หัวข้อ : เล่มที่ ๒ แรกเผยประกายกล้า ตอนที่ ๑๐ พลิกแพลงประจัญบนทางมหาภัย

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:43

ตอนที่ ๑๐

 

พลิกแพลงประจัญบนทางมหาภัย

 

 

หญิงสาวสวมชุดจอมเวทยิ้มละไมพลางพูดเสียงนุ่มว่า

“คุณสองคนคือผู้จ้างวานพวกเราใช่หรือเปล่าคะ ? ฉันชื่อ คมพิรุณ (อวี๋อิ่ง) เป็นหัวหน้าขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการจ้างวานจากพวกคุณค่ะ คุณสองคนมาเร็วไปนิด ยังต้องรออีกหนึ่งชั่วโมงพวกเราถึงจะออกเดินทางกันได้ค่ะ”

เฉินเฟิงไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงดี ครุโฬจึงรับหน้าที่แทนอย่างคล่องแคล่ว

“มิได้มิได้ พวกเราต่างหากครับที่รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่พวกคุณยอมรับการจ้างวานของพวกเรา ! จริงสิ นี่คือเงินส่วนที่เหลือ ๑,๕๐๐ เหรียญ ผมควรจะมอบให้ใครดีครับ ?” พูดจบครุโฬก็ยื่นถุงเงินใบเล็กออกไป

คมพิรุณรับถุงเงินมา แล้วหันไปส่งให้เพื่อนร่วมกลุ่มอีกคน จากนั้นยิ้มบางๆ

“คุณสองคนเกรงใจเกินไปแล้วค่ะ ! ตอนนี้ขอเชิญพวกคุณพักผ่อนก่อนสักครู่ อีกประเดี๋ยวโปรดติดตามอยู่ด้านหลังผู้น้อง พวกเราจะรับผิดชอบพาคุณสองคนผ่านทางหนวดมังกรไปอย่างปลอดภัยเองค่ะ”

ครุโฬลากเฉินเฟิงไปนั่งพักกันที่ด้านข้าง พร้อมกับกำชับให้เฉินเฟิงเปลี่ยนมาสวมรองเท้าบู้ทพลังร้อย

ครั้นคนของขบวนนักเวทและสัตว์หันมาเห็นทั้งสองเปลี่ยนไปสวมรองเท้าบู้ทพลังร้อย ก็มีอาการตกตะลึง แล้วไม่ทราบสุมศีรษะซุบซิบอะไรกัน

เฉินเฟิงเอาเสบียงแห้งออกมาแบ่งให้ครุโฬสองชิ้น กินกับน้ำเปล่า ก็แก้ปัญหาเรื่องอาหารเช้าไปได้ ตอนนี้เหลือแต่รอให้พายุเฮอร์ริเคนลดความแรงลง แล้วค่อยออกเดินทาง

ครึ่งชั่วโมงให้หลัง เสียงลมเบาลงฮวบฮาบกะทันหัน เฉินเฟิงมองไปรอบด้านอย่างกระวนกระวาย ครุโฬยิ้มพลางพูดว่า

“พี่ใหญ่ ไม่ต้องกังวลหรอกน่า ได้เวลาแล้ว ดูทางขวามือของพี่สิ ตรงนั้นมีชื่อเรียกว่า ‘เทพมังกรประทานมงคล’ แปลว่าภูผามังกรทะยานกำลังพ่นกระแสปราณออกมาน่ะ !”

เฉินเฟิงหันไปมองทางขวามือ ด้านหน้าของปากลามีกระแสอากาศกำลังไหลออกมาช้าๆ จากเดิมเป็นแค่ม่านหมอกบางๆ สีขาว แล้วไม่ถึงห้านาทีให้หลังก็กลายเป็นพุ่งกระฉูดออกมาโดยแรงเหมือนน้ำพุระเบิด ถ้าตอนนี้เขายังยืนอยู่ตรงนั้นล่ะก็ มีหวังถูกพัดปลิวหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

หลังจากนั้นครุโฬก็ยืนขึ้นตบไล่เศษดินที่ก้น พอดีกับที่คมพิรุณเดินเข้ามาหา คมพิรุณยังคงยิ้มบางๆ เหมือนเดิมขณะพูดเสียงนุ่มว่า

“แขกทั้งสองท่าน ได้เวลาออกเดินทางแล้วค่ะ ! ถึงจะมีความเป็นไปได้น้อย แต่ยังไงก็ต้องบอกกล่าวกันไว้ก่อนว่า อีกสักครู่หากพวกเราเกิดต้านไม่อยู่ คุณสองคนต้องรีบใช้ม้วนคาถากลับบ้านก่อนที่จะถูกพัดตกลงจากทางหนวดมังกรนะคะ เพราะถ้ารอจนถูกพัดตกลงไปต่ำกว่าทางหนวดมังกร ก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว หลังจากใช้ม้วนคาถากลับบ้านกลับไปถึงเมืองเขี้ยวมังกรแล้ว พวกเราจะรอคุณสองคนอยู่ที่ร้านอาหาร และคืนเงินค่าจ้างให้ตามกฎของเราค่ะ”

พอได้ยินคำพูดของคมพิรุณ เฉินเฟิงก็รู้สึกตัวทันควัน และถามว่า

“เร็วอย่างนี้เชียว ! ไม่ใช่ว่าต้องรออีกครึ่งชั่วโมงหรอกหรือ ?”

คมพิรุณยิ้มน้อยๆ “คุณนั่งดูเทพมังกรประทานมงคลมาตั้ง ๒๐ นาทีแล้วน่ะค่ะ คนที่เพิ่งจะเคยเห็นเทพมังกรประทานมงคลเป็นครั้งแรก ก็มีอาการคล้ายๆ คุณกันทั้งนั้น”

เฉินเฟิงขายขี้หน้าจัดจนหน้าแดงก่ำ โชคดีที่ครุโฬช่วยคลายความกระอักกระอ่วนให้ด้วยการดึงเขาให้ลุกขึ้นยืน แล้วหัวเราะว่า

“แม่นางคมพิรุณถ่อมตัวเกินไปแล้วล่ะครับ ขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์รับจ้างคุ้มครองมาแล้ว ๗๐ ครั้งโดยไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง ! ถ้าไม่เพราะน้ำพุเศียรมังกรในทางหนวดมังกรด้านซ้ายเส้นที่สามมันหายากมากล่ะก็ พวกเราคงไม่ต่อราคาหรอกครับ”

“คุณรู้สารพัดนี่สมคำร่ำลือจริงๆ ค่ะ กระทั่งขบวนนักเวทและสัตว์เล็กๆ อย่างพวกเรา คุณยังมีข้อมูลละเอียดถึงขนาดนี้ ต้องขอโทษด้วยค่ะที่น้องชายของพวกเราไม่รู้ความ ไว้ครั้งหน้าหากคุณต้องการจะจ้างทหารรับจ้าง ก็ส่งข้อความมาบอกฉันตรงๆ ได้เลยค่ะ แน่นอนว่าราคาคุยกันได้ เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว ถ้ายังไม่ออกเดินทางกันอีก จะเป็นการรบกวนเวลาหาสมบัติของคุณทั้งสองเสียเปล่าๆ โปรดตามผู้น้องมาค่ะ !”

