หัวข้อ : เล่มที่ ๓ สงครามอัศวิน ตอนที่ ๑๐ วีรบุรุษกำสรวล

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:24

ตอนที่ ๑๐

 

วีรบุรุษกำสรวล

 

 

ครั้นหลงเยี่ยอิ่งเห็นกองหนุนแห่กันมา ก็แดกดันว่า

“เมื่อกี้ยังทำเป็นอวดเก่ง ที่แท้ก็รอกองหนุนอยู่นี่หว่า เห็นเสือไม่แผลงฤทธิ์เข้าหน่อยเลยคิดว่าเป็นแมวป่วยไปแล้วสินะ !” จากนั้นหันไปพูดกับพวกพ้องโดยไม่สนใจพวกเฉินเฟิงกับกลุ่มคนที่มาว่า “ขบวนอัศวินมังกรฟังบัญชา ! ฆ่าทิ้งให้หมด !

อัศวินทั้ง ๑๐ กว่านายไม่มีท่าทีตื่นกลัวที่เห็นกองหนุนศัตรูมากันมากกว่าฝ่ายตนถึง ๔ เท่าแม้แต่น้อย แถมยังแบ่งกลุ่มกันทันควันเป็นกลุ่มละ ๔ คน บุกทะลวงเข้ามาอย่างคล่องแคล่วว่องไวอีกต่างหาก

เฉินเฟิงที่ตกเป็นเป้าหมายแรกเรียกสัตว์เลี้ยงทุกตัวออกมาช่วยทันที หนึ่งคนหนึ่งม้าและสามสัตว์เลี้ยงสกัดขวางกลุ่มอัศวินเอาไว้หนึ่งกลุ่ม พวกเฮยโถวทั้ง ๖ คนต่างก็เข้าร่วมในวงรบของเฉินเฟิงทันทีอย่างไม่มีการรีรอ

หลังจากยอมถูกแทงไปก่อนหนึ่งทวน เฉินเฟิงค่อยตอบโต้กลับ เหตุผลที่ทำแบบนี้เพราะเจี๋ยเต๋อช่วยบอกว่าจะได้ไม่โดนประกาศจับในภายหลัง แต่นั่นหมายความว่าต้องเอาชนะฝ่ายโน้นได้ก่อนน่ะนะ

หลงเยี่ยอิ่งประสานกับอัศวิน ๓ คนพุ่งเข้าหามังกรผงาดฟ้า อัศวินคนที่เหลือส่งกลุ่มหนึ่งออกมาเล็งเล่นงานผู้เล่นที่ตกอยู่ตามลำพังเป็นหลัก อัศวินคนที่เหลือไม่ได้ลงมือโจมตี เพียงแต่เน้นพุ่งเข้าแยกกลุ่มผู้เล่น ๓๐ กว่าคนที่มาเสริมให้กระจายออกจากกัน

แค่อัศวิน ๑๐ กว่าคนก็สามารถรับมือศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าถึง ๔ เท่าตัวได้ สมแล้วที่เป็นสมาคมอัศวินที่ร่ำลือกัน !

กลุ่มของเฉินเฟิงยังพอจะมีประสบการณ์ร่วมมือกันมาแล้ว ๒ วัน ถึงแม้ระดับจะด้อยกว่าศัตรูมาก แต่เมื่อมีอเล็กซ์กับอู้คงคอยหนุน ก็พอจะรับมือได้อย่างสบายๆ

เฉินเฟิงเจียดเวลาหันไปดูสภาพโดยรอบ เขาติดใจวิธีต่อสู้ของพวกขบวนอัศวินมังกรอย่างมาก ดูเหมือนสิ่งสำคัญในการต่อสู้จะไม่ใช่จำนวนคนเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว หากมีการประสานที่ดี จำนวนที่น้อยกว่าก็มีโอกาสเอาชนะศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าหลายเท่าได้

เฉินเฟิงส่งข้อความขอเข้าร่วมกลุ่มไปให้พวกผู้เล่นที่มาช่วย จนจำนวนคนในกลุ่มมีครบ ๑๐ คน ก็ใช้ทักษะปลุกใจที่เพิ่งได้มาเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ทันที !

ถึงแม้ผู้เล่นที่มาช่วยจะมีมาก แต่นอกจากพวกอัศวินที่มังกรผงาดฟ้าพามาด้วย ๔ คนแล้ว ต่างก็มาจากคนละกลุ่มคนละสายกันทั้งสิ้น ทำให้ไม่สามารถรวมพลังกันได้ ปะทะกันแค่ไม่ถึง ๕ นาทีก็มีผู้เล่นหลายคนถูกเล่นงานจนต้องใช้ม้วนคาถากลับบ้านหนีกลับเข้าเมืองไป แต่ก็ไม่มีใครกังวลมากนัก เพราะจำนวนของทั้งสองฝ่ายยังต่างกันมากอยู่ดี ยังพอจะสามารถใช้ ๓ รุม ๑ ได้

เฉินเฟิงหวดแส้ไปถูกอัศวินคนหนึ่ง อานุภาพของทักษะข่มขู่ปรากฏขึ้นทันควัน พวกเฮยโถวทั้ง ๖ ลงมือโจมตีพร้อมกันทันทีอย่างรู้กัน เสียงแผดร้องลั่นดังขึ้น อัศวินผู้เคราะห์ร้ายล้มลงนอนตายนิ่งสนิทกับพื้นในบัดดล !

