่างทองเหลืองใบหนึ่งเดินเข้ามา ฟูเหรินเจ็ดวางบุตรีตัวน้อยในอ้อมแขนลง จูงมือเล็กๆ ของเธอพลางเอ่ยว่า “มาเถิด วันนี้เหนียงจะเกล้าผมให้เจ้าเอง”

จางมาคลี่สะบัดกระโปรงสีเขียวอ่อนตัวหนึ่งออกคาดผูกตรงเอวของเฉิงชิ่ง สวมเสื้ออ๋าวชายสั้น[9]สีม่วงแดงให้ แล้วผูกเชือกข้างซ้ายหนึ่งเส้นกับข้างขวาหนึ่งเส้นเป็นที่เรียบร้อย เฉิงชิ่งกลายเป็นหุ่นให้นางจับหมุนไปทางโน้นทีทางนี้ทีตามใจชอบโดยสิ้นเชิง

สวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ฟูเหรินเจ็ดพาเฉิงชิ่งไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เฉิงชิ่งเห็นดวงหน้าเล็กๆ ที่ไม่คุ้นตาบนกระจกในทันที จึงยกสองมือขึ้นปิดหน้าสั่นสะท้านไปทั้งตัว

ฟูเหรินเจ็ดมองสีท้องฟ้า ใบหน้าปรากฏแววร้อนใจ “ซานเอ๋อร์ เวลาไม่เช้าแล้ว ขืนยังไม่แต่งตัวอีกจะไม่ทันเอานะ แล้วเกิดไปสายขึ้นมาเตีย[10]เจ้าเขา...เฮ้อ...จะทำอย่างไรดีละนี่!”

สอบไตรมาส? เตียข้า?

เฉิงชิ่งลดมือลงช้าๆ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในดวงตามีม่านน้ำตาเอ่อคลออีกครั้ง …นี่คือใครกัน? ทำไมฉันถึงเปลี่ยนเป็นเด็กเล็กขนาดนี้? ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นหน้าตาแบบนี้?... เธอไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ จ้องมองใบหน้าผอมซูบซีดขาว ดวงตาแดงก่ำของเด็กหญิงที่อายุอย่างมากแค่ ๖ ขวบในกระจกอย่างใจลอย

ครั้นเห็นเด็กหญิงนั่งลงหน้ากระจกอย่างว่าง่าย ฟูหรินเจ็ด จางมา และเสี่ยวอวี้ก็รีบเร่งมือแต่งตัวให้ เพียงครู่เดียวบนกระจกก็ปรากฏดวงหน้าเล็กๆ งามพริ้มเพราน่ารักน่าเอ็นดูของสาวงามตัวน้อยๆ ซึ่งมีดวงตากลมโต ผมม้าเป็นระเบียบเรียบร้อยและมวยผมสองลูก

ฟูเหรินเจ็ดผูกแถบผ้าแพรสองเส้นไว้บนมวยผมเล็กๆ ของเด็กหญิงอย่างพอใจ เอียงคอมองอย่างชื่นชม ดวงหน้าเผยรอยยิ้มบางๆ

จางมากล่าวอย่างอารมณ์ดี “คุณหนูเหมือนฟูเหรินเปี๊ยบเทียวเจ้าค่ะ โตขึ้นเมื่อไรต้องเป็นหญิงงามเหมือนกันแน่แท้”

  <>::<>::<>

ฟูเหรินเจ็ดจูงมือบุตรีตัวน้อยพาเดินออกไปนอกห้อง ครั้นเดินออกจากประตูห้อง เฉิงชิ่งก็เห็นว่านี่คือเขตเรือนหลังหนึ่ง ตรงกลางเรือนเป็นเทียนจิ่ง[11] วางโอ่งหินเลี้ยงปลาขนาดใหญ่สองใบ ตรงกลางเทียนจิ่งมีต้นห่ายถังต้นหนึ่งกำลังออกดอกบานสะพรั่งเต็มที่ เกรงว่าเมื่อเช้าฝนคงตก ในเทียนจิ่งจึงเปียกชุ่ม ดอกห่ายถังถูกหยาดฝนย้อมยิ่งแดงเฉิดฉาย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาชมทิวทัศน์

ฝีเท้าของฟูเหรินเจ็ดค่อนข้างเร่งร้อน รีบไปให้ทันเวลาด้วยกลัวว่าจะสาย

เฉิงชิ่งนึกขึ้นมาได้อย่างปุบปับว่าฟูเหรินเจ็ดจะพาเธอไปเข้าสอบไตรมาสอะไรนั่นซึ่งดูจะสำคัญมาก ดูเหมือนเมื่อกี้นางจะบอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นอยู่ในคฤหาสน์มหาเสนาบดีของพวกเธอสองแม่ลูกหรืออย่างไรนี่แหละ

สองแม่ลูก? เฉิงชิ่งนึกพรั่นพรึงขึ้นมาอีกครั้ง ฟูเหรินเจ็ดดูแล้วอย่างมากอายุแค่ ๒๓-๒๔ ปีเท่านั้น ต้องเรียกนางว่า...เหนียง?