เฉินเฟิงกับครุโฬค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ทางหนวดมังกรฝั่งซ้ายเส้นที่สามตามหลังคมพิรุณ

ทางหนวดมังกรไม่กว้างเท่าไรนัก แค่พอให้คนสามคนเดินเคียงไหล่กันไปได้เท่านั้น ผู้นำหน้าเบิกทางคือนักดาบสามคน ต่างก็ถือโล่ขนาดมหึมา ถัดมาคือสาวน้อยถือหน้าไม้แต่งชุดแบบนายพราน คมพิรุณเดินตามหลังพรานสาวทั้งสองโดยห่างออกมาครึ่งก้าว ส่วนเฉินเฟิงกับครุโฬเดินเคียงกันอยู่ข้างหลังคมพิรุณ คนปิดท้ายคือชายหนุ่มถือคทาเวท แต่แต่งตัวดูไม่ค่อยเหมือนจอมเวทสักเท่าไร ดูจะคล้ายชุดนักบวชเสียมากกว่า

ทางหนวดมังกรไม่ใช่ถนนที่ตรงเป็นไม้บรรทัด ด้วยอานุภาพของลมระดับ ๘ ทำให้อย่าว่าแต่จะเดินบนทางนี้เลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ยังลำบากไม่ใช่เล่น

เสียงลมคำรามอย่างกราดเกรี้ยวพัดผ่านหูอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดเฉินเฟิงก็ซาบซึ้งถึงประโยชน์ของรองเท้าบู้ทพลังร้อย เพราะถ้าไม่ได้รองเท้าบู้ทคู่นี้คอยช่วย เขาเชื่อเต็มที่ว่าตัวเองไม่มีทางเดินต้านกระแสลมได้นานเกินกว่าหนึ่งนาทีแน่

ความเร็วในการรุดหน้าของคนทั้ง ๙ ไม่มากมายอะไรนัก ระยะทางสั้นๆ แค่ ๓ กิโลเมตร ต้องใช้เวลาเดินนานถึง ๒๐ นาทีกว่าจะฝืนใจเดินไปถึงปลายทาง

ทันใดนั้นหนึ่งในสามนักดาบผู้ทำหน้าที่เบิกทางก็ตะโกนมาว่า

“พี่ฝน พวกเราถูกรางวัลที่หนึ่งเข้าให้แล้ว !”

นักดาบอีกคนช่วยเสริมอย่างรวดเร็ว “เสือเขี้ยวดาบสามตัว !”

จบคำ พรานสาวมือธนูทั้งสองก็หลุดปากร้องอุทานเบาๆ ออกมาพร้อมกัน นักดาบคนสุดท้ายพูดเสริมว่า

“บวกฝูงเสือปลาอีก ๖ ฝูง !”

เท้าคมพิรุณชะงักลงทันทีอย่างเห็นได้ชัด ผ่านไปอึดใจใหญ่ค่อยพูดเบาๆ ว่า

“คุณสองคนโชคไม่ดีเลย โปรดเตรียมพร้อมกลับเมืองได้ทุกเมื่อด้วยค่ะ ! พี่น้องทุกคน เตรียมตัวรับศึก ! พี่เปี้ยน รบกวนช่วยหนุนนักดาบทั้งสามด้วยค่ะ อี๋ ฉิง เตรียมศรเพลิง !”

หลังสั่งการทุกคนเสร็จสิ้น คมพิรุณก็เริ่มร่ายคาถาทันที ผู้ชายที่อยู่ด้านหลังเฉินเฟิงเองก็เช่นกัน เนื่องจากเสียงลมดังรบกวน ทำให้ฟังไม่ออกสักคำว่าทั้งสองท่องว่าอะไรบ้าง

เฉินเฟิงอยากเห็นใจจะขาดว่าสัตว์อสูรที่โผล่มาข้างหน้าเป็นสัตว์อสูรแบบไหน ถึงได้ทำให้พวกคมพิรุณทั้ง ๗ มีทีท่าเคร่งเครียดขึ้นมาในทันทีทันใดได้ แต่น่าเสียดายที่โล่ทั้งสามอันใหญ่เกินไปจนบังภาพข้างหน้าเสียมิด

ครุโฬส่งข้อความมาถึงเฉินเฟิงทางช่องกลุ่มว่า

“พี่เฟิง พวกเราถูกรางวัลที่หนึ่งเข้าให้แล้วจริงๆ ด้วย ปกติถ้าเจอเสือเขี้ยวดาบบวกกับเสือปลา ๖ ฝูงนี่ถือว่าเป็นศึกใหญ่เลยนะ แถมตอนนี้มันดันเป็นสัตว์อสูรเฝ้าทางอีกต่างหาก”

สัตว์อสูรที่เรียกเป็นฝูง ปกติจะหมายถึงมีสัตว์อสูรชนิดเดียวกันมารวมกลุ่มกันสามตัวขึ้นไป ฝูงเสือปลา ๖ ฝูง ก็แปลว่านอกจากเสือเขี้ยวดาบ ๓ ตัวแล้ว ยังมีเสือปลาอีกอย่างน้อย ๑๘ ตัว

เมื่อวานนี้ระหว่างที่กำลังเดินเล่น เฉินเฟิงเองก็ทำการบ้านล่วงหน้ามาบ้างเหมือนกัน จึงนึกถึงที่คู่มือสัตว์อสูรบันทึกเอาไว้ขึ้นมาทันที นั่นคือ

