หัวข้อ : เล่มที่ ๓ สงครามอัศวิน ตอนที่ ๔ นัดหมาย

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:20

ตอนที่ ๔

 

นัดหมาย

 

 

เทวอาจารย์มังกรตวาดสั่งให้ลูกน้องทุกคนถอยลงไปทั้งหมด แม้ตอนแรกพยัคฆ์สุวรรณผยองจะทำท่าไม่ยอมไป แต่ครั้นเทวอาจารย์มังกรก้มลงกระซิบอะไรที่ข้างหู ๒ - ๓ ประโยค ก็หน้าเปลี่ยนสีทันที แล้วหันมาประสานมือโค้งคารวะขอโทษเฉินเฟิง จากนั้นพาพวกลูกน้องหายสาบสูญไปจนหมดภายในไม่กี่วินาที

เทวอาจารย์มังกรพูดอย่างนอบน้อมว่า

“เฟิงซฺยงคงมีเรื่องยุ่งมากจนลืมไปกระมังครับ ถึงแม้เฟิงซฺยงจะยังไม่เข้าเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการก็เถอะ ตำแหน่งสมาชิกกิติมศักดิ์เป็นตำแหน่งที่ตั้งขึ้นให้เป็นเกียรติโดยเฉพาะอยู่แล้ว ดังนั้นจะเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน คุณพระขรรค์ธรรมเมฆจำนรรจ์ซึ่งเป็นตัวแทนท่านหัวหน้าสมาพันธ์ได้ส่งรูปของเฟิงซฺยงไปให้พี่น้องทุกคนในสมาพันธ์ด้วยตัวเองเลยทีเดียว ทั้งยังกำชับทุกคนว่า เมื่อพบเฟิงซฺยง ให้ทำเหมือนท่านหัวหน้าสมาพันธ์มาเยือนด้วยตัวเอง หากเฟิงซฺยงมีคำสั่งใด ให้พยายามทำตามคำสั่งให้สำเร็จทันทีโดยไม่ต้องรายงานกลับไป เมื่อครู่เฟิงซฺยงมาอย่างกะทันหันเกินไป แถมเครื่องแต่งกายยังผิดไปจากเดิม ดังนั้นถึงผู้น้องจะรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็จำไม่ได้อยู่ดี จนทำให้หลงล่วงเกินคุณเข้าให้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เรื่องนี้ยังหวังให้ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเฟิงซฺยงอย่าได้ถือสาหาความผู้น้อยอย่างพวกผมเลยนะครับ !”

เมื่อได้ยินชื่อพระขรรค์ธรรมเมฆจำนรรจ์ เฉินเฟิงก็นึกออกทันทีว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นๆ ชื่อสมาพันธ์ดาบกระบี่ ที่แท้พระขรรค์ธรรมเมฆจำนรรจ์ก็คือเพื่อน ๑ ใน ๒ คนที่เลเอทท์แนะนำให้เขารู้จักนั่นเอง แต่เรื่องที่เขาไปรับปากว่าจะเป็นสมาชิกกิติมศักดิ์ของสมาพันธ์ดาบกระบี่ตั้งแต่เมื่อไหร่นี่ คิดยังไงก็คิดไม่ออกแฮะ จำได้รางๆ ว่าตอนที่สองคนนั้นชวนเขาเข้าสมาพันธ์ สองคนเอาแต่ย้ำว่าเป็นแค่สมาพันธ์เล็กๆ แถมสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นที่รู้จักกันในโลกความจริงแทบทั้งนั้น พวกเขาต่างก็ติดตามเลเอทท์จากอีกเกมหนึ่งมาที่เกมนี้

คิดไม่ถึงว่าสมาพันธ์เล็กๆ ที่ว่า แค่ตึกเดียวยังมีสมาชิกตั้ง ๓๐ คนเข้าไปแล้ว อย่างนั้นสมาชิกทั้งหมดของสมาพันธ์อย่างน้อยก็ต้องมีหลายร้อยคนน่ะสิ มิน่าเล่าขบวนนักเวทและสัตว์ถึงได้ไม่ยอมให้เขาร่วมโดดลงปลักโคลนนี้ไปด้วย เพราะการล่วงเกินกลุ่มสมาคมที่มีจำนวนคนหลายร้อยมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย

ดูท่าหนนี้เขาดันออกหน้าไปล่วงเกินกลุ่มสมาคมที่ไม่ควรล่วงเกินเข้าให้เสียแล้ว พอนึกถึงท่าทางสุดจะอันธพาลของผู้เล่นที่ชื่อพยัคฆ์สุวรรณผยองคนนั้น เฉินเฟิงก็นึกดีใจที่ตัวเองไม่ได้รับปากเข้าเป็นสมาชิกของสมาพันธ์ดาบกระบี่ เพราะถึงเขาจะไม่ใช่สุภาพบุรุษแสนดีผู้ถือคุณธรรมเท่าชีวิต แต่ก็ไม่อยากกลายเป็นพวกเดียวกับอันธพาลแบบนั้นเหมือนกัน

ในใจเฉินเฟิงเกิดการขัดแย้งอย่างรุนแรงว่าจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไปดีหรือเปล่า เพราะเห็นได้ชัดว่าหัวหน้าสมาพันธ์นี้ให้ความสำคัญกับเขามาก แต่จะให้เขานั่งดูเพื่อนถูกรุมยำโดยไม่ช่วย เขาก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน สุดท้ายถึงจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีอิทธิพลไม่ใช่ย่อย แต่ตัวเขาดันหลุดปากพูดออกไปแล้ว จึงได้แต่แข็งใจสานต่อสถานเดียว

เฉินเฟิงกระแอมสองที แล้วพูดว่า “พี่น้องมังกร ต้องขอขอบคุณอย่างยิ่งที่ช่วยไว้หน้าผม แต่เรื่องสมาชิกกิติมศักดิ์ คงจะมีการเข้าใจผิดอะไรกันสักอย่างแน่ๆ ครับ ยังไงเรื่องนี้ช่างมันก่อนเถอะ ผมขออาศัยฐานะหนึ่งในสมาชิกของขบวนนักเวทและสัตว์เรียนถามหน่อยนะครับว่า กลุ่มของพวกเราที่มีกันแค่แปดคน ไม่น่าจะผูกความแค้นยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้กับสมาพันธ์ของคุณได้นะครับ แล้วเรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกันหรือครับ ?”