เฉิงชิ่งพยายามตั้งสติให้เยือกเย็น เธออยากรู้ว่าสอบไตรมาสที่กำลังจะไปสอบอยู่เดี๋ยวนี้คืออะไร จากนั้นค่อยมาคิดเรื่องความเปลี่ยนแปลงแสนประหลาดพิสดารนี้อีกที เธอกระตุกมือฟูเหรินเจ็ด เงยหน้าขึ้นถามนางว่า “สอบไตรมาสข้าต้องระวังอะไรบ้าง?”

นี่เป็นคำถามเกี่ยวกับการสอบไตรมาสคำถามแรกที่ฟูเหรินเจ็ดได้ยินในเช้าวันนี้นับตั้งแต่บุตรีตื่นนอน จึงอดหยุดเดินลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างเวทนาไม่ได้

“ซานเอ๋อร์ เหนียงทราบว่าเจ้าพยายามสุดกำลังแล้ว พยายามสุดกำลังที่จะเรียนพิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาด ร่ายโคลงแต่งกลอนให้ได้ดี แต่เจ้าไม่ชอบของเหล่านั้น ย่อมจะเรียนได้ไม่ดีพอ ถึงอย่างนั้น...ซานเอ๋อร์...รับปากเหนียงสิ ไม่ว่าจะตอบคำถามได้ดีหรือไม่ก็อย่าร้องไห้ อย่ายอมขายหน้า!” เอ่ยถึงตรงนี้ ดวงตาของฟูเหรินเจ็ดทอแววแค้นใจ “ไม่ว่าพวกนั้นจะกลั่นแกล้งอย่างไร พวกเราก็จะไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว! จำได้แล้วนะ ซานเอ๋อร์?”

เฉิงชิ่งมองแววร้อนรนลึกล้ำในดวงตาของอีกฝ่ายแล้วพยักหน้า...ขอแค่ไม่ร้องไห้เป็นพอ!

เธอถอนหายใจ นี่มันสภาพแวดล้อมแบบไหนกัน? ร่างกายนี้มีนิสัยแบบไหน? เตียที่แต่งภรรยาอย่างน้อยเจ็ดคนเป็นคนแบบไหน?

  <>::<>::<>

ฟูเหรินเจ็ดจูงเฉิงชิ่งเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เสียงกระซิบกระซาบที่ดังอยู่ก่อนหน้านี้หยุดลงทันที เฉิงชิ่งเห็นสตรีประดับเครื่องประดับทำจากหยกและไข่มุกเต็มศีรษะห้าคนแยกย้ายกันนั่งอยู่บนเก้าอี้ซูเป้ย[12]ที่วางเรียงอยู่สองฟากซ้ายขวาภายในห้องโถง เก้าอี้สองตัวที่อยู่ตรงกลางว่างอยู่ ดูท่าทางคงจะเป็นที่นั่งของเตียคนนั้นกับภรรยาหลวง

ฟูเหรินเจ็ดคลี่ยิ้มอ่อนๆ ย่อตัวคารวะไปทางซ้าย[13]พร้อมกับเอ่ยว่า “เม่ยจือมาสาย เจี่ยเจีย[14]ทุกท่านโปรดอภัย” จากนั้นหันไปย่อตัวคารวะแบบเดียวกันให้สตรี ๒-๓ นางทางขวามือ สตรี ๒-๓ นางที่นั่งอยู่พยักหน้าโดยไม่ได้เอ่ยอะไร คาดว่าฟูเหรินเจ็ดคงจะเคยชินกับความเย็นชาของทุกคนเสียแล้ว จึงพาเฉิงชิ่งไปนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวสุดท้ายทางขวาโดยไม่คิดจะรอให้สตรีเหล่านั้นทักทายตอบ

ครั้นเฉิงชิ่งมายืนอยู่ข้างฟูเหรินเจ็ดแล้ว นางจึงค่อยปล่อยมือที่จูงมือของเธอ เฉิงชิ่งมองไปฝั่งตรงข้าม คาดว่าสตรีสามนางนั้นคงเป็นฟูเหรินสามคนของเตียคนที่ว่า ข้างกายฟูเหรินสองในสามนางมีเด็กหญิงสองคนยืนอยู่ คนที่โตกว่าหน่อยอายุประมาณ ๑๐ ขวบ คนที่เล็กกว่าอายุประมาณ ๗-๘ ขวบ เฉิงชิ่งคิดในใจ ...ฟูเหรินเจ็ดเรียกเราว่า “ซานเอ๋อร์” ดูท่าทางเด็กสองคนนั้นคงเป็นพี่สาวเราแน่ๆ…

เก้าอี้ถัดไปทางซ้ายสองตัวก็มีสตรีนั่งอยู่สองนาง แต่ไม่มีเด็ก

เฉิงชิ่งแอบเปรียบเทียบฟูเหรินแต่ละคนกับฟูเหรินเจ็ด เห็นว่าฟูเหรินเหล่านั้นต่างก็งามกันไปคนละแบบ ขณะที่ฟูเหรินเจ็ดมีดวงหน้าเล็กเรียวงามประณีตพริ้มเพรา ปลายคางเรียวมน ดวงตาสุกสกาว รูปร่างเล็กบางเพรียวระหงยิ่งขับเน้นให้ดูบอบบาง เป็นผู้ที่งดงามที่สุดในบรรดาฟูเหรินทั้งหกนาง เฉิงชิ่งคิดในใจ ...ต่อไปเวลาเราโต สงสัยจะหน้าเหมือนฟูเหรินเจ็ดนี่แหละ...

