หัวข้อ : เล่มที่ ๔ รวมพลก่อตั้งสมาพันธ์ ตอนที่ ๑ จอมเวทฝึกหัด

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:36

ตอนที่ ๑

 

จอมเวทฝึกหัด

 

 

เมืองมอร์ (More City) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปกู่ย่า มีป้อมสูงยอดแหลมสี่ป้อมตรึงรูปร่างของเมืองให้เป็นรูปสี่เหลี่ยม เมืองมอร์ตั้งตระหง่านอย่างเดียวดายอยู่ ณ ใจกลางของที่ราบมังกรอุดรสันติ กำแพงเมืองสีแดงที่ล้อมรอบไว้สองชั้นยาวถึง ๑๐ กิโลเมตร กินพื้นที่ทั้งสิ้น ๖๒๕ ไร่

ความจริงที่นี่ต่างหากที่เป็นฐานหลักที่แท้จริงของพวกอัศวิน แต่เนื่องจากผลประโยชน์ที่เมืองมังกรเมฆสูงกว่าที่นี่มาก ดังนั้นพวกผู้เล่นที่ได้อาชีพอัศวินจึงพากันไปรวมตัวอยู่ที่เมืองมังกรเมฆเป็นส่วนใหญ่ จนทำให้ในเมืองมอร์มีผู้เล่นแต่งชุดอัศวินอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น และด้วยเหตุนี้พวกเฉินเฟิงที่ถูกสมาคมอัศวินหมายหัวจึงสามารถเดินฉุยฉายไปมาในเมืองนี้ได้อย่างสบายอกสบายใจ

ทุกคนต่างก็เหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียแทบหมดแรง จึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน แต่เนื่องจากเฉินเฟิงขี่ซวงเว่ยมาตลอดทาง สมองจึงยังปลอดโปร่งดีอยู่ หลังจากบอกลากับทุกคนแล้ว พวกขบวนนักเวทและสัตว์ก็พากันมาหาเขาทันที เนื่องจากตอนอยู่ที่เมืองห่ายเทียน เฉินเฟิงได้บอกเอาไว้ว่ายินดีรับซื้อก้อนโลหะ และบอกทุกคนไปตามตรงถึงอัตราเปลี่ยนแปลงของราคาที่มีสูงมาก หลังจากทั้ง ๗ ปรึกษากันมาเป็นเวลาหนึ่งวัน ก็มาขอให้เขาช่วย

ขบวนนักเวทและสัตว์นี่มีวาสนาผูกพันกับเฉินเฟิงจริงๆ ในเวลาแค่สั้นๆ ก็ได้พบกันถึง ๓ ครั้งรวมทั้งครั้งนี้ เพราะได้พวกเขาช่วยเหลือ เฉินเฟิงถึงได้อเล็กซ์มา บวกกับครั้งที่ ๒ ที่ได้พบกันตอนที่พวกนักเวทและสัตว์กำลังต่อสู้อยู่กับสมาพันธ์ดาบกระบี่ การแสดงออกที่ให้ความสำคัญแก่คุณธรรมน้ำมิตรของคนทั้ง ๗ ทำให้ในใจเฉินเฟิงถือพวกเขาทั้ง ๗ คนเป็นเพื่อนไปเรียบร้อยแล้ว

เนื่องจากเฉินเฟิงทราบดีว่าโอกาสที่ก้อนโลหะจะขึ้นราคายังมีอีกมาก เขาจึงเกลี้ยกล่อมพวกขบวนนักเวทและสัตว์ให้รออีกหน่อยค่อยขายจะดีกว่า แต่ทั้ง ๗ คนต่างบอกว่าพอใจในราคามากนี้อยู่แล้ว และพวกเขากำลังร้อนเงิน ดังนั้นจึงตัดสินใจปล่อยขายตอนนี้เลย

เฉินเฟิงยึดถือน้ำใจสหายยืนกรานไม่ขอรับค่าเหนื่อย และรับซื้อมาในราคาก้อนละ ๑๒๐ เหรียญเงินเต็มราคา นึกไม่ถึงว่าพวกขบวนนักเวทและสัตว์เองก็พยายามกันน่าดู จำนวนทั้งหมดมีด้วยกันถึง ๒,๕๐๐ ก้อน ตอนแรกพวกนักเวทและสัตว์ยังอยากให้เฉินเฟิงรับค่าเดินทางไปบ้าง แต่เกลี้ยกล่อมเขาไม่สำเร็จ จึงได้แต่เลิกราไป และโชคดีที่เฉินเฟิงมีเป้ความจุมหาศาลเอาไว้ใส่ได้ทั้งหมด นี่ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นละก็ ถึงมีเงินก็ขนก้อนโลหะพวกนี้ไปไม่ได้

เนื่องจากเวลานัดหมายคืออีก ๓ วันให้หลัง เฉินเฟิงที่ได้เวลาว่างมา ๓ วันไม่ทราบจะไปที่ไหนดี ในเมื่อเขารับซื้อก้อนโลหะจากพวกขบวนนักเวทและสัตว์มาแล้ว จึงตัดสินใจทำการค้าต่ออีกเล็กน้อย

แต่หลายวันก่อนหน้านี้เขาไปกวาดซื้อก้อนโลหะในเมืองท่าเซียงห่ายและเมืองเขี้ยวมังกรมาจนหมดเกลี้ยงแล้ว จึงได้แต่ตั้งแผงลอยรับซื้ออยู่ในเมืองมอร์ เพราะยังไงหลังจากที่หุบเขามรณะกลายเป็นหุบเขามรณะสมชื่อแล้ว ที่นี่ก็ได้กลายมาเป็นทางผ่านที่ผู้เล่นซึ่งจะไปเมืองมังกรเมฆจำเป็นต้องผ่านไป

