หัวข้อ : เล่มที่ ๓ สงครามอัศวิน ตอนที่ ๗ แรกเผชิญอัศวิน

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:22

ตอนที่ ๗

 

แรกเผชิญอัศวิน

 

 

เทพมังกรผู้มอบอาชีพปรากฏกายอีกครั้ง พวกเฮยโถวทั้ง ๖ มีท่าทีเกร็งเขม็งเตรียมพร้อมรับศึก ทำให้เฉินเฟิงอดนึกถึงวิหารจันทราเทพไม่ได้ ตอนที่เขาได้อาชีพ เธอก็ทำท่าแบบนี้เหมือนกัน

ความจริงไม่ว่าใครได้เห็นเทพมังกรผู้มอบอาชีพเป็นครั้งแรก ก็น่าจะมีปฏิกิริยาเหมือนกันทั้งนั้นจริงไหม ?

เพียงแต่ครั้งนี้เป้าหมายของเทพมังกรผู้มอบอาชีพไม่น่าจะเป็นเฉินเฟิง เพราะเสียงแจ้งจากระบบเพิ่งจะจบเมื่อกี้นี้เอง การต่อสู้ครั้งนี้ ทักษะสังหารด้วยโทสะของเขาได้เลื่อนขึ้น ๑ ระดับ ครบ ๑๐ ระดับพอดี และมีทักษะย่อยแบบถูกกระทำที่ชื่อว่า “โจมตีอย่างบ้าคลั่ง” โผล่มา นอกจากนี้ทักษะเลือดฐาน , เสียสละ , อาวุธหนัก , ขี่ม้า , บุกโจมตี , บุกทะลวง , บัญชาการ , สื่อสาร เลื่อนขึ้นอย่างละ ๑ ระดับ

ได้เลื่อนระดับทักษะเป็นกองพะเนินก็จริงอยู่ แต่ก็ยังไม่บรรลุเงื่อนไขในการได้อาชีพ

ระหว่างที่กำลังเดาว่าในคนทั้ง ๖ ใครที่บรรลุเงื่อนไขในการได้อาชีพ เทพมังกรก็ไปมาดุจสายลม ปล่อยลำแสงสีดำออกจากปากโดยที่ทั้ง ๖ ต่างยังไม่ทันตั้งตัว ตำแหน่งที่ลำแสงสีดำสาดใส่ได้เฉลยคำตอบออกมาเป็นที่เรียบร้อย นั่นคือเฮยโถวที่เข้ามาเล่นเกมราชาฯก่อนใครเพื่อน

คนทั้ง ๕ ต่างร้องอุทานอย่างตื่นตระหนกขึ้นพร้อมกัน เฉินเฟิงยิ้มบางๆ พลางยืนทำหน้าอมภูมิอยู่ด้านหน้าคนทั้ง ๕ ปิศาจหลิวร้อนใจจนเต้นเหยงๆ เหมือนมดบนกระทะ คว้าเฉินเฟิงหมับพลางร้องว่า

“พี่เฟิง ยังจะยิ้มอยู่ได้ เฮยโถว...เฮยโถวถูกงูยักษ์อะไรก็ไม่รู้นั่นดูดไปแล้ว พี่รีบหาทางช่วยเขาหน่อยสิ !”

พอเฉินเฟิงได้ยินเข้าก็ยิ่งหัวเราะก๊าก ฉวยโอกาสแกล้งแซวว่า

“ทำไมน้องปิศาจหลิวถึงเป็นห่วงเฮยโถวมากขนาดนี้กันล่ะเนี่ย ? ปกติเห็นชอบแว้ดๆ ใส่เขาออกจะตาย ไหงตอนนี้ดันออกอาการเป็นทุกข์เป็นร้อนมากกว่าใครเลยล่ะ ?”

ปรากฏว่าปิศาจหลิวไม่ยักอายม้วนอย่างที่เห็นเป็นประจำ ถึงแม้หน้าจะแดงเรื่อ แต่สองตาวาววับถลึงจ้องเฉินเฟิงเขม็ง สองมือกำแน่นจนสั่นน้อยๆ เฉินเฟิงรีบพูดต่อทันควันก่อนที่เธอจะระเบิด

“วางใจเถอะ ! เฮยโถวไม่แค่ไม่เป็นอะไรเท่านั้น อีกเดี๋ยวพวกเรายังต้องแสดงความยินดีกับเขาด้วยซ้ำ”

“โอ๊ะ !” เจี๋ยเต๋ออุทานอย่างตกตะลึง “พี่เฟิง หรือว่า...หรือว่าเมื่อกี้คือเทพมังกรผู้มอบอาชีพ ?”

เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยและอู่ชิวเฟิงทำหน้าเหมือนพอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว และต่างรอคอยคำตอบจากเฉินเฟิง

เฉินเฟิงพยักหน้า “อืมม์ ถูกแล้วครับ ! ประเดี๋ยวพอกลับไปถึงเมือง ต้องให้เฮยโถวเป็นเจ้ามือเลี้ยงฉลองกันสักมื้อแล้วล่ะ แต่ต้องรออีกประมาณสัก ๑๐ นาทีเฮยโถวถึงจะกลับมา ทุกคนมาช่วยผมเก็บก้อนแร่กับของที่ได้กันก่อนเถอะ ถ้าไม่เก็บเดี๋ยวมันจะหายไปนะ”

 

เหรียญเงิน ๒,๐๐๐ กว่าเหรียญ ม้วนคาถา ๑๐ กว่าม้วน ก้อนอัญมณีและก้อนโลหะ ๑๐ กว่าก้อน สนับมือ ๑ ปลอก และแหวนอีก ๑ วง

