หัวข้อ : เล่มที่ ๓ สงครามอัศวิน ตอนที่ ๒ ไหวพริบ

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:18

ตอนที่ ๒

 

ไหวพริบ

 

 

ไม่ทราบผ่านไปนานแค่ไหน เฉินเฟิงรู้สึกตัวอย่างกะทันหันว่าร่างกายกำลังร่วงตกลงไปอย่างรวดเร็ว พอจะลืมตาก็กลับลืมไม่ขึ้น ได้แต่คิดอย่างมึนงง

“เราตายแล้วหรือ ? นรกหน้าตาเป็นยังไงกันนะ ? มีหน้าม้าหัววัวหรือเปล่า ?”

พวกเพื่อนๆ ต่างก็บรรยายความรู้สึกของความตายไม่เหมือนกันสักคน มีแต่ความรู้สึกเจ็บปวดแทบด่าวดิ้นก่อนตายเท่านั้นที่เหมือนกัน ที่แน่ๆ คือช่วงเวลานั้นส่วนใหญ่จะรู้สึกเบลอๆ ไปหมด

ทันใดนั้นความเจ็บปวดได้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง

“โอย...อุ๊บ !”

เลือดพุ่งวูบขึ้นมาจุกที่คอหอยอย่างฉับพลัน แล้วกระอักพรวดออกมาเต็มแรง ในที่สุดก็ลืมตาได้แล้ว แต่สิ่งที่เห็นมีแต่ความหม่นมัว เฉินเฟิงยกมือขึ้นจับศีรษะอันหนักอึ้งออกแรงดันให้หันไปมา

เสียงจากระบบดังขึ้นในศีรษะว่า

“ผู้เล่นเฉินเฟิงเสียชีวิต ใช้หุ่นหญ้าแทนตัวฟื้นคืนชีพโดยอัตโนมัติ ระดับและทักษะไม่เปลี่ยนแปลง เงินในกระเป๋าเงินถูกหักครึ่งหนึ่ง ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไขลุล่วง ได้เลื่อนระดับทักษะเสียสละของนักบวช เลื่อนเป็นระดับที่ ๓ , แสดงทักษะพื้นฐานของผู้ปลดผนึกลุล่วง ได้รับทักษะ ‘จุดประกาย’ ของผู้ปลดผนึก ระดับที่, แสดงทักษะพื้นฐานของนักเขียนลุล่วง ได้รับทักษะ ‘ภวังคจิต’ ของนักเขียน ระดับที่ ๑”

เฉินเฟิงคลึงสองตาและขมับ สนามรบเมื่อครู่ปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง แต่ปราศจากร่องรอยของมนุษย์หมาป่าและฝูงราชาสุนัขป่าขนาดเล็ก

สภาพตรงหน้ากลับคืนสู่ความสงบอีกครา บรรดาสัตว์ที่แตกตื่นหนีไปต่างกลับมาหาอาหารกินดังเดิม ถ้าไม่เพราะความเจ็บปวดบนร่างที่ยังคงรู้สึกได้อย่างชัดเจน เฉินเฟิงคงอดสงสัยไม่ได้ว่าเมื่อกี้เขาอาจจะแค่ฝันไป

หลังจากยืนตะลึงอยู่พักใหญ่ ในช่องเพื่อนก็มีข้อความร้องเรียกจากครุโฬส่งมาติดต่อกันว่า

“พี่เฟิง พี่อยู่ที่ไหนน่ะ ? พี่ปลอดภัยดีหรือเปล่า ? ถ้าได้รับข้อความนี้แล้วให้รีบตอบกลับมาหาฉันด่วน ฉันติดต่อหาพี่ตั้งเกือบชั่วโมงแล้วนะ !”

เฉินเฟิงตอบไปว่า “น้องครุฑ ฉันปลอดภัยแล้วล่ะ หนานอี๋คงไม่เป็นไรนะ ? นายบอกว่าฉันหายสาบสูญไปหนึ่งชั่วโมงหรือ ?”

ครุโฬตอบกลับมาอย่างตื่นเต้นกระวนกระวาย

“พี่เฟิง ! พี่ตอบกลับมาจนได้ ! หนานอี๋กับฉันกลับมาถึงเมืองอย่างปลอดภัยดี พี่เป็นอะไรไปกันแน่ ทำไมไม่ยอมตอบกลับมาตั้งชั่วโมงเต็มๆ ? พี่กลับมาที่เมืองหรือยังน่ะ ? พวกเราสองคนอยู่ที่ประตูตะวันออก”

“ไม่เป็นอะไรกันทั้งคู่ก็ดีแล้วล่ะ เมื่อกี้ฉันถูกมนุษย์หมาป่าฆ่าตาย โชคดีที่มีหุ่นหญ้าแทนตัวอยู่ เลยฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ พวกขบวนนักเวทและสัตว์คนอื่นๆ ล่ะ มีข่าวอะไรหรือเปล่า ?”

ครุโฬถามอย่างประหลาดใจ “หุ่นหญ้าแทนตัว ? มันคืออะไรกันน่ะ ? พี่เฟิง พี่ยังอยู่ที่หุบเขามนุษย์หมาป่าอยู่อีกหรือ ? รีบออกมาจากที่นั่นเร็วเข้า ! พี่คนเดียวสู้มนุษย์หมาป่านั่นไม่ได้หรอก !”

เฉินเฟิงยิ้ม “น้องครุฑไม่ต้องตกใจหรอกน่า ตอนนี้ฉันปลอดภัยแล้วล่ะ มนุษย์หมาป่าเองก็ถูกฉันข่มขวัญกำราบสำเร็จไปแล้ว หุ่นหญ้าแทนตัวเป็นไอเท็มที่เถ้าแก่ร้านขายไอเท็มบนเกาะเริ่มต้นแถมให้ฉันน่ะ ตอนแรกฉันนึกว่าเธอพูดเล่นเสียอีก คิดไม่ถึงว่ามันจะตายแทนฉันได้จริงๆ”

ครุโฬยิ่งตื่นเต้นกว่าเดิม “จริงน่ะ ? มนุษย์หมาป่าระดับตั้ง ๕๐ เชียวนะ ! พี่ทำได้ยังไงกันเนี่ย ?”