เสือปลา หรือเรียกอีกชื่อว่า แมวภูเขายักษ์ ระดับ ๓๕ - ๓๘ สังกัดธาตุลมและธาตุความมืด มักปรากฏตัวเป็นฝูง ฝูงละ ๕ - ๖ ตัว สามารถโจมตีโดยใช้คลื่นเสียงจากเสียงคำรามหลายเสียงพร้อมกันได้ พลังโจมตีสูงสุด ๔๐๐ จุด สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเป็นพิเศษ ไม่ควรใช้วิธีสู้พลางหนีพลาง แนะนำให้ต่อสู้แบบประจันหน้าจะดีที่สุด เวทมนตร์ธาตุลมจะช่วยมันฟื้นพลัง จุดอ่อนคือเวทมนตร์ธาตุแสง ลำคอ และดวงตา ผู้เล่นพึงใช้ชัยภูมิให้เป็นประโยชน์ในการต่อสู้อย่างรอบคอบ

เสือเขี้ยวดาบ ระดับ ๔๐ สังกัดธาตุไฟและธาตุความมืด สามารถใช้คลื่นเสียงจากเสียงคำรามโจมตีได้เช่นกัน พลังโจมตีสูงสุด ๖๐๐ จุด เขี้ยวดาบทั้งคู่จะแข็งแกร่งเป็นพิเศษ สามารถต้านทานพลังโจมตีของอาวุธเกือบทุกชนิดที่มีอยู่ในตอนนี้ จุดอ่อนคือเวทมนตร์ธาตุแสง ธาตุน้ำ ลำคอ และดวงตา ผู้เล่นที่มีพลังป้องกันไม่ถึง ๓,๐๐๐ จุด พยายามอย่าไปปะทะกับมันเป็นอันขาด

พอได้ทราบแล้วว่าศึกนี้ไม่กระจอกเลยแม้แต่น้อย เฉินเฟิงก็ส่งแหวนสองวงกับระเบิดแสงสองลูกให้ครุโฬทันที พร้อมกับส่งข้อความบอกไปว่า

“น้องครุฑ แหวนป้องกันการโจมตีของธาตุไฟกับธาตุความมืด ใส่เตรียมเอาไว้ซะ”

ครุโฬรับแหวนมาแล้วทำท่าจะออกปากพูด เฉินเฟิงก็ยกมือขวาขึ้นโชว์แหวนสองวงบนนิ้ว แล้วส่งข้อความเสริมว่า

“พี่น้องกันเองจะเกรงใจไปทำไม ? อย่าว่าแต่ฉันมีแหวนเหลืออยู่พอดี แหวนวงที่สองมีฤทธิ์ช่วยได้แค่ ๑.๕% เท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่ เอาให้นายใช้ ถือว่าช่วยฉันประหยัดยาฟื้นพลังแล้วกัน ! แล้วเคยใช้ระเบิดแสงหรือเปล่า ? ถึงตอนคับขัน พวกเรามีแต่ต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น”

ครุโฬพยักหน้า แล้วสวมแหวนเงียบๆ ในใจตื้นตันมากจนบอกไม่ถูก

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าแหวนที่เฉินเฟิงสวมมีสีเขียวกับสีดำ แหวนป้องกันธาตุไฟมีสีแดง แหวนป้องกันธาตุความมืดมีสีดำ ถึงเฉินเฟิงจะจงใจโชว์แค่แวบเดียวแล้วรีบหดมือกลับ แต่เขาก็เห็นถนัดชัดเจน

ถ้ามีแหวนเกินมาจริงๆ เขาคงไม่รู้สึกอะไรนัก แต่เฉินเฟิงมีแหวนป้องกันธาตุไฟแค่วงเดียว แล้วกลับยกให้เขาใช้แทนที่จะเอาไว้ใช้เอง ความหมายจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ในโลกอินเตอร์เน็ต คิดจะหาเพื่อนธรรมดาๆ สักคนยังไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ อย่าว่าแต่จะหาเพื่อนที่ดีกับตัวเองเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา

ถึงทั้งสองจะสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว แต่ครุโฬรู้ดีว่าการสาบานแบบนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เพราะตอนอยู่ในเกมฝันที่เป็นจริง เขาเคยถูกกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานนี่แหละลอบแทงข้างหลัง หักหลัง และใส่ความมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

ระหว่างที่ไม่มีใครรู้ถึงความตื้นตันใจของครุโฬ ทางด้านหลัง “พี่เปี้ยน” ก็ร่ายคาถาจบจนได้

ร่างของนักดาบทั้งสามทยอยกันถูกปกคลุมด้วยดวงรัศมีสีขาวจางๆ ดูแล้วน่าจะเป็นเวทเพิ่มพลังโจมตีของเวทมนตร์ธาตุแสง

คมพิรุณเองก็ร่ายคาถายาวเหยียดจบจนได้เช่นกัน เห็นเธอวาดไม้เท้าไปข้างหน้าเบาๆ พร้อมกับตะโกนเสียงดังก้อง

“คาถาพิรุณกระหน่ำ !”

หลังจากคมพิรุณใช้คาถาออกไปแล้ว ทั้งขบวนก็ฉวยโอกาสรุดหน้าไปได้ไม่น้อย แล้วค่อยหยุดลงตรงจุดห่างจากสุดปลายทางหนวดมังกรประมาณ ๕ ก้าว

อยู่ๆ นักดาบทั้งสามก็ย่อตัวลงกะทันหัน ทำให้สามารถมองเห็นสภาพด้านหน้าในที่สุด

สัตว์อสูรตระกูลแมวขนาดยักษ์จำนวนเกือบ ๓๐ ตัว เหนือศีรษะมีเมฆฝนดำทะมึนปกคลุม สายฝนกำลังเทกระหน่ำลงใส่พวกมันอย่างไร้ความปรานี ได้ยินเสียงพวกมันร้องคำรามด้วยความกราดเกรี้ยวอย่างถนัดชัดเจน

แต่ไม่มีใครถอยแม้แต่คนเดียว หน้าไม้ของพรานสาวทั้งสองระดมยิงออกไปในบัดดล

“ฟุ่บ ! ฟุ่บ ! ฟุ่บ ! ฟุ่บ ! ฟุ่บ !”