หลังจากปลดผนึก ในม้วนคาถาทั้งหมดมีม้วนคาถาธาตุสายฟ้า ๒ ม้วน สนับมือคือสนับมือเหล็กกล้าแห่งผู้อารักขา ไอเท็มอาวุธประเภทอาวุธสำหรับสู้ประชิดตัว ชั้นสูง ระดับที่ ๗ พลังโจมตี ๓๐๐ จุด คุณสมบัติเสริมเพิ่มระดับทักษะวิชาหมัด ๑๐% พลังป้องกันต่างหาก ๒๐๐ จุด ส่วนแหวนเป็นแหวนป้องกันธาตุสายฟ้า มีคุณสมบัติช่วยลดพลังโจมตีจากเวทมนตร์ธาตุสายฟ้าได้ ๑๕% และเป็นเหมือนกับแหวนทุกวงที่เคยได้มาก่อนหน้านี้ นั่นคือเป็นไอเท็มประเภทเครื่องประดับ ชั้นกลาง ระดับที่ ๔

เฉินเฟิงมองข้อมูลของสนับมืออย่างตกตะลึง นี่เป็นอาวุธระดับสูงที่สุดที่เขาเคยได้มาในตอนนี้เลยทีเดียว แม้คนทั้ง ๕ จะดีใจเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้กระตือรือร้นมากอย่างที่คิด แถมยังพากันบ่นว่าเวลาผ่านไปช้าจริงๆ ทำไมเฮยโถวถึงไปนานจัง

ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะแบ่งของที่ได้กันยังไงดี แสงสว่างเจิดจ้าก็พาเฮยโถวกลับมา ทั้ง ๕ ต่างทิ้งไอเท็มทั้งหมดเอาไว้ให้เฉินเฟิงทันที แล้วฮือกันเข้าไปล้อมเฮยโถวถามโน่นถามนี่เป็นการใหญ่

เฉินเฟิงเห็นไม่มีที่ให้เขาสอดปาก บวกกับเห็นท่าทางไม่สู้จะใส่ใจเรื่องแบ่งไอเท็มของทุกคน จึงหันไปเหม่อมองเศษอานม้าที่เจี๋ยเต๋อพยายามรวบรวมมาให้

ร่างกายของเฮยโถวโตขึ้นกว่าเดิมหนึ่งขนาดอย่างเห็นได้ชัด ในมือถือขวานยักษ์สองคมติดมาด้วย ทั้ง ๕ ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนอกสนใจ แถมยังลูบๆ คลำๆ จนหน้าดำๆ ของเฮยโถวแดงแป๊ดเห็นถนัดชัดเจน

กว่าเฮยโถวจะตอบคำถามเรื่องของเทพมังกรผู้มอบอาชีพที่ทั้ง ๕ ระดมถามจบ ก็ทำเอาแทบแย่ จากนั้นทั้ง ๖ ถึงค่อยสังเกตเห็นอาการผิดปกติของเฉินเฟิง

เจี๋ยเต๋อสันนิษฐานว่าเฉินเฟิงคงเสียดายอานม้านั้น เพราะตอนที่เขาเอาเศษอานม้าไปให้ เห็นได้ชัดว่าเฉินเฟิงผูกพันกับอานม้านั้นเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้ทั้ง ๖ จึงพากันเข้ามาปลอบใจเฉินเฟิง

ปิศาจหลิวแซวว่า “พี่เฟิง เป็นอะไรไปคะ ? หรืออานม้าสีขาวนี้สาวที่ไหนให้พี่มา ? ถึงได้ทำท่าเสียดายออกขนาดนี้ !” ล้างแค้นกันเห็นๆ...แม้ปิศาจหลิวจะนึกเป็นห่วงท่าทางของเฉินเฟิงอยู่เหมือนกัน แต่ก็อดฉวยโอกาสแก้แค้นที่ถูกแซวเมื่อครู่ไม่ได้

เฮยโถวผู้ตรงไปตรงมาไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น เขารู้แต่ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ถ้าไม่มีเฉินเฟิงอยู่ด้วย ทุกคนมีแต่ต้องเผ่นกันสถานเดียว พอได้ยินปิศาจหลิวพูดแซวปนกัดเฉินเฟิง จึงดุทันทีว่า

“นี่...น้องหลิวพูดแบบนี้ได้ยังไงกัน เท่าที่จำได้เครื่องป้องกันของสัตว์เลี้ยงน่ะแพงจะตาย แถมตอนนี้ยังหาซื้อไม่ได้ด้วย กระทั่งจะซ่อมยังไม่มีที่ให้ซ่อมเลย ! ถ้าไม่เพราะพวกเรากระจอกกันเกินไป พี่เฟิงก็คงไม่ต้องเสียอานม้านี้ไปหรอก นี่ถ้าพี่สะใภ้เป็นคนให้มาจริงๆ พวกเราก็มีความผิดแล้วล่ะ”

ปิศาจหลิวหน้าแดงเรื่อ แลบลิ้นแผล็บ แล้วแก้ตัวเบาๆ

“ใครใช้ให้เมื่อกี้พี่เฟิงดันมาแกล้งกันก่อนเล่า...”

เฉินเฟิงงงไปชั่วครู่ ดูท่าหากไม่อธิบายคงได้เข้าไปผิดไปใหญ่โตแน่แล้ว จึงยิ้มเจื่อนๆ พลางพูดว่า

“ผมไม่ได้เสียดายอานม้านี้ ถึงมันจะแพงเอาเรื่องก็เถอะ แต่ก็เป็นแค่เครื่องป้องกันเท่านั้น อีกอย่าง พี่สะใภ้เอย สาวๆ อะไรกันน่ะ อย่ามาซี้ซั้วเดาเลยน่า เกิดทำผมหาสาวไม่ได้ขึ้นมาล่ะก็ ผมจะโทษพวกคุณจริงๆ นะ !”

“เป็นไปไม่ได้มั้ง...ให้ตายพวกเราก็ไม่เชื่อหรอกว่าไม่มีใครเอาพี่” เจี๋ยเต๋อว่า “ดูท่าพี่สะใภ้จะเป็นคนให้มาจริงๆ น่ะแหละ ซวยล่ะสิพวกเรา !”