เหตุเปลี่ยนแปลงนี้ทำเอาอัศวินร่วมกลุ่มอีก ๓ คนตกใจจนขวัญบิน ต่างก็รีบถอยอย่างรวดเร็วทันที

แม้ผู้เล่น ๓ รายที่เพิ่งจะเข้ามาร่วมในกลุ่มจะไม่ได้ลงมือโจมตีพร้อมกับพวกเฮยโถวทั้ง ๖ คน แต่ก็ฉวยโอกาสพุ่งเข้าเล่นงานอัศวินที่พากันถอย

อัศวินทั้งสามที่ยังขวัญหนีดีฝ่อไม่หายถอยได้เร็วมากอยู่หรอก น่าเสียดายที่ระหว่างกำลังชุลมุน พวกนี้ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าอเล็กซ์ได้อ้อมไปรออยู่ที่ด้านหลังทางถอยเรียบร้อยแล้ว แขนล่ำบึ้กเหวี่ยงวูบ ค้อนดาวตกวาดเป็นเส้นอันงดงามพุ่งเข้าถูกอัศวินที่กำลังเร่งถอยอย่างรวดเร็ว ๑ ใน ๓ คนพอดิบพอดี

ร่างที่กระเด็นหวือยังไม่ทันตกถึงพื้น กระบองห่วงทองในมืออู้คงได้เปลี่ยนเป็นเงากระบอง ๙ สายพุ่งเข้าโจมตีซ้ำอย่างฉับพลัน ได้ยินเสียงกระบองปะทะเป้าหมายดังเปรี้ยงๆๆๆ ! ติดๆ กันเป็นชุด เสียงร้องของอัศวินยังไม่ทันสุด หลายฝูก็ส่งเสียงหอน แล้วปล่อยเงาดำสายหนึ่งก็พุ่งวาบเข้าไปในเงากระบอง จากนั้นอัศวินเคราะห์ร้ายก็ถูกผ่าเป็นสองซีกคาที่

เฉินเฟิงได้รับเสียงแจ้งจากระบบว่า ทักษะบัญชาการ ทักษะบุกทะลวง และทักษะสื่อสารเลื่อนอย่างละ ๑ ระดับ ระดับของอู้คง หลายฝู และตัวเขาเองเลื่อนขึ้น ๑ ระดับ เขาสังเกตเห็นในตอนนั้นเองว่าดูเหมือนทุกครั้งที่จะได้เลื่อนระดับ จะมีโอกาสได้ใช้ทักษะที่ปกติไม่เคยมีเสมอ

ท่าที่อู้คงกับหลายฝูใช้เมื่อครู่ดูเหมือนจะเป็นทักษะพิเศษ เพียงแต่ยังอยู่ในระหว่างต่อสู้ จึงไม่มีโอกาสตรวจสอบอย่างละเอียด นอกจากนี้ที่น่าประหลาดใจคือ ตัวเขาไม่ได้ใช้ท่าบุกทะลวงเอง แค่บัญชาการให้พวกพ้องร่วมกลุ่มบุกทะลวง ก็ได้เลื่อนระดับด้วยเหมือนกัน

ในเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่นาที สถานการณ์ต่อสู้ได้พลิกผันอย่างกะทันหัน เหล่าอัศวินของขบวนอัศวินมังกรเองก็ถูกเสียงร้องโหยหวนสองเสียงนี้ทำเอาเสียขบวนไปเหมือนกัน ส่วนพวกผู้เล่นที่มาช่วยต่างก็ยิ่งคึกคักฮึกเหิมกันถ้วนหน้า

พวกอัศวินที่กระจัดกระจายอยู่ในกลุ่มผู้เล่นต่างก็ถูกบีบกลับไปอยู่ข้างตัวหลงเยี่ยอิ่ง แล้วผู้เล่นทั้ง ๓๐ กว่าคนก็สามารถล้อมขบวนอัศวินมังกรทุกคนเอาไว้ได้สำเร็จ

ทันใดนั้นมังกรผงาดฟ้าที่กำลังสู้อยู่กับหลงเยี่ยอิ่งปัดการโจมตีของอีกฝ่ายออกไปแล้วร้องตะโกนว่า

“ทุกคนระวัง !”

น่าเสียดายที่พูดยังไม่ทันจบ หลงเยี่ยอิ่งก็บัญชาให้เหล่าอัศวินใช้ท่าโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของพวกอัศวิน...“ประสานบุกทะลวง !”

อัศวิน ๑๖ คนใช้ท่าบุกทะลวงขึ้นพร้อมกัน สภาพตรงหน้ากลายเป็นเหมือนถูกรถถัง ๑๐ กว่าคันบดขยี้ผ่านในพริบตา หลังเสียงกึกก้องกัมปนาทสงบลง วงล้อมของพวกผู้เล่นได้ถูกทะลวงแตกระเบิดออกเป็นช่อง และแน่นอน...ผู้เล่นที่เดิมอยู่ตรงช่องนี้ทั้ง ๗ คนต่างตายคาที่ ไม่มีแม้แต่โอกาสจะใช้ม้วนคาถากลับบ้าน

สถานการณ์รบพลิกผันอีกครั้ง ขบวนอัศวินมังกรเปลี่ยนเป็นกลุ่มละ ๘ คน จากนั้นก็มีผู้เล่นใช้ม้วนคาถากลับบ้านหนีกลับเมืองทุก ๒ - ๓ นาที แค่เวลาสั้นๆ ไม่กี่นาที สถานการณ์ได้เปรียบที่เพิ่งจะชิงมาได้ก็สลายไปเสียแล้ว

ทุกคนยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าทางด้านหลัง กองหนุนของขบวนอัศวินมังกรได้มาถึงแล้ว อัศวินแต่งกายเหมือนกัน ๕๐ กว่าคนห้อตะบึงเข้ามาหา ฝีเท้าม้า ๒๐๐ กว่าข้างตะกุยฝุ่นบนพื้นลอยขึ้นฟุ้งตลบ บดบังระยะสายตาในที่นั้นจนเหลือแค่ไม่ถึง ๒๐ เมตร

เมื่อฝุ่นที่ฟุ้งตลบจางไป สถานการณ์ก็พลิกผันอย่างรุนแรง ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายอัศวินมังกรสามารถรุม ๓ ต่อ ๑ ได้ไปเสียแล้ว ผู้เล่นที่เข้ามาช่วยในตอนแรก ๕๐ กว่าคนเหลืออยู่แค่ไม่ถึง ๒๐ คนในพริบตา ต่างพร้อมใจกันสู้พลางถอยพลางโดยไม่ได้นัดแนะ ผ่านไปอีกสองพริบตา ก็เหลือแค่พวกเฉินเฟิงกับมังกรผงาดฟ้าและพวกอัศวินที่เขาพามาด้วย แถมยังพลิกกลับกลายมาเป็นฝ่ายถูกล้อมอีกต่างหาก

หลงเยี่ยอิ่งยกมือซ้ายขึ้นช้าๆ อัศวินทั้ง ๖๐ กว่าคนก็ถอยห่างออกไปหลายก้าว แต่ยังคงล้อมพวกเฉินเฟิงทั้ง ๑๕ คนเอาไว้อยู่เหมือนเดิม หลงเยี่ยอิ่งจ้องหน้ามังกรผงาดฟ้าแต่ไกล แม้ต่างไม่ได้พูดอะไรกันทั้งคู่ แต่ทุกคนต่างก็รู้สึกได้ถึงประกายไฟอันแรงกล้า

เวลาเหมือนหยุดชะงัก ผู้คนรายรอบหายไปจากคลองจักษุ นัยน์ตาสี่ดวงที่จ้องเขม็งกันแต่ไกลต่างลุกโรจน์ด้วยเพลิงพิโรธ !