เสียงยิงลูกศรดังติดต่อกันถี่ยิบไม่ขาดช่วง

เฉินเฟิงเองก็ถือว่าเป็นผู้ถนัดการใช้หน้าไม้อยู่เหมือนกัน แต่เทียบกับสองพรานสาวที่ต่างยิงกราดติดต่อกันถึง ๕๐ กว่าดอกในรวดเดียวแล้ว ยังด้อยกว่ากันหนึ่งขั้น

หลังจากหน้าไม้ระดมยิงหมดไปหนึ่งรอบ กลับฆ่าเสือปลาไปได้แค่ไม่ถึง ๑๐ ตัวเท่านั้น นักดาบทั้งสามปักโล่ลงกับพื้น แล้วชักดาบโถมเข้าหาฝูงสัตว์อสูรทันที

พรานสาวทั้งสองรีบเข้าแทนที่ตำแหน่งของนักดาบทั้งสามอย่างรวดเร็ว ต่างคุกเข่าอยู่ด้านหลังกำแพงโล่เร่งเติมลูกศรเป็นพัลวัน ส่วนชายหนุ่มชุดนักบวชที่ด้านหลัง คทาในมือเขาเรืองแสงเป็นระยะๆ ช่วยฟื้นพลังให้นักดาบทั้งสาม ขณะเดียวกันมือซ้ายไม่ทราบมีธนูมือเดียวโผล่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร เล็งยิงใส่เสือปลาที่คิดจะลอบโจมตีคนในขบวนจากด้านข้างอย่างแม่นยำราวจับวาง

คมพิรุณเลิกใช้คาถาที่ต้องเสียเวลาร่ายยาวๆ เปลี่ยนเป็นใช้คาถาศรเพลิงหรือคาถาศรน้ำแข็งยิงสนับสนุนทุกสิบวินาทีแทนที่

ตั้งแต่ใช้วิชาพิรุณกระหน่ำจนถึงตอนนี้ ดูแล้วเหมือนผ่านไปนานเอาการ แต่ความจริงทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น

เดิมทีเฉินเฟิงมองว่าพวกทหารรับจ้างเอาเปรียบกันมากเกินไปที่เรียกค่าจ้างตั้ง ๓,๐๐๐ เหรียญเงิน และคิดว่าครุโฬขี่ช้างจับตั๊กแตนชัดๆ มาตอนนี้พอได้เห็นปริมาณสุดจะเยอะของสัตว์อสูรกับการสู้ประสานกันเป็นทีมอย่างเชี่ยวชาญของขบวนทหารรับจ้าง ก็เปลี่ยนเป็นดีใจเป็นบ้าที่ได้ครุโฬผู้แสนดีช่วยนำทางให้

ถึงจะสู้ประสานกันได้อย่างสมบูรณ์ขนาดนี้ แต่ศัตรูก็เป็นถึงเสือเขี้ยวดาบกับฝูงเสือปลาเชียวนะ ! ถ้าจัดการได้ง่ายๆ แค่นี้ล่ะก็ พวกขบวนนักเวทและสัตว์คงไม่พูดหรอกว่าเฉินเฟิงถูกรางวัลที่หนึ่งเข้าให้แล้ว

ปรากฏว่าหลังจากสู้กันชุลมุนอยู่พักหนึ่ง ความได้เปรียบที่ฝ่ายขบวนนักเวทและสัตว์เพิ่งจะชิงมาได้ก็ถูกฝูงสัตว์อสูรที่หายระส่ำระสายและเริ่มตั้งตัวติดทำลายลงอย่างรวดเร็ว

การสู้ประสานกันของนักดาบทั้งสามถูกทำลายไปตั้งแต่แรกเมื่อต่างถูกโจมตีจนต้องแยกออกจากกัน ถึงแม้พรานสาวทั้งสองจะบรรจุลูกศรเสร็จจนได้และกลับเข้าสู่สนามรบเพื่อช่วยสนับสนุนอีกครั้ง แต่เนื่องจากนักดาบทั้งสามถูกแยกล้อมโจมตีกันคนละจุด ทำให้พวกเธอไม่สามารถยิงกราดแบบเมื่อครู่ได้ จึงกลายเป็นว่าถูกพันแข้งพันขาไป

การโจมตีของคมพิรุณกับพี่เปี้ยนเองก็หยุดชะงักลง ยาฟื้นพลังสารพัดสีกะพริบวาบๆ ไม่ขาดสาย ดูท่านักดาบทั้งสามคงฝืนต้านอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่นาที

เฉินเฟิงเห็นสถานการณ์พลิกผันกลายเป็นวิกฤติ ก็หยิบหน้าไม้ออกมาเตรียมจะเข้าช่วยเหลือ ครุโฬรีบยื่นมือออกขวางไว้ทันทีพร้อมกับส่งข้อความมาว่า

“ไม่ได้นะพี่ ! ถ้าพวกเราลงมือช่วยโดยที่ขบวนทหารรับจ้างไม่ได้ออกปากขอ จะเท่ากับเป็นการเสียมรรยาทต่อพวกเขา เพราะเท่ากับว่าเราดูถูกพวกเขานะ !”

หากสถานที่เปลี่ยนเป็นที่อื่น ขบวนทหารรับจ้าง ๗ คนนี้จะไม่ทุลักทุเลแบบนี้แน่ แต่ตอนนี้ต้องแข่งกับเวลา นักดาบทั้งสามถึงได้โถมเข้าหาฝูงสัตว์อสูร ไม่อย่างนั้นขอแค่คุ้มครองนักเวททั้งสองไว้ แล้วร่ายคาถาอีกรอบ ก็จะจัดการสัตว์อสูรพวกนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น

ที่น่าเสียดายคือพวกเขามีเวลาแค่ ๑๐ นาทีเท่านั้น ซึ่งไม่มากพอให้นักเวททั้งสองร่ายคาถารอบที่ ๒

คมพิรุณส่งสายตาขอบคุณมาให้ แล้วพูดว่า

“ต้องขออภัยพี่ทั้งสองอย่างยิ่งค่ะ ! พวกเรานักเวทกับสัตว์ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขการจ้างวานของพวกคุณลุล่วงได้เสียแล้ว” แล้วถอนใจเบาๆ เตรียมจะประกาศถอนตัว

เฉินเฟิงรีบร้องว่า “ช้าก่อน ! หัวหน้าคมพิรุณ ผู้น้องมีวิธีช่วยพวกคุณอยู่ครับ แต่คุณต้องอนุญาตให้ผมช่วยก่อนนะ !”

