โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:55
ตอนที่ 1
มึนงง
ข่าวเรื่องเกม “ราชาแห่งราชัน” กำลังจะเปลี่ยนแพทช์ (patch)[1]ครั้งใหญ่ได้แพร่กระจายไปทั่วในโลกของผู้เล่น เหล่าผู้เล่นหน้าเก่าต่างก็ดีใจแทบคลั่ง เพราะต่างก็รอแล้วรออีกให้เกมราชาฯเปิดประกาศเงื่อนไขเกี่ยวกับอาชีพเสียทีจนเซ็งแทบบ้ากันถ้วนหน้า เหล่าสมาคมอาชีพพากันกระเหี้ยนกระหือรือแอบเคลื่อนไหวกันอย่างลับๆ ไม่ได้หยุด พวกระดับสูงยิ่งมีการติดต่อเจรจากันไปทั่วทั้งเปิดเผยและซ่อนเร้น
หลังจากที่เฉินเฟิงรวบรวมผู้คนก่อตั้งสมาพันธ์ขึ้นแล้ว ข่าวลือที่ว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงซึ่งบริษัทเกมเลจจ์ส่งเข้ามาในเกมก็ยิ่งลือกันหนักข้อกว่าเดิม แต่ละวันจะมีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของสมาพันธ์เฟิง โดยทุกคนต่างก็เชื่อว่ารูปแบบของสมาพันธ์เฟิงจะต้องเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดที่จะอยู่รอดในเกมราชาแห่งราชันในอนาคตอย่างแน่นอน
แต่เหล่าสมาชิกสมาพันธ์เฟิงกลับไม่คิดแบบนี้ หลังจากที่มีการประกาศชื่อหัวหน้าตึกแต่ละตึกแล้ว แทนที่ความเคลื่อนไหวถัดมาของสมาพันธ์จะคึกคักดังที่ควรเป็น กลับกลายเป็นว่าตั้งแต่การประชุมสมาพันธ์ครั้งล่าสุดผ่านพ้นไป ทั้งเฉินเฟิงซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบปกครองทุกอย่างในสมาพันธ์และบรรดารองหัวหน้าสมาพันธ์ทั้งหลายกลับมีท่าทีหดหู่หนักข้อกว่าเดิมไปตามๆ กัน จนเงามืดอันหนักอึ้งได้แผ่ปกคลุมไปทั่วสมาพันธ์เฟิง
หลังจากการทะเลาะถกเถียงกับเมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศยุติลง สมาชิกในสมาพันธ์ก็ถูกจัดแบ่งไปสังกัดแต่ละตึกเสร็จสิ้นเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เนื่องจากในตอนนี้ช่องว่างของระดับและความสามารถของสมาชิกในสมาพันธ์ทั้ง 100 คนกว้างเอามากๆ จนกล่าวได้ว่ามีทั้งรุ่นบุกเบิก รุ่นกลาง และรุ่นมือใหม่ถอดด้ามครบครันทั้ง 3 รุ่น
หลังจากลองนับดูก็สรุปได้ว่า ผู้เล่นที่ได้อาชีพแล้วมีจำนวน 30 กว่าคน หลังจากตัดคนที่เป็นหัวหน้าตึกขึ้นไปออกแล้ว คนที่เหลือทั้งหมดได้ถูกจัดให้สังกัดตึกวายุประยุทธ์ (ตึกเฟิงอู่) อย่างเป็นทางการ
คนกลุ่มใหญ่อีกกลุ่ม คือผู้เล่นที่มีระดับ 30 ลงไป ซึ่งสำหรับผู้เล่นกลุ่มนี้ ณ เวลาปัจจุบัน แค่รายจ่ายของตัวเองก็ชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว อย่าว่าแต่จะมอบผลประโยชน์อะไรให้แก่สมาพันธ์เลย แต่ผู้เล่นกลุ่มนี้ดันมีจำนวนมากที่สุดเสียด้วย นั่นคือมีทั้งสิ้น 60 กว่าคน
หลังจากประชุมปรึกษากันแล้ว ก็ได้ผลสรุปว่าจัดให้ผู้เล่นกลุ่มนี้ทั้งหมดสังกัดตึกวายุแนวหลัง (ตึกเฟิงโฮ่ว) ซึ่งอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของครุโฬและเจี๋ยเต๋อ ยกเว้นผู้เล่นที่มีตำแหน่งรับผิดชอบในสมาพันธ์ แต่ตึกวายุแนวหลังเองก็แบ่งออกเป็น 2 ส่วนอีกนั่นแหละ โดยครุโฬเน้นรับผิดชอบสมาชิกสมาพันธ์ที่มีระดับ 25 ลงไป ส่วนเจี๋ยเต๋อจะรับผิดชอบสมาชิกที่มีระดับ 25 ขึ้นไป
ที่เหลือคือสมาชิกที่มีระดับครบ 30 และมีค่าประสบการณ์สะสมครบ 1,000,000 จุดแล้ว จะเหลือก็แต่รอให้ได้อาชีพเพียงอย่างเดียว
หลังจากผ่านการถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียด สมาพันธ์เฟิงก็ได้ประกาศความลับในการได้อาชีพนักดาบ อาชีพพราน อาชีพนินจา และอาชีพนักรบคลั่ง รวม 4 อาชีพ รวมถึงทักษะของอาชีพอื่นๆ อีกหลายอาชีพแก่สมาชิกในสมาพันธ์
หลังจากแบ่งสมาชิกในสมาพันธ์ไปสังกัดแต่ละตึกแล้ว ฐานหลักของสมาพันธ์เฟิงก็เปลี่ยนจาก 1 แห่งเป็น 3 แห่ง
ครุโฬพามือใหม่จำนวนมากไปปักหลักอยู่ที่เกาะเริ่มต้น สมาชิกกลุ่มนี้จะสบายกว่าเพื่อน เวลาส่วนใหญ่ของแต่ละวันจะบุกบั่นฟันฝ่าอยู่แถวๆ ที่ราบสันเขาทองคำ ซึ่งก็ช่วยผลิตเนื้อวัวและเนื้อแพะให้สมาพันธ์เป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียว
