หัวข้อ : เล่มที่ ๓ สงครามอัศวิน ตอนที่ ๖ บัญชาการฉุกเฉิน

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:21

ตอนที่ ๖

 

บัญชาการฉุกเฉิน

 

 

ทุกคนค่อยทราบความจริงว่าที่เฉินเฟิงทำหน้าอึดอัดใจไม่ใช่เพราะไม่อยากตอบ แต่เป็นเพราะจำรายละเอียดไม่ได้ต่างหาก

แต่เพื่อหยุดหยกม่วงไม่ให้ออกปากถามแบบไม่มีเบรคอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ทุกคนต่างก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันควัน เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยรีบดึงหยกม่วงเลี่ยงไปด้านข้าง น่าเสียดายที่หยกม่วงไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย จึงเดินตามไปในอาการกระฟัดกระเฟียด ทำเอาทุกคนได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ

มองออกได้ไม่ยากว่าคนที่น่าสงสารที่สุดคือเข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยนั่นเอง ดูจากท่าทางของทั้งสองทำให้เดาได้ไม่ยากว่าทั้งคู่น่าจะเป็นแฟนกัน

ตอนแรกเฉินเฟิงเองก็ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เช่นกัน เพียงแต่รู้สึกว่าอยู่ดีๆ บรรยากาศก็เปลี่ยนไปเป็นพิลึกๆ ชอบกล แต่หลังจากได้ยินที่หนุ่มสาวคู่นั้นพูดกันไม่กี่คำ ก็เข้าใจในที่สุดว่าคนพวกนี้กังวลเรื่องอะไรกันอยู่

ดูท่าทางธรรมเนียมของสมาคมไม่กี่สมาคมนั้นจะส่งผลกระทบในวงกว้างไม่ใช่เล่น เรียกได้ว่าส่งผลกระทบกว้างมากจนไม่น่าเชื่อก็ว่าได้ เฉินเฟิงได้แต่แอบส่ายหน้าและฝืนยิ้ม สมองครุ่นคิดปัญหานี้ไปพลางมือก็เริ่มขยับทำงานต่อ คนอื่นๆ ต่างก็ฉวยโอกาสนี้ลงมือทำงานต่อโดยแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไปตามๆ กัน

ตะวันตกดินแล้ว ระบบในเกมราชาฯจะคล้ายของจริงทั้งหมด ดังนั้นย่อมจะมีกลางวันและกลางคืนด้วยเช่นกัน แต่เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้เล่นสามารถผจญภัยในยามกลางคืนได้ บรรยากาศจึงไม่ได้เหมือนกับในโลกความจริงที่พอตะวันตกดิน ทุกสิ่งก็ตกอยู่ในความมืดสนิทเสียทีเดียว แต่เป็นปรับลดความสว่างลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของเวลากลางวัน นอกจากนี้อุณหภูมิเองก็ลดต่ำลงไม่ใช่น้อย ดังนั้นเมื่อยามค่ำคืนมาเยือน ผู้เล่นจึงยังสามารถที่จะรู้สึกได้อย่างชัดเจน

คนทั้งหมดต่างก็ไม่ใช่หุ่นยนต์ ทำงานมาทั้งวันแล้วก็ต้องพักผ่อนกันบ้าง เฉินเฟิงมีประสบการณ์ในการต่อสู้ติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันมาแล้ว จึงตระหนักดีว่าต้องพักผ่อนอย่างเหมาะสม จึงจะมีพลังกายสมบูรณ์พร้อมที่จะลุยต่อได้ เฉินเฟิงอาศัยแสงสว่างของตอนกลางคืนกางกระโจมที่ข้างๆ เขตทำงาน

เวลานั้นเอง หยกม่วงได้เดินเข้ามาพูดว่า

“พี่เฉินเฟิง ก่อนหน้านี้ฉันต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ ฉันมันคนขวานผ่าซาก ถ้ามีปัญหาอะไรไม่เข้าใจแล้วไม่ได้ถามออกไปนี่ทำท่าจะตายเอาทุกที ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้พี่ต้องลำบากใจ”

เฉินเฟิงยิ้ม “ความจริงคุณไม่ต้องไปสนใจธรรมเนียมอะไรนั่นของพวกสมาคมให้มากนักหรอกครับ ผมเองก็เป็นพวกถ้ามีคำถามอะไรจะถามออกไปทันทีเหมือนกัน พูดตามตรงนะ จนตอนนี้ผมก็ยังไม่ชินกับธรรมเนียมประหลาดๆ พวกนั้นเลย ยังไงผมก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมไหนอยู่แล้ว แถมตอนนี้พวกสมาคมต่างก็สลายตัวกลายเป็นกลุ่มกันไปหมดแล้วด้วย เชื่อว่าต่อไปธรรมเนียมนี้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่ๆ ล่ะ !

“ผมเองคิดมานานแล้วล่ะว่าทำแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน ที่ตอนแรกผมไม่ยอมเข้าสมาคมไหนเลยก็เพราะเหตุนี้แหละ พวกเราน่าจะมาช่วยกันถกช่วยกันศึกษา ถึงจะก้าวหน้าได้เร็วไม่ใช่เหรอ ! ขืนมัวแต่ศึกษาเองคนเดียว แล้วชาติไหนถึงจะเข้าใจการออกแบบของเกมนี้กันเล่า ? ดังนั้นคุณมีคำถามอะไรก็กล้าๆ ถามออกมาเถอะ กับผมนี่ไม่ต้องมาคิดมากเรื่องความลับของทักษะอาชีพอะไรนั่นหรอก ขอแค่เป็นเรื่องที่ผมรู้ ผมก็ยินดีจะบอกให้คนอื่นได้รู้ด้วยทั้งนั้นแหละ”

หยกม่วงระบายลมหายใจยาวเหยียด “พี่เฉินเฟิงนี่เป็นคนดีจริงๆ ฉันเองก็รำคาญที่ต้องเก็บโน่นนี่เป็นความลับจะตายอยู่แล้ว นี่มันก็แค่เกมเท่านั้นเองไม่ใช่หรือไง ! เอาแต่ทำเป็นมีลับลมคมในกันอยู่แบบนี้ กระทั่งเพื่อนสนิทกันยังเปลี่ยนเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ ฉันละเหลืออดมานานแล้ว พูดตามตรงนะ จนถึงตอนนี้พี่เป็นคนแรกเลยล่ะค่ะที่ฉันคบเป็นเพื่อนนอกเหนือจากพวกนั้นที่ก็เป็นเพื่อนกันในโลกนอกเกมอยู่แล้ว !”