คิดไม่ถึงว่ายิ่งอธิบายยิ่งเลยเถิดไปกันใหญ่ รอยยิ้มของเฉินเฟิงยิ่งเจื่อนหนักกว่าเดิม ตัดสินใจเลิกพูดเรื่องนี้ และเปลี่ยนเรื่องว่า

“พวกเธอไม่เชื่อ ผมก็จนปัญหา เรื่องนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ...เฮยโถว ขอแสดงความยินดีด้วยครับ อาชีพนักรบคลั่งหรือ ? ดูแล้วแข็งแกร่งขึ้นเยอะทีเดียว !”

“ขอบคุณพี่เฟิง อาชีพนักรบคลั่งถูกต้องครับ ความจริงผมอยากจะเป็นนักดาบ แต่แค่ได้อาชีพมาได้ก็ดีใจมากแล้วล่ะ ยังไงก็สายต่อสู้เหมือนกัน คิดดูแล้วก็คงไม่ต่างอะไรกันนักหรอก จริงสิ ได้ยินว่าร้านตีเหล็กที่เมืองมังกรเมฆพอจะซ่อมเครื่องป้องกันบางอย่างได้ ลองเอาอานม้าที่พี่สะใภ้ให้มาไปซ่อมที่นั่นดูสิครับ อาจจะซ่อมได้ก็ได้นะ ! ส่วนค่าซ่อมพวกเรา ๖ คนจะช่วยกันออกให้เอง พี่จะได้ไม่ต้องกังวลอีกไง”

น่าเสียดายที่ดูเหมือนทุกคนจะโมเมเอาเองว่าเป็นเรื่องจริงไปเสียแล้ว ขนาดขอให้หยุดแค่นี้ไปหยกๆ เฮยโถวดันพูดขึ้นมาอีกแล้ว เฉินเฟิงหมดปัญญาจะอธิบายเอาจริงๆ จึงได้แต่บอกเรื่องกลุ้มใจเมื่อกี้ของตัวเองออกไปตามตรง

“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้มีใครให้มา อานม้านั้นผมใช้ของแลกมาจากพ่อค้าเร่ที่หน้าหุบเขามรณะเมื่อวานซืนนี้ต่างหาก เมื่อกี้ผมกำลังคิดอยู่น่ะว่าจะเพิ่มพลังป้องกันให้ซวงเว่ยยังไงดี ตอนนี้ผมมีสัตว์เลี้ยงมากเกินไป อาศัยแค่ค่าประสบการณ์มันเลื่อนระดับช้าเกินไป ดูเหมือนจะมีชุดเกราะสำหรับให้สัตว์เลี้ยงใช้โดยเฉพาะอยู่ ไม่ทราบว่าที่ไหนถึงจะมีขายครับ ?”

เจี๋ยเต๋อพูดว่า “ตอนนี้ยังไม่มีที่ไหนขายครับ ในบอร์ดสนทนาบอกว่าสงสัยต้องรอเปลี่ยนแพทช์ (patch)[1] ครั้งหน้าโน่นแหละถึงจะมีขาย ตอนนี้มีแต่ได้มาจากการฆ่าสัตว์อสูรเท่านั้น เร็วๆ นี้รู้สึกว่าจะมีแนวโน้มออกมามากขึ้นทุกทีด้วย ขอถามอะไรหน่อยนะครับ ดูชุดเครื่องป้องกันของพี่แล้วน่าจะเป็นนินจานะ แล้วทำไมถึงมีสัตว์เลี้ยงมากขนาดนี้ล่ะ ? กระทั่งสัตว์เลี้ยงระดับสูงอย่างมนุษย์หมาป่ายังมีเลย พวกเราเองเจอนักฝึกสัตว์มาก็หลายคน อย่างมากพวกนั้นมีสัตว์เลี้ยงกันแค่คนละ ๑ - ๒ ตัวเท่านั้น แถมระดับของสัตว์เลี้ยงพวกเขาต่ำกว่าระดับของสัตว์เลี้ยงของพี่เฟิงตั้งเยอะด้วย”

เฉินเฟิงหัวเราะ “หาซื้อไม่ได้หรอกเหรอ ? อย่างนั้นก็น่าเสียดาย ค่อยดูแล้วกันว่าเถ้าแก่ร้านตีเหล็กจะซ่อมให้ได้หรือเปล่า ส่วนเรื่องอาชีพน่ะไม่ต้องไปกังวลมากนักหรอก ผมเองค่อนข้างจะอยากเป็นนักฝึกสัตว์อยู่เหมือนกัน ถึงตอนนี้จะได้อาชีพนินจาแล้วก็เถอะ แต่เรื่องได้อาชีพมันไม่จำกัดหรอกนะว่ามีได้กี่อาชีพ ดังนั้นโอกาสจึงยังมีอยู่ เฮยโถว คุณเองก็ยังเป็นนักดาบได้อยู่นะ...จริงสิ เฮยโถวได้อาชีพแล้ว พวกคุณเองก็น่าจะเกือบได้อาชีพกันแล้วมั้ง ? ทุกคนอยากได้อาชีพอะไรกันบ้างหรือ ? มาช่วยกันวิจัยวิธีฝึกทักษะได้นะ เพราะพูดตามตรง ได้กับยังไม่ได้อาชีพนี่มันต่างกันมากจริงๆ”

ข่าวสารที่เฉินเฟิงบอกทำเอาทั้ง ๖ เชื่อไม่ลงไปพักใหญ่ หลังจากรุกถามไปหลายรอบถึงค่อยยอมหยุด และยิ่งนึกนับถือความใจกว้างของเฉินเฟิงอย่างหมดหัวใจ

เนื่องจากมีประสบการณ์มาแล้วหลายครั้ง เฉินเฟิงจึงเริ่มจะชินกับปฏิกิริยาของพวกผู้เล่นตอนที่ได้รู้ข่าวนี้ หลังจากรอจนสติสตังของคนทั้ง ๖ กลับคืนมาเป็นปกติ เขาค่อยถามถึงอาชีพที่แต่ละคนอยากจะเล่นอีกครั้ง