หลงเยี่ยอิ่งพลันพูดขึ้นว่า

“ทำไม ?”

แม้จะสั้นๆ แค่สองพยางค์ แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทำเอาทุกคนที่ได้ยินต่างงุนงง แล้วพากันหันตามสายตาของหลงเยี่ยอิ่งไปจับอยู่ที่มังกรผงาดฟ้า ต่างเกิดความรู้สึกว่าสองคนนี้ไม่ได้เป็นแค่ศัตรูคู่อาฆาตกันเฉยๆ เสียแล้ว

มังกรผงาดฟ้าถอนหายใจยาว แล้วพูดเนิบๆ

“เพราะนายเปลี่ยนไปแล้ว นายลืมปณิธาณในตอนที่ก่อตั้งอัศวินมังกรไปแล้ว ! นายรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้พวกนั้นทำอะไรกันบ้าง ? ปล้นสะดม รังแกคนอ่อนแอ หลอกเอาเครื่องป้องกันจากสมาชิกใหม่ ถึงขนาดคุกคามความเป็นอยู่นอกเกมของผู้เล่น !

“นายแคร์แต่กับพวกลูกรักคนสนิทของนาย นายยังมีปณิธาณเหลืออยู่อีกหรือเปล่า ? นายยังจำเป้าหมายได้อยู่มั้ย ? ขบวนอัศวินมังกรน่ะกลายเป็นขบวนมหาโจรไปแล้ว นายยังไม่รู้ตัวอีกหรือ !?” ยิ่งพูดก็ยิ่งพลุ่งพล่านดาลเดือดมากขึ้นทุกขณะจนช่วงท้ายแทบจะกลายเป็นตะโกนอยู่รอมร่อ

สีหน้าหลงเยี่ยอิ่งปั้นยากสุดจะบรรยาย หันไปถามทางด้านหลังว่า

ไร้คุณธรรมไม่โดดเดี่ยว (อู๋เต้าปู้กู) ที่เฟยหลงพูดมามันจริงหรือเปล่า ?”

ไร้คุณธรรมไม่โดดเดี่ยวคือ ๑ ใน ๓ อัศวินที่ติดตามอยู่ข้างกายหลงเยี่ยอิ่ง

ไร้คุณธรรมไม่โดดเดี่ยวอึ้งไปชั่วขณะ แล้วพูดว่า

“ลูกพี่ ที่พวกเราติดตามลูกพี่เป็นเพราะมีช่องทางหาเงิน ถึงพี่น้องบางคนจะทำเกินไปนิด แต่อบรมซะหน่อยก็ได้แล้วนี่ มังกรผงาดฟ้ามันเอาแต่ทำเป็นอวดเก่ง ถึงขนาดลงไม้ลงมือกับพี่น้องกันเอง ลูกพี่ก็รู้นี่ว่ามันทำให้พี่น้องเราต้องถูกลดระดับไปตั้งกี่คนต่อกี่คนแล้ว

“กะอีแค่ปล้นนิดๆ หน่อยๆ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ตรงไหน แต่ลงไม้ลงมือกับพี่น้องกันเองนี่สิที่ไม่น่าให้อภัยไม่ใช่หรือไง !”

เขายิ่งพูด สีหน้าหลงเยี่ยอิ่งก็ยิ่งแดงก่ำ จนตอนท้ายแทบจะกลายเป็นสีเลือดหมูอยู่รอมร่อ หลงเยี่ยอิ่งตวาดลั่น

“ไร้เหตุผลสิ้นดี !”

ขณะจะระเบิดโทสะ เสียงจากระบบก็พลันดังขึ้นว่า

“สมาพันธ์ขบวนอัศวินมังกรเกิดการกบฏ รองหัวหน้าสมาพันธ์ไร้คุณธรรมไม่โดดเดี่ยวประกาศถอดตำแหน่งหัวหน้าสมาพันธ์ หัวหน้าสมาพันธ์มีเวลา ๓ ชั่วโมงในการจัดการกับผู้ก่อการกบฏ”

ตอนที่ไร้คุณธรรมไม่โดดเดี่ยวกำลังพูด ก็ถอยออกจากข้างตัวหลงเยี่ยอิ่งไปแล้ว ถึงการพูดไปพลางก้าวถอยหลังไปพลางจะดูพิลึกมาก แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะประกาศขอถอดตำแหน่งหัวหน้าสมาพันธ์

หลงเยี่ยอิ่งสั่งเหล่าอัศวินให้ฆ่าไร้คุณธรรมไม่โดดเดี่ยวในอาการโกรธแทบคลั่ง น่าเสียดายที่อัศวินทั้ง ๖๐ กว่าคนมีคนขยับตามคำสั่งอยู่แค่ไม่กี่คน เนื่องจากคำสั่งหลงเยี่ยอิ่งเพิ่งจบลง ระบบก็ส่งเสียงขึ้นอีกครั้งว่า

“รองหัวหน้าสมาพันธ์ มีเงินสิใหญ่สุด (โหย่วเฉียนจุ้ยต้า) ประกาศสนับสนุนการถอดตำแหน่งหัวหน้าสมาพันธ์ของไร้คุณธรรมไม่โดดเดี่ยว : รองหัวหน้าสมาพันธ์ สวรรค์มีตา (ชางเทียนโหยวเหยี่ยน) ประกาศสนับสนุนการถอดตำแหน่งหัวหน้าสมาพันธ์ของไร้คุณธรรมไม่โดดเดี่ยว : รองหัวหน้าสมาพันธ์ ดาวหมาป่าสวรรค์ (เทียนหลางซิง) ประกาศสนับสนุนการถอดตำแหน่งหัวหน้าสมาพันธ์ของไร้คุณธรรมไม่โดดเดี่ยว