หลังจากต่างคลายปมในใจกันเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสองก็แลกเปลี่ยนชื่อในช่องเพื่อนกัน หยกม่วงโชว์รายชื่อเพื่อนในช่องเพื่อนของตัวเองให้ดู นอกจากพวกที่มาขุดแร่ด้วยกัน ๕ คนนั้นแล้ว ก็มีแต่เฉินเฟิงแค่คนเดียวจริงๆ เสียด้วย

ครั้นหยกม่วงได้เห็นรายชื่อเพื่อนในช่องเพื่อนของเฉินเฟิง ก็ทั้งตกตะลึงและอิจฉาที่เขามีเพื่อนตั้งมากขนาดนี้ แต่มีแต่เฉินเฟิงเท่านั้นที่รู้ดีว่า คนที่กล่าวได้เต็มปากว่าเป็นเพื่อนจริงๆ มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

เฉินเฟิงยิ้มพลางพูดว่า “นับเป็นเกียรติสำหรับผมอย่างยิ่งทีเดียว ! จริงสิ ทำไมพวกคุณถึงไม่กางกระโจมนอนพักกันล่ะครับ ? นอนพักในกระโจมร่างกายจะฟื้นฟูจากความอ่อนเพลียได้เร็วกว่าปกติครึ่งเท่านะ ! เรื่องนี้ผมรู้เพราะถามมาจากเถ้าแก่ร้านขายไอเท็มน่ะ ผมบอกแล้วว่ามีคำถามอะไรก็ให้ถามออกมา ถ้าไม่ถาม แล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่าคนอื่นเขาไม่อยากตอบน่ะ ? ถึงยังไงอย่างมากก็แค่กลับไปที่จุดเดิม ก็คือไม่รู้ คุณว่าจริงมั้ย ?”

อยู่ๆ เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยก็โผล่เข้ามาพูดว่า

“พี่เฉินเฟิงนี่เป็นเหมือนที่เขาลือกันเปี๊ยบจริงๆ ครับ เมื่อกี้เฮยโถวยังบอกเลยว่าให้ทุกคนพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับพี่ไว้ให้มากๆ ความจริงนอกจากเฮยโถวแล้ว พวกเราต่างก็เพิ่งจะมาเล่นเกมราชาฯได้ไม่นานกันทั้งนั้น จึงมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่รู้กันเลย เห็นเฮยโถวบอกว่า เกมนี้ถ้าไม่เข้าสมาคมไหนสักสมาคมจะเล่นยากมาก แต่อาชีพที่พวกเราแต่ละคนอยากจะเล่นมันคนละอาชีพกันทั้งนั้น และก็เพราะธรรมเนียมแปลกๆ ของพวกสมาคมนั่นแหละที่ทำให้พวกเรา ๖ คนยังไม่ได้อาชีพกันเลยซักคนทั้งที่เล่นกันมาตั้งครึ่งปีแล้ว ! นี่ถ้าทุกคนเป็นเหมือนพี่เฉินเฟิงกันหมดนะ ผมว่าเกมราชาฯคงน่าเล่นขึ้นอีกเยอะแน่ๆ”

ตอนเฉินเฟิงกับหยกม่วงคุยกันต่างก็ไม่ได้ลดเสียงลง ทุกคนจึงได้ยินคำสนทนาของทั้งสองกันถ้วนหน้า บวกกับเข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยได้กล่าวคำพูดจากใจออกไปแล้ว คนที่เหลือจึงพากันล้อมวงเข้ามา นอกจากต่างก็แลกชื่อในช่องเพื่อนกันแล้ว ยังถามถึงเรื่องของกระโจมอย่างละเอียด บรรยากาศพิลึกๆ ก่อนหน้านี้จึงสลายไปด้วยประการฉะนี้

หลังใส่ชื่อเพื่อนใหม่ในช่องเพื่อนรวดเดียว ๖ ชื่อ ระบบได้แจ้งให้ทราบว่าทักษะตั้งกลุ่มของเฉินเฟิงได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๔

เฉินเฟิงตัดสินใจบอกข้อมูลเกี่ยวกับการฟื้นฟูร่างกายจากความอ่อนเพลียทั้งหมดที่เขารู้ไปในรวดเดียวดังนี้

กระโจมหนึ่งหลังราคา ๓๐๐ เหรียญเงิน หลังจากกางแล้วสามารถใช้ได้ ๘ ชั่วโมง ไม่สามารถแยกใช้เป็นหลายครั้งได้ มีประสิทธิภาพช่วยขจัดความอ่อนเพลีย ฟื้นฟูเลือดลมและสมองด้วยอัตราเร็วกว่าปกติครึ่งเท่า อัตราเร็วในการฟื้นฟูของโรงแรมคือ ๒ เท่าของปกติ เช่าห้องแต่ละครั้งใช้งานได้ ๘ ชั่วโมง ราคา ๑๐๐ เหรียญเงิน อัตราเร็วในการฟื้นฟูของศูนย์สมาพันธ์คือ ๓ เท่าของปกติ และไม่จำกัดเวลาในการใช้ ความอ่อนเพลียเป็นค่าแฝงเร้น ไม่สามารถมองเห็นได้จากแถบแสดงสถานะของร่างกาย แต่ตัวผู้เล่นจะสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจน

หลังจากฟังจบ คนทั้ง ๖ ค่อยเข้าใจว่าทำไมถึงมีผู้เล่นยอมเสียเงินไปเช่าห้องพักในโรงแรม

ความจริงในคนทั้ง ๖ มีแต่เฮยโถวคนเดียวที่เคยนอนพักในโรงแรมมาก่อน แต่ตอนนั้นสภาวะร่างกายของเขาสมบูรณ์ดีทุกอย่าง แถมยังเป็นการเช่าห้องพักเพื่อทดลองโดยเฉพาะ เขายังจำได้เลยว่าหลังจากนั้นยังนึกเสียดายที่ดันเอาเงิน ๑๐๐ เหรียญไปทิ้งเสียเปล่าๆ ปลี้ๆ !