ดูเหมือนเทวอาจารย์มังกรจะกำลังติดต่อกับระดับสูงอยู่ พอเขาได้ยินที่เฉินเฟิงพูดก็อดอึ้งไปชั่วครู่ไม่ได้ แต่ก็ยังตอบกลับมาอย่างสุภาพว่า

“เฟิงซฺยงเห็นผมเป็นคนนอกเกินไปแล้วครับ ถ้าผมรู้แต่แรกว่าขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์เป็นเพื่อนของคุณล่ะก็ พวกเราจะไม่มีทางไปหาเรื่องพวกเขาหรอกครับ เมื่อกี้ผู้น้องก็บอกแล้วว่าพวกเราเป็นฝ่ายผิดเอง จริงสิ ตัวแทนท่านหัวหน้าสมาพันธ์ทั้งสองท่านกำลังอยู่ระหว่างเร่งเดินทางมาที่นี่ครับ รบกวนเฟิงซฺยงช่วยรออีกสักหน่อยนะครับ” แล้วหยุดหันไปมองพวกขบวนนักเวทและสัตว์ จากนั้นพูดเสียงต่ำ “ไม่ทราบหัวหน้าคมพิรุณจะยอมอภัยให้แก่ความมุทะลุชั่วแล่นของพี่น้องของผมหรือเปล่าครับ ?”

จากประโยคนี้สามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่า เทวอาจารย์มังกรเป็นนักเจรจาระดับยอดฝีมือโดยแท้ แค่พลิกลิ้นนิดเดียว ก็ซัดทอดเรื่องลำบากใจที่ได้รับจากเฉินเฟิงไปให้คมพิรุณเป็นที่เรียบร้อย แถมยังช่วยไว้หน้าให้เฉินเฟิงอย่างเต็มที่อีกด้วย

คมพิรุณเองก็ทราบดีว่าอีกฝ่ายเห็นแก่หน้าใครกันแน่ นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเธอจะประเมินอำนาจของเฉินเฟิงต่ำเกินไปมาก ชั่วขณะนั้นในช่องกลุ่มของพวกขบวนนักเวทและสัตว์ได้มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือด สุดท้ายต่างก็ตัดสินใจว่าเพิ่มหนึ่งเรื่องมิสู้ลดหนึ่งเรื่อง คมพิรุณหันไปพูดกับเฉินเฟิงก่อนว่า

“ต้องขอขอบคุณเฟิงซฺยงอย่างยิ่งที่ช่วยคลายวงล้อมให้ในครั้งนี้ ฉันไม่ขอพูดมากล่ะนะ เอาเป็นว่าวันหน้าหากมีอะไรที่พวกเราขบวนนักเวทและสัตว์ช่วยได้ หวังว่าเฟิงซฺยงจะไม่ลืมเรียกใช้พวกเรา” จากนั้นหันมาพูดกับเทวอาจารย์มังกรว่า “วันนี้นับว่าได้รับทราบบารมีของสมาพันธ์ดาบกระบี่แล้ว ขบวนเล็กๆ ของพวกเราไม่อยู่ในสายตาอันคมกริบของพวกคุณ เฟิงซฺยงเองก็ไม่ใช่สมาชิกของขบวนนักเวทและสัตว์ บัญชีแค้นในวันนี้พวกเราขบวนนักเวทและสัตว์ขอจดเอาไว้แล้ว ลาก่อน !”

แล้วขบวนนักเวทและสัตว์ทั้งเจ็ดคนก็จากไปในอาการเป็นเดือดเป็นแค้น เหลือแต่เฉินเฟิงกับเทวอาจารย์มังกรยืนมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน

เจตนาดีของเฉินเฟิงถูกพวกขบวนนักเวทและสัตว์ปฏิเสธอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่เพราะพระขรรค์ธรรมเมฆจำนรรจ์กำลังอยู่ระหว่างเร่งเดินทางมา เฉินเฟิงคงจะขอตัวจากไปนานแล้ว

อยู่ๆ สีหน้าเทวอาจารย์มังกรก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเหมือนนึกถึงเรื่องอะไรที่มันหนักหนาสาหัสขึ้นได้ แล้วรีบพูดว่า

“เฟิงซฺยง คุณช่วยอะไรผมสักเรื่องได้หรือเปล่าครับ ?!”

บุคลิกท่าทีแบบยอดฝีมือเมื่อครู่ไม่ทราบปลิวหายวับไปไหนเสียแล้ว...

ถึงเฉินเฟิงออกจะดูแคลนพฤติกรรมเมื่อครู่ของอีกฝ่าย แต่คนเขาอุตส่าห์ไว้หน้าตัวเองตั้งขนาดนี้แล้ว จะมาตัดรอนกันก็ออกจะเกินไปหน่อย จึงได้แต่พูดอ้อมค้อมว่า

“ผู้น้อยมีแค่ตัวคนเดียว กำลังมีจำกัด ไม่ทราบว่าจะช่วยอะไรคุณได้หรือครับ ?”

เทวอาจารย์มังกรปาดมือเช็ดเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดซึมขึ้นบนหน้าผาก แล้วพูดว่า

“เรื่องนี้ต้องเป็นคุณเท่านั้นครับถึงจะช่วยได้ พวกลูกน้องของผมผิดเองที่มุทะลุกันเกินไปโดยไม่ทราบว่าขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์เป็นเพื่อนของคุณ เรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อยเท่านั้นจริงๆ ครับ ผมรับรองว่าจะไม่ไปหาเรื่องพวกเขาอีกแล้ว ถ้าเกิดตัวแทนท่านหัวหน้าสมาพันธ์ถามถึงเรื่องนี้ คุณช่วยอธิบายแก้ตัวแทนพวกเราหน่อยจะได้ไหมครับ ?”