ส่วนเหล่าสมาชิกระดับยอดฝีมือที่ได้อาชีพแล้ว ขบวนนักเวทและสัตว์จะเป็นผู้รับผิดชอบนำทีม โดยย้ายคนทั้งหมดไปที่เมืองเขี้ยวมังกร ซึ่งนอกจากจะให้แบ่งกลุ่มทำงานเป็นทหารรับจ้างแล้ว รายได้หลักส่วนมากจะได้มาจากน้ำพุเศียรมังกร
สุดท้ายสมาชิกจำนวนเพียงไม่กี่คนที่เหลือจะรั้งอยู่ที่เมืองท่าเซียงห่ายเหมือนเดิมเพื่อเลือกอาชีพที่อยากจะเป็น ซึ่งหลังจากที่ตัดสินใจเลือกอาชีพได้แล้ว ทางสมาพันธ์ค่อยมอบหมายให้สมาชิกที่มีอาชีพนั้นๆ รวบรวมพาไปฝึกด้วยกัน หรือช่วยคุ้มครองพาไปคลี่คลายภารกิจ หรือช่วยเจี๋ยเต๋อฝึกสมาชิกที่มีระดับ 25 ขึ้นไปในบริเวณพื้นที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองท่าเซียงห่ายมากนัก
ปีกของซาตานกับวณิพกลอยชายรับหน้าที่เป็นครูฝึกให้ผู้ที่เลือกจะเล่นอาชีพพราน ฉินซวงกับกระต่ายคลั่งหนีจากรับผิดชอบเป็นครูฝึกให้ผู้ที่เลือกจะเล่นอาชีพนักดาบ เฮยโถวกับสองแสงกล้ารับผิดชอบเป็นครูฝึกให้ผู้ที่เลือกจะเล่นอาชีพนักรบคลั่ง ส่วนเฉินเฟิงรับหน้าที่เป็นครูฝึกให้ผู้ที่เลือกจะเล่นอาชีพนินจาเป็นหลัก และวิจัยอาชีพอื่นๆ ที่เหลือ
ดูเผินๆ เหมือนทุกอย่างจะไปได้สวย แต่จริงๆ แล้วยังมีสมาชิกอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถเล่นอาชีพที่ตัวเองอยากจะเล่นได้ ซึ่งทำให้เงามืดที่ไม่อาจสลัดหลุดในใจของเฉินเฟิงยิ่งเข้มข้นกว่าเดิม
อวี๋เลี่ยงอี้ สมานฉันท์(เหอชี่) และเจี๋ยเต๋อ กระจายกันนั่งแหมะลงกับพื้นหญ้าอย่างทุลักทุเล ปรากฏว่าหลังจากที่ทั้งสามรับตำแหน่งหัวหน้าตึกแล้ว เฉินเฟิงก็จัดแจงเจียดเวลาว่างมาพาสามคนนี้ไปฝึกพิเศษ
ถึงแม้ตอนนี้สมาพันธ์เฟิงจะยังไม่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดการปะทะกับสมาพันธ์อื่นก็ตามที แต่ยังไงคนทั้งสามก็เป็นถึงสมาชิกระดับผู้นำของสมาพันธ์เฟิง หากต่อไปเกิดการปะทะกับสมาพันธ์อื่นขึ้นมาล่ะก็ พวกนี้จะตกเป็นเป้าหมายอันดับแรกของศัตรูทันที ด้วยเหตุนี้แม้งานในสมาพันธ์จะยุ่งมากแค่ไหน เฉินเฟิงก็ยังเรียกร้องให้คนทั้งสามรีบๆ เพิ่มระดับของตัวเองให้เร็วที่สุดอยู่ดี อย่างน้อยก็ต้องมีทักษะป้องกันตัวเอาไว้บ้างสัก 2-3 อย่าง
อาชีพที่เจี๋ยเต๋ออยากเล่นมากที่สุดคือนักรบเทพ ของสมานฉันท์ (เหอชี่) คืออาชีพพ่อค้า ส่วนอวี๋เลี่ยงอี้อยากจะเป็นจอมเวท ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เฉินเฟิงทั้งเสียใจและเจ็บใจอยู่นานทีเดียว
ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่มีข่าวสารเกี่ยวกับทักษะอาชีพใดๆ ทุกคนได้แต่ลองผิดลองถูกเท่าที่พอจะทำได้ แต่มาตอนนี้เมื่อเขามีข้อมูลในการฝึกทักษะอาชีพเกือบครึ่งหนึ่งของอาชีพทั้งหมดแล้ว แถมยังรู้ไปถึงทักษะพิเศษของแต่ละอาชีพอีกด้วย ถึงแม้ว่าเขาควรจะเปิดโอกาสให้คนทั้งสามได้เล่นอาชีพที่แต่ละคนสมัครใจอยากจะเล่น แต่การทำอย่างนั้นจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดเมื่อคิดถึงผลประโยชน์ของสมาพันธ์
ครุโฬแนะนำให้คนทั้งสามเล่นอาชีพนินจา และให้เทค่าประสบการณ์สะสมไปที่คาถาพรางกายทั้งหมด เมฆถาโถมยุทธ์ล้ำเลิศและสองแสงกล้าเองก็เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ พวกอวี๋เลี่ยงอี้ทั้งสามต่างก็เห็นพ้องตามมติในที่ประชุมของสมาพันธ์ทันทีโดยแทบไม่ต้องคิด แต่ในใจเฉินเฟิงกลับรู้สึกขัดแย้งอย่างมาก มติของสมาพันธ์สมควรที่จะใช้บงการความคิดของสมาชิกจริงๆ น่ะหรือ ? หากเปลี่ยนเป็นเขาที่ต้องเป็นคนเลือกอาชีพแรกล่ะ เขาจะยอมเสียสละเพื่อสมาพันธ์อย่างนี้หรือเปล่า ? ถึงแม้จะยังสามารถเลือกอาชีพที่ 2 ที่ 3 ที่ตัวเองชอบได้ก็เถอะ แต่หากคิดจะเพิ่มระดับของทักษะพิเศษของอาชีพล่ะก็ ต้องรอจนกว่าจะถึงระดับ 60 โน่นกว่าจะเพิ่มได้ ซึ่งนั่นมันก็อีกตั้งนานมาก
หลังจากระดับ 30 แล้ว ความเร็วในการเพิ่มระดับอืดแทบไม่ต่างอะไรเลยกับเต่าคลาน และการจะฝึกทักษะก็จำเป็นต้องใช้เวลา ถึงจะสามารถรับมือกับความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรที่มีระดับใกล้เคียงกันได้