ถึงแม้ทุกครั้งที่ต้องไปเกี่ยวข้องกับพวกอัศวิน เฉินเฟิงจะมีอันต้องซวยเสียทุกทีไป แต่หลังจากตั้งแผงรับซื้อในเมืองมอร์ที่เป็นฐานหลักของพวกอัศวินได้ไม่กี่ชั่วโมง ผลกลับเป็นตรงข้ามกับความเชื่อที่ว่าพวกอัศวินนำแต่ความซวยมาให้เขาอย่างไม่น่าเชื่อ

เนื่องจากถึงแม้พวกเฉินเฟิงจะมาจนไกลจากเขตสงครามของพวกอัศวินแล้ว แต่สงครามอัศวินไม่ได้ยุติลงเพราะขาดพวกเขาแต่อย่างใด แถมยังทวีความดุเดือดขึ้นทุกขณะจนทำให้เขตตะวันออกของเมืองมอร์เป็นต้นไปกลายเป็นเขตห้ามเข้าของพวกผู้เล่นไปอีกรอบ ซึ่งทำให้เฉินเฟิงได้รับผลประโยชน์อย่างคาดไม่ถึง

ผู้เล่นจำนวนมากที่กะฉวยโอกาสที่ก้อนโลหะขึ้นราคารี่ไปขายก้อนโลหะต่างถูกกักเอาไว้ที่เมืองมอร์ ทำให้เฉินเฟิงสามารถรับซื้อก้อนโลหะได้อย่างราบรื่นกว่าปกติ พวกเพื่อนๆ ที่ออกเดินทางไปเมื่อเช้ายังไปไม่ทันถึงเมืองเขี้ยวมังกร เขาก็รับซื้อก้อนโลหะได้รวม ๓,๕๐๐ ก้อนแล้ว

แต่หลังจากผ่านตอนเที่ยงไป เหตุการณ์ของเมื่อ ๒ วันก่อนก็หวนกลับมาเยือนอีกครั้ง รออยู่พักใหญ่ก็ไม่มีผู้เล่นมาขายก้อนโลหะแม้แต่คนเดียว เฉินเฟิงได้แต่รู้สถานการณ์หยุดขายไว้แค่นี้ก่อน แล้วกลับไปบ้านเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองมังกรเมฆอีกรอบ

 

ภายในเมืองมังกรเมฆเงียบเหงาผิดจากนอกเมืองที่มีการสู้รบกันอย่างดุเดือดลิบลับ เมื่อเถ้าแก่หูจื่อหลิงเห็นก้อนโลหะที่กองพูนเต็มโต๊ะ ก็อุทานอย่างตกตะลึง

“นับถือ ! นับถือ ! คิดไม่ถึงว่าแค่เว้นช่วงไปสองวัน ก็ขนมาอีกกองเบ้อเริ่ม ผมเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมหลังจากซื้อภาพไปแล้วตั้งกองใหญ่ คุณลูกค้าถึงยังกล้ามาพบผมอีก”

เฉินเฟิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ รับ พูดถึงภาพอักษร อย่าว่าแต่ศึกษาเลย กระทั่งดูเขายังดูแค่ไม่กี่แวบเท่านั้น ! แต่เมื่อคิดถึงว่าหูจื่อหลิงเองเป็นถึง NPC ผู้มอบหมายภารกิจของระบบซึ่งมีความสำคัญไม่ใช่เล่น จึงพูดอย่างเกรงอกเกรงใจว่า

“เถ้าแก่ชมกันเกินไปแล้วล่ะครับ ของพวกนี้เพื่อนผมฝากมาขายทั้งนั้น เพราะผมค่อนข้างจะเจนทางกว่า เลยต้องมารบกวนเถ้าแก่อีกครั้งน่ะครับ”

ระหว่างปลดผนึกก้อนโลหะ หูจื่อหลิงก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อย ทำให้เฉินเฟิงเพิ่งจะได้รู้ว่า นอกจากรับซื้อวัตถุดิบและขายภาพอักษรแล้ว ที่นี่มีไอเท็มอื่นขายด้วย !

ในจำนวนไอเท็มที่ขาย ไอเท็มที่ดึงดูดความสนใจของเฉินเฟิงมากที่สุดคือ กระถางพลังเวท แต่ต้องมีที่ดินของตัวเองถึงจะซื้อได้ ส่วนผู้เล่นธรรมดาก็ต้องมีบ้านระดับ ๒ ขึ้นไปถึงจะซื้อได้

ผู้เล่นแต่ละคนจะมีบ้านได้เพียง ๑ หลัง แต่บ้านจะสามารถเลื่อนระดับได้ บ้านที่เพิ่งซื้อจะเป็นบ้านระดับ ๑ ทั้งสิ้น หากจะเลื่อนเป็นระดับ ๒ ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก ๓๐,๐๐๐ เหรียญทอง และต้องมีทักษะย่อย “เขตเลี้ยง” และ “ก่อสร้าง” จึงจะสามารถเลื่อนระดับได้

ส่วนวิธีใช้กระถางพลังเวท อย่างน้อยต้องมีทักษะเวทมนตร์สายไฟกับสายทองสองชนิดจึงจะใช้ได้ ร้านซ่อมเหล็กมีให้บริการซ่อมแซมเช่นกัน แต่ต้องเตรียมวัตถุดิบมาเอง และต้องจ่ายค่าเล่าเรียนต่างหากวันละ ๑,๐๐๐ เหรียญเงิน ของที่หลอมสร้างออกมาได้จะตกเป็นของตัวผู้เล่นเอง

สุดท้ายเกี่ยวกับการปลดผนึกวัตถุดิบ หลังจากเถ้าแก่หูจื่อหลิงอธิบายแล้ว เฉินเฟิงค่อยทราบว่าการปลดผนึกวัตถุดิบไม่ได้ใช้คาถาปลดผนึก พูดให้ถูกต้องคือใช้ คาถาวิเคราะห์แยกชนิด ซึ่งเป็นคาถาขั้นสูงของทักษะแยกชนิด