และเพราะข้อมูลที่ผิดพลาดของเฮยโถวนี่เองที่ส่งผลให้ทั้ง ๕ คนที่เข้ามาเล่นในภายหลังต่างก็ไม่เคยไปเช่าห้องพักของโรงแรมนอนพักกันเลยสักหน ยิ่งอย่าว่าแต่จะยอมเสียเงินไปซื้อกระโจมที่ราคาแพงกว่าค่าเช่าห้องพักตั้ง ๓ เท่า แต่เถ้าแก่ร้านไอเท็มดันโฆษณาว่าเป็นโรงแรมเคลื่อนที่ !

ตอนนี้หากสามารถลดเวลาพักผ่อนลงได้ เท่ากับว่าเพิ่มเวลาหาเงินดีๆ นี่เอง ทั้ง ๖ จึงพากันขอซื้อกระโจมจากเฉินเฟิง แต่ถึงเฉินเฟิงจะมีเป้ความจุมหาศาล เขาก็พกกระโจมมาด้วยแค่ ๔ หลังเท่านั้น ทั้ง ๖ จึงได้แต่แบ่งกันใช้ ๒ คนต่อ ๑ หลัง

ทั้ง ๖ มี ๔ ชาย ๒ หญิง แบ่งเป็น ๓ กลุ่มได้พอดี หยกม่วงกับปิศาจหลิว ๑ กลุ่ม เฮยโถวกับเจี๋ยเต๋อ ๑ กลุ่ม สุดท้ายเข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยกับอู่ชิวเฟิง ๑ กลุ่ม ส่วนเฉินเฟิงใช้กระโจมหนึ่งหลังคนเดียว

หลังจากพักผ่อนไปได้ ๔ ชั่วโมง เฉินเฟิงก็ตื่นขึ้นเป็นคนแรก สงสัยหลายวันมานี้คนทั้ง ๖ จะเหนื่อยกันมากไปหน่อย เพราะเฉินเฟิงรออยู่พักใหญ่ ทั้ง ๖ ก็ยังนอนหลับปุ๋ยเหมือนเดิม

ถ้าเขาเริ่มทำงานในตอนนี้ เสียงทำงานต้องดังจนปลุกทั้ง ๖ ตื่นขึ้นมาแน่ เมื่อครู่ก่อนหลังจากที่บอกข้อมูลที่ตัวเขารู้ออกไป หยกม่วงก็ตอบแทนด้วยการบอกวิธีในการฝึกทักษะทำอาหารให้ เมื่อหวนนึกถึงรสชาติของเนื้อย่างแล้ว เฉินเฟิงก็ชักจะหิวหน่อยๆ ยังไงเขาก็พักผ่อนพอแล้ว จึงเลือกไปเดินเล่นที่ในป่าโดยกะว่าจะล่าสัตว์ป่าติดไม้ติดมือกลับมาด้วย

ถึงแม้ทักษะธนูระดับ ๘ จะไม่ถือว่าสูงอะไรมากมาย แต่ก็ใช้ยิงนกได้อย่างเหลือเฟือ เฉินเฟิงหอบนก ๑๐ กว่าตัวและกระต่ายป่า ๓ ตัวติดมือกลับมา แค่นี้ก็มากพอให้ทุกคนได้กินมื้อใหญ่กันแล้ว

เขาใช้มีดพิเศษสำหรับใช้เตรียมเครื่องปรุง ขยับขวับขวับไม่กี่ทีก็กำจัดส่วนที่ไม่ต้องการทิ้งไปเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นก่อไฟกองไม่ใหญ่นักขึ้น แล้วเริ่มย่างเนื้อย่างเป็นครั้งแรกในชีวิต

กลิ่นหอมฉุยจากเนื้อที่เฉินเฟิงย่างได้กระชากคนทั้ง ๖ ให้ตื่นจากความฝัน เพียงครู่เดียวทั้ง ๖ ต่างก็มานั่งล้อมรอบกองไฟในอาการน้ำลายสอ

หนังบางกรอบสีเหลืองทอง เนื้อนุ่มสดมีน้ำหยดติ๋งๆ ทั้ง ๖ อดสงสัยไม่ได้ว่านี่คือฝีมือของคนที่เพิ่งจะเคยย่างเนื้อเป็นครั้งแรกจริงหรือเปล่าเนี่ย ? ถึงจะบอกว่าเป็นฝีมือของเชฟก็ยังไม่เกินจริงไปเลย ! เทียบกับหยกม่วงที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ของเฉินเฟิงแล้ว เนื้อย่างครั้งแรกสุดของหยกม่วงไหม้เกรียมดำสนิทจนดูไม่ออกเลยว่าเป็นอะไร แถมยังถอนขนและเอาเครื่องในออกไม่หมดอีกต่างหาก เรียกได้ว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

แม้จะถูกเปรียบเทียบจนอดเคืองไม่ได้ แต่หลังจากได้ลิ้มรสขานกที่ย่างเสร็จแล้ว หยกม่วงก็จำต้องออกปากชมอย่างจริงใจว่าศิษย์คนนี้เด่นล้ำเหนืออาจารย์จริงๆ

เมื่อเฉินเฟิงควักเหล้าเร้นดรุณออกมาหลายขวด เฮยโถว เจี๋ยเต๋อ เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัย และอู่ชิวเฟิงก็เปลี่ยนมาเรียกเฉินเฟิงว่า “พี่เฟิง” ทันที ถ้าไม่เพราะหยกม่วงคอยสะกิดเตือนอยู่ข้างๆ สี่หนุ่มนี้มีหวังไม่เมาไม่เลิกแหงๆ