เวลาหนึ่งชั่วโมงหมดลงแล้ว สายลมบนทางหนวดมังกรเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกได้อย่างชัดเจน ทุกคนต่างทราบดีว่าหากไม่รีบผ่านไปให้ได้ภายใน ๒ นาทีนี้ ก็มีแต่ต้องถอยกลับสถานเดียวเท่านั้น

คมพิรุณพยักหน้ายินยอมให้เฉินเฟิงยื่นมือเข้าช่วยอย่างหมดทางเลือก การทำเช่นนี้เท่ากับประกาศยอมรับว่าขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์ปฏิบัติภารกิจล้มเหลว

เฉินเฟิงขว้างยาฟื้นพลังระดับสูงรวดเดียว ๖ ขวด ช่วยฟื้นพลังป้องกันให้นักดาบทั้งสามคนละ ๒,๔๐๐ จุดในพริบตา จากนั้นตะโกนว่า

“พอผมนับถึงสาม ให้ทุกคนวิ่งไปข้างหน้าทันที ต้องช่วยกันเฉลี่ยแรงกดดันไปจากนักดาบสามคนนั้นให้ได้” พร้อมกันนั้นก็ส่งข้อความสั่งให้ครุโฬวิ่งออกไปเก็บโล่สามอันนั้นก่อน

“หนึ่ง...สอง...สาม ไป !”

สิ้นเสียง “ไป” ของเฉินเฟิง ครุโฬก็เก็บโล่เสร็จพอดี เฉินเฟิงชักดาบซามูไรออกมา แล้วพุ่งวาบเข้าหาใจกลางฝูงเสือปลาก่อนใครเพื่อน ครุโฬเองก็ชักดาบวงเดือนออกมาโถมทะยานตามไปติดๆ

พอพุ่งเข้าไปถึงใจกลางฝูง เฉินเฟิงก็ใช้ม้วนคาถาธาตุความมืดหนึ่งม้วนทันที พริบตานั้นในรัศมี ๒๐ เมตรโดยมีเฉินเฟิงเป็นศูนย์กลางได้ปรากฏแสงสว่างนวลตาปกคลุมไปทั่วอย่างฉับพลัน

แรงกดดันของทุกคนลดฮวบลงในบัดดล ม้วนคาถานี้เป็นของวิเศษที่สามารถลดพลังโจมตีของสัตว์อสูรธาตุเดียวกันได้ ๕๐% เป็นเวลานานถึง ๒ ชั่วโมงเลยทีเดียว ด้วยฤทธิ์เดชของม้วนคาถานี้ทำให้กระทั่งสมาชิกขบวนนักเวทและสัตว์บางคนที่ไม่ค่อยถนัดการสู้ประชิดตัวยังสามารถตวัดอาวุธประหัตประหารได้อย่างสบายๆ

เฉินเฟิงส่งข้อความไปหาครุโฬอีกครั้ง ให้เขาร่วมมือประสานกันในอีกประเดี๋ยว จากนั้นตะโกนขึ้นอีกครั้งว่า

“พอผมนับถึงสามอีกครั้ง ให้ทุกคนหลับตาลงหนึ่งนาทีทันที ขอย้ำว่าต้องหลับตาให้ถึงหนึ่งนาที !

ครั้นเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน เฉินเฟิงก็นับทันที

“หนึ่ง...สอง...สาม...หลับตา !”

สิ้นเสียง เฉินเฟิงกับครุโฬก็ขว้างระเบิดแสงออกไปพร้อมกันคนละ ๒ ลูก รอบบริเวณปรากฏแสงสว่างเจิดจ้าวาบขึ้นในพริบตา สัตว์อสูรทุกตัวต่างส่งเสียงร้องโหยหวนดังระงม

หนึ่งนาทีให้หลัง สมรภูมิที่เดิมฝ่ายนักเวทและสัตว์ควรจะเป็นฝ่ายถูกเล่นงานจนสะบักสะบอมก็พลิกผันกลายเป็นมหกรรมฆ่าล้างบางสัตว์อสูรไปเป็นที่เรียบร้อย

เสือเขี้ยวดาบกับฝูงเสือปลาต่างสูญเสียการมองเห็นไปชั่วขณะ บวกกับถูกลดพลังโจมตีลงครึ่งหนึ่ง จึงถูกเก็บกวาดจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียวในเวลาไม่ถึงสองนาที

นักดาบทั้งสามและพรานสาวทั้งสองต่างก็เหนื่อยจนไม่มีแรงแม้แต่จะยืน นักดาบทั้งสามนั่งแหมะลงกับพื้นพลางหอบจนตัวโยน

ที่สัตว์อสูรเกือบ ๓๐ ตัวถูกจัดการจนหมดเกลี้ยงรวดเร็วขนาดนี้ นักดาบทั้งสามมีความดีความชอบสูงสุด หลังจากระเบิดแสงดับไปแล้ว ทั้งสามต่างฉวยโอกาสที่ฝูงเสือปลากำลังสับสนระส่ำระสายแยกย้ายกันใช้ทักษะพิเศษซึ่งเป็นท่าไม้ตาย “ลำแสงควงสว่านประหาร” คนละ ๘ ลำ สามคนรวมมีลำแสงควงสว่าน ๒๔ ลำ แค่พริบตาเดียวก็เก็บสัตว์อสูรไปได้ถึง ๒ ใน ๓

พรานสาวสุขสันต์และฟ้าใสเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า ต่างใช้ทักษะพิเศษท่าไม้ตาย “หมื่นศรทะลวงใจ” ระดมยิงออกไปติดต่อกัน พริบตานั้นหน้าไม้เหมือนกับพ่นไฟได้ยังไงยังงั้น ลูกศรที่พุ่งออกไปจำนวนนับไม่ถ้วนทำเอาเสือเขี้ยวดาบที่จัดการยากที่สุดกลายเป็นเสือเม่นไปเลย

น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีเวลาให้ได้หอบหายใจมากนัก เพราะหลังจากสัตว์อสูรถูกจัดการจนเกลี้ยงแล้ว หัวหน้าคมพิรุณก็สั่งเปิดประชุมด่วนทันที

ครุโฬวิ่งวุ่นเก็บไอเท็มที่ได้มา ส่วนเฉินเฟิงทำงานง่วนมือเป็นระวิงพลางพึมพำอะไรไม่ทราบไม่หยุดปาก หลังจากเก็บไอเท็มทั้งหมดที่ได้มารวมกันเรียบร้อยแล้ว ครุโฬก็หันไปดูเฉินเฟิง และพบว่าอีกฝ่ายยังนั่งอยู่ที่เดิม จึงนึกว่าเฉินเฟิงเองก็กำลังเก็บไอเท็มมารวมกันด้วยเหมือนกัน แต่ดูๆ แล้วไม่น่าจะใช่ จึงเข้าไปมองๆ อย่างอยากรู้ว่าเฉินเฟิงกำลังทำอะไร

แล้วครุโฬผู้รอบรู้สารพัดข่าวสารก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เฉินเฟิงกำลังทำ...