ได้ข้อมูลมาตั้งมากมายในรวดเดียว เฉินเฟิงได้แต่พูดขอบคุณหูจื่อหลิงไม่ขาดปากที่ช่วยบอก หูจื่อหลิงหัวเราะพลางบอกว่า ความจริงการจะแพร่งพรายข้อมูลพวกนี้นั้นมีเงื่อนไขอยู่ นั่นคือต้องซื้อภาพอักษรของจื่อหลิงเป็นจำนวน ๑๐ ภาพ แต่ผู้เล่นทั่วไปต่างฉลาดกันเกินไป ถึงตอนแรกจะยอมซื้อไป ๑ - ๒ ภาพ แต่พอไม่พบเบาะแสข้อมูลความลับอะไร หลังจากนั้นให้ตายก็ไม่ยอมซื้ออีกเลย สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าเฉินเฟิงผู้หัวอ่อนเป็นฝ่ายได้กำไรไป ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงมาก่อน

การออกแบบแบบนี้ก็ช่างเล่นตลกกันเสียจริง ภาพ ๑ ภาพราคาตั้ง ๑,๐๐๐ เหรียญเงินขึ้นไป คนที่จะยอมซื้อถึง ๑๐ ภาพ เรียกได้ว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย บางครั้งการเสียเปรียบก็กลายเป็นการได้เปรียบจริงๆ !

หลังจากรวมราคาแล้ว เฉินเฟิงก็ดีใจจนยิ้มร่าปากหุบไม่ลง

ปรากฏว่าสงครามอัศวินในสองวันมานี้ได้ส่งผลกระทบถึงจำนวนก้อนโลหะที่รับซื้อ ดังนั้นราคาของก้อนโลหะจึงเพิ่มสูงขึ้นเป็นก้อนละ ๑๕๐ เหรียญเงิน นอกจากนี้อาจเป็นเพราะระดับของพวกขบวนนักเวทและสัตว์ต่างก็ค่อนข้างสูง สัตว์อสูรที่ต่อสู้ด้วยจึงพลอยเป็นสัตว์อสูรระดับสูงเช่นกัน ในจำนวนก้อนโลหะที่ขายมาจึงมีอยู่ไม่น้อยที่เป็นก้อนโลหะระดับกลางและระดับสูง ทำให้เฉินเฟิงได้กำไรเพิ่มขึ้นอีกก้อน

ก่อนจากไป หูจื่อหลิงได้แถมหนังสือ “รวมชนิดโลหะ” ให้เขาหนึ่งเล่ม เป็นรางวัลจากการขายก้อนโลหะให้ทางร้านครบ ๑๐,๐๐๐ ก้อน นับแต่นี้ไปเฉินเฟิงก็จะสามารถปลดผนึกก้อนโลหะได้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าปลดผนึกก้อนละ ๘ เหรียญเงินไปได้

หูจื่อหลิงบอกให้เฉินเฟิงหาเวลาว่างมาคุยกับเขาบ้าง เพราะตำแหน่งของเขานี่ถูกออกแบบมาอย่างโรคจิตมาก พวกผู้เล่นทั่วไปมาหาแล้วต่างไม่กล้ามาซ้ำ ทำเอาเขาเซ็งสุดๆ

แต่เพราะของรางวัลชิ้นนี้ที่ทำให้เฉินเฟิงมีเรื่องให้ทำฆ่าเวลาแล้ว เพราะการปลดผนึกจำเป็นต้องใช้พลังจิต คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์ที่ไม่อยากเผชิญหน้ามากที่สุดดันเกิดขึ้นจนได้ เมื่อเป็นแบบนี้ถึงไม่อยากไปเรียนเวทมนตร์ก็คงไม่ได้เสียแล้ว

 

เฉินเฟิงกลับไปที่บ้านของตัวเอง แล้วนั่งเหม่อมองตัวเลขในบัญชี

หลังจากบอกลาหูจื่อหลิง เขาก็ไปธนาคารเพื่อเปลี่ยนเงินบางส่วนเป็นค่าเล่นเกมเหมารวม ๓ เดือน ตอนนี้เงินในบัญชียังเหลืออีกตั้ง ๑ ล้านกว่าเหรียญ มีต้นทุนนี่หาเงินได้เร็วจริงๆ ด้วย หากนับเฉพาะผู้เล่นเดี่ยวๆ แล้วล่ะก็ เขาติดอยู่ในอันดับผู้เล่นที่รวยที่สุดได้สบายๆ เลยทีเดียว แต่หากเปลี่ยนเงินจำนวนนี้เป็นเงินจริง ก็จะได้ไม่มากเท่าไหร่นัก

เฉินเฟิงคิดถึงเส้นทางที่จะก้าวเดินในอนาคต ธุรกิจก้อนโลหะคงจะอยู่ได้อย่างมากแค่ช่วงเดียว รอจนบรรดาศูนย์สมาพันธ์สร้างเสร็จ ก้อนโลหะก็จะไม่มีราคาอีกต่อไป ในเมื่อเขาคิดจะเป็นนักเล่นเกมอาชีพ ก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้ได้รายรับที่แน่นอนมา

ขายอาวุธและเครื่องป้องกันได้กำไรสูงที่สุด แต่อัตราเสี่ยงภัยก็สูงที่สุดเช่นกัน ขายยาฟื้นพลังมั่นคงดี น่าเสียดายที่ได้เงินไม่เร็วไปกว่าฆ่าสัตว์อสูรสักเท่าไหร่ สร้างอาวุธกับเครื่องป้องกันขึ้นมาขายเอง แน่ละว่าได้กำไรมากที่สุด แต่กว่าจะทำได้ถึงระดับนั้นนี่ยังอีกนาน !