ที่แท้เทวอาจารย์มังกรกลัวว่าจะถูกพระขรรค์ธรรมเมฆจำนรรจ์คาดโทษนี่เอง ถึงได้อยากให้เขาช่วยพูดให้หน่อย ความจริงถึงเขาจะรู้จักพระขรรค์ธรรมเมฆจำนรรจ์กับเลเอทท์ก็เถอะ แต่เขาว่าตัวเขาไม่น่าจะมีอิทธิพลอะไรกับพวกนั้นมากมายนี่นา ? จึงพูดอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักว่า

“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากช่วยหรอกนะ ถึงผมจะยังไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง แต่วิธีการที่พวกคุณทำเมื่อครู่ก็สกปรกเกินไปอยู่ดี อีกอย่าง คุณประเมินอิทธิพลที่ผมมีต่อสมาพันธ์ของคุณสูงเกินไปหรือเปล่าครับ ?”

ครั้นเทวอาจารย์มังกรได้ยินว่าสถานการณ์ยังพอจะกอบกู้ได้ ก็รีบพูดว่า

“ผู้น้องทราบดีว่าพร่องคุณธรรมเกินไป ความจริงที่มีเรื่องกับพวกขบวนนักเวทและสัตว์เกิดจากขัดแย้งกันเล็กน้อยในตอนที่รับภารกิจเท่านั้นครับ ผู้น้องต้องหาโอกาสไปขอโทษพวกเขาอย่างเป็นทางการอย่างแน่นอนครับ ! ส่วนเรื่องวิธีการเมื่อครู่ กลับไปแล้วผู้น้องจะรีบปรับปรุงตัวทันที ครั้งหน้าจะไม่กล้าใช้วิธีการแบบนี้อีกแล้วล่ะครับ แต่ตอนนี้เรื่องนี้รู้ไปถึงท่านหัวหน้าสมาพันธ์ซะแล้ว ถ้าท่านหัวหน้าสมาพันธ์เกิดเข้าใจผิดว่าพวกผมล่วงเกินคุณ แล้วคาดโทษลงมา ผมมีหวังซวยแน่ พี่น้องพวกนั้นเองจะพลอยเสียโอกาสที่จะได้เข้าสมาพันธ์ดาบกระบี่ไปด้วย ดังนั้นเรื่องนี้คุณช่วยพูดให้ผมหน่อยเถอะนะครับ !”

เฉินเฟิงเพิ่งจะทราบว่ากลุ่มคนเมื่อครู่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาพันธ์อย่างเป็นทางการ ดูท่าสมาพันธ์ดาบกระบี่จะยิ่งใหญ่ไม่ใช่เล่นเลยแฮะ ไม่งั้นเทวอาจารย์มังกรคงไม่มาอ้อนวอนเขาเพื่อให้ได้เข้าสมาพันธ์แบบนี้แน่

เห็นอาการกระวนกระวายเหมือนเสือติดจั่นของเทวอาจารย์มังกรแล้ว เฉินเฟิงก็ไม่คิดจะตัดรอนอีกฝ่ายเกินไป จึงพูดว่า

“เอาเถอะครับ ! ผมจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกก็ได้ แต่คุณต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดีๆ ล่ะ คนชื่อพยัคฆ์สุวรรณผยองเมื่อกี้ดูเหมือนจะเป็นพี่น้องของคุณสินะ ? ช่วยคุมเขาให้ดีๆ ด้วย วิธีการที่ใช้กับนิสัยไม่เห็นใครอยู่ในสายตามันคนละเรื่องกัน ถ้าเขาไม่เปลี่ยนนิสัยนี้ ต่อไปคงได้ก่อเรื่องอีกแน่”

ครั้นได้ยินเฉินเฟิงบอกว่าจะยอมช่วยเขาปิดเรื่องนี้ เทวอาจารย์มังกรก็พูดขอบคุณไม่หยุดปาก แถมยังรับประกันว่าต่อไปจะคุมน้องชายให้ดีๆ ทำเอาเฉินเฟิงทำตัวไม่ถูกยังไงชอบกล

ทันใดนั้นแสงสว่างสองดวงได้พุ่งวาบเข้ามาหา แล้วพระขรรค์ธรรมเมฆจำนรรจ์กับดาบผู้กล้าพลิ้วละลิ่วก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ เทวอาจารย์มังกรพร้อมกัน ทำเอาเฉินเฟิงสะดุ้งโหยง

หลังจากฟังคำอธิบายแล้วถึงค่อยทราบว่า นี่เป็นความสามารถใหม่ที่เกมราชาฯเพิ่งจะเปิดให้พวกกลุ่มและสมาคมใช้โดยเฉพาะ ขอเพียงจ่ายเงินมากพอ บุคคลระดับผู้นำของกลุ่มหรือสมาคมจะสามารถส่งตัวเองมายังตำแหน่งที่สมาชิกสมาคมอยู่ได้ผ่านทางระบบขนส่ง แต่มีข้อจำกัดว่าสมาชิกของกลุ่มหรือสมาคมจะต้องไม่อยู่ในระหว่างการต่อสู้ และจำกัดว่าต้องอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกันเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดคือ ค่าใช้จ่ายไม่ใช่ถูกๆ เลย ค่าขนส่งคน ๑ คนสูงถึง ๑,๐๐๐ เหรียญเงิน

นี่เป็นบริการที่สูบเงินสุดๆ อีกหนึ่งอย่าง แต่มีผู้ใช้กันแพร่หลายมาก เพราะความสามารถนี้ช่วยอำนวยความสะดวกในการควบคุมดูแลกลุ่มและสมาคมได้เป็นอย่างมาก

ในระหว่างเวลาหลายวันที่เฉินเฟิงเอาแต่ฝึกวิชา ข้อกำหนดใหม่ของกลุ่มและสมาคมได้ถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว เวลานี้ในโลกของเกมราชาฯมีกลุ่มต่างๆ ถูกตั้งขึ้นไม่น้อยกว่า ๕๐๐ กลุ่ม และทุกกลุ่มต่างก็กำลังพยายามรับสมัครสมาชิกเป็นการใหญ่

จุดประสงค์ในการมาที่นี่ของพระขรรค์ธรรมเมฆจำนรรจ์และดาบผู้กล้าพลิ้วละลิ่ว ไม่ใช่เพื่อคลี่คลายกรณีพิพาทที่มีอยู่กับขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ แต่มาเพื่อมอบหนังสือเชิญเข้าเป็นสมาชิกกิติมศักดิ์