หยกม่วงพูดขึ้นทันทีว่า “ฉันอยากจะเป็นอัศวินค่ะ แต่ทุกคนบอกให้ฉันเป็นจอมเวทไม่ก็นักบวชกันทั้งนั้น ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย ทำไมผู้หญิงเป็นอัศวินไม่ได้หรือยังไง ? พี่รู้หรือเปล่าคะว่าจะเป็นอัศวินต้องใช้ทักษะอะไรบ้าง ? ตอนนี้รู้แล้วว่ามีอาชีพได้มากกว่า ๒ ดังนั้นฉันตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องได้อาชีพอัศวินให้ได้”

เฉินเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า

“อาชีพอัศวินนี่ผมมีข้อมูลไม่ครบ แต่ทักษะพื้นฐานทั้ง ๓ อย่างของอัศวินเกี่ยวข้องกับม้าทั้งหมด บวกกับทวนยาวที่เป็นอาวุธประจำตัวของอัศวิน แล้วก็ก่อนหน้านี้มีเพื่อนเคยบอกว่า เครื่องแบบมาตรฐานของอัศวินมีโล่อยู่ด้วย แบบนี้รวมกันแล้วก็ได้ ๕ อย่างละ

“จากที่ผมได้ศึกษามา แต่ละอาชีพจะต้องการทักษะ ๗ อย่าง ดังนั้นยังขาดอีกแค่ ๒ อย่าง ผมเดาว่าทักษะของอาชีพสายต่อสู้น่าจะมีความเป็นไปได้สูง แล้วก็ระดับของทักษะตามเงื่อนไขที่จะได้อาชีพต่างก็ไม่เกินระดับ ๕ ทั้งนั้น ทุกคนลองมาถกกันหน่อย อาจจะได้แนวทางอะไรเพิ่มมาก็ได้...จริงสิ เฮยโถวได้อาชีพนักรบคลั่งแล้วนี่ เมื่อกี้คุณได้ถามเทพมังกรผู้มอบอาชีพหรือเปล่าครับว่าต้องใช้ทักษะอะไรบ้าง ?”

เฮยโถวทำหน้างง “เอ่อ...ผมรู้นี่ว่าถามได้ด้วย ! มังกรตัวนั้นน่ากลัวจะตาย แค่เห็นก็ขวัญบินแล้ว เขาบอกให้ทำอะไรผมก็ได้แต่ทำตามอย่างเดียว จะไปกล้าถามได้ยังไง พอเพิ่มขั้นทักษะพิเศษกับรับของรางวัลในการได้อาชีพเสร็จ มังกรก็ส่งผมกลับมาเลยน่ะ หนนี้ขาดทุนป่นปี้ซะแล้วสิ...”

พอปิศาจหลิวฟังจบ ก็โมโหจนเขกหัวเฮยโถวไปหลายโป๊กทันที

เฮยโถวผู้น่าสงสารกุมศีรษะร้องโวยวายประท้วง น่าเสียดายที่หนนี้กระทั่งอีก ๔ คนที่เหลือต่างพลอยอยากกระทืบเขากันถ้วนหน้า เพียงแต่เกรงใจไม่กล้าลงมือเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครช่วยเขาเลยสักคน...

ปิศาจหลิวไม่สนใจอาการโวยวายประท้วงของเฮยโถว หันมารุกถามเฉินเฟิงต่อว่า

“แล้วทีนี้จะทำยังไงดีล่ะคะพี่เฟิง ยังพอจะช่วยแก้ไขอะไรได้หรือเปล่า ?”

เฉินเฟิงยักไหล่ “ผมก็ไม่รู้ บางทีอาจจะลองไปถามที่จุดสอบถามดูได้ ไม่งั้นคงต้องรอเฮยโถวได้อาชีพที่ ๒ แล้วค่อยถามเท่านั้น แน่นอนว่าพวกเราพอจะมาสันนิษฐานกันเองได้เหมือนกัน เฮยโถว ก่อนจะโดนเทพมังกรพาไป คุณได้เลื่อนระดับทักษะอะไรล่ะ ? แล้วก็ทักษะสายต่อสู้ในตอนนี้ของคุณมีอะไรบ้าง ?”

คำถามนี้ของเฉินเฟิงทำให้เฮยโถวรอดพ้นจากหัตถ์มารของปิศาจหลิวไปได้ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฮยโถวก็ตอบว่า

“ตอนนั้นได้เลื่อนระดับของทักษะใช้อาวุธหนักเป็นระดับ ๕ แล้วก็ได้ทักษะใหม่ชื่อทักษะช่วยชีวิตมา ส่วนทักษะสายต่อสู้นี่มีแต่พวกทักษะใช้อาวุธกับทักษะโจมตีใช่หรือเปล่า ? หรือนับพวกทักษะป้องกันด้วย ? ผมว่าผมบอกทักษะที่ผมมีไปให้หมดเลยดีกว่า แล้วพี่ค่อยลองวิเคราะห์ดูแล้วกัน ตอนนี้ทักษะของผมก็มี...”

หลังจากจดทักษะทั้งหมดของเฮยโถวเสร็จ เฉินเฟิงก็เอามาเทียบกับตารางทักษะของตัวเองและข้อมูลในสมุดบันทึกอย่างละเอียด หลังจากวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง ค่อยพูดว่า

“ความจริงคุณห่างจากอาชีพนักดาบที่คุณอยากเป็นไม่มากแล้วนี่ นอกจากทักษะเสียสละยังขาดอีก ๑ ระดับ ทักษะที่เหลือต่างก็เกินจากที่เงื่อนไขกำหนดหมดแล้ว แต่ยังต้องมีทักษะสร้างอีกอย่าง เงื่อนไขที่ต้องการคือระดับ ๓ ออกจะน่าเสียดายอยู่หน่อย

“ทักษะสร้างใช้วิธีคลี่คลายภารกิจได้ ถ้าสนใจวันหลังผมจะไปเป็นเพื่อนคุณเอง นอกจากนี้พอทักษะถึงระดับ ๑๐ จะมีโอกาสได้ทักษะย่อยเพิ่มมา ฟังว่าประสิทธิภาพไม่เลวเลยทีเดียว ทักษะเกี่ยวกับการใช้ดาบของคุณเกือบจะเต็มระดับ ๑๐ แล้วทั้งนั้น ถ้ามีเวลาว่างให้ฝึกต่อไปล่ะ จะได้มีต้นทุนในการต่อสู้เพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย”