เดิมทีแค่นี้พวกอวี๋เลี่ยงอี้ก็ต้องเสียสละมากพออยู่แล้ว บริษัทเลจจ์ดันโผล่เข้ามาร่วมแจมเอาจังหวะนี้เสียอีกด้วยการกำหนดวันเปิดตึกแนะนำอาชีพว่าจะเปิดในวันถัดจากวันสิ้นสุดของงานประลองครั้งใหญ่ แถมยังมีการเน้นว่าจะมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขในการได้อาชีพอย่างแน่นอนเสียด้วย
เหลือเวลาอันแสนสั้นอีกแค่ 10 กว่าวัน ตอนนี้ไม่มีใครกล้ารับประกันแล้วว่า ต่อไปอาชีพที่ 2 ที่ 3 จะยังสามารถได้มาอย่างราบรื่นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า
บรรดากลุ่มสมาคมต่างๆ พากันฉวยโอกาสนี้ประกาศว่าผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกของสมาคมจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการรับทราบความลับเกี่ยวกับวิธีในการได้อาชีพทั้งหมดที่ทางสมาคมมีอยู่ในทันที มหกรรมแย่งชิงคนได้เปิดฉากขึ้นอีกครั้งในทุกแห่งหน ทุกที่มีแต่ฝูงคนล้นหลามแย่งกันฝึกระดับทักษะ
เฉินเฟิงอดทอดถอนใจไม่ได้ ทำไมบริษัทเลจจ์ต้องยื่นมือเข้ามาก่อกวนเอาตอนนี้ด้วย นี่ถ้าให้เวลากันอีกสักหน่อยล่ะก็ ตอนนี้เขาคงไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจแบบนี้หรอก
หลังจากนั่งพักเหนื่อยกันได้พักหนึ่ง อวี๋เลี่ยงอี้ สมานฉันท์ และเจี๋ยเต๋อก็สะพายกระบอกศรขึ้นขี่ม้าอีกครั้ง สมานฉันท์เริ่มน้าวธนูยิงออกไปเป็นคนแรก เป้าหมายกลับเป็นปิศาจหินสีเหลืองแห่งที่ราบสูงดินเหลืองแถบเทือกเขาไทแทนเสียได้
ด้วยระดับของคนทั้งสามในตอนนี้ สัตว์อสูรระดับ 30 ที่ไม่กลัวการโจมตีด้วยวัตถุชนิดนี้ถือเป็นยาวิเศษสำหรับการเพิ่มระดับจริงๆ แต่พวกมันก็จัดการยากจนขึ้นชื่อเชียวนะ ! ทำไมเฉินเฟิงถึงพาทั้งสามมาเก็บเลเวล[2]ที่นี่กันเล่า ? หรือจะเป็นเพราะที่อื่นคนเยอะเกินไปจนไม่มีที่จะฝึก ?
หลังจากที่ยิงถูกปิศาจหินสีเหลืองที่เคลื่อนไหวเชื่องช้า ลูกศรก็ระเบิดเป็นลูกไฟสีแดงอย่างฉับพลัน ลูกศรดอกอื่นๆ ที่ติดตามมาอย่างกระชั้นชิดก็ระเบิดเป็นลูกไฟสีแดงทันทีที่กระทบถูกเป้าหมายเช่นกัน
ลูกศรเวทอัคคี ? ถูกต้อง เพราะค้นพบเจ้านี่นี่แหละที่ทำให้คนทั้งสี่พากันมุ่งหน้าตรงมาหาปิศาจหินที่ปกติมักได้เป็นแค่ตัวประกอบที่ไม่มีใครสนใจ ทว่าครั้งนี้ผู้ที่ค้นพบลูกศรเวทอัคคีไม่ใช่เฉินเฟิงแต่อย่างใด หากแต่เป็นหัวหน้าตึกวายุปัญญา (ตึกเฟิงหลิง) อวี๋เลี่ยงอี้ต่างหาก
ปรากฏว่าหลังจากที่อวี๋เลี่ยงอี้เข้ารับตำแหน่งแล้ว ก็ใช้เวลา 3 วันในการสรุปรวมข้อมูลที่เฉินเฟิงและขบวนนักเวทและสัตว์ค้นพบทั้งหมด และก็ค้นพบอะไรๆ ไม่ใช่น้อย
ในจำนวนนี้ ที่วิหารเมืองชิงจ้างมีขายลูกศรพิลึกๆ ชนิดหนึ่งซึ่งอวี๋เลี่ยงอี้คิดว่าน่าจะมีประโยชน์อะไรสักอย่าง ส่วนหัวของลูกศรชนิดนี้จะใหญ่กว่าลูกศรธรรมดาทั่วไปเท่าตัว ราคาขายคือ 100 ดอก 10 เหรียญเงิน ลูกศรนี้ถูกพวกผู้เล่นเรียกล้อๆ ว่า “ลูกศรหัวโต”
ในบันทึกของขบวนนักเวทและสัตว์มีหมายเหตุบอกไว้ว่า หลังจากที่ผู้เล่นจำนวนมากได้ลองใช้ลูกศรชนิดนี้ดู ก็พบว่าพลังโจมตีของมันก็แค่เท่ากับลูกศรไม้ธรรมดาเท่านั้น ซึ่งต่ำยิ่งกว่าพลังโจมตีของลูกศรเงินที่ราคา 100 ดอก 2 เหรียญเงินเสียอีก มันจึงกลายเป็นไอเท็มที่ทุกคนลงมติว่าเป็นแค่ไอเท็มของเล่นโดยแท้
แม้เฉินเฟิงจะไม่เข้าใจว่าทำไมอวี๋เลี่ยงอี้ถึงได้สนใจของพรรค์นี้นักหนา แต่เมื่อถูกรบเร้าขอมากเข้า เขาก็จำต้องไปซื้อมาให้อีกฝ่ายวิจัยซะ 500 ดอก หลังจากนั้นเฉินเฟิงก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย จนมาถึงเช้าวันนี้ที่หัวหน้าตึกคนใหม่ทั้งสามสามารถเจียดเวลามาฝึกวิชาจนได้ เฉินเฟิงได้พาคนทั้งสามไปมาหลายที่ แต่ก็ไม่เจอที่ไหนเหมาะสมเลยสักที่เหมือนกับเมื่อวันก่อนที่เขาพาพวกเยี่ยหลานไปฝึกวิชาเปี๊ยบ
นอกจากปัญหาเรื่องที่ระดับของสมานฉันท์ (เหอชี่) ยังอยู่แค่ระดับ 15 แล้ว การที่เกมราชาฯประกาศจะเปลี่ยนแพทช์ ยังทำให้ทุกหนแห่งมีแต่ฝูงชนตาลีตาเหลือกรีบฝึกวิชาเลื่อนระดับ ซึ่งยิ่งทำให้เฉินเฟิงที่ระยะนี้กำลังกลุ้มอกกลุ้มใจยิ่งร้อนรนหนักขึ้นไปอีก