เฉินเฟิงหัวเราะ “ฉันจะโกหกนายไปทำไมกันเล่า ? มนุษย์หมาป่าระดับ ๕๐ จริงๆ นั่นล่ะ ฉันตั้งชื่อให้มันว่า อเล็กซ์ (Alex) เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว รายละเอียดที่เหลือค่อยกลับไปเล่าให้นายฟังก็แล้วกัน ฉันจะไปจับหมาป่าตามที่ตั้งใจไว้ให้ได้ก่อน ยังมีชีพจรมังกรอีก ๔ แห่งที่ยังไม่ได้ไปด้วย !”

 

“พี่ฝน หนานอี๋ส่งข้อความมาว่า เฉินเฟิงกำราบมนุษย์หมาป่าระดับ ๕๐ ได้ล่ะพี่ ! ระดับของเขายังแค่ ๓๐ เองไม่ใช่เหรอ ? เขาทำได้ยังไงกันน่ะ ?”

จวงอานเฟิงนำหน้าเบิกทางพลางจัดการหมูป่าไปหนึ่งตัว น่าเสียดายที่ไม่มีมีดทำครัว ไม่อย่างนั้นคงได้เนื้อหมูป่าแผ่นมาอีกหลายแผ่นแน่

ฝีเท้าคมพิรุณชะงักไปชั่วขณะ พูดอย่างตกใจ

“จริงหรือ ?! หนานอี๋อยู่กับเฉินเฟิงไม่ใช่หรือ ? ถามหนานอี๋ก็น่าจะรู้แล้วนี่”

จวงอานเฟิงก้มลงเก็บเหรียญ ๓๐ เหรียญเงินแล้วพูดว่า

“หนานอี๋บอกว่าพวกเขาสามคนเข้าไปในหุบเขามนุษย์หมาป่าด้วยกัน แต่ดันเจอะมนุษย์หมาป่ากับราชาสุนัขป่าขนาดเล็กอีก ๘ ตัว เธอเลยใช้ยาฟื้นพลังไปจนหมดและกลับเมืองไปก่อน”

สีหน้าอะไรก็ได้ผิดปกติไปทันที “งั้นก็แปลว่าเฉินเฟิงกำราบมนุษย์หมาป่าได้ด้วยตัวคนเดียว ? ไม่ใช่สิ ! ยังมีครุโฬอีกคนนี่ เขาอยู่ไหนล่ะ ?”

จวงอานเฟิงมองซากหมูป่าอย่างแสนเสียดายพลางตอบว่า

“หลังหนานอี๋กลับไปถึงเมืองได้แค่สิบกว่าวินาที ครุโฬก็ตามกลับเมืองไปด้วย”

อะไรก็ได้ถอนใจ “นายเฉินเฟิงนี่ชอบทำอะไรให้ทึ่งอยู่เรื่อย ! ถึงระดับจะไม่สูง แต่ทำอะไรที่เกินคาดได้ประจำสิน่า น้องฝน ไม่คิดจะดึงเขาเข้ามาเป็นพวกบ้างหรือ ?”

คมพิรุณย้อนถามแทนการตอบว่า

“พี่คิดว่าขบวนนักเวทและสัตว์ของพวกเรากับสมาคมไหนสักสมาคม ฝ่ายไหนแข็งแกร่งกว่ากัน ?”

อะไรก็ได้ตอบงงๆ “เด็กสามขวบยังรู้เลยว่าสมาคมต้องแข็งแกร่งกว่าอยู่แล้ว ! ทำไมอยู่ดีๆ น้องฝนถึงพูดเรื่องนี้ล่ะ ?”

“พี่เปี้ยนเบลอไปแล้วหรือ ? ต่อให้คิดแบบระบบใหม่ จำนวนสมาชิกของสมาคมก็ยังมีตั้ง ๒๕๐ คนเป็นอย่างน้อย ฉันเองก็อยากจะได้ยอดฝีมือสองคนนี้มาช่วยเหมือนกันนั่นล่ะ ยิ่งตอนนี้พวกเรากำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่ด้วย แต่สองคนนั้นเขาเคยปฏิเสธกระทั่งตำแหน่งรองหัวหน้าสมาคมมาแล้ว แล้วพี่คิดว่าขบวนนักเวทและสัตว์ของพวกเราจะเอาอะไรไปจูงใจให้พวกเขายอมเข้ามาเป็นสมาชิกกันล่ะ ? กระทั่งสัตว์เลี้ยงที่พวกเราเคยภาคภูมิใจตอนนี้ยังแพ้เขาแล้วเลย ฉันนึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะเอาข้อแลกเปลี่ยนอะไรไปออกปากขอให้เขายอมเข้าขบวนของเรา !”

จวงอานเฟิงสอดคำขึ้นว่า “แต่ผมรู้สึกว่าเขาสองคนไม่น่าจะเป็นคนที่จะเห็นแก่ผลประโยชน์นะ บางทีเราอาจจะบอกปัญหาของเราในตอนนี้กับพวกเขา แล้วขอให้พวกเขาช่วยเราอีกแรงก็ได้นี่นา ! ขบวนทหารรับจ้างมีตำแหน่งสมาชิกกิติมศักดิ์ด้วยไม่ใช่หรือ ? ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกว่า ขอแค่พวกเราพูดออกไป โอกาสที่สองคนนั้นจะช่วยเรามีสูงมาก”

คมพิรุณลังเลอยู่ครู่ใหญ่ “ปัญหาอยู่ที่พวกเราเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานเท่านั้น บวกกับปัญหาของพวกเราในครั้งนี้ไม่ใช่เล็กๆ เลย...อีกอย่าง พวกเราไม่แค่ไม่เคยช่วยอะไรพวกเขา ยังกลับได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขามาหนึ่งครั้งอีกต่างหาก พี่ยังไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนพวกเขายังไงดี แล้วจะให้ด้านหน้าไปรบกวนขอให้เขาช่วยอีกได้ยังไง ? แถมต่อให้พวกเขาสองคนยอมเข้าขบวนของเราจริงๆ พวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกนั้นอยู่ดี อย่าลืมสิว่าพวกนั้นเป็นกลุ่มที่มีสมาชิกไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ คนเชียวนะ ! พี่ไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครที่ยอมสร้างศัตรู ๑๐๐ กว่าคนเพื่อคนแค่ ๗ คน ได้แต่โทษที่พี่ประมาทเกินไป คิดไม่ถึงว่าจะไปล่วงเกินเอาคนที่พวกเราสู้ไม่ไหวซะได้...”