หลังจากฟังการวิเคราะห์ของเฉินเฟิงจบ เฮยโถวก็พูดว่า

“ทักษะเงื่อนไขในการได้อาชีพนักดาบไม่ใช่ความลับมานานแล้ว ผมเองก็รู้ว่ายังขาดอะไรบ้าง อย่าว่าแต่ทักษะสร้างที่ยังขาดอีก ๓ ระดับซึ่งผมได้ยินมาว่าจะคลี่คลายภารกิจนั่นต้องใช้เงินไม่ใช่น้อยๆ เลย แค่ทักษะเสียสละนี่ผมก็ตัดใจแล้วล่ะ ทักษะเสียสละของผมเลื่อนระดับมาได้เพราะตายทั้งนั้น ถูกลดระดับกับเจ็บตัวยังเรื่องเล็ก เสียเครื่องป้องกันกับถูกลดระดับทักษะนี่สิเรื่องใหญ่ ที่ตอนแรกคิดจะเปลี่ยนอาชีพก็เพราะเลื่อนระดับทักษะ ๒ อย่างนี้ไม่ได้นั่นแหละครับ

“ต่อมาผมลองเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นอาชีพอัศวิน ถึงขนาดยอมเก็บเงินไปซื้อม้าเชียวนะ ผมยังจำได้เลยว่าม้าตัวนั้นสีขาวเหมือนซวงเว่ยของพี่เฟิงนี่แหละ แต่หลังจากนั้นรายจ่ายมันสูงเกินไป บวกกับพวกนี้ต่างก็เข้ามาเล่นเกมราชาฯด้วย ผมเลยจำใจต้องขายม้าตัวนั้นทิ้งไป”

เฉินเฟิงยิ้มพลางพูดว่า “ความจริงทักษะเสียสละไม่จำเป็นว่าต้องตายสักหน่อย อย่างที่สู้กับตุ่นยักษ์เมื่อกี้ผมยังได้เลื่อนขึ้น ๑ ระดับเลย แต่ผลจากการวิจัยทักษะนี้ ผมพบว่ามันออกจะปนๆ กันอยู่กับทักษะช่วยชีวิตนะ วิธีฝึกก็ออกจะคลุมเครืออยู่ แต่อย่างน้อยก็บอกได้ล่ะว่า ทักษะเสียสละไม่จำเป็นว่าต้องตาย ต่อมา เรื่องของทักษะสร้าง ถ้าใช้เงินคลี่คลายได้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่ ขุดแร่กันตั้งหลายวันแบบนี้ ทุกคนต่างก็ได้กำไรกันไปคนละไม่ใช่น้อยๆ ซึ่งความจริงผมเองก็ยังไม่เคยไปคลี่คลายภารกิจ แต่ก็ได้ทักษะนี้มาตั้งระดับ ๒ แล้ว เพียงแต่การจ่ายเงินคลี่คลายภารกิจมันทำให้รับประกันได้ว่าจะได้ทักษะนี้แน่ๆ เท่านั้น”

หลังจากเฮยโถวฟังที่เฉินเฟิงพูดจบ ความมั่นใจที่สูญเสียไปก็ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง รีบรุกถามต่อไม่หยุดปาก แถมยังละล่ำละลักว่าโคตรจะยินดีไปคลี่คลายภารกิจกับเฉินเฟิง ทำเอาทุกคนอดขำไม่ได้

เมื่อนึกถึงว่ายังมีทักษะของอีก ๔ คนยังไม่ได้ช่วยกันถก เฉินเฟิงจึงได้แต่เบรกเฮยโถวที่กำลังตื่นเต้นสุดขีดไว้ก่อนว่า

“ไว้ว่างๆ พวกเราค่อยวิจัยเรื่องอาชีพนักดาบกันต่อก็แล้วกัน เมื่อกี้ผมลองเทียบข้อมูลทักษะที่คุณมีกับข้อมูลทักษะในตารางของผมเองแล้วพบว่า นอกจากทักษะฆ่าในพริบตาที่ผมไม่มีแล้ว ก็มีแต่ทักษะแทง ทักษะฟัน ทักษะใช้โล่ป้องกัน แล้วก็ทักษะดวลตัวต่อตัวที่ระดับของคุณสูงกว่าผม

“เงื่อนไขทักษะ ๗ อย่างในการได้อาชีพนี่ ผมศึกษาพบอยู่อย่างว่า แต่ละอาชีพนอกจากทักษะพื้นฐานของอาชีพนั้นๆ แล้ว จะมีทักษะพื้นฐานของอาชีพอื่นๆ อีกอย่างมากแค่อาชีพละ ๑ ทักษะเท่านั้น บวกกับเงื่อนไขระดับของทักษะที่จะไม่เกินระดับ ๕ ผมคิดว่าขอแค่ตอนนี้ผมเพิ่มระดับฆ่าในพริบตาเป็นระดับ ๕ ก็น่าจะได้อาชีพนักรบคลั่งแล้วล่ะ !

“แต่นี่ก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น กลัวว่าทักษะดวลเดี่ยวเองอาจเป็นทักษะที่อาชีพนักรบคลั่งจำเป็นต้องมีเหมือนกัน มีแต่ทักษะนี้อย่างเดียวที่ผมยังต่ำกว่าระดับ ๕ แต่พอนึกถึงว่าต้องฝึกทักษะนี้แล้วน่ากลุ้มใจชะมัด เพราะอยู่ๆ จะเที่ยวไปท้าดวลคนโน้นคนนี้ก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ?”