“การประกาศถอดตำแหน่งหัวหน้าสมาพันธ์ของไร้คุณธรรมไม่โดดเดี่ยวประสบความสำเร็จ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าสมาพันธ์ของสมาพันธ์ขบวนอัศวินมังกร อดีตหัวหน้าสมาพันธ์หลงเยี่ยอิ่งถูกสมาพันธ์ขบวนอัศวินมังกรประกาศจับโดยอัตโนมัติเป็นเวลา ๑ วัน”

การต่อสู้อุบัติขึ้นอีกครั้ง มีอัศวินไม่ใช่น้อยยืนกรานขอลาออกทันทีที่หลงเยี่ยอิ่งถูกถอดตำแหน่ง และถูกขบวนอัศวินมังกรประกาศจับโดยอัตโนมัติทันควัน เพียงแต่อัศวินที่อยู่ข้างหลงเยี่ยอิ่งมีจำนวนน้อยกว่าอัศวินที่อยู่ข้างไร้คุณธรรมไม่โดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด มังกรผงาดฟ้าเองก็กระโดดเข้าร่วมวงต่อสู้ทันทีเหมือนกัน แต่ครั้งนี้เขาช่วยฝ่ายที่ตัวเรืองแสงสีม่วง นั่นคือฝ่ายของหลงเยี่ยอิ่งที่เพิ่งจะถูกประกาศจับไปหยกๆ

ชั่วอึดใจเดียวพวกเฉินเฟิงก็เปลี่ยนจากดาวเด่นของงานกลายเป็นไร้คนแยแสจนได้แต่ยืนตะลึงดูมหาสงครามอัศวินเบิกโรงแสดงกันอยู่ตรงนั้นเอง

เนื่องจากอัศวินแต่ละคนต่างก็มีระดับและฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกันทั้งนั้น บวกกับไม่ใช่การต่อสู้แบบมีระบบอย่างเมื่อครู่ พวกเรืองแสงสีม่วงซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าจึงถูกล้อมจนมากระจุกรวมกันเป็นวงเล็กๆ อย่างรวดเร็ว ส่วนพวกเฉินเฟิงต่างก็ถูกบีบจนออกไปอยู่นอกวงล้อมกันหมดทุกคน

ถึงแม้หลงเยี่ยอิ่งกับมังกรผงาดฟ้าต่างก็เก่งกาจห้าวหาญเหนือธรรมดา ต่างก็บัญชาใช้ท่าประสานบุกทะลวงกันไปแล้วคนละครั้งจนฆ่าอัศวินฝ่ายตรงข้ามไปได้ถึง ๗ คนในรวดเดียว แต่คนเก่งก็สู้คนมากไม่ได้อยู่ดี ดูวี่แววแล้วการต่อสู้คงจะยุติลงในอีกไม่ช้า

หยกม่วงพูดขึ้นว่า “พี่เฟิง ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี ? อีตายอดหยิ่งนั่นโดนถอดตำแหน่งซะแล้ว พวกอัศวินที่มาช่วยเราดันหันไปช่วยตานั่นเสียด้วย แล้วพวกเราควรจะช่วยทางไหนดี ?”

เฉินเฟิงเองก็กำลังปวดหัวกับปัญหานี้อยู่เหมือนกัน ความจริงถ้าพูดถึงพละกำลังและความสามารถแล้ว ไม่ว่าฝ่ายไหนพวกเขาก็สู้ไม่ไหวทั้งนั้น เมื่อกี้มันเพราะพวกนี้เล็งมาที่เขา เขาหมดทางหลบเลี่ยงถึงได้แข็งใจยืดอกรับ แต่ตอนนี้คนของทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้หันมาสนใจพวกเขากันเลย อย่างนั้นพวกเขายังควรจะกระโดดลงปลักโคลนนี้อยู่อีกหรือเปล่า ?

มังกรผงาดฟ้าเคยช่วยพวกเขามาหนหนึ่ง พอจะฝืนใจนับได้ว่าเป็นเพื่อน แต่ตอนนี้เขาดันไปช่วยหลงเยี่ยอิ่งเสียนี่ ถึงแม้จากคำสนทนาของทั้งสองเมื่อครู่ทำให้พอจะเดาได้ว่าหลงเยี่ยอิ่งไม่ได้รู้เรื่องพฤติกรรมของพวกลูกน้องเลยแม้แต่น้อย พอมองแบบนี้แล้วเขาก็น่าสงสารเอาการอยู่

แต่จะน่าสงสารยังไงมันก็เรื่องภายในของเขา แถมกิริยาท่าทางกับวิธีจัดการเรื่องราวของหลงเยี่ยอิ่งเมื่อครู่ทำให้เฉินเฟิงไม่นึกอยากจะช่วยเขาแม้แต่น้อย

วันนี้ถ้าหลงเยี่ยอิ่งมีเหตุผลมากกว่านี้หน่อย ยอมรับฟังคำอธิบายและดำเนินการพิสูจน์ข้อเท็จจริง พวกเขา ๗ คนอาจจะไม่ต้องโดนบีบให้รับศึกก็ได้ เฉินเฟิงถามความเห็นของอีก ๙ คน ผลปรากฏว่าต่างก็คิดเหมือนกับเฉินเฟิง กระทั่งผู้เล่นที่เพิ่งจะมาเข้าร่วมกลุ่มแบบฉุกเฉิน ๓ คนก็คิดแบบเดียวกัน

สุดท้ายมติเอกฉันท์คือ ไม่ช่วยฝ่ายไหนทั้งนั้น คนทั้ง ๑๐ ต่างก็ค่อยๆ ถอยออกจากวงต่อสู้ช้าๆ

ไม่ถึง ๕ นาที ฝ่ายตัวเรืองแสงสีม่วงก็เหลืออยู่แค่ ๕ คน ขณะที่พวกเฉินเฟิงทั้ง ๑๐ คนซึ่งดูอยู่ห่างๆ กำลังถกกันอยู่ว่าจะไปจากสนามรบนี้กันเลยดีหรือเปล่า กลุ่มอัศวินจำนวน ๖ คนก็พุ่งตรงเข้ามาโจมตี ทั้ง ๑๐ จึงถูกบีบให้ต้องทำการป้องกันไปโดยปริยาย