อะไรก็ได้ปลอบว่า “น้องฝน เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอคนเดียวหรอกนะ เพราะทุกคนต่างก็เห็นพ้องให้ลงมือกันทั้งนั้น พวกมันมาวางอำนาจหาเรื่องกันถึงขนาดนี้ เชื่อว่าคนที่ไม่พอใจต้องมีไม่น้อยแน่ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอไม่ยอมตั้งกลุ่มล่ะก็...ฉันเชื่อว่าขอแค่เธอประกาศเรียกระดมคนตั้งกลุ่ม น่าจะมีคนไม่ใช่น้อยมาเข้าร่วมแน่”

คมพิรุณถอนใจ “ความแค้นมันก็แค่ช่วงนี้เท่านั้นล่ะค่ะ รอให้พวกมันระบายจนหายแค้น เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว อย่างมากพวกเราก็แค่ไม่เข้ามาเล่นสักระยะเท่านั้น ส่วนเรื่องตั้งกลุ่ม ถ้าไม่มีผลประโยชน์จูงใจล่ะก็ ดีไม่ดีพวกเราอาจเสียชื่อถึงขั้นถูกประณามด่าทอไปตลอดเลยก็ได้ ก็ดูพวกหัวหน้าของสมาคมพวกนั้นสิ สุดท้ายมีสักกี่คนกันที่มีผลลัพธ์ที่ดี ? ขนาดทำงานหนักจนเหนื่อยสายตัวแทบขาด ยังไม่วายโดนคนของตัวเองบ่นโน่นโวยนี่ เรื่องทำคุณบูชาโทษแบบนี้ ให้คนอื่นเขาทำไปเถอะค่ะ !

“ไม่พูดเรื่องน่ากลุ้มพวกนี้ละ ช่วยเตือนหนานอี๋ด้วยนะว่าให้อยู่นิ่งๆ ที่เมืองคนเดียวไปก่อน ต่อให้สู้ไม่ได้ เราก็ยังหนีกันได้ พวกเรารีบๆ เดินให้ครบๆ จะได้รีบกลับไปรวมพลกันเถอะ !”

จวงอานเฟิงส่งข้อความไปให้หนานอี๋ตามคำสั่งของคมพิรุณ แล้วทั้งสามจึงเดินหน้าต่อไปโดยต่างคนต่างก็จมอยู่ในห้วงภวังค์

 

แล้วเฉินเฟิงก็เก็บเศษชุดเกราะหนังไพธอนแดงมารวมกันครบจนได้ เขารู้สึกผูกพันกับเครื่องป้องกันที่ติดตัวเขามาตั้งแต่ตอนเริ่มเล่นเกมชุดนี้ไม่ใช่น้อย กี่ครั้งที่หนที่ตัวเขาไม่ต้องลิ้มรสชาติของความเจ็บปวดเพราะมีพลังป้องกันสูงมากพอ

การที่ชุดเกราะซึ่งราคาในตลาดมืดสูงถึงหลายพันเหรียญทองชุดนี้มีอันต้องกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยทำให้เฉินเฟิงได้ตระหนักในที่สุดว่า การมีแต่เครื่องป้องกันดีๆ โดยที่ตัวเองไม่แข็งแกร่งพอนั้นมันไม่ได้

จากการได้อยู่ร่วมกับครุโฬในหลายวันมานี้ ทำให้เฉินเฟิงค้นพบอย่างประหลาดใจว่าครุโฬมีพื้นฐานด้านการต่อสู้แน่นมาก เวลาเผชิญหน้ากับสัตว์อสูร ตัวเขามักเข้าไปแลกหนึ่งดาบต่อหนึ่งดาบ หรือสักแต่แทงเอาๆ โดยไม่สนใจการโจมตีกลับของสัตว์อสูร เพราะถือว่าเครื่องป้องกันของตัวเองแข็งแกร่งพอ ยาฟื้นพลังก็มีมากพอ ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะชุดเกราะของเขาแกร่งพอจริงๆ ละก็ มีหวังขาดทุนป่นปี้ไปแล้ว

ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเพราะครุโฬเป็นนักเล่นเกมอาชีพ ตัวเขาที่สู้ไม่ได้ยังมีเวลาให้ค่อยๆ ฝึกไล่ตามไปได้ แต่พอมาเจอกับพวกขบวนนักเวทและสัตว์ เฉินเฟิงก็ถึงกับอึ้ง

ทักษะธนูที่เขาแสนจะภาคภูมิใจ เทียบกับหนานอี๋แล้วเหมือนเอามะพร้าวห้าวไปขายสวนชัดๆ หนานอี๋ยิงเข้าเป้าทุกนัด ส่วนเขาแค่อาศัยว่าเป้เขี้ยวเหล็กไหลจัมโบ้จุได้เยอะ จึงใช้แต่วิธีระดมสาดลูกศรใส่แต่ไกล ถึงลูกศรจะราคาแค่ไม่กี่เหรียญก็เถอะ แต่พอเทียบกันแล้วเขาก็ด้อยกว่ามากจริงๆ

ลองคิดดูตั้งแต่เริ่มเล่นเกมราชาแห่งราชันเป็นต้นมา มีแต่ตอนอยู่ที่ทุ่งหญ้าหม่างกับป่าต้นเฟิงเท่านั้นที่เขาได้ฝึกวิชาอย่างเป็นจริงเป็นจัง นอกนั้นเนื่องจากมีเพื่อนกับสัตว์เลี้ยงคอยช่วยเสียมาก โอกาสที่จะลงมือเองจึงน้อยนิดจนน่าสมเพช บวกกับที่ตอนแรกเริ่มโชคดีกว่าชาวบ้าน เลื่อนระดับได้เร็ว ผลคือทำให้บรรดาทักษะที่ควรมีเลื่อนตามระดับไม่ทันไปเสียนี่ และพลอยไล่ตามความแข็งแกร่งพวกสัตว์อสูรไม่ทันไปด้วย