สิ่งที่ครุโฬเห็นคือเฉินเฟิงกำลังถือมีดหน้าตาประหลาดๆ เล่มหนึ่ง แค่ปาดเบาๆ ก็แล่เนื้อชิ้นขนาดฝ่ามือออกมาได้แล้วหนึ่งชิ้น จากนั้นเอาเนื้อใส่ลงไปในกล่องคงความสดที่วางอยู่ใกล้ๆ ข้างตัวอีกฝั่งหนึ่งมีกระดูกหลายท่อนกับหนังของเสือปลาวางอยู่

หรือซากของสัตว์อสูรพวกนี้เก็บสะสมได้ด้วย ?

หลังจากจัดการซากของเสือปลาตัวหนึ่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉินเฟิงก็รีบควักสมุดบันทึกออกมาจดสิ่งที่ตัวเองค้นพบยิกๆ ทันที

กำไรชะมัด ! กระดูกกับดีเสือต่างก็เป็นตัวยาทั้งนั้น ส่วนหนังเสือเป็นวัตถุดิบ เนื้อเสือใช้เป็นเครื่องปรุงได้ แถมมีดที่ซื้อมาใหม่ก็ใช้งานได้ดีกว่ามีดทำครัวหลายเท่า !

เฉินเฟิงเตรียมจะคุ้ยหาซากของเสือเขี้ยวดาบต่อ พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าครุโฬรวบรวมไอเท็มที่ได้มาเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังเบิ่งมองเขาตาค้าง

มีดที่เฉินเฟิงถืออยู่ตอนนี้เป็นมีดที่เจอเข้าตอนเดินเที่ยวในเมืองเขี้ยวมังกรนั่นเอง ผู้เล่นคนหนึ่งตั้งแผงแบกะดินขายของอยู่ที่ข้างๆ คลังเก็บไอเท็ม ของที่ขายมีแต่ของพิลึกๆ ทั้งนั้น แถมส่วนใหญ่ใช้งานอะไรไม่ค่อยได้ ธุรกิจของเขาจึงไม่ค่อยรุ่งเท่าไหร่

มีดเล่มนี้เหมือนกับมีดที่ใช้หั่นเนื้อที่ถูกแช่แข็งซึ่งจัดอยู่ในประเภทมีดที่ใช้ในการเตรียมเครื่องปรุงโดยเฉพาะมาก ตัวมีดยาว ๗๐ เซนติเมตร คมกริบก็จริง แต่บางมาก เส้นลายของคมมีดก็ไม่ได้เรียบเสมอกัน แต่หยักเป็นคลื่นเล็กน้อย

เฉินเฟิงถามถึงวิธีใช้อย่างสนอกสนใจ ผลปรากฏว่ากระทั่งผู้เล่นที่ขายเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน หลังจากปลดผนึกแล้วยิ่งชวนกระอักเลือด เพราะมีพลังโจมตีแค่ ๑๕ จุดเท่านั้น

เนื่องจากเฉินเฟิงมีประสบการณ์ในการใช้มีดทำครัวมาก่อน ทำให้ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่ามีดเล่มนี้คุ้นตาเอามากๆ ดูยังไงก็น่าจะเป็นมีดที่ใช้สำหรับเตรียมเครื่องปรุงแน่ๆ

คนขายบอกว่ามีดเล่มนี้ได้มาตอนฆ่าสัตว์อสูร ขายให้ร้านขายไอเท็มก็ได้แค่ ๑๐๐ เหรียญเงินเท่านั้น ที่เขาเก็บมันไว้เพราะเห็นว่ามันแปลกดี เอามาวางขายก็นานแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่พอรู้ว่ามันมีพลังโจมตีแค่ ๑๕ จุดก็เลิกสนใจทันที คนขายเห็นเฉินเฟิงสนอกสนใจขนาดนี้ จึงขายให้เขาในราคา ๓๐๐ เหรียญเงิน

พอคิดถึงว่าครึ่งชั่วโมงให้หลังซากศพพวกนี้ก็จะหายไปแล้ว เฉินเฟิงก็ลากครุโฬที่เอาแต่ยืนอ้าปากค้างเข้ามาใกล้ แล้วพูดว่า

“น้องครุฑ จัดการงานของนายเสร็จแล้วใช่มั้ย ? เป็นอะไรไป ? ตัวฉันมีอะไรผิดปกติหรือ ?”

ครุโฬส่ายหน้าปฏิเสธ ทำท่าอยากจะถามอะไรแต่ก็เปลี่ยนใจไม่ถาม

เฉินเฟิงพูดต่อว่า “ถ้าจะถามอะไรอีกเดี๋ยวค่อยถามแล้วกัน มาช่วยฉันเก็บเนื้อกับหนังเสือก่อน ของพวกนี้ใช้แทนอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงได้ด้วยนะ” พูดจบก็ลากซากเสือปลามาตัวหนึ่ง แล้วเอามีดทำครัวออกมาจัดแจงเตรียมเครื่องปรุงให้ดูเป็นตัวอย่าง

เมื่อกี้เขาเสียเวลาศึกษาไปเกือบสิบนาที ตอนนี้เลยเหลือเวลาไม่มากนัก เฉินเฟิงไม่อธิบายให้เสียเวลา แค่บอกให้ครุโฬทำตามที่เขาทำ

ก่อนอื่นตัดหัวเสือออก จากนั้นผ่าตั้งแต่ท้องลงมาจนสุด แล้วค่อยตัดอุ้งเท้าทั้งสี่ข้างออก ก็จะได้หนังเสือที่สมบูรณ์หนึ่งผืน จากนั้นเอาดีเสือออกมา ส่วนเนื้อเสือก็แล่เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่เข้าไปในกล่องคงความสด ท่าทางคล่องแคล่วชำนิชำนาญของเฉินเฟิงทำเอาครุโฬต้องถอนหายใจด้วยความทึ่ง