ในเพื่อนใหม่ที่เพิ่งมาเข้าร่วมกลุ่ม ๓ คน มีอยู่ ๒ คนถือดาบ อีกคนถือธนู เนื่องจากทั้ง ๓ ได้เห็นเฉินเฟิงร่วมประสานกับคนทั้ง ๖ ฆ่าอัศวินคนหนึ่งไปในพริบตา และตัวคนเดียวร่วมประสานกับพวกสัตว์เลี้ยงฆ่าอัศวินไปอีกคนมาแล้ว จึงยอมรับนับถือพลังความสามารถของเฉินเฟิงโดยไร้ข้อกังขามาแต่แรก และต่างบอกว่ายินดีเชื่อฟังการบัญชาการของเฉินเฟิง

การประสานบุกทะลวงครั้งแล้วครั้งเล่าติดตรึงอยู่ในใจเฉินเฟิงอย่างลึกล้ำ ถึงแม้ตัวเขาจะยังไม่มีทักษะนั้น แต่จากประสบการณ์ที่ได้ประสานโจมตีกันมาแล้ว ๒ ครั้ง ทำให้ทราบว่าหากประสานกันได้ดีพอ ผลลัพธ์จะไม่ใช่เล่นๆ เลยทีเดียว

เขาแบ่งตำแหน่งรับศึกอย่างรวดเร็ว โดยขอให้ผู้เล่นที่ถือดาบทั้ง ๒ คน กระต่ายคลั่งหนีจาก (เฟิงขวงเป้าโจ่วทู่) และ ฉินซวง (แซ่ฉิน ชื่อซวง-น้ำค้างแข็ง) แยกย้ายยืนอยู่สองด้านซ้ายขวาของเขา พวกเฮยโถว ๖ คนอยู่ด้านหลังเขา ส่วนผู้เล่นที่ถือธนู ปีกของซาตาน (ซาต้านเตออวี่อี้) ยืนอยู่ด้านหลังสุดของขบวน

ถึงแม้พลังโจมตีของนักดาบจะสู้อัศวินไม่ได้ แต่ทุกคนจะมีโล่ไว้เพิ่มพลังป้องกัน เฉินเฟิงเองก็เอาโล่เหล็กกลมออกมาถือไว้ในมือซ้าย

ทักษะประสานโจมตีน่าจะเป็นทักษะย่อยของระดับที่สูงไม่ใช่น้อย ในตอนนี้ผู้เล่นที่สามารถใช้ทักษะนี้ได้น่าจะมีไม่มากนัก หากให้รับมือแค่ทักษะบุกโจมตีและบุกทะลวงล่ะก็ ยังพอรับมือได้ไม่ยากอยู่

ชั่วขณะนั้นเฉินเฟิงให้คิดถึงพวกขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ขึ้นมานิดหน่อย ในกลุ่มของเขาไม่มีอาชีพจอมเวทและนักบวช ต่อให้มีคนมากแค่ไหน ก็ไม่ได้ช่วยให้แข็งแกร่งขึ้นสักเท่าไหร่

เฉินเฟิงฉวยโอกาสปลอดส่งยาฟื้นพลังระดับสูง ๓๐ กว่าขวดไปให้ปีกของซาตาน ให้เธอเน้นช่วยฟื้นพลังให้พวกพ้องเป็นหลัก โจมตีเป็นรอง แล้วคนทั้ง ๑๐ ก็สู้พลางถอยพลาง

หลงเยี่ยอิ่งบัญชาท่าประสานโจมตีอีกครั้ง ถึงแม้จะเหลืออัศวินอยู่แค่ ๕ คน แต่อานุภาพยังคงมหาศาลจนน่าตระหนกอยู่ดี พริบตาเดียวเก็บอัศวินไปได้ถึง ๔ คน แถมยังประสบความสำเร็จในการทะลวงฝ่าวงล้อม ต่างก็ห้อตะบึงถอยหนีไปทางเมืองมังกรเมฆ ซึ่งเป็นทิศตรงข้ามกับที่พวกเฉินเฟิงถอยพอดี ในไม่ช้าคนของทั้งสองฝ่ายก็หายไปจากคลองจักษุ

อัศวิน ๓ คนใช้ท่าบุกทะลวงพร้อมกัน

“เคล้ง !”

“อ๊าก !”

ฉินซวงแผดร้องลั่น แล้วกระอักเลือดออกมา ในมือขวาเหลือแต่ที่จับของโล่ โชคดีที่อเล็กซ์กับอู้คงรีบเข้ามาแทนที่ตำแหน่งนั้นทันเวลา ปีกของซาตานเองก็รีบเติมพลังชดเชยให้เลือดที่เสียไปทันควัน

ช่างเป็นพลังโจมตีที่น่าขนลุกเป็นบ้า โล่ที่ฉินซวงถือไม่ใช่โล่เหล็กกลมธรรมดานะนั่น แต่น่าจะเป็น “โล่สัมฤทธิ์” ที่เป็นชุดอาวุธเครื่องป้องกันซึ่งได้รับมอบมาตอนที่ได้อาชีพนักดาบ เมื่อคำนวณจากความสามารถในการรับพลังโจมตีได้สองเท่าตัวของโล่แล้ว พลังโจมตีของการประสานโจมตีครั้งนี้ อย่างน้อยต้องสูงกว่า ๑,๕๐๐ จุด !