ครั้นได้ฟังครุโฬกับหนานอี๋แลกเปลี่ยนความรู้กัน เขาถึงได้ทราบว่าทุกครั้งที่ระดับเลื่อนขึ้นถึง ๑๐ ระดับ บวกกับได้อาชีพแล้ว ระดับพลังหรือระดับความแม่นยำในการโจมตีแต่ละครั้งจะเพิ่มขึ้น บางครั้งอาจจะได้ทักษะพิเศษย่อยมาอีกต่างหาก !

เฉินเฟิงลองดูตารางทักษะของตัวเอง ก็พบว่านอกจากทักษะข่มขวัญแล้ว ไม่ีทักษะใดสักอย่างที่สูงถึงระดับ ๑๐ ทำให้เฉินเฟิงตัดสินใจแน่วแน่ว่าหลังการเดินทางสู่เทือกเขาเศียรมังกรครั้งนี้จบลง เขาจะต้องหาที่ไหนสักแห่งมาฝึกทักษะอย่างเป็นจริงเป็นจังเสียที ต่อไปเวลาเจอสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ จะได้ไม่ถึงกับตายแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่

เฉินเฟิงเปลี่ยนไปสวมชุดนินจา บวกกับพกดาบซามูไร ก็กลายเป็นนินจา ๑๐๐%

บางทีอาจเนื่องมาจากโคบุกับเคย์มะ บวกกับโพกผ้าพันศีรษะแล้วอึดอัดสุดทน ทำให้เฉินเฟิงไม่ค่อยจะชอบชุดนินจานัก แต่ในบรรดาเครื่องป้องกันทั้งหมดที่มีในตอนนี้ มีแต่เจ้านี่ที่มีพลังป้องกันสูงที่สุด เฉินเฟิงลองไม่สวมผ้าพันศีรษะดู คิดไม่ถึงว่าพลังป้องกันจะลดลงเหลือแค่ ๒,๐๐๐ จุดเท่านั้น ซึ่งไม่พอรับมือสัตว์อสูรแถบนี้ที่ระดับเฉลี่ยสูงตั้ง ๔๐ แน่

ตอนแรกเขาคิดจะเรียกมนุษย์หมาป่าที่เพิ่งกำราบได้ออกมาช่วย น่าเสียดายที่เรียกอยู่เป็นนานสองนานก็ไร้ปฏิกิริยาตอบรับ หรือเป็นเพราะระดับของเขาไม่สูงพอ ? แต่ความเป็นไปได้ข้อนี้ถูกปัดทิ้งไปในทันที เพราะระดับของอู้คงก็สูงกว่าเขา

เฉินเฟิงสันนิษฐานว่า ความเป็นไปได้เดียวที่เหลือคือ เกี่ยวข้องกับแส้เทพสีหราช

เขาพบว่าสถานะข้อมูลของแส้เทพสีหราชได้เปลี่ยนเป็นไม่ทราบ จึงลองปลดผนึกอีกครั้ง ก็พบว่าแส้เทพสีหราชเลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๒ แถมยังมีคุณสมบัติเสริมอย่างใหม่เพิ่มมาอีกอย่าง นั่นคือ มีช่องว่างสำหรับเรียกสัตว์เลี้ยงเข้ามาเก็บ ๓ ช่อง พลังโจมตีเพิ่มขึ้นเป็น ๑๐ จุด เนื่องจากเวลามีจำกัด เขาจึงจำต้องผัดไปศึกษาต่อวันหลัง

มาแต่ละรอบต้องเสียทั้งเวลาทั้งเงินตั้งมากขนาดนี้ เฉินเฟิงมีหรือจะยอมกลับไปมือเปล่า หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่ ก็หาราชาสุนัขป่าขนาดเล็กพบเข้าจนได้ ๕ ตัว

ถึงแม้เมื่อกี้จะเพิ่งตัดสินใจมาหมาดๆ ว่าจะพยายามฝึกทักษะ แต่เนื่องจากเขายังต้องไปหาน้ำพุเศียรมังกรอีก จึงคิดว่าประหยัดยาฟื้นพลังไว้ก่อนดีกว่า แล้วใช้วิชาสุดถนัดเดิมๆ ระดมสาดลูกศรเงินเข้าไป จนสร้างสรรค์สุนัขป่าเม่นได้ ๔ ตัวถึงค่อยหยุดมือ

ห่าศรระลอกนี้ทำเอาเสียลูกศรเงินไปทั้งสิ้นถึง ๓,๐๐๐ ดอก แต่ก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ราชาสุนัขป่าพวกนี้เคลื่อนไหวเร็วสุดๆ จนทำเอาอึ้งกันเล่า ! แถมที่ยากยิ่งกว่าคือ ยังต้องไว้ชีวิตตัวหนึ่งเสียด้วย

เมื่อหันมาเห็นสารรูปราชาสุนัขป่าตัวสุดท้ายที่ก็ถูกศรเงินปักจนแทบจะพรุนไปทั้งตัวเหมือนกันทั้งที่เขาพยายามระวังมากที่สุดแล้วก็เถอะ ทำเอาเฉินเฟิงอดอยากหัวเราะไม่ได้ ได้แต่โทษว่าพวกมันซวยเองที่ดันมาเจอกับผู้เล่นที่ฝีมือยิงธนูห่วยสุดๆ อย่างเขาเข้าให้

เฉินเฟิงกลัวว่าพลังโจมตีของดาบซามูไรจะสูงเกินไป จึงใช้แส้เทพสีหราชสู้พัวพันกับมันอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ราชาสุนัขป่าขนาดเล็กก็ยอมสยบแต่โดยดีจนได้ ซึ่งไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะมันเสียเลือดจนเกือบหมดตัว หรือเพราะถูกอานุภาพข่มขวัญของแส้เทพสีหราชข่มเข้าให้กันแน่