หลังจากที่ต้องถ่อสังขารไปโน่นมานี่หลายที่เข้า พวกอวี๋เลี่ยงอี้ทั้งสามคนก็ตัดสินใจว่าขอพึ่งตัวเองดีกว่า หลังจากพลิกดูคู่มือสัตว์อสูรผ่านๆ อย่างรวดเร็วแล้ว ก็จัดแจงล็อกเป้าหมายเป็นที่ราบสูงดินเหลืองของเทือกเขาไทแทน ซึ่งนอกจากคิดจะขอแบ่งฝูงแพะเขาแฉกมาบ้างแล้ว ยังเล็งมาที่ปิศาจหินซึ่งไม่ค่อยจะมีใครเหลือบแลมาแต่ไหนแต่ไรเป็นสำคัญอีกด้วย
จากประสบการณ์ที่เคยสู้กับปิศาจหินมาก่อน ทำให้เฉินเฟิงซื้อม้า 2 ตัวให้สมานฉันท์กับอวี๋เลี่ยงอี้ และพกลูกศรเพิ่มมาอีกหลายหมื่นดอก
เจี๋ยเต๋อที่หลายวันมานี้มัวแต่วุ่นอยู่กับการฝึกสมาชิกมือใหม่และกำลังกลุ้มใจเรื่องไม่มีที่จะฝึกวิชาอยู่พอดีเห็นเข้าปุ๊บ ก็รีบเอาอย่างปั๊บโดยเสนอให้ซื้อม้าและอาวุธเครื่องป้องกันบางอย่างในนามของสมาพันธ์ เพื่อที่พวกสมาชิกมือใหม่ที่อยู่บนเกาะเริ่มต้นจะได้ใช้รับมือกับปิศาจหินที่เนินเขาวายุจันทราได้
ในตอนแรก เนื่องจากทั้งสามต่างก็ใช้ธนูยาวระดับ 4 บวกกับความเร็วของม้าในกลยุทธ์สู้พลางหนีพลาง เฉลี่ยแล้วจึงต้องใช้ลูกศรไปประมาณ 300 ดอกกว่าจะสามารถล้มปิศาจหินแต่ละตัวลงได้ และต้องคอยระวังอย่าเผลอไปล่อพวกมันเข้ามาทีเดียวพร้อมกันหลายตัวด้วย ถึงปิศาจหินจะให้ของน้อย แต่ก็นับเป็นวิธีสู้ที่ปลอดภัยมาก ความเร็วในการเลื่อนระดับก็ยังพอรับได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลานานหน่อยเท่านั้น
ในระหว่างที่กำลังพักกันครั้งหนึ่ง อวี๋เลี่ยงอี้หอบลูกศรหัวโตมาหาเฉินเฟิง จากนั้นโยนมีดที่เหมือนจะเอาไว้ใช้แกะสลักเล่มหนึ่งให้เขา โดยบอกให้ลองดูว่าพอจะสลักเวทมนตร์ลงไปได้หรือเปล่า นี่เป็นไอเดียที่อวี๋เลี่ยงอี้คิดขึ้นได้โดยบังเอิญตอนที่อ่านบันทึกของเฉินเฟิงเรื่องวิธีการเขียนยันต์ในช่วงที่ไปเรียนเวทมนตร์ มีดแกะสลักเล่มนี้ก็ยืมมาจากสามนักดาบแห่งขบวนนักเวทและสัตว์นั่นล่ะ มันเป็นของรางวัลที่ได้จากการคลี่คลายภารกิจของทักษะสร้าง เนื่องจากพลังโจมตีของมีดเล่มนี้มีแค่ 5 จุดเท่านั้น ผู้เล่นทั่วไปจึงมักโยนมันเข้ากรุทันทีที่ได้มา
เฉินเฟิงเองก็กระตือรือร้นกับไอเดียนี้อยู่เหมือนกัน เพียงแต่หลังจากที่ลองแกะสลักอยู่พักใหญ่ แล้วแกะอะไรออกมาไม่ได้สักอย่าง เขาถึงพบว่ามีดแกะสลักเล่มเล็กๆ แค่นี้ดันเป็นไอเท็มส่วนตัวที่ไม่สามารถให้คนอื่นยืมใช้ได้เสียนี่ เมื่อเป็นแบบนี้เขาค่อยหาเวลาว่างไปคลี่คลายภารกิจทีหลังก็แล้วกัน
แล้วเฉินเฟิงก็ใช้อุปกรณ์เขียนพู่กันสร้างลูกศรเวทอัคคีขึ้นมาจนได้ เพียงแต่อานุภาพจะด้อยกว่าคาถาศรเพลิงอยู่หน่อย ทว่าก็ใช้จัดการปิศาจหินที่มีพลังป้องกันการโจมตีด้วยเวทมนตร์ต่ำได้อย่างเหลือเฟือแล้ว
เฉินเฟิงเงยหน้าขึ้น สายตาหวนกลับไปยังสนามรบเมื่อครู่ ปรากฏว่าจริงดังคาด นั่นคือใช้ลูกศรแค่ไม่ถึง 50 ดอก พวกอวี๋เลี่ยงอี้ทั้งสามก็สามารถล้มปิศาจหินที่จัดการยากได้แล้ว และกำลังมุ่งหน้าไปหาปิศาจหินตัวถัดไป
ทันใดนั้นเฉินเฟิงก็หนาวเยือกไปทั้งตัว ขอแค่รู้รูปแบบระบบของเกม กระทั่งอวี๋เลี่ยงอี้ที่ไม่ค่อยได้เล่นเกมประเภทนี้สักเท่าไรก็ยังสามารถค้นพบสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ได้อย่างง่ายดาย มิน่าเล่าตอนที่เขาโผล่ขึ้นมา บรรดาหัวหน้าสมาคมพวกนั้นถึงได้สะบัดร้อนสะบัดหนาวไปตามๆ กัน
หากข้อได้เปรียบที่ค้นพบอย่างยากเย็นนี้ถูกแพร่ออกไป อีกไม่นานปิศาจหินที่มีพลังป้องกันการโจมตีด้วยวัตถุสูง แต่พลังต้านทานเวทมนตร์ต่ำพวกนี้จะถูกฝูงคนรุมแย่งกันจัดการจนไม่มีเหลือมาให้พวกเขาไปเลยหรือเปล่า ?
“ไม่ลองเป็นดู ไม่มีวันรู้ซึ้ง” ตัวเขาในอดีตซื่อเกินไปหรือเปล่า ? ก่อนนี้เขาไม่เห็นด้วยกับการที่พวกหัวหน้าสมาคมพากันกำความลับในการได้อาชีพเอาไว้ แต่นั่นก็เป็นความพยายามเพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของตัวเองและสมาคมไม่ใช่หรือไง ?