เจี๋ยเต๋อหัวเราะ “พี่เฟิงนี่ร้ายกาจจริงๆ ระบบที่ซับซ้อนแบบนี้ยังวิเคราะห์ออกมาได้เร็วขนาดนี้ ถ้าเป็นทักษะดวลตัวต่อตัวล่ะก็ พวกเราพอจะช่วยได้นะครับ ! ถ้าพี่อยากจะเลื่อนระดับ ก็มาหาผมหรือเฮยโถวก็ได้ เพราะถึงยังไงถ้าสู้กันในลานประลอง ต่อให้สู้กันจนตายก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ต้องเสียอะไรทั้งนั้น แค่ต้องจ่ายค่าลานประลองเท่านั้น

“อีกอย่าง การปรับปรุงระบบหนนี้มีการปรับปรุงทักษะนี้ด้วย โดยเพิ่มข้อจำกัดขึ้นอีกหลายข้อ เพราะได้ยินมาว่ามีผู้เล่นขี้โกงบางคนไปท้าผู้เล่นระดับต่ำๆ เพื่อจะได้คะแนนชนะมาเยอะๆ ดังนั้นตอนนี้ข้อกำหนดของการดวลเดี่ยวเลยเปลี่ยนเป็นระดับของทั้งสองฝ่ายจะต้องต่างกันไม่เกิน ๓ ระดับจึงจะได้ พวกเรา ๒ คนอยู่ระดับ ๓๐ แล้ว เป็นตัวเลือกที่แจ๋วที่สุดพอดี แน่นอนว่าถ้าพี่ยอมจ่ายค่าคะแนนแถมให้ด้วยจะยิ่งแจ๋ว !”

เฉินเฟิงพูดว่า “แบบนั้นผมมิกลายเป็นพวกเดียวกับคนขี้โกงไปหรือ ? ฮ่าฮ่า...”

เจี๋ยเต๋อค่อยรู้สึกตัวว่าตะกี้เขาสอนให้เฉินเฟิงทำตัวขี้โกงทางอ้อมนี่นา ตอนนี้ทุกคนต่างก็เห็นเฉินเฟิงเป็นแบบอย่างกันทั้งนั้น เขาดันคิดแผนเจ้าเล่ห์ลามไปถึงตัวเฉินเฟิงเสียนี่ คนที่เหลือกำลังคิดจะอัดเจี๋ยเต๋อสักตุ้บ เฉินเฟิงกลับพูดขึ้นว่า

“แต่ว่า...ถ้าคุณสองคนไม่สนใจเรื่องคะแนนชนะ ก็เป็นวิธีที่เจ๋งดีนะ ! แน่นอนว่าค่าชดเชยคะแนน ผมต้องให้อยู่แล้ว ขอแค่เลื่อนระดับได้อย่างราบรื่น แถมทั้งเร็วทั้งปลอดภัยอีกต่างหาก แบบนี้ยอมขี้โกงสักครั้งจะเป็นไรไป ? แล้วพวกเราก็ไม่ได้ไปทำร้ายใครด้วย...อืมม์ เป็นวิธีหาเงินที่ไม่เลวเลยแฮะ วันหลังต้องศึกษาให้ดีๆ ซะหน่อยแล้ว !”

ดูท่าเฉินเฟิงจะพิจารณาแบบจริงๆ จังๆ เสียด้วย ทั้ง ๖ ได้แต่หันมามองกันในอาการตาค้าง แต่เพราะเหตุนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเฉินเฟิงเข้าใกล้พวกตัวเองเข้ามาอีกหน่อย เพราะเขาค่อยดูคล้ายผู้เล่นธรรมดาๆ ขึ้นมาบ้างในที่สุด

หลังจากเอะอะมะเทิ่งกันไปพักใหญ่ เฉินเฟิงก็ช่วย ๔ คนที่เหลือวิเคราะห์ทักษะที่ต้องใช้ แต่เฉินเฟิงมีข้อมูลของอาชีพแค่ ๓ อาชีพเท่านั้น จึงสามารถให้ข้อเสนอแนะได้เพียงเล็กน้อย

เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยอยากจะเป็นนายพราน เหตุผลคือ สามารถโจมตีจากระยะไกลได้ซึ่งจะปลอดภัยหน่อย หลังจากเทียบข้อมูลแล้ว เฉินเฟิงก็ทำได้แค่สอนวิธีวางกับดักให้เขา

อู่ชิวเฟิงอยากจะเป็นจอมดาบ (ใช้ดาบที่ใบดาบค่อนข้างเล็ก) น่าเสียดายที่ไม่มีอาชีพนี้ ต่อมาได้ยินว่าอาวุธประจำตัวของนินจาเองก็เป็นดาบที่มีลักษณะคล้ายๆ กัน จึงขอให้เฉินเฟิงบอกข้อมูลของนินจากับเขา

ปิศาจหลิวอยากเป็นจอมเวท เฉินเฟิงจึงแนะนำให้ใช้อาวุธจำพวกไม้เท้า และหาเวลาไปคลี่คลายภารกิจของแท่นบวงสรวง

สุดท้ายเจี๋ยเต๋ออยากเป็นนักรบเทพ หลังจากเทียบข้อมูลทักษะแล้ว เฉินเฟิงก็นึกขึ้นได้ว่าในไอเท็มที่ได้มามีสนับมืออยู่ด้วย ไอเท็มอื่นๆ ที่เหลือก็ยังไม่ได้แบ่งกันเลย จึงบอกให้ทุกคนแบ่งไอเท็มกับเงินที่ได้มากันก่อน

ตอนแรกเขากะจะยกสนับมือให้เจี๋ยเต๋อ แต่ทุกคนต่างคัดค้านหัวชนฝา และบอกว่าถ้าไม่มีเฉินเฟิง พวกเขา ๖ คนไม่กล้าแม้แต่จะสู้กับตุ่นยักษ์ด้วยซ้ำ จากนั้นยืนกรานว่าสนับมือกับแหวนต้องยกให้เฉินเฟิงเท่านั้น ทุกคนถึงจะยอมแบ่งของที่เหลือกันอย่างเสมอภาค

สุดท้ายเมื่อเปลี่ยนใจทุกคนไม่สำเร็จ เฉินเฟิงจึงได้แต่ยกสนับมือติดหนามที่ได้มาจากปากทางเข้าหุบเขามรณะให้เจี๋ยเต๋อไปแทน แล้วรับไอเท็มทั้งสองอย่างมา