เนื่องจากสิบวันมานี้เฉินเฟิงไม่ได้เปิดช่องสื่อสาร ทั้งสองจึงหาเขาไม่พบ สมาชิกกิติมศักดิ์ก็เป็นความสามารถที่เพิ่งเปิดใช้เช่นกัน ตำแหน่งนี้จะไม่สามารถประกาศสงครามแทนกลุ่มหรือสมาคมได้ แต่ความสามารถอื่นที่เหลือที่สมาชิกระดับผู้นำในกลุ่มหรือสมาคมสามารถใช้ได้ ตำแหน่งนี้จะสามารถใช้ได้แทบทั้งหมด

ความสามารถที่เปิดใช้พร้อมๆ กันนี้ยังมีระบบศูนย์สมาพันธ์ แต่ละกลุ่มหรือสมาคมสามารถขอซื้อศูนย์สมาพันธ์ได้ที่เมืองทุกแห่ง ถ้ามีศูนย์สมาพันธ์อยู่ เมื่อสมาชิกใช้ม้วนคาถากลับบ้าน จะสามารถเลือกได้ว่าจะกลับไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดหรือกลับไปยังศูนย์สมาพันธ์ โดยมีเงื่อนไขว่าศูนย์สมาพันธ์นั้นต้องอยู่บนทวีปผืนเดียวกัน

เมื่ออยู่ในศูนย์สมาพันธ์ อัตราเร็วในการฟื้นฟูพลังจะเป็น ๓ เท่าของปกติ ซึ่งเร็วกว่านอนพักในโรงแรมเสียอีก ดังนั้นมันจึงดึงดูดผู้เล่นจำนวนไม่น้อยให้เข้าไปอยู่ข้างใน

เดิมทีเฉินเฟิงกะจะไม่รับตำแหน่งสมาชิกกิติมศักดิ์ เพราะถือคติไร้ความชอบไม่ขอรับเงินเดือน[1] แต่เทวอาจารย์มังกรได้ส่งข้อความมาพูดบางอย่างกับเขา ทำให้เขาเปลี่ยนใจ

เทวอาจารย์มังกรบอกว่า ถ้าเฉินเฟิงกลายเป็นสมาชิกกิติมศักดิ์ ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้าไประรานพวกขบวนนักเวทและสัตว์อีก

เฉินเฟิงลองคิดดูแล้ว เขาเอาแต่ปฏิเสธพวกพระขรรค์ธรรมฯครั้งแล้วครั้งเล่า มันก็ดูไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นหลังจากถามถึงความสามารถและหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่งสมาชิกกิติมศักดิ์อย่างละเอียดอีกครั้ง เขาก็ตัดสินใจตอบรับหนังสือเชิญ แต่ต่อมาภายหลังเขาถึงได้ทราบว่าคนพวกนี้ไม่ได้บอกความสามารถของตำแหน่งสมาชิกกิติมศักดิ์จนหมดทุกอย่าง...

แม้สมาชิกกิติมศักดิ์จะไม่ต้องทำงานอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นบุคคลเดียวนอกเหนือจากสมาชิกระดับผู้นำและระดับรองลงไปที่จะได้รับเงินเดือนด้วย ปกติอัตราเงินเดือนนี้จะกำหนดตามจำนวนสมาชิกและปริมาณของความดีความชอบ แต่สมาชิกกิติมศักดิ์เป็นเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาสมาชิกทั้งหมดที่สามารถรับเงินเดือนได้โดยไม่ต้องสร้างความดีความชอบใดๆ ทั้งสิ้น

เนื่องจากมีการเพิ่มความสามารถให้แก่กลุ่มและสมาคมหลายอย่างมาก ภาระหน้าที่ของสมาชิกแต่ละคนจึงพลอยมากตามไปด้วย กลุ่มและสมาคมต่างก็มีระดับเช่นกัน การจะเลื่อนระดับได้ต้องอาศัยปริมาณความดีความชอบที่บรรดาสมาชิกทั้งหมดช่วยกันสร้าง ข้อกำหนดในการสร้างความดีความชอบของแต่ละกลุ่ม/สมาคมจะแตกต่างกันไป แต่อย่างน้อยที่สุดจะต้องมอบเงินและค่าประสบการณ์ ๑% ให้แก่กลุ่ม/สมาคมที่ตัวเองสังกัด และจำกัดเพดานสูงสุดไว้ที่ ๓๐%

 

หลังจากบอกลาทั้งสาม เฉินเฟิงกะจะไปตามหาพวกขบวนนักเวทและสัตว์เพื่อถามว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกันแน่ น่าเสียดายที่พวกเขาออฟไลน์ไปกันหมดแล้ว จึงได้แต่ทำตามโครงการเดิม คือไปที่เมืองชิงจ้าง

ครั้นมาถึงนอกเมืองชิงจ้างจึงค่อยพบว่า ความเปลี่ยนแปลงในหลายวันมานี้ไม่ใช่น้อยๆ เลย นอกเมืองชิงจ้างมีสิ่งก่อสร้างเพิ่มขึ้นวงใหญ่มาก แถมส่วนใหญ่ต่างก็กำลังก่อสร้างกันอยู่ มีคนไปๆ มาๆ คึกคักน่าดู เมื่อลองถามพวกผู้เล่นบางคน ถึงได้ทราบว่าศูนย์สมาพันธ์ใช่ว่าแค่มีเงินแล้วจะซื้อได้ จำเป็นต้องมีวัตถุดิบและไอเท็มเฉพาะบางอย่างด้วย ตอนนี้อาชีพที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดคือนักเขียนและช่างฝีมือ นอกจากนี้พวกสมาคมที่เคยมีอยู่เดิมต่างก็สลายตัวหรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นกลุ่มไปกันหมดแล้ว

แน่นอนว่ามีคนไม่น้อยคิดจะฉวยโอกาสลากเฉินเฟิงเข้าสมาพันธ์ของตัวเองเช่นเคย แต่เฉินเฟิงปฏิเสธไปหมดด้วยข้ออ้างว่าเขาสมัครเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มอื่นไปแล้ว เมื่อเข้าไปถึงในเมือง ก็พบว่าสภาพเป็นตรงกันข้ามกับนอกเมืองโดยสิ้นเชิง ถนนที่เดิมทีคึกคักครึกครื้นเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดวังเวง ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะได้เห็นผู้เล่นผ่านมาสัก ๑ - ๒ คน