ขณะที่สายตาของเฉิงชิ่งกำลังกวาดมองซอกแซกไปทั่วนั่นเอง เธอก็เห็นว่าเด็กหญิงสองคนที่ฝั่งตรงข้ามเบ้ปากให้เธอ จากนั้นเมินหน้าหนีอย่างดูถูก ท่าทางเย่อหยิ่งอย่างมาก เธอจึงอดนึกขันอยู่ในใจไม่ได้…เด็กน้อยขี้มูกกรังเอ๋ย! ก่อนจะนึกขึ้นได้กะทันหันว่าตัวเธอเวลานี้ได้กลายเป็นเด็กที่เล็กยิ่งกว่าเด็กสองคนนั้นเสียอีก จึงนึกเศร้าใจอย่างที่สุดจนต้องก้มหน้าลงอย่างลืมตัว

ในจังหวะนี้พลันได้ยินเสียงตุ้งติ้งประดับดังขึ้น ฟูเหรินทุกคนต่างลุกขึ้นยืน กล่าวเสียงสดใสว่า “น้อมคารวะเหล่าเหยีย[15] เจี่ยเจียเจ้าค่ะ”

จากนั้นได้ยินเสียงบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยว่า “ทุกคนนั่งลงเถิด สอบไตรมาสวันนี้ อาเหล่ย อาเฟย อาหลัวเตรียมตัวกันพร้อมหรือยัง? สอบไตรมาสสามเดือนครั้งในครั้งนี้ไม่ทราบว่าพวกเจ้าก้าวหน้าขึ้นบ้างหรือไม่!”

เฉิงชิ่งเงยหน้าขึ้น ก็เห็นชายวัยประมาณ ๔๐ ปีในชุดผาว[16]สีน้ำตาลนั่งลงยังที่นั่งเจ้าบ้านตรงกลาง ใบหน้าสี่เหลี่ยมแฝงแววทรงอำนาจ ผู้ที่นั่งอยู่ข้างกายคือสตรีวัยกลางคนสวมเสื้ออ๋าวชายสั้นสีอ่อนกับกระโปรงยาวสีม่วงเหลือบเงิน

หากเรียงตามอายุ ชื่อของเธอก็น่าจะเป็น “อาหลัว”...เฉิงชิ่งพินิจดูเตียผู้แปลกหน้าอย่างละเอียด เตียคนนี้เหมือนกับคุณพ่อของเธอ นั่นคือดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นข้าราชการฝ่ายบริหาร เมื่อกี้เหมือนจะได้ยินฟูเหรินเจ็ดบอกว่าที่นี่คือคฤหาสน์มหาเสนาบดี เป็นถึงมหาเสนาบดีของประเทศนี่ไม่ธรรมดาเลย กิริยาท่าทางเข้มงวดเจ้าระเบียบ ดวงตาเปล่งประกายเฉลียวฉลาด ฟูเหรินใหญ่นั่นใบหน้าค่อนข้างท้วมกลมมนดูอบอุ่นใจดี แต่ในดวงตากลับมีแววเจ้าแผนการ

ชายวัยกลางคนซึ่งนั่งตำแหน่งเจ้าบ้านเอ่ยเนิบๆ “อาเหล่ย เข้ามายืนตรงนี้ซิ!”

เฉิงชิ่งมองดูเด็กหญิงวัย ๑๐ ขวบคนนั้นออกมาจากแถวหลังจากได้ยินเสียงเรียก เดินไปถึงกลางห้องโถง สีหน้าสุขุมเยือกเย็น แต่กลับเห็นได้รางๆ ว่ามือทั้งคู่ซึ่งซุกอยู่ในแขนเสื้อยาวกำเข้าหากันเป็นหมัดเล็กๆ เธออยากจะหัวเราะ จึงรีบก้มหน้าลงซ่อนรอยยิ้มที่ทำท่าจะผุดขึ้นบนเรียวปาก คิดในใจ ...หลงนึกว่าอาเหล่ยไม่กลัวจริงๆ เสียอีก ยังไงก็ยังเด็กอยู่ดี...

ชายวัยกลางคนถามว่า “อาเหล่ย สามเดือนมานี้เจ้าเรียนอะไรได้ดีที่สุด?”

อาเหล่ยตอบเสียงใส “ตอบเตีย วิชาพิณเจ้าค่ะ”

ชายวัยกลางคนโบกมือ มีบ่าวรับใช้นำโต๊ะมาตั้ง วางพิณเสร็จแล้วถอยออกไป

อาเหล่ยนั่งลงที่หน้าพิณโบราณ กรีดนิ้วดีดสายพิณไปสองครั้งอย่างเยือกเย็นมีสมาธิ ก่อนจะเอ่ยว่า “บัดนี้อาเหล่ยจะดีดเพลง ‘ดอกเหมยสามละเล่น’ เจ้าค่ะ”

จากนั้นเสียงพิณพลันดังขึ้น ความรู้สึกสดใสวนเวียนทั่วทั้งห้องโถงไม่สุดสิ้น วกตลบสามชั้น ใสเสนาะดั่งก้อนน้ำแข็งตกกระทบธารน้ำ