เฉินเฟิงทราบดีว่าขืนยังปล่อยให้อัศวิน ๖ คนนี้ประสานโจมตีต่อไปโดยไม่รีบหาทางคลี่คลายสถานการณ์ล่ะก็ โอกาสที่จะเจอท่าประสานโจมตีแบบนี้ต้องมากขึ้นทุกทีแน่ ถ้าทั้งกลุ่มใช้ม้วนคาถากลับบ้าน กลับไปถึงเมืองมังกรเมฆ ก็เป็นถิ่นของพวกอัศวินอยู่ดี ซึ่งไม่ต่างอะไรเลยกับไม่ได้หนี

เขาลองมองช่องทักษะในนาฬิกา ก็พบว่าแถบพลังการใช้ทักษะกลับมาเป็นสีเขียวอีกครั้งแล้ว อันหมายความว่าสามารถใช้ทักษะได้อีก ๑ ครั้ง จึงลองพิจารณาทักษะทั้งหมดที่มีในตอนนี้ดู วิชาตรวจสอบมีขั้นสูงที่สุด แต่ไม่มีพลังโจมตี วายุมังกรหมุนก็ไม่แรงพอจะเอามาใช้กับอัศวินพวกนี้ คาถาพรางกายนี่ไม่ต้องแม้แต่จะคิด ทักษะที่เป็นฝ่ายกระทำทักษะเดียวที่เหลืออยู่ มีแต่ทักษะปลุกใจเท่านั้น

ประเด็นสำคัญอยู่ที่จะใช้เวลา ๑๐ นาทีที่พลังต่อสู้ของพวกพ้องเพิ่มขึ้น ๑๐% นี้ยังไงดี

เฉินเฟิงส่งโล่เหล็กกลมของตัวเองไปให้ฉินซวง แล้วตวัดแส้เทพสีหราชในมือสำแดงอานุภาพอย่างเต็มที่ แส้ยืดออกยาวเหยียดในพรวดเดียว เปลี่ยนแปรเลี้ยวลดยากหยั่งคาด ถึงแม้พลังโจมตีจะไม่สูง แต่ก็ก่อกวนพวกอัศวินที่กำลังเตรียมจะประสานโจมตีอีกครั้งจนเสียขบวนไปเหมือนกัน

ทันใดนั้นห่าฝนได้ข้ามผ่านเหนือศีรษะของเฉินเฟิงตรงเข้าโจมตีใส่กลุ่มอัศวินที่ถูกก่อกวนจนเสียรูปขบวน พริบตานั้นสถานการณ์คับขันได้คลี่คลาย พวกเฉินเฟิงสามารถเพิ่มระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายสำเร็จจนได้

ฉินซวงกลับไปยังตำแหน่งเดิมอีกครั้ง พวกเฮยโถว ๖ คนต่างฉวยโอกาสซัดดาวกระจายใส่พวกอัศวินไปกันคนละไม่ใช่น้อย ปีกของซาตานท่องคาถาเบาๆ แล้วแถมทักษะพิเศษย่อยของนายพราน “ศรวายุเพลิงกัลป์” ช่วยซ้ำเข้าให้

“วิชาพิรุณกระหน่ำ !”

มีจอมเวทมาช่วยหรือ ?

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะหันไปดูว่าใครมาช่วย เฉินเฟิงส่งข้อความไปบอกให้ทุกคนเตรียมพร้อมเล็งโจมตีอัศวินที่ยืนล้ำออกมาข้างหน้ามากกว่าเพื่อนพร้อมกัน ในที่สุดหลังจากหวดโดนเป้าหมายไปได้ ๒๐ กว่าครั้ง อานุภาพขู่ขวัญที่กำลังรอคอยก็ปรากฏให้เห็น พวกเฮยโถวทั้ง ๖ ใช้ท่าบุกทะลวงพร้อมกันอย่างฉับพลัน

“อ๊าก !”

อัศวินเคราะห์ร้ายร่วงลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้นในบัดดล

เฉินเฟิงเองก็ไม่อยู่ว่าง ชักดาบซามูไรออกมา เท้าหนีบท้องซวงเว่ย ใช้ท่าบุกทะลวงสองเท่าโจมตีอัศวินอีกคนทันที แน่นอนว่าอเล็กซ์กับอู้คงตามติดไปด้วยพร้อมกัน

“เช้ง ! เปรี้ยง ! เปรี้ยง !”

เสียงอาวุธปะทะกันหนักๆ สามเสียง ถึงจะไม่ถึงกับปลิดชีวิตอัศวินคนนี้ได้ แต่ก็ทำเอาเจ้าตัวขวัญบินจนทิ้งเพื่อนพ้องชักม้าหนีทันที

แต่คนไร้คุณธรรมแบบนี้จะให้มีจุดจบที่ดีได้ยังไง ?

พริบตานั้นเสือดาวหิมะตัวหนึ่งได้ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังอัศวินคนนี้อย่างกะทันหันราวกับเงาพราย

“อ๊ากกกก !”

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง แล้วอัศวินรายนี้ก็กลายเป็นแสงสีขาวติดตามเพื่อนที่ถูกฆ่าในพริบตาเมื่อก่อนหน้าสลายหายไป

เนื่องจากพวกนี้เป็นฝ่ายลงมือโจมตีก่อนด้วยเจตนาร้าย ดังนั้นตัวจึงเรืองแสงสีแดง อันหมายความว่าผู้เล่นทุกคนสามารถโจมตีผู้เล่นคนนี้ได้โดยไม่ต้องถูกลงโทษ

เสียงแจ้งจากระบบเพิ่งจะหยุดไปหมาดๆ เนื่องจากอัศวินสองคนนี้ต่างก็มีระดับสูงถึง ๔๕ - ๔๖ ดังนั้นทักษะของเฉินเฟิงจึงได้เลื่อนขึ้นหลายอย่างมาก ได้แก่ ทักษะบัญชาการได้เลื่อนขึ้น ๑ ระดับ ชื่อตำแหน่งเลื่อนจากหัวหน้ากลุ่มเป็นหัวหน้าหมู่ จำนวนสมาชิกในกลุ่มสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น ๒๐ คน : ทักษะขี่ม้า , บุกโจมตี , บุกทะลวง , สังหารด้วยโทสะ , ธนู , ยิงรัว , ใช้แส้ , สื่อสาร และทักษะชื่อเสียงต่างก็เลื่อนขึ้น ๑ ระดับ เรียกได้ว่าสุดยอดแห่งการเลื่อนระดับโดยแท้

ทักษะขี่ม้าและทักษะบุกทะลวงต่างก็ครบ ๑๐ ระดับแล้ว ซึ่งก็ได้ทักษะย่อย “รวมร่าง” และ “สองคนบุกทะลวง” มา ในจำนวนนี้ทักษะรวมร่างมีประสิทธิภาพทำให้เวลาขี่สัตว์เลี้ยง กำลังของสัตว์เลี้ยงจะสูญเสียช้าลง ๒๐% ส่วนทักษะสองคนบุกทะลวงเป็นทักษะที่เป็นฝ่ายกระทำ และมีเงื่อนไขติดมาด้วย นั่นคือผู้ที่ร่วมบุกทะลวงด้วยจะต้องเข้าร่วมเป็นกลุ่มเดียวกัน