หลังจากนั้นทุกอย่างกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เฉินเฟิงคิด เพราะราชาสุนัขป่าตัวนี้เสียเลือดมากเกินไป ถึงจะใช้ยาฟื้นพลังก็ไม่สามารถฟื้นพลังให้มันได้ แค่ถอนธนูที่เขาเองเป็นคนยิงออกจนหมด ก็เสียเวลาไปอีกตั้งกว่าครึ่งชั่วโมง จากนั้นถึงค่อยมาจัดการกับบาดแผลที่มีเลือดไหลออกมาไม่หยุดจนตัวเขาพลอยเปื้อนแดงเถือกไปทั้งตัว

สองชั่วโมงแห่งความพยายามนี้ แม้ค่าประสบการณ์ที่ได้มาจะไม่มากมายอะไร แต่ทักษะใช้แส้และธนูต่างก็ได้เลื่อนขึ้น ๑ ระดับ แถมยังได้ทักษะใหม่ของผู้รักษาและช่างฝีมือมา นั่นคือ ทักษะวินิจฉัยโรค ทักษะพันแผล ทักษะล้างแผล และทักษะสร้าง ระดับ ๑

ทักษะพันแผลกับทักษะสร้างได้มาจากหลังจากที่พยายามอยู่พักใหญ่ก็ยังห้ามเลือดไม่อยู่ สุดท้ายเขาตัดสินใจฉีกหนังเสือปลามาใช้แทนผ้าพันแผล คิดไม่ถึงเลยว่าทำแบบนี้ก็ได้ด้วย

หลังจากค้นพบสิ่งนี้ เฉินเฟิงก็ดีใจสุดๆ ที่แท้ทักษะสร้างใช่ว่าต้องไปคลี่คลายภารกิจถึงจะได้มาเสมอไป แต่ได้มาด้วยวิธีการประยุกต์ดัดแปลงใช้ไอเท็มได้ด้วย แบบนี้ความเป็นไปได้ก็เพิ่มแบบไร้ที่สิ้นสุดเลยน่ะสิ !

เดิมทีเฉินเฟิงกะจะใช้ราชาสุนัขป่าน้อยผู้น่าสงสารตัวนี้เป็นหนูทดลองด้วยการส่งเข้าไปอยู่ในช่องเก็บสัตว์เลี้ยงของแส้เทพสีหราชดู แต่พอนึกถึงว่าเกิดเรียกออกมาไม่ได้ละจบเห่แน่ ถึงค่อยรีบเปลี่ยนใจทันควัน

เฉินเฟิงอุ้มราชาสุนัขป่าน้อยออกจากหุบเขามนุษย์หมาป่า เมื่อมองสีของท้องฟ้า ก็พบว่าเริ่มมืดลงแล้ว เมื่อนึกถึงว่ายังมีเส้นทางอีกครึ่งหนึ่งที่ต้องเดินให้สุดภายใน ๓ ชั่วโมง เขาก็รีบเร่งฝีเท้าทันที

 

พอมีราชาสุนัขป่าน้อยเพิ่มมา ก็กลายเป็นภาระให้เฉินเฟิงเคลื่อนไหวติดขัดกว่าเดิมมาก แม้ส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นหมูป่าระดับ ๓๕ แทบทั้งนั้น แต่สัตว์อสูรพวกนี้ดันรู้จักเลือกเล่นงานแต่ราชาสุนัขป่าน้อยเสียด้วย เรียกว่าเฉินเฟิงประสบแต่ภาวะวิกฤติไปตลอดทาง เพราะไม่ทราบต้องพุ่งเข้ารับการโจมตีของหมูป่าพวกนี้แทนราชาสุนัขป่าน้อยไปแล้วกี่หนต่อกี่หน ถึงเขาจะโมโหแทบคลั่ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จนไปถึงชีพจรมังกรแห่งที่ ๘ ระบบก็แถมให้เฉินเฟิงได้เลื่อนระดับทักษะเสียสละและทักษะช่วยชีวิตอย่างละ ๑ ระดับ เฉินเฟิงถึงค่อยหายโมโหลงบ้าง

แต่เฉินเฟิงก็ยังอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่ดี เพราะพระอาทิตย์กำลังจะตกดินอยู่แล้ว บวกกับพรรคพวกอีกสองกลุ่มได้ส่งข่าวมาบอกว่า สองด้านนั้นต่างก็ไม่พบน้ำพุเศียรมังกร แถมยังเอาแต่เตือนเขาว่าอย่าฝืนเกินไป ถึงจะเดินไม่ครบ ๙ แห่งก็ไม่เป็นไร ให้รีบกลับเมืองก่อนพระอาทิตย์ตกสำคัญที่สุด

ไหนๆ ก็เดินมาตั้งขนาดนี้แล้ว ถึงแม้ชีพจรมังกรแห่งที่ ๙ อาจจะไม่มีน้ำพุเหมือนกัน แต่จะให้ยอมทิ้งกลางคันแบบนี้ เขาก็อดหงุดหงิดไม่ได้ แม้จะเหนื่อยแทบรากเลือด เฉินเฟิงก็ยังกัดฟันฝืนย่ำต่อไป

สวรรค์ไม่ทอดทิ้งผู้มานะ ในที่สุดเฉินเฟิงก็เร่งเดินมาถึงเป้าหมายสุดท้ายก่อนตะวันจะตกดินจนได้ แต่พอมองเห็นสภาพข้างหน้าปุ๊บ เขากลับหวังว่าสู้มาไม่ทันแต่แรกยังจะดีเสียกว่า...