เฉิงชิ่งลอบร้องในใจว่าเยี่ยมมาก ตอนอยู่ในยุคปัจจุบันเธอเคยได้ฟังเพลงดอกเหมยสามละเล่นบรรเลงโดยพิณโบราณมาก่อน ซึ่งไม่ต่างจากเสียงพิณนี้นัก เพียงแต่เพิ่งจะเคยได้ฟังการแสดงสดครั้งนี้เป็นครั้งแรก

เธอพินิจดูอาเหล่ยที่อายุ ๑๐ ขวบใหม่อีกรอบ สีหน้าเด็กหญิงสงบนิ่ง ดวงหน้ารูปหัวใจงามหมดจดเผยแววหยิ่งผยองอยู่รางๆ เฉิงชิ่งคิดในใจว่าเพิ่งจะ ๑๐ ขวบก็ดีดพิณได้ระดับสูงตั้งขนาดนี้แล้ว เก่งมากจริงๆ แล้วย้อนนึกถึงสมัยเธอยังเด็กที่พ่อแม่ฉุดกระชากลากถูจะให้เธอเรียนเปียโน แต่หัวเด็ดตีนขาดเธอก็ไม่ยอมเรียน มาตอนนี้กลับกลายเป็นแบบนี้เสียแล้ว รู้อย่างนี้ตอนนั้นสู้ขอไปเรียนดีดพิณดีดเจิงเป่าตี๋เป่าเซียว[17]อะไรเทือกนั้นยังจะดีเสียกว่า ถ้ามีศิลปวิชาติดตัวตอนนี้ก็ได้ใช้ประโยชน์ไปแล้ว!

เมื่อนึกถึงตัวเองในตอนนี้ที่ข้ามมิติมาแบบพิลึกพิลั่นสิ้นดี เฉิงชิ่งก็นึกสลดใจขึ้นมาอีกครั้ง มือทั้งคู่ขยุ้มชายเสื้อแน่นอย่างลืมตัว ฟูเหรินเจ็ดสังเกตเห็นเข้า จึงเอามือตบหลังมือเด็กหญิงเบาๆ ใช้สายตาบอกเธอว่าดีดไม่เป็นก็ช่างเถิด ไม่เป็นไรดอก

เฉิงชิ่งรู้สึกขึ้นมาอย่างปุบปับว่าฟูเหรินเจ็ดช่างดีกับบุตรสาวคนนี้จริงๆ ในใจจึงอุ่นวาบ หลังจากต้องกลายมาเป็นแบบนี้แล้วคนแรกที่ได้พบดีกับเธอถึงเพียงนี้ ถือว่าโชคดีได้กระมัง

ยามนั้นเสียงสุดท้ายของเพลงพิณได้พลิ้วดังมา อาเหล่ยหยุดดีด เงยดวงหน้าเล็กๆ ขึ้นมองชายวัยกลางคน

เตียคนนั้นอมยิ้มพลางพยักหน้า “อาเหล่ย เหตุใดจึงเลือกเพลงนี้เล่า?”

ดวงตาเด็กหญิงทอประกายภาคภูมิใจ กล่าวตอบอย่างฉาดฉานว่า

“อาเหล่ยเห็นดอกเหมยในลานเรือนร่วงจนบางตา แม้จะเป็นเดือนยี่ต้นวสันต์[18]แล้ว แต่ยังคงสามารถหวนระลึกถึงยามที่มันบานสะพรั่งขาวสะอาดหอมกำจรในวันเหมันต์ ก็ให้ชมชอบบุคลิกเย้ยหิมะท้าน้ำแข็งของมันนักเจ้าค่ะ”

ชายวัยกลางคนลูบเคราเอ่ยว่า “ดี บุตรสาวของข้าก็ควรจะมีบุคลิกเช่นดอกเหมย! กลับไปเถิด คืนนี้เตียจะไปสวนเหมยชมดูดอกเหมยร่วงบางตาที่เจ้าบอก!”

ครั้นถ้อยคำนี้ถูกเอ่ยออกมา เฉิงชิ่งก็เห็นใบหน้าของฟูเหรินทางฝั่งซ้ายคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นท่านแม่ของอาเหล่ยปรากฏแววภาคภูมิใจวาบขึ้นทันควัน ก่อนจะก้มหน้าลงพูดเสียงนุ่มนวลตอบคำว่า “อาเหล่ยยังเล็ก ฝีมือยังไม่เชี่ยวชาญ เหล่าเหยียกล่าวชมเกินไปเจ้าค่ะ”

สายตาเฉิงชิ่งกวาดมองไปรอบห้องโถงหนึ่งรอบ นอกจากฟูเหรินเจ็ดที่สีหน้าเรียบเฉยแล้ว แววตาของบรรดาฟูเหรินทุกคนในห้องโถงต่างทอประกายริษยาออกมาไม่มากก็น้อยกันทั้งสิ้น เธอคิดในใจ ...ฝูงผู้หญิงชิงสามี คนโบราณมักจะชอบหาความบันเทิงแบบนี้อยู่เรื่อย คงเป็นเพราะไม่มีอะไรจะเล่นละมัง จึงสู้รบปรบมือกับคนด้วยกันเอง ก็การสู้กับคนนั้นบันเทิงไม่รู้จบนี่นะ...