หลังจากยัดมีดทำครัวกับเขียงให้ครุโฬแล้ว เฉินเฟิงก็ลากเสือปลาหลายตัวที่หนังถูกทำให้เสียหายน้อยหน่อยมา ใช้มีดหั่นเนื้อแช่แข็งผ่าท้องล้วงเอาดีออกมาเหมือนที่ทำกับซากเสือปลาตัวก่อนๆ

ตอนที่เฉินเฟิงล้วงเอาดีเสือออกมาจนครบทุกตัว ขบวนนักเวทกับสัตว์ก็ประชุมกันเสร็จพอดี แล้วแต่ละคนก็มีอาการเหมือนครุโฬเปี๊ยบ คือเบิ่งตาค้างตะลึงจ้องสิ่งที่สองหนุ่มกำลังทำ

เนื่องจากไม่มีเวลาว่างพอจะมาอธิบาย หลังจากล้วงเอาดีเสือมาได้ครบแล้ว เฉินเฟิงจึงเริ่มศึกษาซากของเสือเขี้ยวดาบต่อทันที จากนั้นก็ดีอกดีใจเป็นการใหญ่เมื่อพบว่าเขี้ยวดาบก็เป็นวัตถุดิบเหมือนกัน พอเห็นว่าเหลือเวลาอีกไม่มาก ก็รีบตัดเขี้ยวของเสือเขี้ยวดาบอีกสองตัวมาไว้ก่อนทันที

ในที่สุดคมพิรุณก็ทนสงสัยไม่ไหว อ้าปากทำท่าจะถาม ทันใดนั้นแสงสีขาวก็สว่างวาบขึ้น นอกจากเสือปลาสามตัวที่ถูกถลกหนังไปเรียบร้อยแล้ว ซากสัตว์อสูรที่เหลือได้หายไปจนหมด ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้คำถามที่คมพิรุณคิดจะถามถูกกลืนกลับลงไปทันที เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนอะไรสองหนุ่มเข้า

ครั้นได้เห็นปฏิกิริยาของคมพิรุณ เฉินเฟิงก็เผลอหัวเราะคิก แล้วนึกขึ้นได้ว่าทำแบบนี้มันเสียมรรยาท จึงรีบกลั้นหัวเราะทันที เฉินเฟิงรู้ดีว่าซากที่เหลือนี้จะไม่หายไปแล้ว นอกจากจะเน่าเปื่อยไปเอง จึงพูดขึ้นว่า

“ต้องขอโทษด้วยครับ ! พอดีเมื่อกี้ผมต้องแข่งกับเวลา เลยไม่ได้บอกอะไรพวกคุณ พวกคุณคงจะสงสัยล่ะสิ ? น้องครุฑ นายก็เข้ามาด้วยมา ! ฉันจะได้อธิบายแค่รอบเดียว ไม่ต้องอธิบายซ้ำหลายเที่ยว”

ครุโฬเห็นวัตถุดิบกองใหญ่หายวับไปในพริบตาเดียว อันหมายถึงว่าซากพวกนี้มีเวลาจำกัด ก็กลัวว่าวัตถุดิบที่อุตส่าห์ได้มาพวกนี้จะพลอยหายไปด้วย จึงถามขึ้นอย่างสงสัยโดยไม่ยอมหยุดมือว่า

“พี่เฟิง ! แล้วพวกนี้ล่ะ จะไม่เอาแล้วหรือ ?” ความจริงหลังจากที่ได้ลองใช้มีดทำครัว ถึงเฉินเฟิงไม่อธิบาย เขาก็เข้าใจแล้วว่าเฉินเฟิงกำลังทำอะไร

เฉินเฟิงหัวเราะ “วางใจเถอะน่า ! พวกที่เมื่อกี้ไม่ได้หายไปด้วยน่ะ จะอยู่ได้อีกนานมากแล้วล่ะ มาช่วยไขข้อข้องใจให้ทุกคนกันก่อน ไม่งั้นทุกคนมีหวังอึดอัดแย่”

คมพิรุณพูดว่า “พวกเราแค่สงสัยเท่านั้นค่ะ ถ้าไม่สะดวกจะบอก พวกเราก็ไม่ฝืนใจ อีกอย่างเรายังไม่ได้ขอบคุณคุณสองคนเลยค่ะ !”

ครุโฬวางงานในมือลง แล้วพูดกลั้วหัวเราะ

“หากเป็นคนอื่นก็คงไม่บอกหรอกครับ แต่นี่เป็นพี่ใหญ่ของผม ถ้าพวกคุณรู้ว่าพี่ใหญ่ผมคือใคร ก็จะไม่คิดมากแล้วล่ะ วางใจเถอะครับ พี่ใหญ่ของผมไม่เหมือนคนอื่นๆ มีคำถามอะไรก็ถามมาได้เลยครับ !”

ชายหนุ่มสวมชุดนักบวชในขบวนนักเวทและสัตว์โพล่งขึ้นว่า

“ขอบังอาจถาม หรือพี่ชายท่านนี้คือยอดฝีมือซื่อบื้อเฉินเฟิง ?”

เฉินเฟิงยังไม่ทันตอบ ครุโฬก็ชิงเฉลยขึ้นก่อนว่า

“พี่เปี้ยนนี่เก่งจริงๆ ทายครั้งเดียวก็ถูกเลย !”

คมพิรุณทำหน้าเข้าอกเข้าใจทันที

“เหมือนกับที่ลือกันเปี๊ยบเลยนะคะนี่ มิน่าเล่าถึงได้พกไอเท็มแปลกๆ เต็มไปหมด แบบนี้ฉันก็เข้าใจแล้วล่ะค่ะว่าทำไมเมื่อกี้ถึงเป็นอย่างนั้น”

พวกขบวนนักเวทและสัตว์คนที่เหลือต่างก็ทำหน้าเข้าอกเข้าใจไปตามๆ กัน เฉินเฟิงเลยกลายเป็นฝ่ายงงเสียเองว่าทำไมพอพูดชื่อเขาออกไป เรื่องทุกเรื่องก็กลายเป็นสมเหตุสมผลไปหมดได้ล่ะ ?