ความจริงหากวิเคราะห์สงครามอัศวินในครั้งนี้อย่างละเอียด เป็นเพราะสมาชิกสมาพันธ์หาเงินไม่ได้ ถึงได้เกิดเหตุการณ์ดักปล้นดังที่เห็น ถือเป็นบทเรียนที่ต้องระวังให้จงหนักเลยทีเดียว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินเฟิงก็นึกถึงที่พนันไว้กับครุโฬ ระยะนี้เขาได้รับข้อความรายงานความก้าวหน้าจากครุโฬอยู่บ่อยๆ ตอนนี้จำนวนคนที่ได้มาแน่นอนยังแค่ ๑๐ กว่าคน แต่เห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของอีกฝ่ายแล้ว เกิดครุโฬรวบรวมคนมาได้จริง เขาก็ต้องหาวิธีสร้างรายได้ที่มั่นคงให้จงได้ ไม่อย่างนั้นมีหวังได้เดินซ้ำรอยเดียวกับหลงเยี่ยอิ่งแน่ !

ลองคิดถึงผลลัพธ์รายได้ในระยะนี้ของเขา ไอเท็มที่ได้มาจากการฆ่าสัตว์อสูรมีราคาสูงมากอยู่หรอก แต่นั่นอาศัยโชคช่วยเสียเป็นส่วนใหญ่ อย่าว่าแต่ไอเท็มดีๆ เขาก็อดนึกเสียดายไม่อยากขายไม่ได้ เพราะยังต้องอาศัยมันไปฆ่าสัตว์อสูรระดับสูงกว่านี้นี่ !

ค่าเหนื่อยที่ได้จากการรับซื้อก้อนโลหะก็ได้มาเพราะฟลุค ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้เฮยโถวที่เป็นคนบอกข่าวนี้ และเงื่อนไขในการวางเดิมพันกับครุโฬ พูดตามจริงแล้วก็เป็นเพราะโชคช่วยเป็นส่วนมากอยู่ดี

แต่เทพแห่งโชคชัยคงไม่อยู่ข้างกายเขาไปตลอดหรอกใช่ไหมล่ะ ช่วงเวลาไม่กี่วันที่ได้ไปผจญภัยกับครุโฬ ทั้งสองได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไม่ใช่น้อย

หลังจากได้ทราบว่าเฉินเฟิงคิดจะเป็นนักเล่นเกมอาชีพ ครุโฬก็เพียรปากเปียกปากแฉะแนะนำว่า

“หากคิดจะเป็นนักเล่นเกมอาชีพที่มีรายได้มั่นคง ทางเลือกที่ดีที่สุดคืออาชีพสายผลิตไอเท็ม ถึงแม้ไม่ค่อยจะมีโอกาสรวยทางลัด วันเวลาก็น่าเบื่อกว่าการออกไปฆ่าสัตว์อสูรหรือผจญภัย แต่เมื่อเราฝึกทักษะจนสูงพอแล้วล่ะก็ ขอแค่เกมนั้นยังไม่เสื่อมความนิยม ก็ยังพอจะหารายได้มายาไส้ได้อยู่หรอก”

ถึงแม้ตอนนั้นเฉินเฟิงจะไม่เห็นด้วยนัก แต่ก็จำเอาไว้ในใจ เพราะยังไงครุโฬก็มีประสบการณ์ในการเป็นนักเล่นเกมอาชีพมาแล้วหลายปี เทียบกับเฉินเฟิงที่เพิ่งจะเริ่มหัดเดินเตาะแตะ ไม่ต้องคิดให้เหนื่อยก็รู้อยู่แล้วว่าควรฟังใคร

แต่เกม “ราชาแห่งราชัน” แตกต่างจากเกมทั่วๆ ไป ระบบเกมที่สามารถมีอาชีพได้หลายอาชีพได้ช่วยขจัดความน่าเบื่อของการที่ต้องนั่งสร้างไอเท็มไปวันๆ ได้ ทำให้สามารถไปผจญภัยพร้อมกับหาเงินได้ในเวลาเดียวกัน แต่ขณะเดียวกันอาชีพในเกมนี้ก็ไม่ได้ได้มาและเลื่อนระดับได้ง่ายๆ อย่างในเกมอื่นเช่นกัน

หลายวันมานี้ครุโฬเอาแต่วุ่นหาคนมาเข้าร่วมกลุ่ม แม้ทั้งสองจะไม่มีโอกาสไปผจญภัยด้วยกัน แต่ก็ยังสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นกันผ่านทางช่องสนทนาลับอยู่

สงครามอัศวินส่งผลกระทบต่อความคิดของเฉินเฟิงไม่ใช่น้อย โดยทำให้เขายิ่งหนักใจกับสภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มที่จะตั้งขึ้นในอนาคต สิ่งที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดในระยะนี้นอกจากข่าวสารของทักษะอาชีพช่างฝีมือ ก็คือผลประโยชน์ที่ศูนย์สมาพันธ์จะนำมาให้

ตอนแรกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด ราคาแพงมหาโหดของศูนย์สมาพันธ์ไม่ว่าใครก็ต้องชะงักเท้ากันทั้งนั้น แต่หลังจากเก็บเงินได้ถึง ๑ ล้านเหรียญแล้ว เขาก็ชักอยากจะลองกระโดดลงร่วมวงแย่งสร้างศูนย์สมาพันธ์กับคนอื่นดูบ้าง

เพียงแต่ครั้งนี้ครุโฬกลับพยายามห้ามเฉินเฟิงอย่างสุดใจขาดดิ้น แถมยังแสดงความเห็นออกมาไม่ใช่น้อย ครุโฬอธิบายว่า