เฉินเฟิงชักนึกเสียใจที่ดันก่อตั้งสมาพันธ์เฟิงขึ้นมาเสียแล้ว เมื่อก่อนเขาสามารถแบ่งปันสิ่งที่ได้รู้กับคนอื่นและบุกบั่นสำรวจโลกแปลกใหม่ใบนี้ได้โดยไม่ต้องพะวักพะวนกับอะไรทั้งสิ้น แต่ตอนนี้นอกจากตัวเองแล้ว เขายังต้องคิดถึงสมาชิกสมาพันธ์เฟิงอีก 100 คนนั้นด้วย
ตอนที่ขบวนนักเวทและสัตว์มอบวิธีฝึกทักษะและสิ่งที่ได้รู้มาทั้งหมดให้นั้น เขาคิดจะประกาศมันแก่สมาชิกทุกคนทันที แต่กลับถูกสมาชิกระดับผู้นำทุกคนคัดค้านอย่างแข็งขัน กระทั่งเหล่าสมาชิกขบวนนักเวทและสัตว์ที่เป็นผู้มอบมันให้เองก็ยังพลอยคัดค้านไปด้วย
เหตุผลที่คัดค้านคือกลัวว่าจะมีไส้ศึกอยู่ในสมาพันธ์ และที่คัดค้านนี้ก็เพื่อเหล่าผู้ที่เป็นสมาชิกของสมาพันธ์เฟิงแท้ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะ หลังจากนั้นประกาศแสดงความยินดีที่หลายๆ สมาคมใหญ่พากันส่งมาให้ ยิ่งทำให้เหล่าสมาชิกระดับสูงของสมาพันธ์เฟิงยืนกรานความคิดนี้หนักแน่นกว่าเดิม เพราะสมาพันธ์เฟิงได้กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนไปแล้ว การที่จะมีไส้ศึกแอบแฝงอยู่จึงมีความเป็นไปได้อย่างมาก
แล้วผู้ที่ช่วยยุติการถกเถียงกันอย่างดุเดือดนี้ก็คืออวี๋เลี่ยงอี้เช่นเคย ด้วยการรับปากว่าจะให้คำตอบที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็พอใจ สุดท้ายสมาชิกสมาพันธ์เฟิงต่างก็ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับทักษะอาชีพมากกว่าที่สมาชิกของทุกกลุ่มสมาคมได้รับ แน่นอนว่าข้อมูลที่เปิดเผยให้สมาชิกได้รับรู้เหล่านี้ต่างก็ผ่านการคัดสรรตัดทอนจากเหล่าผู้คัดค้านมาก่อนแล้วทั้งสิ้น
การก่อตั้งของสมาพันธ์เฟิงเป็นไปอย่างราบรื่นมากจนเหมือนกับฝันไป แต่เฉินเฟิงกลับรู้สึกอึดอัดใจมากขึ้นทุกวัน ถึงแม้สมาชิกทุกคนจะพากันปลอบให้เขาทำใจให้สบายก็ตามที
ถึงยังไงทุกคนต่างก็กำลังรอคอยให้สมาพันธ์เฟิงเคลื่อนไหวกันทั้งนั้น ทำให้จนแล้วจนรอดเฉินเฟิงก็ไม่สามารถทำใจให้สบายได้ รอยยิ้มได้จางหายไปจากใบหน้าของเขานานแล้ว นิสัยก็เปลี่ยนเป็นฉุนเฉียวง่ายกว่าเดิมเหมือนกับกลายเป็นคนละคน
แต่ทว่าไม่มีใครทราบการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของเขาเลยสักคน ทุกคนต่างคิดเพียงทำอย่างไรสมาพันธ์เฟิงถึงจะเข้าที่เข้าทางเท่านั้น
เฉินเฟิงพบว่ากฎของสมาพันธ์ที่ถูกประกาศออกมาข้อแล้วข้อเล่าทำให้สมาพันธ์เฟิงห่างไกลจากสมาพันธ์ในอุดมคติของเขามากขึ้นทุกทีๆ สมาชิกทุกคนต่างก็พอใจกับสภาพในปัจจุบันอย่างมาก มีแต่เฉินเฟิงคนเดียวที่แอบโกรธเคืองอยู่เงียบๆ แต่เขาได้ให้คำสัตย์ไปแล้วว่าจะให้สมาชิกสมาพันธ์ทุกคนเป็นผู้ตัดสินใจทุกเรื่องภายในสมาพันธ์ สุดท้ายเขาจึงทำได้แค่จำต้องยอมรับกับทุกมาตรการของสมาพันธ์เท่านั้น
อันที่จริงมาตรการทุกข้อก็มีประโยชน์กับสมาชิกสมาพันธ์ทุกคนจริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เฉินเฟิงวาดหวังเอาไว้เลยสักนิด
สมาพันธ์เฟิงชักจะเหมือนสมาพันธ์ใหญ่และใกล้เคียงสมาคมอาชีพทั้งหลายมากขึ้นทุกทีๆ เหล่าสมาชิกสมาพันธ์เริ่มค่อยๆ แยกตัวออกห่างจากเพื่อนพ้องเดิมของตนมารวมกลุ่มแต่กับสมาชิกสมาพันธ์ด้วยกันเอง
“นายอยู่สมาพันธ์นี้ ฉันอยู่สมาพันธ์นั้น ดังนั้นฉันจะให้ข้อมูลของสมาพันธ์ฉันกับนายไม่ได้” คำพูดแบบนี้เริ่มจะโผล่ให้ได้ยินไปทั่ว ตัวเขาเองก็เดินซ้ำรอยคนอื่น กลายเป็นมือมืดที่ผลักดันให้เพื่อนฝูงต้องแตกแยกเหมือนกันไม่ใช่หรือไง ?
ตัวเขาที่ประกาศอย่างน่าเลื่อมใสว่า “จะล้มล้างความเห็นแก่ตัวของเหล่าสมาคม” กลับสร้างสมาพันธ์ที่เห็นแก่ตัวอย่างสมาพันธ์เฟิงขึ้นมาอีกแห่ง ตอนนี้เขามึนไปหมดแล้ว มันเริ่มผิดพลาดจากตรงไหนกันแน่ ? หรือกลุ่มสมาคมก็คือมือสังหารมิตรภาพขนานแท้ ไม่ว่าใครจะเป็นคนก่อตั้ง สุดท้ายผลลัพธ์มันก็เหมือนกันทั้งนั้น ?