เนื้อย่างมื้อใหญ่มื้อนี้ทำเอาทั้ง ๖ ประทับใจไม่รู้ลืม ถึงขนาดมีโอกาสเมื่อไหร่เป็นรบเร้าให้เฉินเฟิงเข้าครัวทุกครั้ง นับเป็นเรื่องเดียวที่คาดไม่ถึงมาก่อน

ระบบได้แจ้งให้ทราบว่าเฉินเฟิงได้รับทักษะทำอาหาร แถมยังเลื่อนขึ้นรวดเดียวเป็นระดับ ๓

หยกม่วงบ่นกระปอดกระแปดว่า เธอย่างเนื้อตั้ง ๑๐ กว่าครั้งกว่าจะได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๓ แต่เฉินเฟิงย่างแค่ครั้งเดียวก็ได้ระดับ ๓ แล้ว ระบบของเกมราชาฯนี่ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ! แต่พรรคพวกหนุ่มๆ ทั้ง ๔ คนกลับพูดอย่างไม่มีการเกรงอกเกรงใจว่า

“ฝีมือของเชฟใหญ่ซะอย่าง แม่ครัวกระจอกๆ จะไปทาบรัศมีได้ยังไง !” ผลลัพธ์ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าถูกหยกม่วงไล่ฆ่าสถานเดียว

ทั้ง ๗ ต่างก็ทำงานต่ออย่างขยันขันแข็งอีกหนึ่งวันเต็มๆ สุดท้ายหลังจากน้ำดื่มที่มีหมดเกลี้ยงแล้ว ต่างก็ต้องไปจากสถานที่ทำเงินแห่งนี้อย่างอาลัยอาวรณ์

เมื่อเก็บข้าวของกันเสร็จเรียบร้อยและเริ่มต้นออกเดินทาง อยู่ๆ เฉินเฟิงก็ถามขึ้นว่า

“พวกคุณจะไปเมืองมังกรเมฆกันใช่มั้ยครับ ?”

เฮยโถวตอบว่า “ใช่ครับ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าราคาจะยังทรงอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน เลยต้องฉวยโอกาสตอนนี้ที่ราคายังดีอยู่ขายไปไง ! พวกเราจะอ้อมไปที่เมืองเขี้ยวมังกรแล้วค่อยไปที่เมืองมังกรเมฆ คิดว่าคงใช้เวลาเดินทางประมาณ ๕ วัน พี่จะไปด้วยกันหรือ ? แต่พวกเราไม่มีม้า ดังนั้นคงตามพี่ไม่ทันหรอก”

เฉินเฟิงอุทานอย่างตกใจ “อ้อมเมืองเขี้ยวมังกร ! เมืองมังกรเมฆไม่ได้อยู่นอกปากทางเข้าด้านเหนือของหุบเขามรณะหรอกเหรอ ? ถ้าข้ามผ่านหุบเขามรณะอย่างมากก็ใช้เวลาแค่ ๕ ชั่วโมงเท่านั้นเอง พวกคุณกะจะเลือกทางอ้อมแทนทางลัดหรือ ? เวลา ๕ วันน่ะขุดแร่ได้อีกตั้งเยอะเชียวนะ แบบนี้คิดยังไงก็ไม่เห็นคุ้มเลย !”

ครั้นทั้ง ๖ ฟังที่เฉินเฟิงพูดจบ ต่างก็มีสีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาทันที เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยส่ายหน้าพลางพูดว่า

“อย่าพูดถึงหุบเขามรณะอีกเลยครับ สำหรับพวกเราแล้วที่นั่นน่ะเป็นฝันร้ายในฝันร้ายชัดๆ ! เฮยโถวเคยพาพวกเราผ่านหุบเขามรณะมาแล้ว ๓ หน นอกจากครั้งที่ ๓ ที่ปิศาจหลิวกับอู่ชิวเฟิงตามขบวนไม่ทัน เลยเดินเปะปะหลงไปถึงถ้ำสามคูหาสุดบูรพา ทำให้รอดตายไปได้แล้ว แต่ละครั้งมีแต่ตายเรียบทั้งนั้น”

หยกม่วงแลบลิ้นอย่างสยดสยองแล้วเสริมว่า “ตอนนี้ต่อให้มาบอกพวกเราว่าเดินทางนั้นแล้วจะประหยัดเวลาไปได้ตั้งเท่าไหร่ก็เถอะ พวกเราก็ไม่กล้าลองแล้วล่ะค่ะ รสชาติของความตายมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะ ! เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นซาลาเปาไส้เนื้อขว้างสุนัข[1] แค่คิดก็เข่าอ่อนแล้ว”

เจี๋ยเต๋อเองก็แสดงความเห็นเป็นครั้งแรกว่า “พวกเรา ๖ คนอยู่ระดับ ๓๐ แล้ว ตอนนี้ต่างก็สะสมค่าประสบการณ์สะสมได้กันคนละไม่ใช่น้อยๆ ถ้าต้องมาตายอีกล่ะก็ ความสูญเสียจะมีมากเกินไป”

ส่วนอู่ชิวเฟิงกับปิศาจหลิวเอาแต่พยักหน้าถี่ๆ สนับสนุน

เฉินเฟิงนึกไม่ถึงเลยว่าปฏิกิริยาของทั้ง ๖ จะรุนแรงขนาดนี้ แต่เมื่อหวนนึกถึงประสบการณ์ตอนที่เขาถูกอเล็กซ์ฆ่าตาย ถึงจะเป็นเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วินาที รสชาติของความตายก็ทรมานไม่ใช่เล่น บางทีอาจไม่ค่อยเหมือนกับความตายของแท้นัก แต่หากให้เฉินเฟิงไปลิ้มลองอีกครั้ง เขาก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน นี่คนทั้ง ๖ ยังเคยโดนกันมาตั้ง ๓ ครั้ง