 

เนื่องจากชนะศึกตุ่นยักษ์ ทำให้คนทั้ง ๖ ที่เดิมทียืนกรานว่าไม่ขอเข้าไปในหุบเขามรณะต่างเปลี่ยนใจเป็นจะลองติดตามเฉินเฟิงบุกเข้าไปดู ดังนั้นทุกคนตกลงกันว่าจะกลับไปเตรียมตัวที่หมู่บ้านอิวะกันก่อน จะได้ซื้อม้ากับซื้อยาฟื้นพลังเพิ่มไปด้วยเลย

หลังใช้ม้วนคาถากลับบ้านกลับมาถึงหมู่บ้านอิวะ ทั้ง ๖ ไปยืนเลือกอยู่ที่โรงรับฝากสัตว์เลี้ยงอยู่พักใหญ่ ค่อยซื้อพาหนะกันมาได้คนละตัว

เฉินเฟิงฉวยโอกาสระหว่างที่ทั้ง ๖ กำลังเลือกม้าแวะไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านอิวะ แล้วช่วยซื้อระเบิดแสงกับระเบิดควันให้ทั้ง ๖ คนละหลายลูก แม้จะล้มเหลวไปครั้งหนึ่งตอนที่สู้กับตุ่นยักษ์ ซึ่งทำเอาเฉินเฟิงแทบจะได้ไปเกิดใหม่ แต่เจ้านี่ก็ยังเป็นสุดยอดไอเท็มช่วยชีวิตอยู่ดี

แน่นอนว่าคนทั้ง ๖ ไม่ยอมรับของจากเฉินเฟิงฟรีๆ อยู่แล้ว และต่างก็เข้าใจดีว่าไอเท็มนี้มีประโยชน์มาก จึงไม่อยากทำลายน้ำใจของเฉินเฟิง แต่ราคาลูกละตั้ง ๕๐๐ เหรียญเงินของมันก็ทำเอาทั้ง ๖ ต้องถอยกรูดอยู่ดี

หลังจากปรึกษาหารือกันอยู่พักใหญ่ ก็แทบจะต้องขายไอเท็มในคลังทิ้งจนหมดเกลี้ยงกันเลยทีเดียว

เฉินเฟิงเห็นคนทั้ง ๖ อ้ำอึ้งกันอยู่พักใหญ่ ก็นึกว่าไม่พอใจที่เขาทำลงไปโดยพลการ จึงกะจะยกให้คนทั้ง ๖ ไปฟรีๆ เป็นของขวัญเสียเลย

สุดท้ายเฮยโถวที่นิสัยตรงไปตรงมาที่สุดเป็นคนบอกว่า เป็นเพราะจำนวนมันมากเกินไป ทุกคนจึงไม่สามารถรับไว้ได้ เฉินเฟิงถึงค่อยเข้าใจและคิดว่าเขานี่ซื่อบื้ออีกแล้ว จากนั้นค่อยบอกไปว่าราคาแค่ลูกละ ๑๐๐ เหรียญเงินเท่านั้น ทั้ง ๖ ต่างก็เรียกร้องขอดูหลักฐานโดยไม่ยอมเชื่อ เฉินเฟิงจึงได้แต่พาคนทั้ง ๖ ไปเยือนหัวหน้าหมู่บ้านอีกรอบ

เมื่อได้รับการยืนยันเรื่องราคาแล้ว ทั้ง ๖ ต่างก็รับไว้อย่างยินดี แถมยังฝากให้เฉินเฟิงช่วยซื้อดาวกระจายของนินจาให้ด้วย รวมทั้งรวมกลุ่มกันรับภารกิจของหัวหน้าหมู่บ้านอิวะ

เมื่อมีพาหนะ ความเร็วในการเดินทางก็ย่อมจะเพิ่มขึ้นมาก กระแสผู้คนที่มาผจญภัยที่ถ้ำสามคูหาสุดบูรพาใหม่ทำให้การเดินทางผ่านครึ่งแรกของหุบเขามรณะเป็นไปอย่างราบรื่นเหมือนกับก่อนหน้านี้ เส้นทางครึ่งหลังเองก็ไม่ได้มีการต่อสู้อย่างดุเดือดมากมายอะไรอย่างที่กลัว นอกจากที่ต้องปะทะกับฝูงลิงค้างคาว ๒ - ๓ ครั้งที่ออกจะลำบากอยู่บ้างแล้ว พอจะกล่าวได้ว่าเดินทางได้อย่างราบรื่นมาก

จากข่าวสารที่เฉินเฟิงแบ่งปันให้ทราบทำให้คนทั้ง ๖ ค่อยๆ เป็นทักษะบุกทะลวงและทักษะสื่อสาร ที่เหนือความคาดหมายคือ ทักษะชื่อเสียงของเฉินเฟิงได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๑๐ และได้ทักษะย่อยที่เป็นฝ่ายกระทำชื่อว่า “ปลุกใจ”

ทักษะย่อยนี้จัดเป็นทักษะย่อยจำพวกเป็นฝ่ายกระทำทักษะแรกเลยทีเดียว แต่มีข้อจำกัดตรงเวลาและจำนวนครั้งในการใช้เช่นกัน ประสิทธิภาพคือ ช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ของสมาชิกที่กำหนดได้ ๑๐% เป็นเวลานาน ๑๐ นาที จำนวนสมาชิกที่กำหนดเกี่ยวเนื่องกับทักษะบัญชาการ เวลานี้เฉินเฟิงสามารถปลุกใจสมาชิกได้ ๑๐ คนพร้อมกัน มีทักษะย่อยนี้ ต่อไปจะสะดวกขึ้นมากในการพากลุ่ม และแน่นอนว่าพวกเฮยโถวทั้ง ๖ ได้กลายเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้รับผลประโยชน์จากทักษะย่อยนี้ของเฉินเฟิง