ถึงตอนนี้พวกอวี๋เลี่ยงอี้ทั้งสามจะเผลอพลาดท่าถูกปิศาจหิน 10 กว่าตัวรุมเล่นงานจนจะตายมิตายแหล่ไปตามๆ กัน แต่เฉินเฟิงก็ยังเอาแต่นั่งตาลอยมองออกไปไกลโพ้นอยู่เหมือนเดิมโดยไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเสียงแหกปากร้องให้ช่วยของเพื่อนๆ ทั้งสามแม้แต่น้อย
อวี๋เลี่ยงอี้ไม่ทราบเรื่องที่เฉินเฟิงกำลังกลุ้มใจก็จริง แต่ตอนนี้เขากำลังนึกอยากจะอัดเฉินเฟิงเป็นอย่างมาก หลายวันมานี้เฉินเฟิงเหมือนกินยาผิดยังไงยังงั้น เผลอแป๊บเดียวเดี๋ยวก็นั่งใจลอยอีกแล้ว
เมื่อวานซืนเยี่ยหลานซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกไม่กี่คนที่สังกัดตึกวายุปัญญาแล่นมาฟ้องเขาว่าเฉินเฟิงเอาแต่ใจลอยจนทำเอาพวกเธอสามคนเกือบได้ไปเกิดใหม่ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง
หลังจากที่เฉินเฟิงแนะนำเยี่ยหลานให้เขารู้จัก เขาก็ถูกชะตาเยี่ยหลานมากจนคิดจะรับเธอมาเป็นน้องสาวบุญธรรม ตอนที่เยี่ยหลานมาฟ้อง ตัวเขาที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรยังอุตส่าห์ช่วยพูดแก้ตัวให้เฉินเฟิงไปตั้งเยอะแยะ คิดไม่ถึงเลยว่ากรรมจะตามสนองเร็วแบบนี้
แต่ถึงจะนึกอยากอัดเฉินเฟิงมากแค่ไหน อวี๋เลี่ยงอี้ก็ไม่กล้าลงมืออยู่ดี เพราะสัตว์เลี้ยงทั้ง 4 ตัวของเฉินเฟิงอยู่ข้างๆ นายมันกันครบครัน ขืนเขาแอบเล่นงานแบบที่เยี่ยหลานทำล่ะก็ มีหวังได้โดนสัตว์เลี้ยงของเฉินเฟิงรุมฆ่าในพริบตาแทนโดนปิศาจหินที่กำลังไล่ตามมาพวกนี้ทุบตายแหงๆ
ขณะที่อวี๋เลี่ยงอี้กับเจี๋ยเต๋อกำลังจะยอมแพ้นั่นเอง เงาหลายเงาก็วาบผ่านมาตรงหน้า แล้วด้านหน้าก็มีเสียงเหมือนถูกปาระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวตามติดมาอย่างกระชั้นชิด
ปรากฏว่าเป็นฝีมือของพวกสัตว์เลี้ยงที่เมื่อกี้เขากำลังนึกแค้นอยู่หยกๆ นั่นเอง ทุกการโจมตีของค้อนดาวตกของอเล็กซ์กับกระบองห่วงทองฯของอู้คงต่างดีดก้อนหินกระเด็นไปหลายก้อน หลายฝูก็ไม่ได้อยู่ว่าง ก้อนหินเหินฟ้าที่ทำเอาคนทั้งสามหัวปูดไปตามๆ กันถูกคาถาคมวายุโจมตีตกพื้นจนหมดเกลี้ยง
เฉินเฟิงหายใจลอยแล้วหรือ ? พอตั้งสมาธิมองไป ก็พบว่าสองตาเฉินเฟิงยังคงลอยคว้างเหม่อมองไปยังฟากฟ้าไกลอยู่เหมือนเดิม ดูท่าสัตว์เลี้ยงจะดำเนินการช่วยเหลือเองโดยอัตโนมัติเสียมากกว่า
อวี๋เลี่ยงอี้โมโหสุดขีดจนขี่ม้าเข้าไปใกล้ แล้วไม่พูดพล่ามทำเพลง น้าวศรยิงใส่เฉินเฟิงไปหลายดอกทันที
“โอ๊ย ! นายบ้าไปแล้วเรอะ ! เรื่องอะไรอยู่ๆ มายิงใส่ฉันวะ ?” หลังจากโดนธนูดอกแรก เฉินเฟิงก็ถอยกรูดๆ ติดๆ กันหลายเมตร พอทำท่าจะตอบโต้กลับ ถึงค่อยพบว่าคนที่โจมตีตัวเองดันเป็นอวี๋เลี่ยงอี้เสียนี่
เฉินเฟิงน่ะยั้งมือทันอยู่หรอก แต่ซวงเว่ยนี่สิพอเห็นเจ้านายถูกโจมตีปุ๊บ มันก็โจมตีกลับทันทีโดยอัตโนมัติ ลูกศรสีแดงเพลิงพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วจนอวี๋เลี่ยงอี้ต้องชะงักคำโวยวายที่จะระดมใส่เฉินเฟิง แล้วหลบไปทางซ้ายหลายเมตรจนพ้นจากคาถาศรเพลิงไปได้ แต่ยังไม่ทันได้ออกปากพูด หลายฝูที่ด้านหลังก็ทิ้งปิศาจหินที่กำลังสู้ด้วย แล้วใช้ท่าบุกทะลวงพุ่งเข้าโจมตีขาของอวี๋เลี่ยงอี้ทันที อีกด้านหนึ่ง อู้คงกับอเล็กซ์ก็พลอยทิ้งการต่อสู้ คว้าอาวุธตรงเข้าขนาบซ้ายขวาสกัดทางหนีของอวี๋เลี่ยงอี้ทันควัน
เนื่องจากกองหนุนตีจากไปกะทันหัน เจี๋ยเต๋อที่เพิ่งจะได้พักหอบหายใจแค่ไม่กี่เฮือกจึงมีอันถูกปิศาจหิน 4 ตัวที่เหลือรุมทักทายใส่ทันควัน เขายังไม่ทันจับต้นชนปลายถูกว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกก้อนหินอย่างเบิ้มหลายก้อนซัดใส่จนปูดไปทั้งหัว ค่าประสบการณ์สะสมที่พยายามแทบตายกว่าจะได้เกือบเต็มทำให้เขาตัดสินใจรักษาชีวิตเอาไว้ก่อนเป็นอันดับแรก โดยใช้ม้วนคาถากลับบ้านกลายเป็นลำแสงสีขาววาบหายไปจากสนามรบในพริบตา
และแล้วสมานฉันท์ (เหอชี่) ที่ได้แต่หลบอยู่ข้างหลังให้อวี๋เลี่ยงอี้กับเจี๋ยเต๋อคุ้มครองเนื่องจากระดับของตัวเองต่ำเกินไปก็กลายมาเป็นเป้าหมายแรกของปิศาจหินไปโดยปริยาย ซึ่งแน่ละว่าแค่ไม่กี่วินาทีถัดมา สมานฉันท์ก็รีบใช้ม้วนคาถากลับบ้านเปลี่ยนเป็นลำแสงสีขาวตามหลังเจี๋ยเต๋อไป...