อาเหล่ยถอยกลับไปยืนข้างๆ ท่านแม่ของตัวเอง อาเฟยออกมาจากแถว เป็นเด็กหญิงที่มีใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตดำขลับทั้งคู่ทอประกายเฉลียวฉลาด เด็กหญิงไม่ได้สั่น พูดอย่างฉาดฉานว่า “เตีย ไม่กี่เดือนมานี้อาเฟยเรียนเขียนอักษรพอจะเข้าถึงอยู่เล็กน้อยเจ้าค่ะ”

ด้วยเหตุนี้บ่าวรับใช้จึงยกโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งเข้ามาอีกครั้ง วางพู่กัน หมึก กระดาษ และจานฝนหมึกเป็นที่เรียบร้อย มีสาวใช้เข้ามาช่วยพับเก็บแขนเสื้อให้เด็กหญิง

อาเฟยเพ่งสมาธิคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วพลันขยับสองมือพร้อมกันเขียนกลอนคู่หนึ่งคู่ด้วยลายเส้นพู่กันดั่งงูมังกรรวดเดียวเสร็จสิ้น หลังจากพินิจดูแล้วจึงค่อยวางพู่กันลง พูดเสียงใสว่า “ขอเตียเตียโปรดชี้แนะเจ้าค่ะ”

เฉิงชิ่งเห็นรอยหมึกบนกระดาษคล่องแคล่วลื่นไหล ลายมือเยี่ยมมาก! ซ้ายขวาไม่มีเหลื่อมล้ำแตกต่าง เมื่อย้อนนึกถึงลายมือไก่เขี่ยของตัวเองแล้ว เฉิงชิ่งก็ให้เหงื่อตกอยู่ในใจ

ชายวัยกลางคนพินิจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่ครู่ใหญ่ก็พูดกับอาเฟยว่า

“ตัวหนังสือนี้ของเฟยเอ๋อร์[19]ก้าวหน้าขึ้นมากจริงแท้ อายุยังน้อยพลังพู่กันยังไม่เพียงพออยู่บ้าง ฝึกฝนต่ออีกสักพักต้องเป็นเลิศอย่างแน่นอน!”

คำชมนี้ทำเอาอาเฟยหน้าบาน หันไปยิ้มให้ท่านแม่ของตนดั่งจะขอรางวัล กิริยาท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด เฉิงชิ่งคิดในใจ ...อาเหล่ยหมดจด อาเฟยน่ารัก ยังดีที่หน้าเหมือนแม่ตัวเองกันทั้งคู่ โตขึ้นเมื่อไรตัวเราเองคงได้เป็นสาวงามเหมือนกันแหละนะ...

ขณะที่กำลังสังเกตการณ์เพลินๆ ก็พลันได้ยินชายวัยกลางคนร้องเรียกเสียงดัง

“อาหลัว มานี่ซิ!”

เฉิงชิ่งงงไปชั่ววูบ ฟูเหรินเจ็ดมองเธออย่างห่วงใย พูดเบาๆ “ซานเอ๋อร์ เตียเรียกเจ้าแน่ะ!”

เฉิงชิ่งใจหายวาบ เกือบลืมไปเสียแล้วว่าอาหลัวคนนี้ก็ต้องเข้าสอบไตรมาสด้วย เธอดีดพิณไม่เป็น เขียนพู่กันไม่เป็น แล้วเป็นอะไรบ้าง? กระทั่งว่ายุคนี้คือยุคไหน อยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ เธอแข็งใจเดินออกไปยืนตรงกลางห้องโถง

เตียคนนั้นพูดเสียงเย็นชา “พี่สาวสองคนของเจ้าคนหนึ่งถนัดดีดพิณ คนหนึ่งถนัดเขียนพู่กัน อาหลัว สามเดือนก่อนเจ้าก็ไม่มีการบ้านจะส่งอยู่แล้ว แม่ของเจ้ารับรองให้เจ้าโดยให้ติดการตีสิบไม้เอาไว้ก่อน บอกว่าสามเดือนให้หลังจะต้องทำให้ศิลปวิชาของเจ้ามีความก้าวหน้าอย่างแน่นอน สามเดือนนี้เจ้าเรียนอะไรมารึ?”

...ตีสิบไม้? ไม่ได้นะ! นี่ยังจะต้องโดนตีแบบงงๆ อีกรึ? ไม่ได้เด็ดขาด! แล้วจะทำอะไรดี? ท่องกลอนโบราณที่ยังพอจะจำได้ก็แล้วกัน กลัวก็แต่จะเป็นกลอนที่คนที่นี่รู้จักดีอยู่แล้วนี่สิ... เฉิงชิ่งยืนอยู่กลางห้องโถงปั่นสมองคิดด่วนจี๋

ครั้นเห็น “อาหลัว” ยืนนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่โดยไม่เอ่ยอะไร บรรดาฟูเหรินเหล่านั้นก็แสดงสีหน้าสมน้ำหน้าออกมามากบ้างน้อยบ้าง

เฉิงชิ่งตัดสินใจเด็ดขาด ...เอาท่องกลอนนี่แหละ! ถ้าคนพวกนี้รู้ว่าใครแต่ง ก็บอกไปว่าเราชอบจึงท่องจำไว้ ถ้าไม่มีใครรู้ก็ถือเสียว่าเป็นฝีมือของเราเองก็แล้วกัน...