“ถึงแม้การมีศูนย์สมาพันธ์จะเพิ่มความได้เปรียบให้แก่สมาพันธ์ก็ตาม แต่สำหรับกลุ่มที่เพิ่งตั้งขึ้น การมีศูนย์สมาพันธ์หรือไม่จะกลายเป็นว่าไม่ได้สำคัญอะไรมากมายนัก เพราะนอกจากวัตถุดิบในการผลิตเหล็กกล้าขึ้นราคาพรวดพราดจนทำให้ราคาสร้างเพิ่มขึ้นไปหลายเท่าตัว ทันทีที่ซื้อศูนย์สมาพันธ์ จะทำให้กลุ่มของเราถูกจำกัดพื้นที่ความเคลื่อนไหวไปโดยปริยายเพื่อที่จะได้ใช้ศูนย์สมาพันธ์กันได้ สมาชิกส่วนใหญ่ในอนาคตของสมาคมเรายังต้องยุ่งอยู่กับการเลื่อนระดับและทำให้ตัวเองได้อาชีพไปอีกพักใหญ่ ซึ่งจะทำให้ประโยชน์ของศูนย์สมาพันธ์ไม่ได้มีมากอย่างที่ทุกคนพากันคาดหวัง”

คำพูดของครุโฬเหมือนตีแสกหน้าเฉินเฟิงยังไงยังงั้น ต่อมาก็เขานั่นแหละที่สนับสนุนเต็มที่ให้เฉินเฟิงซื้อบ้านของตัวเองก่อน ถึงแม้จะลงทุนไปรวดเดียวถึง ๑ ล้านเหรียญเงิน แต่แค่ไม่กี่วันก็จะได้ทุนคืนมาแล้วล่ะ

เฉินเฟิงอดนับถือสายตาอันกว้างไกลและเฉียบคมของครุโฬไม่ได้ คำแนะนำของมืออาชีพแก่ประสบการณ์มีประสิทธิภาพกว่าการสุ่มมั่วเอาเองของเขามากโขจริงๆ

ไม่ว่าจะทำอะไร เฉินเฟิงเริ่มชินที่จะปรึกษากับครุโฬก่อน เพียงแต่ตั้งแต่เมื่อวานซืนครุโฬก็ได้หายสาบสูญไป ก่อนจะหายไปอีกฝ่ายบอกแค่จะกลับเกม “ฝันที่เป็นจริง” ไปจัดการเรื่องอะไรบางอย่าง

ยิ่งใกล้เวลาที่ทั้งสองฝ่ายนัดหมายพนันกันไว้ เรื่องกลุ้มใจของเฉินเฟิงก็ยิ่งมากขึ้นทุกที

ถึงแม้ครุโฬจะบอกไว้แล้วว่า แต่ละคนต่างก็มีความถนัดไม่เหมือนกัน ให้เฉินเฟิงทำแค่ทุ่มเทค้นคว้าหาทักษะใหม่ๆ และวิธีเลื่อนระดับทักษะตามความถนัดของตัวเองไปก็พอแล้ว แต่เฉินเฟิงทราบดีว่าคนที่เป็นผู้นำคนอื่นนั้น หากไม่สามารถกุมทุกอย่างเอาไว้ได้ทั้งหมด จะต้องเผชิญกับความล้มเหลวในที่สุด ภาพตอนที่หลงเยี่ยอิ่งถูกปลดตำแหน่งยังแจ่มชัดอยู่ในใจของเขาอยู่เลย ตอนนี้ขอแค่มีเวลาว่าง เขาจะมานั่งคิดถึงข้อบกพร่องของตัวเองและสำนึกผิดพยายามกลับตัวทุกครั้ง

น่าเสียดายที่เรื่องราวมากมายไม่ใช่แค่คิดแล้วจะทำได้ เพราะในความเป็นจริงคนละอาชีพเหมือนคนละฟากเขา ถ้าให้เฉินเฟิงไปออกแบบเครื่องจักรล่ะก็ สบายมาก แต่ให้เขาเป็นผู้นำคนอื่นนี่ เขายังต้องเรียนรู้อีกมาก ทำการค้ายิ่งไม่ถนัดเอาซะเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนพ้องหลายคนช่วยบอกข่าวสารให้อย่างไม่เห็นแก่ตัว บวกกับขยันไปมาหลายรอบหน่อยล่ะก็ ไม่ต้องหวังเลยว่าจะได้กำไรจากอาชีพนี้

นั่งคิดมิสู้ลุกขึ้นทำ แม้จะทราบดีว่าตัวเองยังห่างจากการเป็นนักเล่นเกมอาชีพที่ประสบความสำเร็จอีกไกลโข แต่เรื่องมันดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เอาเป็นว่าทำได้แค่ไหนก็แค่นั้นก็แล้วกัน

ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีๆ นั่นคือหาทางควานหาความลับของทักษะอาชีพช่างฝีมือมาให้ได้

เฉินเฟิงควานหาแหวนส่งไปสู่แท่นบวงสรวงแห่งเวทที่ถูกทิ้งจมกองฝุ่นมาได้พักใหญ่ ตรวจสอบยาฟื้นพลังและไอเท็มเสร็จเรียบร้อย ได้เวลาอันควรที่จะไปเรียนเวทมนตร์ที่แท่นบวงสรวงอันแสนจะลึกลับนั่นเสียที

 

เมื่อสวมแหวนพร้อมกับท่องคาถาใช้ม้วนคาถากลับบ้าน แสงสว่างสีขาวก็พาเฉินเฟิงไปจากบ้านของตัวเอง ความรู้สึกเหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกายังไงยังงั้น ร่างกายเหมือนสูญเสียความมั่นคงไปในพริบตา

แต่ก็แตกต่างจากเวลาใช้ม้วนคาถากลับบ้านตรงที่ใช้เวลานานถึง ๒๐ กว่าวินาที ร่างของเฉินเฟิงค่อยปรากฏขึ้นที่ด้านข้างของเนินเขาแปลกหน้าลูกหนึ่ง

หลังจากยืนทรงตัวได้มั่นคงแล้ว เฉินเฟิงก็เทียบกับแผนที่โลกดูด้วยความเคยชิน และพบว่าบนแผนที่ไม่ปรากฏจุดบอกตำแหน่งที่เขากำลังยืนอยู่ ซึ่งเขาเพิ่งจะเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก

หวนนึกถึงที่ผู้บวงสรวงที่วิหารเมืองชิงจ้างบรรยายไว้ว่าเส้นทางนี้จะทำให้ผู้เล่นไม่อยากมาอีกเป็นครั้งที่สอง เฉินเฟิงรีบเรียกอเล็กซ์ อู้คง ซวงเว่ย และหลายฝูออกมาทันที ยังไงระวังตัวไว้ก่อนเป็นดีที่สุด

หลังจากยืนรออยู่ ๑๐ กว่านาที ก็ไม่เห็นแม้แต่แมวสักตัวผ่านทางมา ทำให้เฉินเฟิงอดนึกถึงตอนที่เขาเพิ่งจะเข้ามาในเกมราชาฯเป็นครั้งแรกไม่ได้ หรือเขาจะฟังอะไรตกหล่นไป ?