เฉินเฟิงอดทอดถอนใจไม่ได้ ทำไมไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ก็มักจะตามกระแสไม่ทันอยู่เรื่อย ? ในโลกภายนอกโดนอย่างนี้ไปแล้ว เข้ามาในเกมยังไม่วายโดนเข้าอีก

เขาเกิดความรู้สึกท้อแท้ขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่ดันไม่มีเพื่อนจะให้พูดระบายความกลุ้มเสียด้วย จึงได้แต่เดินเตร็ดเตร่ไปมาอย่างเซ็งๆ สุดท้ายก็ก้าวเข้าไปในภัตตาคารของเมืองชิงจ้าง

ผู้เล่นหลายคนกำลังถกกันถึงความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ของเกมราชาฯ ตอนแรกเฉินเฟิงกะจะไปหาเซียวหยาวหรือวิหารจันทราเทพ แต่ปรากฏว่าทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้ออนไลน์ เขาได้แต่สั่งอาหารมาให้ตัวเองจนเต็มโต๊ะ

อาหารมันก็อร่อยเหมือนเดิมอยู่หรอก แต่กินคนเดียวมันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง แล้วเฉินเฟิงก็หันไปเห็นของอย่างหนึ่งที่เขาไม่ได้สั่ง...เหล้า

ถึงเฉินเฟิงจะไม่ชอบทานเหล้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาดื่มไม่เป็น ตอนนี้เขากำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่พอดี ถึงยังไงทางร้านก็อุตส่าห์เอามาแถมให้แล้ว เขาจึงจัดแจงร่ำสุราราดรดทุกข์เพียงลำพัง พอดื่มจนเริ่มจะครึ้มๆ อารมณ์กวีก็ปะทุขึ้นทันควัน เฉินเฟิงหยิบสมุดออกมาเขียนบรรยายความรู้สึกในตอนนี้

ในจิตแฝงปณิธาณอันยิ่งใหญ่ กมลหมายร่ำรวยจนล้นฟ้า

เสียดายนักยุคสมัยไม่คอยข้า จะทำอย่างไรได้ !

สถานการณ์สรรค์สร้างวีรชน วีรชนสรรค์สร้างสถานการณ์

เรามันดันสวนกระแสชาวบ้าน จะทำอย่างไรได้ !

ยุคสมัย ! โชคชะตา ! พรหมลิขิต ! ใช่เพราะข้าไร้สามารถ !

ระบบได้แจ้งให้ทราบว่าทักษะเขียนผลงานและภวังคจิตของนักเขียนเลื่อนขึ้นทักษะละ ๑ ระดับ เฉินเฟิงงึมงำว่า

“ฮ่าฮ่า ! ผู้เยาว์วัยไม่เคยทราบรสชาติทุกข์ กลับแข็งขืนเอ่ยคำทุกข์เพื่อร่ำกลอน ความจริงเกมราชาฯใจดีกับเราไม่ใช่เล่นนะนี่ ของห่วยๆ แบบนี้ยังอุตส่าห์ยกให้เป็นผลงานกับเขาด้วย หึหึ ! วันนี้มันเป็นอะไรไปนะ ใครช่วยมาดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ?”

ทันใดนั้นบ่าก็ถูกตบเบาๆ ครุโฬยิ้มกว้าง “พี่ใหญ่ กำลังกลุ้มใจอยู่หรือ ? ผู้น้องจะดื่มเป็นเพื่อนก็แล้วกัน !”

เฉินเฟิงเลื่อนเก้าอี้ออกตัวหนึ่งให้ครุโฬนั่งลง “ปล่อยไก่ต่อหน้าน้องครุฑซะแล้วสิ นายมาได้จังหวะพอดี ฉันกำลังเบื่อๆ อยู่เชียว ดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยก็แล้วกัน !”

ครุโฬรับแก้วเหล้าที่เฉินเฟิงส่งมาให้ “มีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรือ ? ระบายให้ผู้น้องฟังได้หรือเปล่า ? ดื่ม !”

เฉินเฟิงยิ้มฝืดๆ “ไม่มีอะไรหรอก แค่อยู่ๆ ก็รู้สึกท้อแท้ที่ตัวเองทำอะไรไม่สำเร็จเลยซักอย่างเท่านั้น น้องครุฑเองก็เป็นนักเล่นเกมอาชีพเหมือนกันไม่ใช่หรือ นายมีความเห็นยังไงกับเกมราชาแห่งราชันนี่ล่ะ ?”

“พี่ใหญ่...อย่างพี่ยังเรียกว่าทำอะไรไม่สำเร็จอีกเรอะ ?! แบบนี้พวกนักเล่นเกมอาชีพอีกเพียบในเกมนี้คงต้องไปฆ่าตัวตายแล้วล่ะ ! พี่ไม่รู้หรอกเหรอว่าตอนนี้พี่น่ะน่ากลัวแค่ไหน ?” ครุโฬทำท่าโวยวายจนเวอร์

เฉินเฟิงทำหน้าเหรอ “น่ากลัว ? ตอนนี้พวกผู้เล่นที่ระดับสูงกว่าฉันมีตั้งเยอะตั้งแยะ คนที่มีกลุ่มมีสมาคมของตัวเองยิ่งมีนับไม่ถ้วน ได้ยินว่ากลุ่มพวกนั้นน่ะแค่รายรับที่ได้จากสมาชิก ก็ทำให้คนเป็นหัวหน้ามีเงินเข้ากระเป๋าอย่างน้อยเดือนละแสนกว่าเหรียญเงินแล้ว ไม่ว่าจะคิดกี่ตลบ คำว่าน่ากลัวก็ไม่น่าจะเป็นคำบรรยายถึงตัวฉันได้เลยนี่หว่า ?”

“นั่นแค่เพราะพี่ใหญ่ไม่ได้ไปประกาศเรียกระดมคนเท่านั้นแหละ ระดับชื่อเสียงของพี่ในตอนนี้น่ะนะ คิดจะตั้งกลุ่มสักกลุ่มน่ะง่ายจะตาย !”