เฉิงชิ่งเงยหน้าขึ้นพูดเบาๆ “ชอบโคลงกลอน ขอท่องให้เตียฟังหนึ่งบทได้ไหมเจ้าคะ?”

เตียคนนั้นเบิกตากว้าง จ้อง “อาหลัว” เขม็งอย่างไม่อยากจะเชื่อ ฟูเหรินเจ็ดลอบขมวดคิ้ว จากนั้นเตียคนนั้นจึงเอ่ยยิ้มๆ “ประเสริฐ...ประเสริฐ...คุณหนูสามของบ้านเราแต่งกลอนเป็นเสียด้วย ลองร่ายมาให้ฟังดูทีรึ”

ในห้องโถงมีเสียงแอบหัวเราะคิกคักดังมาแว่วๆ เฉิงชิ่งหันไปเห็นฟูเหรินเจ็ดใบหน้าซีดขาว ก็ต้องลอบถอนหายใจ เอื้อนออกมาช้าๆ ว่า

“ในเรือนโดดเดี่ยวเดือนยี่  ทุกวี่ทุกวัน  พายุพิรุณสาดซัด

วสันต์ช่างเหน็บหนาวนัก  มิยอมผ่อนพัก  ไร้ผู้สัญจรผ่อนใจ

ห่ายถังมิได้เสียดาย  ผลิดอกเฉิดฉาย  แดงฉานสะพรั่งตระการ

ยืนหยัดโดดเดี่ยวองอาจ  ทระนงท่ามกลาง  ม่านหมอกพิรุณโปรยปราย”

นี่คือกลอน “วสันต์ยะเยียบ” ของกวีสมัยราชวงศ์ซ่ง เฉินอวี่อี้ เฉิงชิ่งแก้คำในบทกลอนไป ๒-๓ คำแล้วท่องออกมาด้วยเสียงแหลมใสอ่อนเยาว์ที่ไม่ใช่เสียงของเธอจนจบบท ได้เห็นทุกคนในห้องโถงต่างนิ่งจังงัง สีหน้ามีหมดตั้งแต่ตะลึงพรึงเพริดไปจนถึงริษยาตาร้อน ก็คิดในใจว่า …ขนาดเราเองฟังเสียงเด็กแบบนี้ท่องกลอนแบบนี้ยังสะดุ้งเลย ยังไงก็ไม่ชินจริงๆ เสียงไม่ใช่เสียงของเราเองแล้ว ทั้งที่พูดออกมาจากปากของเราเองแท้ๆ แต่ฟังแล้วเหมือนคนอื่นกำลังพูดอยู่ยังไงยังงั้น…

ชายวัยกลางคนนิ่งใคร่ครวญอยู่อึดใจใหญ่ ก่อนจะมองไปทางฟูเหรินเจ็ดอย่างแฝงนัย เฉิงชิ่งหันกลับไปดูอีกครั้ง ในดวงตาของฟูเหรินเจ็ดได้มีน้ำตารื้นขึ้น ในความอ่อนหวานนุ่มนวลแฝงความเจ็บช้ำ

เฉิงชิ่งถอนหายใจโล่งอก ...ดูท่าทางทุกคนจะไม่เคยได้ยินกลอนบทนี้มาก่อน ที่นี่ไม่ใช่สมัยซ่ง อย่างนั้นลิขสิทธิ์ของกลอนหลังสมัยซ่งเป็นต้นไปก็เป็นของเราทั้งหมดแล้ว…

เตียคนนั้นหัวเราะหึหึ “ประเสริฐ...อาหลัวอายุ ๖ ขวบก็สามารถแต่งกลอนเช่นนี้ได้ แม่เจ้าช่างตั้งใจนัก เรื่องตียกเว้นไป ไว้วันหน้าเตียจะแวะไปที่สวนห่ายถังฟังเจ้าร่ายกลอน!”

ครั้นถ้อยคำนี้เอ่ยออกมา ดวงตาคมกริบนับคู่ไม่ถ้วนภายในห้องโถงพลันจ้องเขม็งมาทันที เฉิงชิ่งก้มหน้าลงใคร่ครวญประโยค “แม่เจ้าช่างตั้งใจนัก!” ที่เตียคนนี้ลงเสียงเน้นหนัก แล้วคิดในใจว่า …คุณคงนึกว่าฟูเหรินเจ็ดเป็นคนสอนกลอนบทนี้ให้ฉันสินะ แต่ก็สมควรอยู่หรอก อยู่ดีๆ เด็กที่เมื่อสามเดือนก่อนไม่มีปัญญาจะส่งการบ้านจนเกือบถูกตีกลับสามารถแต่งกลอนแบบนี้ได้กะทันหัน ไม่ว่าใครก็ต้องแปลกใจกันทั้งนั้น ฟูเหรินเจ็ดเองก็บอกอยู่ไม่ใช่หรือว่าอาหลัวคนนี้ไม่ชอบโคลงกลอน จึงเรียนได้ไม่ดีพอ…