พอนึกถึงครั้งก่อนว่าขนาดรวมกลุ่มกับพวกเซียวหยาวเป็น ๕ คน ยังถูกไล่ล่าแทบเอาชีวิตไม่รอด ทำให้พอจะเข้าใจว่าทำไม ๖ คนนี้ถึงมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้

ครั้งนี้เฉินเฟิงยังคิดจะใช้เส้นทางหุบเขามรณะอยู่ดี แต่เขาเล็งเห็นแล้วว่าคงเกลี้ยกล่อมคนทั้ง ๖ ไม่สำเร็จง่ายๆ แน่ สองวันที่ได้อยู่ร่วมกับคนพวกนี้เขารู้สึกสบายใจไม่ใช่น้อย ดังนั้นจึงยังพยายามเกลี้ยกล่อมต่อไปว่า

“สัตว์อสูรในหุบเขามรณะน่ากลัวมากก็จริง แต่ระยะทางมันต่างกันมากเกินไปอยู่ดี มีคนไปด้วยมากหน่อยบวกกับขี่ม้าก็น่าจะข้ามไปได้พ้นนะครับ แถมตอนนี้เพราะมีคนมาที่ถ้ำสามคูหาสุดบูรพากันเยอะมาก ทำให้พูดได้ว่าเส้นทางจากตรงกลางเป็นต้นไปปลอดภัยแล้วล่ะ นี่เป็นโอกาสใช้เส้นทางนี้ข้ามไปที่ดีเชียวนะ !”

น่าเสียดายที่ความกลัวหุบเขามรณะอยู่เหนือเหตุผลที่เฉินเฟิงยกมา เมื่อเฮยโถวเห็นสีหน้าผิดหวังของเฉินเฟิง ก็ได้แต่พูดว่า

“ถ้าพวกเราทุกคนได้อาชีพแล้วล่ะก็ อาจจะพอพิจารณาลองดูสักครั้งได้ แต่ตอนนี้กระทั่งผมเองยังไม่กล้าลองแล้วเลย ใช้ม้วนคาถากลับบ้านกับม้วนคาถาเคลื่อนที่ในพริบตาไม่ได้ พอเจอฝูงสัตว์อสูรเข้าก็มีแต่ทางตายสถานเดียวจริงๆ ดูท่าพวกเราคงต้องแยกทางกันแล้วล่ะ หวังว่าไปถึงเมืองมังกรเมฆแล้วจะมีโอกาสได้เจอพี่เฟิงอีกนะครับ”

แม้เฉินเฟิงจะเข้าใจดี แต่ก็อดห่อเหี่ยวใจไม่ได้ อุตส่าห์ได้เจอคนที่ความคิดคล้ายตัวเองตั้งหลายคนทั้งที ก็อยากจะช่วยพวกเขาให้ได้มากกว่านี้ แต่สุดท้ายกำลังของเขาก็ไม่มากพอจะทำให้คนทั้ง ๖ เชื่อมั่นได้

ทุกคนเดินไปพลางต่างคนต่างก็จมอยู่ในภวังค์ บรรยากาศจึงพลอยเงียบงันจนน่าอึดอัดไปโดยปริยาย

ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ข้างหน้าก็จะออกพ้นจากป่าทึบแล้ว ทันใดนั้นหลายฝูได้เห่าเตือนขึ้นมากะทันหัน เฉินเฟิงรีบห้ามไม่ให้คนทั้ง ๖ เดินหน้าต่อทันควัน

เฮยโถวถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือพี่เฟิง หมาของพี่ถึงเห่าไม่ยอมหยุดอย่างนั้น ข้างหน้ามีอันตรายหรือครับ ?”

เฉินเฟิงพยักหน้าเป็นความหมายว่าใช่ แล้วถามหลายฝูว่าสัตว์อสูรที่ปรากฏข้างหน้าคือตัวอะไร สัตว์อสูรในแถบนี้จะไม่เป็นฝ่ายโจมตีผู้เล่นก่อน แต่หลายฝูมีประสบการณ์ในการลาดตระเวนมาอย่างโชกโชน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มันจะไม่ร้องเห่าเตือนว่ามีอันตรายโดยไร้สาเหตุแน่

เป็นดังคาด หลายฝูไม่สามารถให้ข้อมูลของสัตว์อสูรตัวนั้นได้ แปลว่าสัตว์อสูรตัวนั้นมีระดับไม่ต่ำกว่า ๔๐ แต่ก่อนหน้านี้ตอนเจอกับนกฮูกที่มีระดับ ๔๕ หลายฝูก็ยังไม่มีท่าทางกระวนกระวายเท่านี้ ทำให้เฉินเฟิงจำต้องระวังตัวมากขึ้น และกำชับทุกคนให้เตรียมพร้อมใช้ม้วนคาถากลับบ้านได้ทุกเมื่อ จากนั้นปล่อยอเล็กซ์ออกมา

เนื่องจากรูปร่างของมนุษย์หมาป่าน่าสะพรึงกลัวเกินไป บวกกับตอนที่พามันเข้าเมืองชิงจ้างครั้งแรก เฉินเฟิงถูกพวกผู้เล่นรุมถามจนแทบบ้า ดังนั้นปกติถ้ามีผู้เล่นคนอื่นอยู่ด้วย เฉินเฟิงจะเก็บมันเข้าแส้เทพสีหราชเสียเป็นส่วนใหญ่

หลังจากที่ได้ประจักษ์ในพละกำลังความสามารถของมัน อเล็กซ์ก็ได้กลายมาเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของเฉินเฟิงนับแต่บัดนั้น

ทั้ง ๗ รุดหน้าไปอย่างระมัดระวังสุดขีด พอเห็นเป้าหมาย ทุกคนต่างก็สูดลมหายใจอย่างลืมตัวทันที ไอ้ตัวนี้มันมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงกันเนี่ย ?

เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยรีบเปิดคู่มือสัตว์อสูรเทียบดูทันที แล้วพูดข้อมูลของสัตว์อสูรข้างหน้าออกมาว่า

“ตุ่นยักษ์ หน้าตาคล้ายหนูขนาดอภิมหายักษ์ ระดับ ๕๕ - ๕๘ สังกัดธาตุดินและธาตุสายฟ้า สามารถใช้เล็บกวาดโจมตี และสามารถเรียกสายฟ้ากำลังแรงมากฟาดลงใส่ได้หลายสายพร้อมกัน พลังโจมตีสูงสุด ๒,๐๐๐ จุดขึ้นไป ได้รับฉายาว่าเพชฌฆาตแห่งท้องทุ่ง

“ปกติมันจะไม่โจมตีผู้เล่นก่อน แต่บางครั้งเมื่อนึกอยากกินเนื้อ มันจะโจมตีสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ความเร็วในการโจมตีอยู่ระดับกลาง ขอแนะนำให้กลุ่มผู้เล่นที่แต่ละคนมีระดับไม่ถึง ๕๐ พยายามเลี่ยงการปะทะกับมันไว้จะดีที่สุด เพิ่มเติม : การใช้เวทสายฟ้าจะช่วยมันฟื้นพลัง จุดอ่อนคือเวทมนตร์สายน้ำและดวงตา ผู้เล่นพึงรับมือด้วยความระมัดระวัง”

ท่าทางองอาจสง่างามของอเล็กซ์เวลาประจันหน้ากับสัตว์อสูรหายวับไปทันควัน ความจริงก็ว่าอะไรมันไม่ได้ เพราะรูปร่างที่สูงใหญ่กว่ามนุษย์สองเท่าของอเล็กซ์กลายเป็นกระจ้อยร่อยไปเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าตุ่นยักษ์ เพราะตุ่นยักษ์ตัวสูงกว่าอเล็กซ์ถึง ๕ เท่า ยิ่งพอเทียบขนาดของตุ่นยักษ์กับคนทั้ง ๗ ยิ่งกลายเป็นปลาวาฬกับกุ้งฝอยโน่นเลย

กระทั่งอู้คงที่ปกติคึกคักที่สุดยังรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อนจนกุมกระบองห่วงทองแน่นอย่างผิดจากปกติ ไม่กล้าประมาทศัตรูแม้แต่น้อย

เฉินเฟิงเห็นคนทั้ง ๖ ต่างตกตะลึงจังงังคาที่หลังจากฟังข้อมูลจบ จึงได้แต่สั่งการว่า

“คนที่มีพลังป้องกันไม่ถึง ๒,๐๐๐ จุด ให้ถอยไป เตรียมพร้อมช่วยใช้ยาฟื้นพลังให้เพื่อนที่อยู่แนวหน้า ความเร็วของมันสูงมาก ดังนั้นให้พวกเราใช้วิธีแยกย้ายกันโจมตี ระวังอย่าเข้าใกล้ด้านหน้ามากเกินไป เพราะถ้าถูกกรงเล็บกวาดใส่บวกกับสายฟ้าฟาด มีหวังตายสถานเดียว คนที่มีธนูให้ใช้ธนู หาทางล่อมันไปที่หุบเขามรณะ ตอนนี้ที่นั่นมียอดฝีมือมารวมตัวกันอยู่มาก น่าจะช่วยฆ่ามันได้ ทุกคนอย่าฝืนตัวเองเป็นอันขาด ! ถ้าพลังป้องกันลดลงเหลือต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ให้ใช้ม้วนคาถากลับบ้านทันที อีกอย่าง ผมเตรียมจะใช้ระเบิดแสง เมื่อได้ยินสัญญาณจากผม ให้หลับตาลงทันที ๑ นาที และอย่าหยุดเท้าเป็นอันขาด !”

เขาโยนยาฟื้นพลังกองใหญ่ไปให้ปิศาจหลิว เพราะในคนทั้ง ๖ พลังป้องกันของเธอกับอู่ชิวเฟิงต่ำที่สุด พร้อมกันนั้นก็ส่งข้อความขอเข้าร่วมกลุ่มไป

ครั้นได้ยินที่เฉินเฟิงสั่งการ ทั้ง ๖ ค่อยเรียกสติกลับคืนมาได้ หลังจากเข้าร่วมกลุ่มแล้ว เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยกับหยกม่วงก็หยิบธนูออกมา ส่วนอู่ชิวเฟิงกับปิศาจหลิวถอยหลังไปหลายก้าว

อาวุธของเฮยโถวคือค้อนยักษ์ แต่เทียบกับค้อนยักษ์ของเฉินเฟิงแล้วเล็กกว่ากันมาก ส่วนเจี๋ยเต๋อชักดาบออกมา

เฉินเฟิงเห็นคนทั้ง ๖ เตรียมตัวพร้อมสรรพแล้ว ก็ไม่เปลี่ยนอาวุธ มือตวัดแส้เทพสีหราชพลางตวาดว่า

“ทุกคนระวังตัวกันเอาเองนะ ! บุกได้ !”

หลายฝูใช้คาถาคมวายุเปิดฉากการต่อสู้ เฉินเฟิงขี่ซวงเว่ยนำหน้า เคลื่อนไหวไปมาที่ด้านหน้าของตุ่นยักษ์ แล้วหวดแส้ใส่เป็นระยะๆ ล่อจนตุ่นยักษ์วิ่งไล่ตามเขาไป

หลังจากอเล็กซ์ประสบความสำเร็จในการโจมตีตุ่นยักษ์เป็นครั้งที่สอง ทั้ง ๖ ก็เริ่มลงมือโจมตีอย่างไม่ลังเล เข้าออกเรือนอย่างปลอดภัยกับหยกม่วงแบ่งเป็นซ้ายขวา สาดลูกดอกเงินเข้าใส่ตุ่นยักษ์อย่างไม่มีการหยุดมือ เฮยโถวกับเจี๋ยเต๋ออ้อมไปลอบโจมตีทางด้านหลัง อู้คงยึดตำแหน่งโจมตีด้านซ้าย ส่วนอเล็กซ์เหมาโจมตีด้านขวา