เฉินเฟิงหันไปสำรวจมองรอบด้าน ทางซ้ายคือทะเลที่หลอมรวมเป็นผืนเดียวกับท้องฟ้า มองไปจนสุดสายตาก็ไม่เห็นแผ่นดินอื่นแต่อย่างใด ทางด้านขวาคือเทือกเขาแห่งหนึ่ง มีทางน้อยคดเคี้ยวพาตรงขึ้นไปบนเขา มีหมอกเบาบางล้อมปกคลุมจนมองเห็นตัวภูเขาไม่ค่อยชัดเจน ให้ความรู้สึกทั้งลึกลับและเคร่งขรึม

คิดว่าแท่นบวงสรวงแห่งเวทคงไม่ได้อยู่ใต้น้ำหรอกนะ ? เนื่องจากเฉินเฟิงเคยทำพลาดมาแล้ว ดังนั้นหลังจากนั้นมาไม่ว่าเจออะไร เขาจะจดเอาไว้ในสมุดบันทึกทั้งหมด เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกทะแม่งๆ เขาจะหยิบสมุดบันทึกออกมาเปิดดูทันที

แต่หลังจากพลิกดูแล้วพลิกดูอีกจนแน่ใจว่าตัวเขาไม่ได้พลาดอะไรไป ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเขาคงคิดมากไปเอง ในเมื่อมาถึงนี่แล้วก็จงทำใจยอมรับซะ เฉินเฟิงเริ่มสาวเท้าก้าวขึ้นเขาไปหาร่องรอยของแท่นบวงสรวง

แต่ยิ่งเดิน ความรู้สึกไม่มั่นคงอย่างประหลาดก็หนักอึ้งยิ่งขึ้นทุกขณะ

หลังจากเดินขึ้นสู่เส้นทางบนภูเขา หมอกรอบด้านก็โรยตัวหนาหนักอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ระยะที่สายตามองเห็นหดแคบลงเหลือเพียง ๓ เมตร แต่โชคดีที่มีทางแค่เส้นเดียว เฉินเฟิงรุดหน้าไปอย่างระมัดระวัง แต่เดินไปจนขาเริ่มแข็ง ทางข้างหน้าก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะดูยังไงทิวทัศน์ก็ยังเป็นเหมือนเดิม ทำเอาอดสงสัยไม่ได้ว่านี่เขากำลังหลงทางอยู่หรือเปล่าเนี่ย ?

หวนนึกถึงพวก NPC ที่รับผิดชอบเป็นผู้มอบหมายภารกิจของระบบ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าผู้บวงสรวงคนนั้นก็เล่นตลกกับเขาด้วยหรือเปล่า ?

“หรือที่นี่จะจงใจออกแบบมาให้ดูลึกลับเพื่อเคี่ยวกรำจิตใจของผู้เล่นโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้เล่นเกิดอาการหลอนตัวเองทั้งที่ความจริงไม่มีอะไรทั้งนั้น ?”

เฉินเฟิงคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย เขาเหนื่อยจนต้องมองหาก้อนหินลงนั่งพักผ่อน รอบด้านมีแต่สีขาวโพลน ขืนเดินมาคนเดียวนี่คงน่ากลัวสิ้นดี โชคดีที่เขายังมีสัตว์เลี้ยงหลายตัวเดินเป็นเพื่อนด้วย ไม่อย่างนั้นมีหวังเดินต่อไม่ไหวเอาจริงๆ

ทันใดนั้นท้องฟ้าได้มืดลงอย่างรวดเร็ว แถมยังไม่เหมือนกับเวลาฟ้ามืดตามปกติ เพราะแสงสว่างรอบด้านได้หายไปหมดอย่างไร้ร่องรอย

เฉินเฟิงรีบจุดคบไฟ เขาจำได้ว่าเพิ่งจะเดินมาได้ไม่นานเองนี่ ? ถึงเพิ่งจะมาออกเดินทางเอาตอนบ่ายสามโมง แต่นับเวลาดูแล้วฟ้ามันก็ไม่น่าจะมืดเร็วขนาดนี้อยู่ดี ? พอดูนาฬิกาข้อมือของระบบ เพิ่งจะหกโมงเย็นจริงๆ ด้วย ที่นี่มันแปลกพิลึกชะมัด

ถึงบรรยากาศจะน่ากลัวอยู่บ้าง แต่ยังไม่ถึงกับทำให้เฉินเฟิงยอมแพ้ได้ ยังไงรอบด้านก็แค่เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำเท่านั้น ระยะที่สายตามองเห็นก็ยังเป็น ๓ เมตรอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เขาไม่กล้านั่งพักต่ออีก หลังจากกำชับเหล่าสัตว์เลี้ยงให้หดวงลาดตระเวนแคบเข้า เฉินเฟิงก็เริ่มออกเดินทางต่อ

เดินไปอีก ๓ ชั่วโมง นอกจากท้องฟ้ามืดลงกว่าเดิมแล้ว ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างอื่น ระยะที่สายตามองเห็นหดลงเหลือ ๒ เมตร ดูเหมือนกระทั่งแสงไฟก็ยังไม่อาจสาดทะลุความมืดออกไปได้