ปากชีพจรมังกรกว้าง ๒๐ ฟุตถูกเคลือบด้วยแสงสีฟ้าอ่อนเรืองรอง ดูท่าหนนี้จะถูกรางวัลใหญ่เข้าให้แล้ว นี่คือชีพจรมังกรที่มีขนาดใหญ่ที่สุด น้ำพุเศียรมังกรที่มีในนั้นอย่างน้อยก็ต้อง ๑๐๐ ลิตรขึ้นไปแน่

แต่สวรรค์มักชอบกลั่นแกล้งมนุษย์อยู่เรื่อย ถ้าพวกสัตว์อสูรที่เดินวนอยู่รอบๆ น้ำพุเป็นของปลอมทั้งหมดโน่นแหละ เฉินเฟิงถึงจะมีโอกาสหอบรางวัลนี้กลับบ้านไปได้

ฝูงเสือปลา ๓ ฝูง หมูป่า ๒๐ กว่าตัว บวกกับปิศาจหินที่สุดจะน่ารังเกียจอีก ๕ ตัว ถ้าพวกขบวนนักเวทและสัตว์รวมทั้งครุโฬต่างอยู่ที่นี่กันครบครันล่ะก็ ยังพอจะมีหวังบ้าง ตอนนี้เขาได้แต่เบิ่งตาดูโดยไม่หาญเฉียดกรายเข้าไปใกล้ ในใจนึกทุเรศตัวเองสุดๆ

ยังไงๆ เฉินเฟิงก็ไม่คิดจะยอมแพ้ง่ายๆ ถึงแม้ราชาสุนัขป่าน้อยจะเดินเองได้แล้ว แต่ต่อให้มีมันช่วยด้วย ก็ไม่ต่างอะไรกับไปรนหาที่ตายอยู่ดี

นี่ถ้าอู้คง ซวงเว่ย และหลายฝูตามมาด้วยได้ก็ดีสิ เฉินเฟิงคิด ถ้ามีพวกมันอยู่ด้วย ต่อให้สู้ไม่ได้ ก็ยังพอจะสามารถล่อสัตว์อสูรเฝ้าน้ำพุบางส่วนออกไปได้ แล้วค่อยฉวยโอกาสไปตักมาสักหลายๆ ถัง น่าจะไม่มีปัญหาแน่

น่าเสียดายที่ความเป็นจริงคือพวกมันไม่มีทางมาอยู่ที่นี่ได้ ต่อให้คิดไปก็ไร้ประโยชน์ เฉินเฟิงเบนความคิดมายังมนุษย์หมาป่าที่เพิ่งจะกำราบได้หมาดๆ แทนที่ จากฝีมือของอเล็กซ์ที่เขาได้เห็นมาแล้ว ถ้าได้มันมาช่วยละก็ ยังพอมีลุ้นบ้าง

เฉินเฟิงเอาแส้เทพสีหราชออกมาศึกษาอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ น่าเสียดายที่ถึงจะสามารถติดต่อกับอเล็กซ์ได้ แต่ก็หาวิธีเรียกมันออกมาไม่พบอยู่ดี พอลองถามอเล็กซ์ดูว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ มันก็เอาแต่ตอบว่านอกเหนือขอบเขต ทำเอาเฉินเฟิงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างสุดแค้น ในใจไม่ทราบสรรเสริญบุพการีและบรรพบุรุษของพวกผู้ออกแบบระบบของเกมราชาแห่งราชันไปแล้วกี่รอบต่อกี่รอบ

ขณะที่กำลังจะยอมแพ้ ราชาสุนัขป่าน้อยก็ได้เดินเข้ามาคลอเคลียขาของเฉินเฟิงราวกับจะปลอบใจ เหมือนจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกจนปัญญาของเขา

พริบตานั้นเงาของมันเหมือนซ้อนทับกับเงาของหลายฝู เพราะมีแต่หลายฝูที่จะมาคลอเคลียเขาแบบนี้

พอคิดถึงหลายฝู ประกายบางอย่างก็วาบขึ้นในศีรษะเฉินเฟิงทันที เขากวาดตามองไปรอบๆ มองหาทำเลที่จะใช้ประโยชน์ได้

บนผนังโล้นเลี่ยนของผาเก้าคด ตรงตำแหน่งปากชีพจรมังกร เนื่องจากชีพจรมังกรผุดขึ้นมาจากพื้นดินอย่างกะทันหัน ทำให้รอยขรุขระคดเคี้ยวของผนังผาขยายขนาดขึ้นมาก

หลังจากกวาดตามองไปรอบด้านเสร็จสิ้น เฉินเฟิงก็ยิ้มออก ก้มลงลูบศีรษะราชาสุนัขป่าน้อยพลางพูดว่า

“นายนี่เป็นตัวนำโชคของฉันจริงๆ ! หึหึ ฉันจะลองสร้างไอเท็มอีกชิ้นดูล่ะนะ !”

เฉินเฟิงอุ้มราชาสุนัขป่าน้อยเดินไปที่ผนังผาด้านตะวันตกของปากชีพจรมังกร แล้วล้วงชุดอุปกรณ์ที่ใช้ในการปีนไต่ออกมาอย่างรวดเร็ว ใช้เชือกมัดราชาสุนัขป่าน้อยติดกับหลังของตัวเอง แล้วไต่ขวับๆ ขึ้นไปยังผนังผาตรงตำแหน่งเหนือน้ำพุประมาณ ๒๐ เมตรซึ่งมีที่ให้หยั่งเท้า ตรงนี้เป็นจุดที่ถูกพื้นที่รอบด้านเบียดจนยื่นออกมา มีพื้นที่ประมาณหนึ่งตารางเมตร

เฉินเฟิงปลดราชาสุนัขป่าน้อยลง ทรงตัวยืนมั่น แล้วเริ่มก้มหน้าก้มตาทำงานง่วนต่อไป

เขายอมเปลืองแรงและเวลาปีนขึ้นมาบนนี้เพื่อประโยชน์อะไรหรือ ? หากคิดจะอาศัยชัยภูมิที่อยู่สูงกว่าเล่นงานพวกสัตว์อสูร ระยะยิงหวังผลของหน้าไม้เหล็กกล้าก็ไกลแค่ ๘ เมตรเท่านั้น ต่อให้เป็นธนูยาวที่ซื้อมาในตอนหลัง ระยะยิงหวังผลก็แค่ ๑๕ เมตรเท่านั้น หากไกลกว่าระยะโจมตี พลังโจมตีจะมีแค่ ๐