หลังจากจัดรูปขบวนใหม่เสร็จเรียบร้อย ผู้ที่มาช่วยเหลือก็ได้มาถึงข้างตัวของเฉินเฟิง เฉินเฟิงได้แต่ตกตะลึงเมื่อพบว่ากลุ่มผู้ช่วยเหลือคือขบวนนักเวทและสัตว์ที่เขากำลังคิดถึงอยู่หยกๆ นั่นเอง เมื่อมีคนทั้ง ๗ เข้าร่วม อัศวินที่เหลือ ๔ คนก็พากันเผ่นหนีไปทันทีโดยไม่มีการกล่าวทักทาย

เมื่อเฉินเฟิงเห็นว่าไม่มีอันตรายแล้ว ก็รีบแนะนำคนของทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกันทันที และฉวยโอกาสแลกเปลี่ยนชื่อในช่องเพื่อนกับเพื่อนใหม่ทั้ง ๓ คน จากนั้นเสียเวลาไปพักใหญ่กว่าจะเล่าจบว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง

ที่ขบวนนักเวทและสัตว์มาปรากฏตัวที่นี่ได้ เนื่องจากจะไปเมืองมังกรเมฆเพื่อขายก้อนโลหะกันพอดี ตอนนี้ข้างหน้าพวกอัศวินกำลังรบกันนัวเนีย จึงไม่สะดวกจะผ่านไปเสียแล้ว คนทั้ง ๑๗ ได้แต่มุ่งหน้าไปยัง “เมืองห่ายเทียน” (เมืองทะเลสวรรค์) ที่อยู่ทางเหนือแทน เผื่อว่าอีกสักครู่อาจพบพวกอัศวินที่ยังไม่ยอมตัดใจตามมาหาเรื่องต่อ จะได้เลี่ยงไม่ต้องเจอกัน แน่ละว่าไม่ใช่เพราะกลัวพวกนั้น แต่เพราะไม่ควรค่าแก่การลงมือต่างหาก

ได้ยินว่าตอนนี้ยังมีผู้เล่นอีกจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าไปยังสนามรบ ซึ่งก็คือสมาชิกของสมาพันธ์ต่อต้านสมาคมอัศวินที่เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นล่าสุด จำนวนคนอย่างน้อยเกือบ ๑๐๐ คน ถึงตอนนั้นสถานการณ์คงยิ่งสับสนกว่าเดิมแน่ แม้พวกขบวนนักเวทและสัตว์จะคิดว่าหลงเยี่ยอิ่งน่าสงสารอยู่เหมือนกัน แต่เขาก็ทำตัวเองทั้งนั้น จะไปโทษใครเขาได้

ระหว่างที่กำลังว่างๆ กัน เฉินเฟิงได้ถามคำถามขึ้นคำถามหนึ่งที่ทำให้ถูกทุกคนหัวเราะใส่ทันที นั่นคือทำไมตัวหลงเยี่ยอิ่งถึงกลายเป็นสีม่วง ไม่ใช่สีแดงอย่างพวกที่ถูกประกาศจับทั่วๆ ไป ?

ปรากฏว่าระบบประกาศจับของเกมราชาฯแบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนที่ทางระบบเป็นผู้ประกาศ ตัวผู้เล่นจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ผู้เล่นทุกคนต่างก็สามารถไล่ฆ่าได้ อีกส่วนคือส่วนที่กลุ่ม สมาคม หรืออาณาจักรประกาศจับ ตัวผู้เล่นจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง มีแต่สมาชิกของกลุ่ม สมาคม หรืออาณาจักรเท่านั้นที่สามารถไล่ฆ่าได้ หากผู้เล่นคนอื่นต้องการจะเข้าร่วมในการไล่ล่า ก็จำเป็นต้องได้รับหนังสือเชิญก่อนจึงจะเข้าร่วมได้

แต่เหล่านี้ต่างก็เป็นระเบียบการที่เพิ่งจะประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ทั้งสิ้น ถึงแม้เฉินเฟิงจะไปเดินๆ ดูที่บอร์ดสนทนามาแล้ว แต่เขาก็ยังทำตัวเหมือนเคย นั่นคือคำอธิบายของเรื่องที่เขาคิดว่าตัวเองคงไม่ได้ใช้ เขาก็จะไม่เสียเวลาไปอ่านเด็ดขาด

เมืองห่ายเทียนเป็นเมืองท่าของระบบอีกหนึ่งเมือง ทุกคนต่างเข้าไปพักผ่อนกันในโรงแรมห่ายเทียน แล้วสั่งอาหารมารับประทานกันเต็มโต๊ะใหญ่

เฉินเฟิงเอาไอเท็มที่ได้มาจากอัศวินทั้ง ๔ คนออกมาวาง มีทวนขนาดมหึมา ๑ เล่ม , แหวน ๒ วง , เกราะอกของอัศวิน ๗ ชิ้น , หมวกเกราะ ๒ ชิ้น , เกราะส่วนสะโพก ๒ ชิ้น ยังมีเหรียญทองอีก ๖๗๐ เหรียญ เหรียญเงินหนึ่งหมื่นกว่าเหรียญ

ทุกคนต่างตกตะลึงตาค้าง เพราะไม่มีใครเห็นเลยว่าเฉินเฟิงเอาเวลาที่ไหนไปเก็บมาตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่าว่าแต่อัศวิน ๔ คนนั้นไม่น่าจะให้ของได้ตั้งมากมายขนาดนี้

ทันใดนั้นอะไรก็ได้โพล่งถามขึ้นว่า “คงไม่ใช่ผลงานของหลายฝูหรอกนะ ? ถ้าใช่ล่ะก็ ไม่ว่ายังไงผมต้องไปจับมาสักตัวให้ได้ นี่มันอัจฉริยะในการเก็บสมบัติแท้ๆ !”

พออะไรก็ได้พูดขึ้นปุ๊บ ทุกคนต่างก็เข้าใจทันที มีแต่เพื่อนใหม่สามคน กระต่างคลั่งหนีจาก ฉินซวง และปีกของซาตานที่ยังคงงงอยู่ ปีกของซาตานถามขึ้นอย่างสงสัยว่า

“หลายฝูคืออะไรหรือคะ ? เป็นไอเท็มเครื่องป้องกันหรือสัตว์เลี้ยง ? มีประโยชน์ตั้งขนาดนี้ แต่ทำไมไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนเลย ?”