ชั่วขณะนั้นเฉินเฟิงอยู่ในภาวะล่อแหลมที่สุด ถึงจะสามารถหนีออกไปไกลหน่อยแล้วใช้ธนูโจมตีได้ แต่หากทำอย่างนั้น คนอื่นที่โจมตีประชิดตัวจะตกอยู่ในอันตราย แถมเขายังกลัวว่าเกิดตุ่นยักษ์ไล่ตามเป้าหมายไม่ทันขึ้นมา มันอาจจะใช้สายฟ้าโจมตี จึงได้แต่ฝืนใจยันเอาไว้

โชคดีที่เฉินเฟิงมีประสบการณ์ไม่ใช่น้อย เขาใช้ท่าบุกทะลวงและท่าบุกทะลวงสองเท่าหลบจากกรงเล็บที่กวาดใส่มาได้เป็นหลายครั้ง บวกกับประสิทธิภาพข่มขวัญที่ปรากฏให้เห็นเป็นบางครั้งของแส้เทพสีหราช ทำให้ตุ่นยักษ์ที่เดิมทีก็เคลื่อนไหวไม่ได้เร็วอะไรมากมายอยู่แล้วขยับตัวช้าลงไปมาก สามารถรู้สึกได้เลยว่าพลังชีวิตของมันค่อยๆ ลดลงๆ แม้จะอย่างเชื่องช้ามากก็ตามที

เนื่องจากเฉินเฟิงใช้วิธีสู้พลางหนีพลาง เครื่องป้องกันที่ถูกโจมตีใส่จึงฟื้นสภาพโดยอัตโนมัติในทันที พวกพ้องคนอื่นเองก็โจมตีปุ๊บถอยปั๊บ จึงไม่มีโอกาสได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด อู่ชิวเฟิงกับปิศาจหลิวที่ได้รับมอบหมายให้ช่วยใช้ยาฟื้นพลังเลยว่างไปเลย ช่วงแรกๆ ทั้งสองยังตื่นๆ กับพลังความสามารถของตุ่นยักษ์อยู่ แต่เมื่อเห็นชัดตาแล้วว่าตุ่นยักษ์กำลังค่อยๆ ถูกปราบลงช้าๆ ก็อดหยิบธนูออกมาช่วยยิงโจมตีไม่ได้

ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าการต่อสู้จะเป็นไปอย่างราบรื่นแบบนี้ตลอดนั่นเอง ตุ่นยักษ์ก็พลันส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วเรียกสายฟ้ามาทันควันโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะถูกโจมตีเข้าไปกี่ครั้ง

“เปรี้ยงงงงง ! เปรี้ยงๆๆๆๆ !”

สายฟ้า ๑๐ กว่าสายพุ่งวาบลงมาจากฟ้า ชั่วพริบตานอกจากคนที่ใช้ธนูทั้งสี่คนแล้ว ที่เหลือต่างถูกรางวัลกันถ้วนหน้า

นึกไม่ถึงเลยว่าตุ่นยักษ์จะมาไม้นี้แบบกะทันหัน อู่ชิวเฟิงกับปิศาจหลิวลนลานโยนธนูทิ้งแล้วช่วยทุกคนฟื้นพลังทันที เฉินเฟิงเห็นสถานการณ์กำลังวิกฤติ ก็ตัดสินใจออกคำสั่งให้หลับตาทันควัน เตรียมจะใช้ระเบิดแสง

ใครจะไปคิดว่าระเบิดแสงที่ปกติถูกมองว่าเป็นสุดยอดไอเท็มช่วยชีวิต ครั้งนี้ดันไม่เกิดประสิทธิผลอย่างที่ควรจะเป็น ตุ่นยักษ์ไม่เพียงแต่ไม่ได้ส่งเสียงร้องโหยหวนอยู่กับที่อย่างสัตว์อสูรอื่นๆ ทั่วไปเท่านั้น ยังดันไล่โจมตีอย่างสุดชีวิตใส่เฉินเฟิงที่กำลังหันหลังให้มันอีกต่างหาก !

“อ๊ากกกก !”

“พลั่ก !”

ยังไม่ทันจะพ้น ๑ นาที พลังกวาดฟาดก็กระทบหลังเข้าให้เต็มรัก เฉินเฟิงแผดร้องสุดเสียง ถูกฟาดตกจากหลังม้าอย่างฉับพลัน

แม้เฉินเฟิงจะลอยกระเด็นโดยมีฝอยเลือดพุ่งกระฉูดออกมาเป็นทางยาว ตุ่นยักษ์ก็ยังไม่พอใจแต่เพียงเท่านี้ มันทำการซ้ำเติมด้วยสายฟ้าต่อทันที สายฟ้าฟาดลงใส่ร่างเฉินเฟิงที่ลอยละลิ่วไปไกลอย่างน้อย ๒๐ เมตร ซวงเว่ยตายคาที่ทันควัน !

ทั้ง ๖ ได้ยินเสียงแผดร้อง พอลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เห็นดันไม่ใช่ตุ่นยักษ์ที่ตกอยู่ในภาวะตาบอด แต่เป็นซากร่างดำเกรียมของซวงเว่ยและเฉินเฟิงที่ถูกเหวี่ยงจนดูไม่เป็นสารรูป

อเล็กซ์ส่งเสียงหอนโหยหวนเรียกสติทั้ง ๖ กลับคืนมาในทันใด มันพุ่งวาบไปอยู่ด้านหน้าตุ่นยักษ์แทนที่ตำแหน่งของเฉินเฟิงเมื่อครู่ แล้วระดมทุบค้อนดาวตกใส่

ทั้ง ๖ ค่อยนึกขึ้นได้ว่าต้องลงมือโจมตีกันต่อ เพราะนี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดว่าทำไมระเบิดแสงถึงไม่ได้ผล เพราะการต่อสู้ยังดำเนินอยู่เลย !