อย่าว่าแต่ระดับสติปัญญาของสัตว์อสูรในเกมราชาฯต่างก็ไม่ต่ำเลย ไอ้ที่จะยอมโดนเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียวนั้นแทบไม่มีให้เห็น หากมันไม่สามารถโจมตีได้หรือสู้ศัตรูไม่ได้ มันจะรู้จักถอยไปตั้งหลักชั่วคราว

ในที่สุดเฉินเฟิงก็สามารถตักน้ำพุเศียรมังกรมาได้ ๓๐ กว่าลิตรต่อหน้าต่อตาฝูงสัตว์อสูรอย่างราบรื่นโดยไม่ทำให้สัตว์อสูรตัวใดแตกตื่นไหวตัวเลยแม้แต่ตัวเดียว แถมทักษะสร้างของช่างฝีมือยังเลื่อนขึ้นเป็นระดับ ๒ อีกต่างหาก ทักษะสื่อสารของนักฝึกสัตว์เองก็เลื่อนขึ้นอีก ๑ ระดับ

ถ้าไม่เพราะครุโฬส่งข้อความมาเร่งว่าพระอาทิตย์ตกแล้ว ถ้ายังไม่รีบกลับจะต้องเสียใจแน่ บวกกับไอเท็มที่ใช้สำหรับใส่น้ำที่นำมาด้วยถูกใช้จนหมดเกลี้ยงพอดี เฉินเฟิงค่อยจำใจใช้ม้วนคาถากลับบ้านอย่างแสนเสียดาย

ในภายหลังทุกคนต่างรุกถามเขาอย่างอัศจรรย์ใจว่าใช้มายากลอะไรกันแน่ ถึงสามารถนำน้ำพุกลับมาได้ตั้งมากขนาดนี้ภายใต้สภาพการณ์แบบนั้น ? เฉินเฟิงจึงหัวเราะพลางเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า

เนื่องจากเขาได้รับบทเรียนเรื่องเชือกไม่พอมาจากตอนอยู่ที่ถ้ำสามคูหาสุดบูรพา หลังจากนั้นจึงพกเชือกเพิ่มขึ้นอีกหลายเส้น เขาเอาเชือกหลายเส้นมาผูกเข้าด้วยกัน จากนั้นเอาปลายด้านหนึ่งผูกไว้กับพวยกาโยงกันหลายๆ พวยเพื่อประหยัดเวลา แล้วผูกลูกศรเงินที่ตำแหน่งถัดจากพวยกาที่อยู่บนสุดขึ้นมา ๒ นิ้ว ส่วนปลายเชือกอีกด้านก็ผูกกับขาของเขาเอง จากนั้นเอาธนูยาวที่ถูกลืมมานานออกมา พาดลูกศรเงินที่ถูกผูกเอาไว้ แล้วยิงออกไป

ยังเล่าไม่ทันจบ ครุโฬก็เอ่ยชมว่า

“ถึงจะอยู่ห่างจากปากชีพจรมังกรเกิน ๑๕ เมตร แต่ถ้าคิดแค่จะส่งกาน้ำออกไปโดยไม่ได้คิดจะโจมตีพวกสัตว์อสูรล่ะก็ ทำได้แน่ พี่ใหญ่นี่ไหวพริบดีจริงๆ !”

 

เฉินเฟิงแบ่งน้ำพุที่ได้มาให้พวกขบวนนักเวทและสัตว์กับครุโฬคนละ ๑ ลิตร ทั้ง ๘ ต่างรับไว้อย่างสุดจะตะขิดตะขวงใจ เพราะน้ำพุพวกนี้เฉินเฟิงเป็นคนไปตักมาได้ด้วยตัวคนเดียว และหากคิดตามสภาพปกติ ไม่ว่าจะเปลี่ยนให้พวกเขาคนใดก็ตามไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น จะไม่มีทางเอาน้ำพุกลับมาได้แน่

น้ำพุหนึ่งลิตรบวกกับเถามังกรเกาะ เฟิร์นงูเขียว และปัสสาวะลิงค้างคาวในปริมาณที่เหมาะสม มากพอจะผลิตน้ำยาสีเขียวเพิ่มความเร็วได้ ๕ ขวด

ในตัวยาทั้ง ๔ ชนิด ถึงแม้ความยากในการได้มาของน้ำพุเศียรมังกรจะอยู่อันดับที่ ๓ แต่เนื่องจากแต่ละลิตรสามารถผลิตได้ถึง ๕ ขวด ดังนั้นราคาในตลาดมืดจึงสูงถึง ๒,๐๐๐ เหรียญเงิน

เฉินเฟิงยืนกรานจะทำตามข้อตกลงที่ได้ตกลงกันไว้ในตอนแรก ถึงแม้น้ำพุพวกนี้เขาจะตักมาได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ถ้าไม่มีข่าวสารจากทุกคนช่วยเสริม เขาอาจยอมแพ้ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งจะเดินไปถึงชีพจรมังกรแห่งที่ ๘ แล้วก็ได้ อย่าว่าแต่ต่อให้แบ่งให้ทุกคนไปรวมแล้ว ๘ ลิตร เขาก็ยังเหลืออีกตั้ง ๒๙ ลิตร

การผจญภัยครั้งนี้ แค่น้ำพุที่ได้มา หักค่าม้วนคาถาธาตุความมืด ๒ ม้วน ระเบิดแสง ๔ ลูก และยาฟื้นพลังที่ใช้ไปทั้งหมด ก็ยังกำไรตั้ง ๕๘,๐๐๐ เหรียญเงินเข้าไปแล้ว ถือได้ว่ากำไรอื้อซ่าเลยทีเดียว

คนทั้งเก้าต่างนับผลกำไรที่ได้มาในครั้งนี้ เฉินเฟิงคิดในใจว่าถ้าชุดเกราะไพธอนแดงไม่พังด้วยนี่จะเพอร์เฟคมาก แต่มันก็แลกได้มนุษย์หมาป่าอเล็กซ์มาแหละนะ อย่าว่าแต่ยังมีโอกาสซ่อมได้อยู่ ผลลัพธ์เท่าที่ได้นี้เขาก็พอใจมากแล้วล่ะ