ทั้งที่ไม่มีอะไรเลยชัดๆ แต่ในใจกลับหนักอึ้ง การจะเรียนเวทมนตร์จำเป็นต้องไปเพียงลำพัง แค่เวลา ๖ ชั่วโมงที่ต้องเดินอยู่คนเดียวนี้ก็คงทำเอาผู้เล่นจำนวนไม่ใช่น้อยกลัวจนหนีกลับไปแล้วแหงๆ

ทันใดนั้นความเชื่อมั่นก็ไม่ทราบผุดขึ้นมาจากไหน เฉินเฟิงมั่นใจอย่างยิ่งว่าต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ ว่าแล้วก็เปลี่ยนไปสวมรองเท้าบู้ทหนัง แถมยังเก็บสัตว์เลี้ยงเข้าไปในแส้เทพสีหราชทั้งหมด แบบนี้ค่อยเดินได้เร็วขึ้นเยอะ

เขาเดินไปพลางนึกด่าผู้ออกแบบเกมราชาฯของบริษัทเลจจ์ทุกคนไปพลาง กะอีแค่เรียนเวทมนตร์ก็ต้องมาทำกันถึงขนาดนี้ มันว่างจัดกันซะจริงๆ

“ไม่เห็นมีเหตุผลที่ต้องออกแบบอย่างนี้เลยนี่หว่า ?” เฉินเฟิงบ่นงึมงำกับตัวเอง เปลี่ยนมาใส่รองเท้าบู้ทหนังเดินมาตั้ง ๓ ชั่วโมงแล้ว ถึงตอนอยู่ที่ตีนเขาจะมองสภาพบนเขาไม่เห็น แต่เดินมาตั้ง ๙ ชั่วโมงนี่มากพอให้ไปกลับทะเลทรายมรณะได้เลยเชียวนะ หรือเขาจะเลือกเดินผิดทางมาแต่แรก ?

เฉินเฟิงมึนไปหมดแล้ว คบไฟเปลี่ยนมาเป็นดุ้นที่สองแล้ว ระยะที่สายตามองเห็นหดลงเหลือแค่ครึ่งเมตร หมอกสีดำซึมจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว อากาศก็ไม่รู้ลดต่ำลงไปแล้วตั้งกี่องศา หนาวจนตัวเริ่มจะสั่นสะท้าน

เขามั่นใจว่าที่นี่ต้องสูงกว่าเทือกเขาไทแทนแน่ กระทั่งช่องสื่อสารยังสูญเสียประสิทธิภาพไปชั่วคราวเลย พริบตานั้นในโลกนี้เหลือเฉินเฟิงแค่คนเดียว และเขายังต้องก้าวต่อไปเรื่อยๆ อย่างโดดเดี่ยว

ยังไกลอีกมากแค่ไหนกันนี่ ?

หรือแท่นบวงสรวงจะอยู่ที่ตีนเขานั่น ?

เขาควรจะย้อนกลับไปดีหรือเปล่า ?

ย้อนกลับ ? ไปต่อ ?

ยอมแพ้ ? อดทนต่อ ?

สามชั่วโมงถัดมา ความคิดและความกังขากำลังต่อสู้กันในใจของเฉินเฟิงอย่างดุเดือด คบไฟถูกเปลี่ยนมาเป็นดุ้นที่ ๓ แล้ว ในที่สุดเขาก็ได้ทราบแล้วว่าผู้บวงสรวงที่วิหารในเมืองชิงจ้างไม่ได้โกหกจริงๆ ด้วย โลกแบบนี้นี่มันทำให้คนเราไม่กล้าหาญพอจะมาซ้ำเป็นครั้งที่สองจริงๆ

ระยะที่สายตามองเห็นหดแคบลงอีกครั้งเหลือแค่ ๑๐ เซนติเมตร แต่แบบนี้กลับทำให้สติของเฉินเฟิงแจ่มใสขึ้นอย่างผิดคาด เขานึกขึ้นได้อีกครั้งว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในระหว่างการถูกทดสอบ อุตส่าห์เดินมาตั้ง ๑๒ ชั่วโมงแล้ว จะให้แพ้ตอนนี้ยิ่งไม่มีทางเข้าไปใหญ่ พอความดื้อรั้นผุดวาบขึ้นในใจ เฉินเฟิงก็นึกฮึดจ้ำพรวดๆ ไต่ขึ้นเขาไปต่อ

แรงฮึดเฮือกสุดท้ายทำให้เฉินเฟิงฝืนทนเดินไปได้อีก ๓ ชั่วโมง แต่ตอนนี้ความชื้นในอากาศมีสูงมากจนไม่สามารถจุดคบไฟได้ เขาเดินติดต่อกันมานานถึง ๑๕ ชั่วโมงแล้ว ไม่มีแสงสว่างและเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยสักอย่าง และมืดจนกางมือออกตรงหน้ายังมองไม่เห็นนิ้วมือ

ขณะที่เขากำลังจะยอมแพ้อยู่รอมร่อนั่นเอง เท้าก็เหมือนไปเหยียบถูกอะไรเข้าสักอย่าง ยังไม่ทันก้มลงลอง แสงสว่างวาบก็ได้พาเขาไปจาก ณ ที่นั้น แล้วความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะตีลังกาก็หวนกลับมาอีกครั้ง

ขบวนขนส่งหรือ ? หรือเขาเผลอใช้ม้วนคาถากลับบ้านไปโดยไม่รู้ตัว ?

คงไม่ใช่น่า ?! ขืนให้เขาเดิน ๑๒ ชั่วโมงรวดอีกรอบล่ะก็ ฆ่าเขาให้ตายเสียเลยยังจะดีกว่า !