เฉินเฟิงดื่มเหล้าหมดไปหนึ่งแก้ว แล้วพูดอย่างกังขา

“ง่ายจะตาย ? ฉันจะเอาอะไรไปจูงใจให้พวกผู้เล่นยอมเข้าเป็นพวกกันล่ะ ? ตอนนี้ไม่ว่าศูนย์สมาพันธ์ศูนย์ไหนก็ราคาไม่ต่ำกว่าหมื่นเหรียญทองทั้งนั้น ฉันไม่มีปัญญาเก็บเงินได้มากขนาดนั้นหรอกนะ ตอนนี้ได้ยินว่ากลุ่มที่ไม่มีศูนย์สมาพันธ์น่ะ ไม่มีใครยอมสมัครเข้าเป็นสมาชิกเลยแหละ เพราะการเข้าเป็นสมาชิกต้องมอบเงินและค่าประสบการณ์ให้อย่างน้อย ๑% นี่ ไม่ใช่หรือ ? หากไม่มีผลประโยชน์ตอบแทน มีหรือจะทำให้ผู้เล่นยอมเข้าเป็นสมาชิกได้ง่ายๆ !”

ครุโฬหัวเราะ “นี่พี่คิดว่าพวกหัวหน้ากลุ่มเป็นคนควักกระเป๋าสร้างศูนย์สมาพันธ์ขึ้นเองหรือไงกันน่ะ ? ความจริงการระดมพลตั้งกลุ่มน่ะใช่ว่าจะอาศัยเงินแค่อย่างเดียวได้ ฉันไม่ปฏิเสธหรอกว่าการมีผลประโยชน์ด้านการเงินตอบแทนทำให้กลุ่มและสมาคมจำนวนมากสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว แต่พี่อย่าลืมสิว่าเกมราชาฯไม่ได้มีแต่นักเล่นเกมอาชีพ ถึงเกมนี้จะมีนักเล่นเกมอาชีพอยู่ไม่ใช่น้อยก็ตามที แต่เทียบกับผู้เล่นธรรมดาแล้ว จำนวนของนักเล่นเกมอาชีพถือว่าเป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น”

เฉินเฟิงผงกศีรษะยอมรับ ครุโฬพูดต่อว่า

“พี่เคยลองคิดอย่างจริงจังดูบ้างหรือเปล่าว่า ทำไมทั้งที่ระดับของพี่ก็ไม่ได้สูงอะไร แต่พวกสมาคมกลับคิดแต่จะดึงพี่เข้าเป็นสมาชิก ?”

เฉินเฟิงรินเหล้าให้ครุโฬอีกแก้ว แล้วตอบว่า

“คงเพราะฉันฝึกวิชาเลื่อนระดับได้เร็วกว่าชาวบ้านเขามั้ง ? แต่เรื่องนี้ฉันก็บอกความจริงกับนายไปแล้ว และเพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นหลังจากนั้น แถมฉันเองไม่มีปัญญาจะมอบโชคดีแบบเดียวกันให้คนอื่นเสียด้วย”

ครุโฬเรียกบริกรมาสั่ง ๒ - ๓ ประโยค แล้วพูดต่อว่า

“นั่นเป็นแค่เหตุผลที่สมาคมพวกนั้นแย่งตัวพี่ใหญ่กันในตอนแรกเท่านั้น แต่หลายวันมานี้ คนที่ยังพยายามจะชวนพี่เข้ากลุ่มน่าจะยังมีไม่น้อยอยู่ดีใช่ไหมล่ะ ? แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันล่ะ ?”

เฉินเฟิงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ แล้วถอนใจ

“นั่นแค่เพราะชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้นแหละ ตัวฉันเองรู้ตัวดีกว่าใครทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้ไม่นานฉันพบพวกขบวนนักเวทและสัตว์กำลังมีเรื่องกับพวกสมาพันธ์ดาบกระบี่ เลยยื่นข้อเสนอขอเข้ากลุ่มขบวนนักเวทและสัตว์ แต่ก็โดนปฏิเสธมา คนที่รู้จักฉันจริงๆ ต่างก็รู้กันทั้งนั้นว่า ฉันมันก็แค่ผู้เล่นที่บังเอิญโชคดีอยู่พักหนึ่งเท่านั้น”

ครุโฬยิ้มอย่างมีเลศนัย “ขบวนนักเวทและสัตว์ทำแบบนี้นี่ นับว่าเหนือความคาดหมายของฉันจริงๆ ดูท่าพวกเขาจะเป็นพวกพ้องที่คู่ควรแก่การรับไว้เป็นพวกของแท้ซะแล้ว...อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้ดีกว่า พี่ใหญ่รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ตัวพี่ที่กำลังลือกันในหมู่พวกผู้เล่นเป็นคนแบบไหน ?”

เฉินเฟิงยักไหล่ “มีอะไรพิเศษหรือไง ?” แล้วรับเหล้าขวดใหม่ที่บริกรส่งมาให้

“พี่ใหญ่ นี่คือเหล้าเร้นดรุณที่มีชื่อเสียงที่สุดของภัตตาคารชิงจ้างนี่ เป็นเหล้าที่เหล่าปิศาจสุราโปรดปรานที่สุดเลยเชียวนะ พี่ลองชิมดูสิ” ครุโฬสาธยาย แล้วรินเหล้าขวดใหม่ให้เฉินเฟิงหนึ่งแก้ว จากนั้นยื่นมือขวาออกมางอนิ้วนับทีละนิ้ว

“ยอดฝีมือซื่อบื้อ สะสมของพิลึก ไอ้หนูดวงเฮง ไอ้แสนดีจนเวอร์...วลีพวกนี้จะถูกเรียกกันมากหน่อย บางทีพี่เองอาจจะไม่รู้ตัว ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ สาเหตุที่ทำให้ใครๆ อยากเข้าใกล้พี่มากที่สุด คือการที่พี่ยินดีแบ่งปันสิ่งที่พี่รู้กับทุกคนโดยไม่เห็นแก่ตัว การที่พี่ไม่ยอมเอารัดเอาเปรียบใคร รวมถึงสร้างสรรค์มุมมองใหม่ๆ ที่มีต่อเกม”