ถึงตอนนี้เฉินเฟิงค่อยรับรู้ความจริงว่าเมื่อครู่ทั้งสามตกอยู่ในสภาพร่อแร่แค่ไหน จึงรีบสั่งให้พวกสัตว์เลี้ยงหยุดโจมตีอวี๋เลี่ยงอี้ทันที น่าเสียดายที่ท่าบุกทะลวงของหลายฝูใช้แล้วรั้งกลับไม่ได้ อวี๋เลี่ยงอี้จึงได้แต่ฝืนรับตรงๆ แล้วร่างก็ลอยละลิ่ววาดเป็นเส้นโค้งอย่างงดงาม ก่อนจะตกตุ้บลงมาหัวทิ่มบ่ออยู่ตรงหน้าเฉินเฟิง
หลังจากสั่งให้บรรดาสัตว์เลี้ยงจัดการเก็บกวาดปิศาจหินทั้ง 4 ตัวที่ไล่ตามมาแล้ว เฉินเฟิงก็เข้าไปพยุงอวี๋เลี่ยงอี้ แล้วพูดอย่างกระอักกระอ่วน
“จื้อสฺยง เมื่อกี้ทำไมไม่ร้องให้ช่วยล่ะ ?”
อวี๋เลี่ยงอี้ถ่มเลือดปนทรายออกจากปาก แล้วว้ากอย่างโมโหสุดขีด
“แหกปากร้องจนคอหอยจะแตกอยู่แล้วโว้ย ! พูดมาได้ว่าไม่ขอให้ช่วย ! นายเป็นอะไรกันแน่หา ? เอาแต่ใจลอยอยู่ได้ มีอะไรก็พูดออกมาเซ่ ! อย่าเอาแต่นั่งคิดไม่ตกอยู่คนเดียวสิวะ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันจะไม่ยุ่งกับนายแล้วนะโว้ย !”
เฉินเฟิงถอนหายใจ “ก็เรื่องของสมาพันธ์เฟิงนั่นแหละ ตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกเสียใจเป็นบ้าที่ดันก่อตั้งสมาพันธ์เฟิงขึ้นมา มัน...ไม่ใช่สมาพันธ์แบบที่ฉันอยากให้เป็นในตอนแรกเลย !”
อวี๋เลี่ยงอี้ใช้ยาฟื้นพลังไปหลายขวดติดๆ กันอย่างดุเดือด ถึงยังไงเฉินเฟิงก็เป็นคนจ่ายอยู่แล้ว ในเมื่ออัดเฉินเฟิงไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องเอาให้เฉินเฟิงกระเป๋าฉีกสักนิดก็ยังดี ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่หายแค้นแน่
อวี๋เลี่ยงอี้นอนแผ่หราลงกับพื้น แล้วพูดเนือยๆ
“นายไม่พอใจตรงไหนกันน่ะหา ? ฉันดูว่าสมาพันธ์เฟิงก็เข้าที่เข้าทางดีแล้วนะ ตอนนี้จะขาดก็แค่ระดับของทุกคนยังต่ำไปหน่อยเท่านั้น หรือมีกลุ่มสมาคมไหนกล้ามาดูถูกกันเรอะ ? อย่าทำเป็นไม่รู้จักพอไปหน่อยเลยน่าคุณพี่...”
เฉินเฟิงนั่งลงข้างๆ อวี๋เลี่ยงอี้ แล้วถอนหายใจอีกเฮือก
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้จักพอ ความจริงฉันคิดว่าสมาชิกทุกคนเสียสละกันมากเกินไปด้วยซ้ำ สมาพันธ์ที่ฉันคิดจะตั้งขึ้นในตอนแรกน่ะ เป็นแค่สมาพันธ์ที่ทุกคนสามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข่าวสารและร่วมเติบโตไปด้วยกันได้เท่านั้น ฉันไม่ได้คิดจะบังคับควบคุมอะไร ฉันไม่อยากให้มีใครต้องเสียเพื่อนไปเพราะมาเข้าสมาพันธ์เฟิง แต่พิษร้ายจากธรรมเนียมของพวกสมาคมรุ่นก่อนมันซึมลึกเกินไปเสียแล้ว และสมาพันธ์เฟิงก็กำลังเดินซ้ำรอยเดิมของพวกสมาคมรุ่นก่อนๆ ด้วย...ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากจะเห็นเลย”
“การเป็นกลุ่มสมาคมน่ะนะ มันจำเป็นต้องมีความลับและผลประโยชน์บางอย่างอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นใครมันจะไปเข้าร่วมกันเล่า ?” อวี๋เลี่ยงอี้ว่า “ฉันรู้ดีว่าธรรมเนียมของพวกสมาคมรุ่นก่อนๆ ทำให้พวกผู้เล่นจำนวนมากพากันไม่พอใจ แต่นี่เป็นเรื่องที่ทั้งฝ่ายเอาเปรียบและฝ่ายเสียเปรียบต่างก็ยินยอมพร้อมใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย อย่าว่าแต่ฉันไม่คิดว่าสมาพันธ์เฟิงจะเป็นเหมือนกับสมาคมพวกนั้นหรอกนะ
“ความจริงเงื่อนไขและข้อจำกัดที่สมาพันธ์เฟิงมีให้ในตอนนี้น่ะ เหนือกว่ากลุ่มและสมาคมทุกแห่งไปแล้ว ซึ่งก็บีบให้กลุ่มและสมาคมแต่ละแห่งจำเป็นต้องพลอยขยายเงื่อนไขให้มากกว่าเดิมไปด้วย ผลลัพธ์แบบนี้ถือว่าดีมากแล้ว หากทำมากเกินไปกว่านี้ พวกเราจะกลายเป็นศัตรูของพวกกลุ่มสมาคมเก่าๆ ทั้งหมดเอาน่ะนา…
“มีเรื่องราวตั้งมากมายที่ไม่ได้สำเร็จดั่งใจหวังกันง่ายๆ อย่าว่าแต่โลกในนี้ก็เหมือนกับโลกภายนอกนั่นแหละ คือมีแต่ผู้ที่มีฐานอำนาจแข็งพอเท่านั้นที่มีสิทธิ์เป็นผู้กำหนด นายลองคิดดูสิ ถ้าไม่เพราะสมาพันธ์เฟิงมีฐานอำนาจแข็งพอ กลุ่มสมาคมพวกนั้นจะยอมก้าวตามพวกเราหรือ ?” ท้ายประโยค อวี๋เลี่ยงอี้ย้อนถาม
“ฉันเองก็รู้ดีอยู่หรอกว่าจะใจร้อนไม่ได้ บางทีฉันอาจจะอุดมคติเกินไปล่ะมั้ง บางที...ตัวฉันเองอาจไม่เคยรู้เลยก็ได้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองต้องการอะไรกันแน่ ? เรื่องที่ฉันแคร์มันมีมากเกินไป...บางทีฉันอาจไม่เหมาะที่จะเป็นนักเล่นเกมอาชีพก็ได้ !”