เหมือนผ่านไปนานนับศตวรรษ จวบจนท้องไส้เริ่มจะออกอาการปั่นป่วน เฉินเฟิงเป็นคนแพ้ของจำพวกรถไฟเหาะตีลังกามาแต่ไหนแต่ไรเสียด้วย ปกติทนแค่ห้าวินาทียังพอทำเนา นี่มันปาเข้าไปตั้งหลายสิบวินาทีแล้วยังไม่ยอมหยุดอีก !

โชคยังดีที่ตอนเขาใกล้จะหมดสติอยู่รอมร่อ ตัวก็หยุดพลิกหมุนตีลังกาลงจนได้ แต่ความซวยของเฉินเฟิงยังไม่สิ้นสุด เพราะยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร พลังงานมหาศาลขุมหนึ่งก็พุ่งพรวดเข้ามาในสมองของเขาอย่างกะทันหันจนเขารู้สึกเหมือนสมองจะแตกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ยังไงยังงั้น

ขณะที่กำลังคิดว่าจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ที่หน้าผากก็มีเสียงเหมือนอะไรบางอย่างปริแตกออก

“อ๊ากกกก !”

เฉินเฟิงเปล่งเสียงร้องโหยหวน แล้วหมดสติไปในที่สุด

 

ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไร เฉินเฟิงค่อยๆ ฟื้นคืนสติมา

เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?

เราตายแล้วหรือ ?

ทำไมเรามองอะไรไม่เห็น ?

ทำไมเราขยับตัวไม่ได้ ?

ความจริงตอนที่เฉินเฟิงถูกอัดพลังงานแปลกๆ เข้าไปในสมองนั้น เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด เพียงแต่ไม่เคยเผชิญกับเหตุการณ์ร่างกายถูกบุกรุกมาก่อนเท่านั้น จึงอดตื่นตระหนกตกใจไม่ได้เป็นธรรมดา

จำได้รางๆ ว่าความรู้สึกสุดท้ายดูเหมือนตัวเขาจะตกลงไปบนพื้น เพียงแต่ไม่มีเสียงตัวกระแทกพื้นอย่างที่คิด ดูเหมือนตัวเขาจะตกลงบนอะไรบางอย่างที่นุ่มมาก เหมือนจะเป็นน้ำหรือก้อนสำลีที่ใหญ่มาก

เฉินเฟิงพยายามจะลืมตา น่าเสียดายที่ไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย กระทั่งเสียงยังไม่มีปัญญาเปล่งออกไปได้

หรือตอนนี้ก็ยังอยู่ในระหว่างการทดสอบอยู่ ? แต่ขยับตัวไม่ได้แบบนี้มันการทดสอบแบบไหนกันแน่ ?

หรือระบบจะมีปัญหา ? เป็นไปไม่ได้น่า ! ใครก็ได้มาช่วยผมที ! เวลาที่ผมตั้งไว้ผมยังต้องอยู่ในเกมอีกหลายสิบวันเลยนะ ! หรือผมต้องรออยู่แบบนี้ไปจนถึงตอนนั้น ?

ทันใดนั้นเสียงจากระบบได้ดังขึ้นว่า

“ผู้เล่นเฉินเฟิงผ่านระยะทางแห่งการทดสอบสำเร็จ ได้รับแต่งตั้งเป็นจอมเวทฝึกหัด ได้รับทักษะพื้นฐาน ‘พลังจิต’ ระดับ ๕ จำนวนพลังพื้นฐาน ๕๐๐ จุด มีสิทธิ์ได้เรียนรู้ทักษะเวทมนตร์ของผู้เลื่อนขั้น”

เฉินเฟิงตะลึง แล้วรู้สึกตัวอย่างยินดีว่าขยับตัวได้แล้ว ปฏิกิริยาแรกของเขาคือเอามือตรวจสอบหน้าผากของตัวเอง แต่น่าแปลกที่ไม่ยักพบว่ามีรอยแผลใดๆ ทั้งสิ้น หลังจากสายตาค่อยๆ เริ่มมองเห็น เขาก็ไม่รู้สึกว่าร่างกายมีอะไรผิดปกติแต่อย่างใด จึงเริ่มจะหันมองไปรอบๆ

ตรงหน้ามีหญิงสาวแต่งชุดเหมือนผู้บวงสรวงในวิหารเมืองชิงจ้างกำลังมองเขาอยู่อย่างสงบ ทางด้านหลังของเธอมีแท่นบวงสรวงสี่เหลี่ยมอยู่แท่นหนึ่ง รอบๆ แท่นมีเสาขนาดใหญ่ ๘ ต้นกระจายกันอยู่ บนเสาแต่ละต้นมีตัวอักษรประหลาดๆ สลักอยู่เต็มเสา เพียงแต่บนยอดของเสาไม่ใช่หลังคา หากแต่เป็นลูกแก้วขนาดใหญ่มีสีต่างๆ กัน ๘ สีแยกย้ายลอยคว้างอยู่บนยอดเสาแต่ละต้น

ในลูกแก้วเหมือนมีควันจางๆ ลอยขยับอยู่อย่างอ้อยอิ่ง ลูกแก้วมีสีขาว สีดำ สีทอง สีเขียว สีฟ้า สีแดง สีเหลือง และสีเทา เรียกว่าลูกแก้วพลังงานอาจจะดูเข้ากันมากกว่าล่ะนะ !

ผู้บวงสรวงยิ้มพลางเดินเข้ามาหาเฉินเฟิง แล้วพูดว่า

“ขอแสดงความยินดีกับคุณด้วยค่ะที่ผ่านการทดสอบเข้าเป็นจอมเวทมาได้ ฉันคือ เอ็ทนา (Etna) ผู้บวงสรวงแห่งวิหารเวทมนตร์ ไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะคะเนี่ย ระดับที่คุณผ่านการทดสอบคือระดับ ๕ ดาวที่เป็นระดับสูงสุดเชียวนะคะ ! ฮึฮึ มีคำถามอะไรเชิญถามมาได้แล้วค่ะ”

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:36

0 ความคิดเห็น