“เหล้านี้แรงจังวุ้ย ! เหล้าเมื่อกี้สิดีกว่าอีก” เฉินเฟิงถูกเหล้าเร้นดรุณทำเอาสำลัก จึงดันมันไปให้ครุโฬ แล้วทุบหน้าอกอย่างอึดอัด

ครุโฬดื่มเหล้าที่เพิ่งเติมใหม่ลงไป แล้วทำหน้าพออกพอใจพลางยิ้มน้อยๆ

“หึหึ...เหล้านี้แรงไปหน่อยสำหรับคนดื่มเหล้าไม่เป็นจริงๆ นั่นล่ะ งั้นผู้น้องขอดื่มคนเดียวแบบไม่เกรงใจล่ะนะ”

เฉินเฟิงโบกมือเป็นความหมายเชิญตามสบาย แล้วต่อบทสนทนาเมื่อครู่ว่า

“น้องครุฑพูดเกินไปหรือเปล่า ฉันไปมีฉายามากมายขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? เรื่องไม่เอาเปรียบใครน่ะฉันยอมรับ เพราะฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องพื้นฐานที่มนุษย์เราควรทำ แต่เรื่องแบ่งปันความรู้กับสร้างสรรค์อะไรนั่นมันใช่ซะที่ไหนกันล่ะ ? ถึงฉันจะไม่ขี้เหนียวอะไรมาก แต่ฉันเกลียดคนที่คิดอยากจะได้อะไรมาโดยไม่ยอมลงทุนลงแรงจะตาย ดังนั้นขอยอมรับว่ายังทำได้ไม่ถึงขั้นไม่เห็นแก่ตัวหรอกนะ เรื่องสร้างสรรค์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันเป็นจุดอ่อนของฉันเลยด้วยซ้ำ คิดว่าเมื่อกี้นายคงเห็นผลงานของฉันแล้วมั้ง ฮึฮึ ! ระดับมันยังต้องพยายามอีกมากนัก หรือไม่จริง ?”

ครุโฬพูดอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยนักว่า

“พี่ใหญ่ ถึงการรู้จักถ่อมตัวจะเป็นเรื่องดี แต่ถ่อมตัวเกินไปมันก็ไม่เข้าทีนักหรอกนะ...ฉันยอมรับว่ากลอนเมื่อกี้มันทะแม่งๆ ไปนิด พี่อาจไม่เห็นความรู้พวกนั้นเป็นความลับ แต่พี่ควรจะรู้ไว้นะว่า แค่พวกเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่พี่สอนคนอื่นไปนั่นน่ะ ก็ทำให้คนอื่นพากันแห่มาหาพี่อย่างกับแร้งลงแล้ว เหตุผลสำคัญที่พวกนั้นพยายามจะชวนพี่เข้าสมาคมก็เพราะเล็งเห็นความสามารถทางด้านนี้ของพี่นั่นแหละ เกมราชาฯน่ะไม่เหมือนเกมอื่น เอาแต่ฆ่าสัตว์อสูรฝึกวิชาน่ะยังห่างไกลความสำเร็จอีกเยอะ”

“ฉันไม่ได้ถ่อมตัวจริงๆ ขอแค่ลองนั่นลองนี่ให้มากเข้า ทุกคนก็ทำได้กันทั้งนั้นแหละน่า” เฉินเฟิงว่า

“จริงหรือ ? บางทีอาจเป็นเพราะผู้เล่นส่วนใหญ่ถูกประสบการณ์จากเกมก่อนๆ ที่เคยเล่นจำกัดเอาไว้ก็เป็นได้ คนที่เอาแต่บ้าพลังฝึกวิชาน่ะมีไม่ใช่น้อย แต่คนอย่างพี่ใหญ่ที่สามารถได้อาชีพมาในเวลาสั้นๆ น่ะ มีน้อยกว่าน้อย ฉันเองก็ลองมาแล้วสารพัดวิธีเหมือนกัน แต่ก็ไม่พบหนทางเลย ดังนั้นเรื่องนี้พี่น่ะเหนือกว่าคนอื่นแน่ๆ ล่ะ เพียงแต่พี่เองไม่รู้ตัวเท่านั้น”

เฉินเฟิงยักไหล่ “อาจใช่มั้ง ? แต่อาศัยแค่เรื่องนี้ก็เรียกระดมคนมาตั้งกลุ่มได้แล้วหรือ ?”

ครุโฬหัวเราะ “ดูจากกลอนของพี่ใหญ่เมื่อกี้...อืมม์ ไม่ขอวิจารณ์ล่ะนะ เอาเป็นว่าดูออกก็แล้วกันว่าพี่เองก็อยากจะทำอะไรที่มันระบือลือลั่นอยู่เหมือนกัน ถ้าบวกผู้น้องเข้าไปอีกคนก็มากพอแล้วล่ะ เราสองคนลองมาพนันกันดูเอาไหม ?”

“พนันยังไง ? แล้วจะพนันอะไร ?” เฉินเฟิงสงสัย

ครุโฬพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ “พนันกันไงว่าชื่อเสียงของพี่ใหญ่จะเรียกระดมคนได้หรือเปล่า ให้เวลาฉันไปปฏิบัติการใช้ชื่อเสียงของพี่ตั้งกลุ่มหนึ่งอาทิตย์ จำนวนสมาชิกคือ ๑๐๐ คน ถ้าฉันทำได้สำเร็จ พี่ต้องให้ข่าวสารในการได้อาชีพช่างฝีมือกับฉัน แถมด้วยเหล้าเร้นดรุณ ๕๐ ขวด ถ้าผู้น้องทำไม่สำเร็จ พี่จะปรับยังไงก็ตามใจพี่ !”

เฉินเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ย่อมได้ พนันก็พนัน เงื่อนไขแบบนี้คิดยังไงทางฉันก็มีแต่ได้กับได้ ในเมื่อน้องครุฑให้เกียรติฉันถึงขนาดนี้ ฉันจะให้นายเป็นฝ่ายเสียเปรียบก็กระไรอยู่ ถึงเวลานั้นไม่ว่านายจะทำสำเร็จหรือเปล่า ฉันจะต้องหาทางควานหาข่าวสารอาชีพช่างฝีมือที่นายอยากได้มาให้นายให้จงได้ ส่วนเรื่องเหล้า รอดูก่อนแล้วกันว่าผลลัพธ์เป็นยังไง แล้วอย่าว่าแต่ ๕๐ ขวดเลย ๑๐๐ ขวดก็ไม่มีปัญหา !”