เฉิงชิ่งถอยกลับไปยืนนิ่งคิดเงียบๆ อยู่ข้างฟูเหรินเจ็ด ฟูเหรินเจ็ดไม่ได้เป็นคนสอนกลอนบทนี้ให้บุตรสาว พอกลับไปแล้วต้องรีบหาโอกาสลบความสงสัยต่อเรื่องนี้ของฟูเหรินเจ็ดทันทีถึงจะดี

เตียคนนั้นเอ่ยต่อว่า “บ้านสกุลหลี่ของเรากล่าวได้ว่าเป็นตระกูลชั้นสูงของแคว้นหนิงเช่นกัน เป็นตระกูลมีการศึกษามาทุกชั่วคน นับแต่นี้ไปจะต้องยิ่งพากเพียร จึงจะไม่เป็นที่หัวเราะเยาะของผู้อื่น!” เอ่ยถึงตรงนี้น้ำเสียงได้เปลี่ยนเป็นเข้มงวด

ทุกคนในห้องโถงรีบกล่าวรับสนับสนุน แล้วค่อยๆ ทยอยกันแยกย้ายกลับเรือนของแต่ละคน

 <>::<>::<>

ฟูเหรินเจ็ดจูงมือเฉิงชิ่งให้ฟูเหรินคนอื่นเดินล่วงหน้าไปก่อน สุดท้ายจึงค่อยเดินออกจากห้องโถงมุ่งหน้าไปยังสวนห่ายถัง เฉิงชิ่งรู้สึกว่าเวลานี้ฟูเหรินเจ็ดพลุ่งพล่านใจอย่างมาก มือที่กุมมือของเธอบีบแน่นยิ่งกว่าตอนขามา ฝีเท้าที่ก้าวเดินก็เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดูท่าทางกลอนบทนั้นคงจะบอกกล่าวความในใจของนางออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว เฉิงชิ่งสรุปได้จากถ้อยคำที่ฟูเหรินเจ็ดกล่าวกับเธอและสิ่งที่ได้เห็นตอนสอบไตรมาสเมื่อกี้นี้ว่า ฟูเหรินเจ็ดต้องไม่เป็นที่โปรดปรานอย่างแน่นอน

นางงดงามออกปานนี้แต่กลับไม่เป็นที่โปรดปราน? ต้องมีปัญหาแน่

แคว้นหนิง? โลกที่ไม่รู้จักหรือ? บรรดาฟูเหรินที่มีใจเป็นอริกับฟูเหรินเจ็ด เตียที่ดูปุบก็ให้อารมณ์ว่าเป็นคนมือถือสากปากถือศีลคนนั้น พี่สาวสองคนที่ค่อนข้างหยิ่งแต่ศิลปวิชาเป็นเลิศ บุญคุณความแค้นในตระกูลใหญ่อีกแล้ว! เธอควรทำยังไงดี?

อ่านนิยายข้ามมิติมาก็ตั้งมากมาย เธอจะสามารถโบกแขนเสื้อพลิกดินฟ้า หมุนโลกเล่นได้ดั่งใจเหมือนอย่างตัวเอกในนิยายเหล่านั้นหรือเปล่า? จะตายตั้งแต่อายุยังน้อยหรือเปล่า? พรุ่งนี้พอตื่นขึ้นมาปุบก็กลับไปโลกเดิมแล้วหรือเปล่า? เฉิงชิ่งคิดในใจ ...สงสัยเมื่อก่อนอาหลัวคนนี้คงเป็นเด็กเก็บกดมาก ไม่ค่อยจะยอมพูด...

เก็บกดก็เก็บกดสิ พอดีว่าตัวเธอก็อยู่คนเดียวดูแลบ้านเองมาแต่เล็ก เวลาเจอปัญหาก็ใจเย็นอยู่แล้ว จึงไม่ได้กรีดร้องโวยวายแพร่งพรายสถานการณ์ของตัวเอง ไม่อย่างนั้นมีหวังกระทั่งเหนียงคนสวยคนนี้ก็ไม่เหลือ อายุแค่ ๖ ขวบมิต้องอดตายหรอกหรือ? อดตายยังเรื่องเล็ก เสียตัวสิเรื่องใหญ่ เกิดถูกใครเขาหลอกไปขายเข้าหอเขียว[20]ของยุคโบราณละก็ มิต้องฆ่าตัวตายหรอกหรือ?

เงยหน้าขึ้นมองฟูเหรินเจ็ด สีหน้าของนางได้ฟื้นกลับเป็นปกติ และดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของบุตรีตัวน้อย เฉิงชิ่งคิดในใจ …ในเมื่อเราโผล่มาที่นี่แบบงงๆ แล้ว แสดงว่าคงจะเป็นพรหมลิขิตอยู่กลายๆ ละมัง ยังดีที่อาหลัวเพิ่งจะแค่ ๖ ขวบ ถ้าเกิดโตกว่านี้หน่อย เรามิต้องแกล้งทำเป็นความจำเสื่อมจริงๆ หรอกหรือ?...