พอนึกถึงอเล็กซ์ เฉินเฟิงก็นึกถึงปัญหาน่ากลุ้มเรื่องที่เรียกมันออกมาไม่ได้ขึ้นมาอีกหน เขานึกได้ว่าพวกขบวนนักเวทและสัตว์แต่ละคนต่างก็เลี้ยงสัตว์กันคนละหลายตัวกันทั้งนั้น จึงลองขอคำแนะนำดู แต่เนื่องจากทุกคนต่างก็ไม่มีแส้เทพสีหราช ช่องเรียกสัตว์เลี้ยงเข้ามาเก็บยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ หลังจากถกกันอยู่พักใหญ่ ต่างก็ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้น สุดท้ายอะไรก็ได้แนะขึ้นว่า

“ทุกคนต่างก็เหนื่อยกันแล้ว ผมว่าไปหาร้านอาหารนั่งพักกันดีกว่าครับ พวกเราขบวนนักเวทและสัตว์จะเป็นฝ่ายเลี้ยงเอง แล้วพวกเราค่อยมาศึกษากันอีกที !”

ยังไงเฉินเฟิงกับครุโฬเองก็ไม่ได้รีบร้อนจะไปจากที่นี่ ทุกคนจึงเคลื่อนขบวนย้ายเป้าหมายไปยังโรงเตี๊ยมประตูมังกรในเมืองเขี้ยวมังกร

ทันใดนั้นเฟิงฉิงโพล่งถามขึ้นว่า “พี่เฟิง ผู้น้องนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้กะทันหันน่ะค่ะ ขอเสียมรรยาทถามหน่อยนะคะว่าทักษะแส้ของพี่อยู่ระดับไหนแล้วหรือ ?”

เฉินเฟิงทำท่าจะตอบ หนานอี๋ก็พูดขึ้นเสียก่อนว่า

“น้องฉิงถามเรื่องนี้ทำไมน่ะ ? ดูจากทักษะแส้ของพี่เฟิงที่พี่ได้เห็นน่ะนะ ต่อให้ยังไม่ถึงระดับ ๔๐ อย่างน้อยก็ต้องสูงกว่าระดับ ๓๗ หรือ ๓๘ โน่นแหละ ! ถ้าพี่จำไม่ผิด ทักษะแส้ของพี่ฝนอยู่ระดับ ๓๒ ใช่ไหมคะ ?”

คมพิรุณพยักหน้ายิ้มๆ “จ้ะ แต่เมื่อวานซืนเลื่อนเป็นระดับ ๓๓ แล้วล่ะ !”

หนานอี๋พูดต่อว่า “ผู้น้องสนใจทักษะพิเศษย่อย ‘ข่มขู่’ ของทักษะแส้ระดับ ๓๐ มากเชียวละ รู้สึกพี่ฝนหวดแส้ ๑๐ ครั้งจะมีโอกาสแค่ ๑ ครั้งเท่านั้นที่ทักษะนี้จะโผล่ พี่เฟิงสิร้ายกาจมาก เพราะทักษะนี้โผล่แทบทุกครั้งที่หวดแส้เชียวนะคะ ! ตอนที่เจอกับอเล็กซ์น่ะ ถ้าไม่เพราะมีพี่เฟิงอยู่ด้วยล่ะก็ พวกเราคงรับมือมันได้ไม่เกินสามกระบวนท่าแน่ !”

พอพูดจบ ทุกคนก็เรียกร้องขอดูหลักฐานทันที เพราะหลังจากระดับของทักษะเลื่อนขึ้นถึงระดับ ๓๐ แล้ว จะเป็นเหมือนกับระดับของตัวผู้เล่น นั่นคือความยากในการเลื่อนระดับจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

เฉินเฟิงฟังแล้วแทบจะใบ้รับประทาน อย่างน้อยระดับ ๓๗ - ๓๘ เรอะ ? ความจริงระดับ ๑๐ ยังไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ !

ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะอธิบายยังไงดี เฟิงฉิงก็หน้าแดงก่ำ พูดอุบอิบว่า

“เปล่าซะหน่อย...ฉันแค่นึกขึ้นได้กะทันหันว่า พอทักษะแส้ถึงระดับ ๒๐ จะมีทักษะพิเศษย่อยคือ ‘ร้องเรียก’ ถึงมันจะเป็นทักษะที่ทุกคนลงมติว่าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงก็เถอะ แต่มันอาจจะใช้เรียกอเล็กซ์ออกมาได้ก็ได้ ตอนแรกฉันคิดว่าพี่เฟิงจะลืมนึกไปซะอีก แต่พอมาลองคิดดูก็ไม่น่าใช่ เพราะนั่นเป็นทักษะที่ต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำ ไม่ใช่ว่าเป็นฝ่ายกระทำได้ ดังนั้นน่าจะไม่เกี่ยวกันมั้งเนาะ ? ต้องขอโทษทุกคนด้วยค่ะที่ถามคำถามอะไรโง่ๆ แหะๆ !”

แล้วทั้งแปดก็หัวเราะกันครืน

เฉินเฟิงได้แต่แกล้งโง่ไปตามน้ำ หัวเราะอย่างกระอักกระอ่วนตามไปด้วย ครั้งนี้เขายิ่งรู้สึกหน้าแตกอย่างร้ายแรง นี่ถ้าไม่รีบฝึกพื้นฐานให้แน่นเร็วๆ ล่ะก็ เหตุการณ์แบบนี้เป็นได้เกิดขึ้นอีกแหงๆ

พอได้ฟังคำอธิบายของเฟิงฉิง เฉินเฟิงก็แทบจะมั่นใจได้แล้วว่า ที่เขาเรียกอเล็กซ์ออกมาไม่ได้ เพราะขาดทักษะ “ร้องเรียก” นี่เอง แต่ตอนนี้ถึงเขาจะพูดอะไรออกไป ทุกคนก็คงไม่เชื่อหรอกมั้ง


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:30 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 21:18

0 ความคิดเห็น