เฉินเฟิงอาเจียนน้ำเลือดที่มีทรายปนออกมา แล้วสบถว่า

“แม่งเอ๊ย ! เสือกไม่กลัวระเบิดแสง ไม่ใช่สัตว์อสูรธาตุแสงซะหน่อย แถมจุดอ่อนยังอยู่ที่ตาด้วย บ้าชะมัด ! ไม่มีเหตุผลเกินไปแล้วโว้ย !”

ถึงจะด่ายังไง ผลลัพธ์ที่ล้มเหลวก็เกิดขึ้นไปแล้ว ตอนนี้มีแต่คิดวิธีอื่นมารับมือเท่านั้น

เฉินเฟิงใช้ม้วนคาถาคืนชีพช่วยคืนชีพให้ซวงเว่ย ครั้นพบว่าระดับของมันลดลงเพราะตาย ก็สบถไฟแลบไปอีกหลายประโยค พอหันไปเห็นอานม้าที่แตกกระจายเต็มพื้นและก้อนแร่ที่ตกกระจายไปทั่ว ไฟโทสะก็ลุกพรึ่บเต็มสมองเฉินเฟิงในพริบตา

เขาปลี่ยนไปใช้ค้อนยักษ์ที่มีพลังโจมตีสูงที่สุด แล้วเลิกใช้วิธีสู้แบบวิ่งล่อพลางหนีพลาง แต่เปลี่ยนเป็นโถมเข้าระดมทุบใส่ตัวตุ่นยักษ์อย่างบ้าคลั่ง เข้าปะทะตรงๆ อย่างไม่มีการหลบเลี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น ทำเอาอู่ชิวเฟิงกับปิศาจหลิวสะดุ้งโหยง รีบช่วยใช้ยาฟื้นพลังให้เขาแทบไม่ทัน

อู้คงกับอเล็กซ์ได้รับสัญญาณโจมตีเต็มกำลังจากเฉินเฟิงพร้อมกัน แล้วกระบองห่วงทอง ค้อนดาวตก และค้อนยักษ์ อาวุธหนักทั้ง ๓ ชนิดก็หมุนเวียนกันระดมโจมตี เฮยโถวกับเจี๋ยเต๋อเห็นเฉินเฟิงหันมาสู้ไม่คิดชีวิต ก็ไม่คิดมากความอีก ส่งเสียงคำรามพลางโถมเข้าร่วมวงไพบูลย์ระดมโจมตีทันควัน

เสียงร้องคำรามผสานแสงวะวาบจากยาฟื้นพลังดำเนินไปนานประมาณ ๕ นาที ตุ่นยักษ์ก็เปล่งเสียงคำรามก้อง แล้วร่างขนาดยักษ์ก็ล้มครืนลงในที่สุด จบชีวิตไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ

หลังฝุ่นที่ฟุ้งตลบตกกลับลงพื้น ทุกคนต่างมองซากที่เหมือนภูเขาขนาดย่อมของตุ่นยักษ์อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ส่วนด้านข้างมีรางวัลแห่งชัยชนะระเบิดออกมากองใหญ่

สัตว์อสูรระดับ ๕๕ ตายแล้ว ? ขนาดเจองูมังกรยักษ์ระดับ ๕๐ ยังเคยทำเอาทั้ง ๖ ตายเรียบทั้งกองทัพมาแล้ว มาตอนนี้พวกเขากลับฆ่าตุ่นยักษ์ที่ระดับสูงกว่าตายได้ !

ตอนนี้ระดับของเฉินเฟิงแค่ ๓๑ แค่มีเขากับพวกสัตว์เลี้ยงของเขาเพิ่มมา พลังของกลุ่มก็เพิ่มขึ้นตั้งขนาดนี้เชียว !

พลังโจมตีอันมหาศาลและความสามารถในการบัญชาการระหว่างสู้รบของเฉินเฟิงได้ประทับลงในจิตใจของพวกเฮยโถวอย่างลึกล้ำ นอกจากนี้อาการโกรธจัดที่เฉินเฟิงแสดงออกมาในตอนท้ายก็ทำเอาทั้ง ๖ ต่างหนาวเยือก ว่าปกติเขาออกจะสุภาพเรียบร้อย ไหงอยู่ๆ ถึงอย่างกับเปลี่ยนเป็นคนละคนไปได้ ?

ยังไม่ทันหายจากอาการตกตะลึง บัดดลนั้นฟ้าดินก็พลันเปลี่ยนสี แล้วจึงมองเห็นแต่ไกลว่ามีมังกรเจ็ดสีตนหนึ่งเหาะลงมาจากฟากฟ้า มังกรตนนี้มีความยาวอย่างน้อย ๕๐ เมตร มีเขาดุจเขากวาง มีหูดั่งหูโค นัยน์ตากลมโตดั่งเปล่งแสงสุกใสเช่นนัยน์ตาเถาะ และดั่งโชนแสงกล้าเช่นนัยน์ตาขาล จมูกเช่นจมูกสิงห์เหยียดผงาด ปากเช่นปากลาแสยะอ้า ซี่ฟันเรียงรายดั่งฟันม้า เขี้ยวสีโรหิต[2]โง้งงอน ลำตัวอสรพิษยาวคดเคี้ยว หางเช่นมัจฉาส่ายสะบัด หนวดเคราพลิ้วพัดตามแรงลม เกล็ดครีบสะท้อนแสงสัตตรงค์[3] เท้าคฤธร[4]ใหญ่กำยำ กรงเล็บอินทรีคมกริบทรงพลัง...



[1] ซาลาเปาไส้เนื้อขว้างสุนัข หมายถึง เป็นเหมือนซาลาเปาไส้เนื้อที่ถูกขว้างใส่สุนัข คือ “ไปแล้วไปลับไม่กลับมา” เพราะถูกสุนัขคาบไปกินเรียบร้อย

[2] โรหิต แปลว่า สีแดง สีเลือด ความหมายเดียวกับ โลหิต

[3] สัตตรงค์ แปลว่า เจ็ดสี ; สัตตะ แปลว่า เจ็ด , รงค์ แปลว่าสี

[4] คฤธร แปลว่า นกแร้ง


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:32 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:21

0 ความคิดเห็น