ครุโฬหัวเราะก้อง “พี่ใหญ่คิดดีแล้วนา ? ช่างฝีมือน่ะตอนนี้ยังไม่มีสมาคมเลยนะ ข้อมูลเรียกได้ว่ามีน้อยยิ่งกว่าน้อย ส่วนเหล้าเร้นดรุณน่ะขวดละ ๒๐๐ เหรียญเงินเชียวนา ถึงเวลานั้นอย่าว่าผู้น้องเอาเปรียบพี่ก็แล้วกัน”

เฉินเฟิงหัวเราะ “ฉันเองกลับคิดว่าควานหาทักษะอาชีพน่ะง่ายออก ในเมื่อน้องครุฑมั่นใจถึงขนาดนี้ งั้นเป็นอันตกลงกันตามนี้”

สองหนุ่มตบมือกันเป็นสัญญา บรรยากาศอึดอัดกลัดกลุ้มสลายไปในพริบตา แล้วต่างก็รับประทานอาหารพลางสนทนาฮาเฮกันไปพลางอย่างสบายอารมณ์จนอิ่มหนำ

ออกจากภัตตาคาร ครุโฬก็รีบลงมือเริ่มทำตามแผนการทันที เฉินเฟิงได้แต่ยิ้มจืดๆ มองส่งครุโฬที่เดินเซน้อยๆ จากไป จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงย้อนกลับเข้าไปในภัตตาคารอีกครั้ง แล้วซื้อเหล้าเร้นดรุณรวดเดียว ๒๐ ขวด พึมพำว่า

“ดูจากที่ครุโฬซดเอาๆ น่าจะมีคนชอบเหล้านี้ไม่ใช่น้อยๆ ล่ะมั้งนะ ?”

เฉินเฟิงลองติดต่อหาเซียวหยาวอีกครั้ง ครั้งนี้เธอออนไลน์แล้วจนได้ แต่เนื่องจากสมาคมของเธอยุ่งเรื่องเปลี่ยนเป็นกลุ่มย่อยหลายกลุ่ม ตอนนี้เธอจึงยังอยู่ที่หมู่บ้านอิวะอยู่เลย และบอกว่าไม่มีเวลามาหา ส่วนราชาสุนัขป่าน้อยเธอตั้งชื่อให้ว่า เบนเน็ตต์ (Bennett) จากนั้นขอให้เฉินเฟิงช่วยเลี้ยงมันแทนเธอไปก่อนสักพัก

วิหารจันทราเทพไม่ได้ออนไลน์ แต่ต่อให้ออนไลน์ ก็คงจะยุ่งจนปลีกตัวมาหาไม่ได้อยู่ดี

เฉินเฟิงคิดๆ ดูแล้ว ยังมีเวลาอีกมาก งั้นฝึกทักษะแส้ให้ถึงระดับ ๒๐ ก่อน แล้วค่อยคิดหาวิธีหาข่าวสารเกี่ยวกับอาชีพช่างฝีมือก็แล้วกัน

 

ในแถบป่าเฟิงได้ปรากฏผู้เล่นโรคจิตชอบทารุณกรรมสัตว์อสูรขึ้นหนึ่งราย จนก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหูในหมู่พวกผู้เล่น แน่นอน...ผู้เล่นคนที่ว่านี้ก็คือเฉินเฟิงนั่นเอง

ใช้เวลาไป ๕ วันเต็มๆ ในที่สุดเฉินเฟิงก็ฝึกทักษะแส้จนเลื่อนถึงระดับที่ ๒๐ สำเร็จจนได้ ผลกำไรเพิ่มเติมที่ได้มาคือทักษะสื่อสารและทักษะข่มขวัญเลื่อนขึ้นอย่างละ ๒ ระดับ

แน่นอนว่ายังมีทักษะย่อยที่รอคอยมานาน “ร้องเรียก” ส่วนทักษะสังหารด้วยโทสะเองก็แอบเลื่อนขึ้นอีก ๑ ระดับ

ยามที่ร่างของมนุษย์หมาป่าอเล็กซ์ปรากฏขึ้นตรงหน้า เฉินเฟิงอดปลาบปลื้มใจไปพักใหญ่ไม่ได้ ยิ่งเมื่อได้เห็นพลังโจมตีอันดุดันน่าสะพรึงกลัวของมัน ความเหน็ดเหนื่อยในหลายวันมานี้นับว่าได้รับการชดเชยจนคุ้มค่าจริงๆ

หลายวันมานี้ครุโฬถามคำถามเขามากมาย เช่น ทักษะบัญชาการ ชื่อของกลุ่ม เมืองที่กะจะสร้างศูนย์สมาพันธ์เอาไว้เป็นต้น เหมือนกับมีกลุ่มไปเรียบร้อยแล้วอย่างนั้นล่ะ เฉินเฟิงคิดว่า ถึงยังไงชุดเกราะไพธอนแดงก็ต้องให้ช่างฝีมือช่วยซ่อมให้อยู่ดี อย่างนั้นเขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดศึกษาอาชีพนี้ไปเลยก็แล้วกัน

เฉินเฟิงกลับเมืองชิงจ้างไปพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มเป็นเวลา ๑ วัน เวลาของโลกในเกมมากกว่าเวลาในโลกความจริง ๖ เท่า ทำให้เรื่องราวมากมายที่ต้องทำสามารถจะค่อยๆ ทำไปอย่างไม่ต้องรีบร้อนได้ เฉินเฟิงค่อยๆ รวบรวมข่าวสารอย่างใจเย็น



[1] ไร้ความชอบไม่ขอรับเงินเดือน หมายถึง ขุนนางที่ทำงานราชการแล้วไม่ได้สร้างความดีความชอบอะไรที่เห็นได้ชัดเจน จึงละอายใจจนไม่กล้าที่จะด้านหน้ารับเงินเดือนจากหลวง


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:30 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:20

0 ความคิดเห็น