“ถูกต้อง ! นายไม่เหมาะที่จะเป็นนักเล่นเกมอาชีพจริงๆ นั่นแหละ” อวี๋เลี่ยงอี้พูดอย่างมั่นใจ “เกมออนไลน์น่ะมันก็เหมือนๆ กันทั้งนั้น คืออายุไม่ยืน ผู้เล่นจะเติบโตขึ้น แล้วบริษัทเกมก็จะคิดอะไรใหม่ๆ ไม่ออก สักวันเซิร์ฟเวอร์ก็จะรับผู้เล่นจำนวนมากเกินไปไม่ไหว ตลาดก็จะมีเกมใหม่ๆ ที่ดีกว่าออกมา...ถ้านายคิดจะหากินกับของพรรค์นี้ล่ะก็ นายจำเป็นต้องมีแผนการและต้องเตรียมใจเอาไว้ด้วย
“ถ้านายอยากจะเป็นนักเล่นเกมอาชีพล่ะก็ รูปแบบในตอนนี้ของสมาพันธ์เฟิงจะทำให้นายไม่ต้องกังวลไปอีกนานเลยล่ะ แต่ถ้านายคิดจะเปลี่ยนแปลงโลกแบบนี้ล่ะก็ พอระดับความสามารถของพวกผู้เล่นต่างก็เพิ่มขึ้นเป็นระดับสูงกันหมดแล้ว นายคิดว่านายยังจะอาศัยอะไรหากินได้อีกไม่ทราบ ?”
เฉินเฟิงนิ่งอึ้ง จุดประสงค์ในการเข้ามาเล่นเกมของผู้เล่นแต่ละคนต่างก็ไม่เหมือนกัน จุดประสงค์ในตอนแรกของเขาคือต้องการฆ่าเวลา ต่อมาเป็นเพราะไปได้สวยเกิดคาด ถึงได้เกิดความคิดอยากจะเป็นนักเล่นเกมอาชีพขึ้นมา แต่หากจะให้เขาหาผลประโยชน์จากการเสียสละของคนอื่น ไม่ว่ายังไงเขาก็ทำไม่ลงอยู่ดี
หากดูจากมาตรฐานด้านการประเมินคุณค่าของเฉินเฟิง ถึงแม้ของทุกอย่างในเกมราชาฯจะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินจริงผ่านทางระบบได้ก็ตาม แต่ของที่เงินสามารถซื้อได้ไม่ใช่สิ่งที่เขาแคร์แต่อย่างใด กล่าวได้ว่าสิ่งเดียวในเกมราชาฯที่เขาแคร์ คือความรู้สึกอันจริงแท้ของเหล่าเพื่อนพ้องทั้งหลาย ถึงแม้ว่าความรู้สึกนี้จะก่อเกิดขึ้นในโลกแห่งเกมที่เป็นเพียงโลกสมมุติก็ตาม
หลังจากที่ต่างนิ่งเงียบกันไปครู่ใหญ่ อวี๋เลี่ยงอี้ก็ลุกขึ้นยืน สัตว์เลี้ยงทั้งสามตัวของเฉินเฟิงจัดการเก็บกวาดปิศาจหินเสร็จเรียบร้อยและเดินต้อยๆ กลับมาอยู่ข้างๆ เจ้านายนานแล้ว
เมื่อเห็นอาการคอตกของเฉินเฟิง อวี๋เลี่ยงอี้ทำท่าจะพูดแล้วชะงัก สุดท้ายส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ
“สมานฉันท์กับเจี๋ยเต๋อคงโกรธเป็นบ้าแน่ๆ อย่าลืมไปขอโทษสองคนนั้นซะด้วยล่ะ ! กำลังของคนหนึ่งคนน่ะมีจำกัด ทำแค่เท่าที่ทำได้ก็พอ...อย่าคิดมากไปเลยน่า ที่นายแคร์มากที่สุดน่ะ ไม่ใช่เรื่องนี้หรือไง ?”
เฉินเฟิงค่อยได้สติ และรีบทยอยส่งข้อความไปหาเจี๋ยเต๋อกับสมานฉันท์
อวี๋เลี่ยงอี้ดึงเฉินเฟิงให้ลุกขึ้น หลังจากเก็บอาวุธและเครื่องป้องกันของตัวเองเรียบร้อยแล้วก็พูดว่า
“พวกเราเองก็กลับกันเถอะ ! วันหยุดหนนี้ฉันอุตส่าห์เทให้เกมราชาฯจนหมดเพื่อนายเชียวนะ บางทีนายคงต้องพักผ่อนให้เต็มที่เสียบ้าง แล้วไปสำรวจความคิดของนายเองเสียใหม่ว่านายมาเล่นเกมราชาฯเพื่ออะไรกันแน่ ไม่ว่ายังไงขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ไหวแน่ๆ พรุ่งนี้ถ้ามีเวลาฉันจะออนไลน์อีกที ตอนนี้ได้เวลาที่ฉันต้องออฟไลน์แล้ว เพราะเดี๋ยวฉันยังต้องไปรายงานตัวที่บริษัทอีก”
[1] แพทช์ (patch) ปกติเกมออนไลน์นั้น เวลาเปิดให้เริ่มเข้าไปเล่นและใช้งาน มักจะไม่เปิดทั้งหมดในรวดเดียว แต่จะทยอยเปิดทีละส่วนๆ เป็นระยะๆ เหมือนอย่างเกมราชาแห่งราชันที่ยังไม่ได้เปิดให้เข้าไปเล่นในทวีปเขตสงคราม และเพิ่งจะมีการเปิดให้มีศูนย์สมาพันธ์รวมถึงยักษ์สามตาเกล็ดมังกรหลังจากเกมเปิดตัวให้เล่นมาเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งแต่ละส่วนดังกล่าวนี้ ภาษาเกมจะเรียกว่า แพทช์ (patch)
[2] เก็บเลเวล (เก็บ level) คือ “ฝึกวิชา” ซึ่งก็คือการฆ่าสัตว์อสูรเพื่อสะสมค่าประสบการณ์ที่ต้องนำมาใช้ในการเลื่อนระดับ