ทั้ง ๗ นึกว่าจะสามารถไปถึงเมืองมังกรเมฆได้อย่างสะดวกราบรื่นแล้วเชียว แต่เมื่อใกล้จะออกจากหุบเขามรณะ ก็ดันเจอกับอุปสรรคเข้าให้จนได้อย่างคาดไม่ถึง เพียงแต่อุปสรรคนี้ไม่ใช่สัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง ทว่าเป็นคนกลุ่มหนึ่ง...อัศวินซึ่งตัวเรืองแสงสีแดงและขี่ม้ามังกรเหงื่อโลหิต[2]สีแดงฉาน ๙ นาย แค่ดูก็รู้แล้วว่าคิดจะขวางทางดักปล้น

และก็เป็นดังคาด อัศวินทั้ง ๙ ไม่มีวี่แววว่าจะหลีกทางให้แม้แต่น้อย ทั้งสองฝ่ายจ้องหน้ากันไม่ถึงหนึ่งนาที อัศวินคนหนึ่งก็ขี่ม้าตรงเข้ามาใกล้ แล้วพูดอย่างหยิ่งผยองว่า

“พวกเราคือคนเฝ้าประตูจากขบวนอัศวินมังกร หากทุกท่านคิดจะผ่านไปก็ง่ายมาก แค่จ่ายค่าผ่านทางมาหัวละ ๕๐๐ เหรียญเงินเท่านั้น แน่นอน หากทุกท่านอยากจะสู้กันสักตั้งก็ย่อมได้ แต่บอกไว้ก่อนว่า ถ้าสู้กัน ก็ไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางแล้ว ต่อให้ยอมจ่ายหัวละ ๕,๐๐๐ เหรียญเงิน ก็จะอัดจนกว่าจะตายอยู่ดี ทุกท่านมีเวลาตัดสินใจ ๒ นาที ถ้าถึงเวลาแล้วยังไม่เห็นเงิน ก็จงเตรียมตัวรับศึกไว้ให้ดี !” พูดจบก็ชักม้ากลับขบวนไปโดยไม่สนใจอาการโกรธเกรี้ยวของคนทั้ง ๗

ถึงจะเดือดดาลแค่ไหน แต่อัศวิน ๙ คนข้างหน้าก็ไม่ใช่กระดาษบุหน้าต่าง[3] แค่ดูก็รู้แล้วว่าพวกเขา ๗ คนสู้ไม่ได้แน่ อย่าว่าแต่จำนวนคนจะน้อยกว่าอีกฝ่ายเลย ดูจากชุดเกราะเหล็กของอัศวินแต่ละคน บวกกับทวนยาวขนาดมหึมาในมือ มันมวยคนละรุ่นเห็นๆ

เมื่อลองประเมินดูจากปัจจัยพื้นฐาน อัศวินแต่ละคนน่าจะมีระดับ ๔๕ ขึ้นไป เฉินเฟิงลองคำนวณในใจ ต่อให้บวกสัตว์เลี้ยงของเขาทุกตัวเข้าไปด้วย ยังไม่มีแววชนะแม้แต่น้อย

สมองของเฉินเฟิงคิดหาความเป็นไปได้ต่างๆ อย่างเร่งด่วน คิดจะปะทะตรงๆ มันไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนคนทั้ง ๖ ต่างก็ใช้ช่องเพื่อนแลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างรวดเร็ว แล้วต่างลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะทำตามคำสั่งของเฉินเฟิง

พอได้รับข้อความบอกมติเอกฉันท์ของคนทั้ง ๖ เฉินเฟิงก็ไม่ทราบจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ก็ดีใจอยู่หรอกที่ทุกคนให้ความเชื่อถือ แต่เวลานี้เขาอยากได้ข้อเสนอเรื่องวิธีการมากกว่า ครั้งนี้ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร จะไม่เกี่ยวพันถึงตัวเขาเองเพียงคนเดียวอีกแล้ว แต่เกี่ยวพันถึงชีวิตของพวกเขาทั้ง ๗ คน สมองที่ปกติแสนจะปราดเปรื่องฉับไวเวลานี้ดันมาทื่อเอาดื้อๆ

เวลาไม่คอยท่า สองนาทีได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นอัศวินทั้ง ๙ คนต่างชูทวนขนาดมหึมาขึ้นพร้อมกันดัง “ฟุ่บ !” ความเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างพร้อมเพรียง เทียบกับความพร้อมเพรียงของกองทัพอัศวินของจริงได้อย่างสบายๆ เลยทีเดียว



[1] แพทช์ (patch) ปกติเกมออนไลน์นั้น เวลาเปิดให้เริ่มเข้าไปเล่นและใช้งาน มักจะไม่เปิดทั้งหมดในรวดเดียว แต่จะทยอยเปิดทีละส่วนๆ เป็นระยะๆ เหมือนอย่างเกมราชาแห่งราชันที่ยังไม่ได้เปิดให้เข้าไปเล่นในทวีปเขตสงคราม และเพิ่งจะมีการเปิดให้มีศูนย์สมาพันธ์รวมถึงยักษ์สามตาเกล็ดมังกรหลังจากเกมเปิดตัวให้เล่นมาเป็นเวลา ๑ ปี ซึ่งแต่ละส่วนดังกล่าวนี้ ภาษาเกมจะเรียกว่า แพทช์ (patch)

[2] ม้ามังกรเหงื่อโลหิต หรือม้าเซ็กเธาว์ เป็นม้าวิเศษในตำนานของจีนที่สามารถวิ่งได้รวดเร็วมาก กล่าวกันว่าเหงื่อที่ไหลออกมาจากตัวของม้าชนิดนี้มีสีแดงราวกับเลือด

[3] หน้าต่างบ้านคนจีนโบราณจะเป็นโครง แล้วใช้กระดาษบุเพื่อกันลมเข้า ในที่นี้เปรียบเทียบว่าพวกอัศวินไม่ได้กระจอกขนาดแค่เอานิ้วจิ้มจึ๋งเดียวก็ตายเหมือนอย่างกระดาษที่แค่เอานิ้วจิ้มก็ขาด


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:32 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:22

0 ความคิดเห็น