หนานอี๋ยิ้มพลางอธิบายแทนเฉินเฟิงว่า หลายฝูเป็นชื่อของสุนัขซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของเฉินเฟิง แต่ได้ยินมาว่าจับยากมาก แถมยังชมว่าชื่อนี้ตั้งได้ดีมาก เธอละอยากให้เฉินเฟิงยกหลายฝูให้เธอสุดๆ แน่นอนว่าตอนท้ายนั้นเธอแค่พูดเล่น

มื้อนี้ทุกคนต่างก็หารกันออก เนื่องจากขบวนนักเวทและสัตว์แค่ลงมือช่วยตอนท้ายเพียงเล็กน้อย ดังนั้นจึงขอแบ่งเพียงเหรียญเงินจำนวนเล็กน้อย ไม่ว่าจะคะยั้นคะยอยังไงก็ไม่ยอมรับมากไปกว่านี้

เฉินเฟิงได้รับแบ่งทวนยาว แหวน ๑ วง กับเงินอีก ๓๐๐ เหรียญทอง นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนยืนกรานให้เขารับไว้ เพราะถ้าไม่มีหลายฝูของเขา ทุกคนคงไม่มีทางเก็บของพวกนี้มาได้สักอย่างเดียวแน่ อย่าว่าแต่หากเฉินเฟิงคิดจะแอบฮุบเอาไว้เอง ก็คงไม่มีใครรู้เห็นอยู่ดีว่าเขาเก็บไอเท็มมาได้ตั้งมากขนาดนี้ แต่ทุกคนต่างก็เคยร่วมมือกับเฉินเฟิงมาแล้ว จึงพอจะรู้นิสัยของเขาดี และแบ่งกันหยิบไอเท็มไปคนละชิ้นสองชิ้นอย่างไม่ต้องเกรงใจมากความ

กระต่ายคลั่งหนีจาก ฉินซวง และปีกของซาตานเพิ่งจะได้เปิดหูเปิดตาเป็นครั้งแรก ของพวกนี้ใช่ว่าจะมีค่ามากมายอะไรนัก แต่เรื่องที่คน ๑๐ กว่าคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมเกลียวนี่สิที่ทำเอาเขาสามคนอดนึกอิจฉาไม่ได้

เฉินเฟิงบอกว่ายินดีรับซื้อก้อนโลหะของพวกขบวนนักเวทและสัตว์ เพราะตอนนี้มีแต่เขาคนเดียวที่สามารถไปมาเมืองมังกรเมฆได้อย่างอิสระ แต่ตอนนี้ราคาก้อนโลหะตกลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง ดังนั้นเขาคงต้องเอาไปวางกองไว้ในคลังเก็บไอเท็มก่อน

เมื่อทุกคนทราบว่าเฉินเฟิงซื้อบ้านแล้ว ก็ยิ่งตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าในเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน เขาจะหาเงินได้มากถึงขนาดนี้ แน่นอนว่าที่เขาทำได้นั้นเกี่ยวข้องกับการที่ก้อนโลหะขึ้นราคาโดยตรง

พวกเฮยโถวทั้ง ๖ ต่างก็เชิญให้ทุกคนไปขุดแร่ด้วยกัน กอบโกยกำไรจากช่วงเวลานี้ไว้สักหน่อยก็ไม่เลวอยู่ ทุกคนต่างตกลงรับคำเชิญนี้ด้วยความยินดี บางทีอาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากเฉินเฟิง ทำให้ไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจว่า ทำไมคนทั้ง ๖ ถึงยอมเผยความลับในการหาเงินออกมาง่ายๆ แบบนี้ได้ ?

หลังจากต่างก็เติมไอเท็มกันเป็นที่เรียบร้อย ทั้งขบวนรวม ๑๗ คนก็เริ่มออกเดินทาง จุดหมายปลายทางคือภูเขาแร่เหล็ก ต่างก็รีบไปหากำไรกันสักเล็กน้อยล่ะนะ !

 

หลังจากเร่งเดินทางไปได้กว่าครึ่งวัน ในที่สุดก็มาถึงเมืองมอร์ (More City) ในตอนกลางคืน หลังจากผ่านเมืองมอร์ไปแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกขบวนอัศวินตามไล่ฆ่าอีก

ความจริงตอนนี้เฉินเฟิงไม่จำเป็นต้องเดินทางแบบนี้เลย เมื่อซื้อบ้านของตัวเองแล้ว การจะไปภูเขาแร่เหล็กก็แค่ออกเดินทางจากเมืองท่าเซียงห่าย ประมาณ ๑ วันก็ไปถึงจุดหมายได้ แต่กรณีพิพาทกับพวกขบวนอัศวินเป็นเรื่องที่ทุกคนเผชิญมาด้วยกัน บวกกับเดินทางคนเดียวมันน่าเบื่อเกินไป เขาถึงได้ยอมรอร่วมเดินทางกับพวกเฮยโถวทั้ง ๖ คน และด้วยเหตุนี้ทำให้มีโอกาสได้พบกับพวกขบวนนักเวทและสัตว์และเพื่อนใหม่อีก ๓ คน

ถึงแม้จะเดินทางกันแค่ครึ่งเดียว เส้นทางครึ่งหลังต่างก็ใช้ม้วนคาถากลับบ้านกันแทน แต่เร่งเดินทางกันมาตลอดทางแบบนี้ ทุกคนต่างก็อดเพลียไม่ได้ หลังจากเข้าที่พักอาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อย เฉินเฟิงก็บอกลาทุกคน แล้วนัดกันว่าค่อยเจอกันที่เมืองท่าเซียงห่ายในอีก ๓ วันให้หลัง เพราะเมื่อมีพวกขบวนนักเวทและสัตว์ไปด้วยแบบนี้ บวกกับเส้นทางที่เหลือไม่ได้อยู่ในเขตอิทธิพลของขบวนอัศวินมังกรแล้ว เฉินเฟิงก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสียเวลาไปกับการเดินทางนี้อีก


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:32 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:24

0 ความคิดเห็น