ระหว่างทางขากลับ เฉิงชิ่งเดินไปพลางมองดูระเบียงหอเก๋งแบบโบร่ำโบราณรอบๆ ไปพลาง คิดในใจว่า คฤหาสน์หลังนี้ต้องเป็นคฤหาสน์ของตระกูลใหญ่แน่ๆ พื้นที่กว้างใหญ่เอาเรื่องทีเดียว เตียคนนั้นต้องปกครองบ้านแบบเข้มงวดแหงๆ เพราะคนรับใช้ที่ได้พบเจอเมื่อเห็นฟูเหรินเจ็ดกับเธอก็พากันน้อมคำนับ ศีรษะก้มเสียต่ำมาก

...ระหว่างมาอยู่ในบ้านคนรวยกับบ้านคนจนอย่างไหนดีกว่ากัน?... เฉิงชิ่งคิด ...อยู่บ้านคนรวยสิดีกว่า ตาสีตาสาชาวบ้านธรรมดาในสมัยโบราณน่ะตายกันแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่เสียด้วยซ้ำ แถมยังกินไม่อิ่มสวมไม่อุ่น[21] ภาษีขูดรีดยิบย่อยเต็มกระบุง แล้วถ้าเกิดไปเจอเจ้าของที่ดินโหดเหี้ยมใจดำ ปีที่อดอยากเพาะปลูกไม่ได้ผล ดีไม่ดีจะถูกเสียบหญ้า[22]เอาตัวไปขายอีกต่างหาก

บ้านคนรวยถึงจะบอกว่ามีการวางแผนกลั่นแกล้งแก่งแย่งชิงดีกัน จะดีจะชั่วเธอเองก็มีพ่อแม่ที่รับราชการ เคยได้ยินได้ฟังเรื่องการแก่งแย่งชิงดีในวงราชการทั้งในที่ลับและที่แจ้งตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่แสนจะสลับซับซ้อนมามากมาย จึงน่าจะสามารถรับมือได้ไม่ยากเย็นนัก คาดว่าไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนก็ครือๆ กันนั่นแหละ ที่แข่งกันสู้กันก็แค่ใจคนเท่านั้น

เธอจึงจูงมือของฟูเหรินเจ็ดทันที...กลับบ้าน!


<>::<>::<>::<>::<>::<>


[1] ราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง คือสองราชวงศ์สุดท้ายของจีน อยู่ในช่วงปีพ.ศ.1911-2454
[2] ในหมอนปักลายมีแต่แกลบ หมายถึง ดูดีแต่เปลือกนอก ข้างในไม่ได้ความ
[3] ซานเอ๋อร์ แปลว่า ลูกสาม
[4] เหนียง คือคำเรียกแม่ของคนจีนในสังคมจีนโบราณ
[5] ฟูเหริน คือคำเรียกยกย่องภรรยาของผู้อื่น คล้ายกับ “คุณนาย”
[6] เหล่าหนู แปลว่า บ่าวเฒ่า
[7] เวลาไม่เช้า เป็นสำนวนจีน หมายถึง ไม่มีเวลาให้มัวเอ้อระเหยอีก
[8] จางมา แปลได้ว่า ป้าจาง (จาง เป็นแซ่)
[9] เสื้ออ๋าว คือเสื้อที่ตัดเย็บแบบมีสองชั้นสำหรับสวมกันหนาว (ดูภาพที่ 5 หน้า)
[10] เตีย หรือ เตียเตีย คือคำเรียกพ่อของคนจีนในสังคมจีนโบราณ
[11] เทียนจิ่ง คือ ลานเรือนที่ทั้งสี่ด้านล้อมรอบด้วยตัวเรือนและกำแพง (ดูภาพที่ 6 หน้า )
[12] เก้าอี้ซูเป้ย คือเก้าอี้ที่พนักพิงมีลักษณะเป็นซี่เหมือนลูกกรง (ดูภาพที่ 8 หน้า )
[13] ในบางยุค คนจีนจะเห็นซ้ายใหญ่กว่าขวา ซึ่งนิยายเรื่องนี้ถือตามหลักนี้
[14] เม่ยจือ แปลว่า น้องสาว, เจี่ยเจีย แปลว่า พี่สาว
[15] เหล่าเหยีย แปลว่า นายท่าน
[16] ชุดผาว หรือ เสื้อผาว คือเสื้อตัวนอกชายยาวแบบจีน (ดูภาพที่ 9 หน้า)
[17] ตี๋ คือ ขลุ่ยที่ถือเป่าทางขวาง, เซียว คือ ขลุ่ยที่ถือเป่าแบบปี่ (ดูภาพที่ 11 หน้า)
[18] วสันต์ แปลว่า ฤดูใบไม้ผลิ
[19] เอ๋อร์ เป็นคำต่อท้ายชื่อที่แสดงถึงความเอ็นดูหรือสนิทสนม
[20] หอเขียว หมายถึง หอนางโลม หรือ ซ่องโสเภณี
[21] สวมไม่อุ่น หมายถึง หน้าหนาวไม่มีเสื้อผ้ามากพอที่จะสวมให้อบอุ่น คนจนในสังคมจีนโบราณต้องหนาวตายในฤดูหนาวเพราะเหตุนี้กันไม่น้อย
[22] ธรรมเนียมค้าขายของชาวจีนในสังคมจีนโบราณจะเสียบหญ้าแห้งหนึ่งต้นไว้บนของที่จะขาย
แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:31 โดย หลินโหม่ว

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:28

0 ความคิดเห็น