ชายหนุ่มนักบวชพูดว่า “เรียกผมเป็นพี่เห็นจะไม่กล้ารับ พี่สองคนเป็นคนที่ดังที่สุดในตอนนี้เชียวนะครับ เรียกผมว่า อะไรก็ได้ (สุยเปี้ยน) แล้วกันครับ”

ครุโฬตะลึง อะไรก็ได้ ! ผมฟังผิดหรือเปล่าเนี่ย ?”

คมพิรุณหัวเราะ “ไม่ผิดหรอกค่ะ ! เขาชอบทำอะไรแปลกๆ แบบนี้แหละ เวลาแนะนำตัวเขาแต่ละครั้งนี่น่าปวดหัวทุกทีเชียวค่ะ แล้วเขาก็ตั้งชื่อตัวเองว่า ‘อะไรก็ได้’ จริงๆ

“ขอแนะนำสมาชิกในขบวนทหารรับจ้างนักเวทและสัตว์กับคุณสองคนเลยก็แล้วกันนะคะ นักดาบสามคนนี้เป็นพี่น้องกัน จากซ้ายมาขวาคือจวงหย่วนจื้อ จวงหมิ่นเจิ้ง จวงอานเฟิง หน้าตาพวกเขาแทบจะเหมือนกันเปี๊ยบ แล้วยังชอบไปไหนมาไหนด้วยกัน กระทั่งพวกเราเองยังจำผิดคนบ่อยๆ พวกเราชอบเรียกพวกเขาว่าสามนักดาบ ส่วนนายพรานหญิงสองคนข้างหลังชื่อ หนานอี๋ (ต้นหนานสุขสันต์) กับ เฟิงฉิง (ต้นเฟิงฟ้าใส) เป็นพี่น้องกันเหมือนกันค่ะ พวกเรา ๗ คนเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ปกติชอบเอะอะมะเทิ่งกันจนชิน

“โชคดีจริงๆ ที่วันนี้ได้คุณสองคนช่วยไว้ เมื่อครู่พวกเราประชุมกันแล้วตกลงกันว่า ค่าจ้างครั้งนี้เราจะคืนให้พวกคุณทั้งหมดค่ะ นอกจากนี้เมื่อครู่พี่เฉินใช้ยาฟื้นพลังระดับสูงไป ๖ ขวด ม้วนคาถาธาตุความมืด ๑ ม้วน กับระเบิดแสงอีก ๔ ลูก ราคาตลาดของไอเท็มพวกนี้รวมทุกชิ้นคิดเป็นเงิน ๕,๘๐๐ เหรียญเงิน พวกเราก็จะชดใช้ให้พวกคุณเช่นกัน และแน่นอนว่าไอเท็มที่ได้มาในครั้งนี้จะแบ่งเป็น ๙ ส่วนเท่าๆ กัน ส่วนเรื่องชื่อเสียงของทหารรับจ้าง พวกคุณจะตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่พวกคุณค่ะ ไม่ทราบว่าแบบนี้คุณสองคนยอมรับได้หรือเปล่าคะ ?”

ตอนที่คมพิรุณแนะนำสมาชิกในขบวน สมาชิกทุกคนต่างก็พูดทักทายอย่างมีมรรยาท แต่พอพูดถึงผลการประชุม ทั้ง ๖ ต่างก็มีทีท่ากล้ำกลืนฝืนทน เพราะเรื่องที่ล้มเหลวเป็นความจริง เมื่อกี้ตอนประชุมกันยังแทบจะทะเลาะกันอยู่รอมร่อ เพราะเรื่องคืนเงินค่าจ้างยังพอทำเนา แต่เรื่องชดใช้เงินค่าไอเท็มให้เฉินเฟิง ทุกคนต่างก็ไม่ค่อยเห็นด้วยนัก

ตอนที่เฉินเฟิงใช้ม้วนคาถาธาตุความมืด ขบวนนักเวทและสัตว์ก็ชิงกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบสำเร็จ ถึงไม่ต้องใช้ระเบิดแสง ๔ ลูกนั้น ก็สามารถจะจัดการสัตว์อสูรได้หมดทุกตัวอยู่ดี

ราคาของระเบิดแสงในตลาดคือลูกละ ๕๐๐ เหรียญ สองคนนี้ใช้อย่างกับมันได้มาฟรียังไงยังงั้น ถึงจะช่วยให้การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็วก็เถอะ แต่ทุกคนก็รู้สึกว่ามันเกินจำเป็นอยู่ดี

สุดท้ายพอคมพิรุณพูดถึงชื่อเสียงของทหารรับจ้าง ทั้ง ๖ ค่อยฝืนใจเห็นพ้อง แต่ครั้งนี้เรียกได้ว่าขาดทุนย่อยยับจริงๆ

ข้างเฉินเฟิง ถึงตอนแรกเขาจะคิดว่าการจ่ายเงินตั้ง ๒,๕๐๐ เหรียญเพื่อจ้างคนทั้ง ๗ นั้นไม่คู่ควรเลย แต่หลังจากได้เห็นการจัดขบวนรับศึกของพวกนักเวทและสัตว์แล้ว เขาก็รู้สึกว่าเงินที่จ่ายไปนั้นคุ้มค่ามาก ต่อมาพอได้เห็นท่าไม้ตายลำแสงควงสว่านประหารของสามนักดาบกับหมื่นศรทะลวงใจของต้นหนานสุขสันต์และต้นเฟิงฟ้าใส ก็เปลี่ยนเป็นรู้สึกว่าค่าจ้างถูกเกินไปเสียด้วยซ้ำ

เฉินเฟิงเพิ่งทราบว่าที่ทั้ง ๗ เปิดประชุมด่วนหลังเสร็จศึก ก็เพื่อหารือเรื่องนี้กันนี่เอง ตัวเขาไม่ได้รู้ราคาของม้วนคาถาธาตุ แต่แค่ค่ายาฟื้นพลังที่พวกนักเวทและสัตว์ใช้ไประหว่างทำศึก เงิน ๒,๕๐๐ เหรียญก็ไม่พอจ่ายแล้ว ตอนนี้ทั้ง ๗ ไม่แค่จะคืนเงินค่าจ้างให้ แถมยังจะชดใช้ค่าไอเท็มที่เขาใช้ไปอีกต่างหาก แบบนี้ทั้ง ๗ ก็ขาดทุนแย่น่ะสิ !

พอเห็นว่าครุโฬไม่มีทีท่าว่าจะปฏิเสธ เฉินเฟิงก็รีบพูดว่า

“เอ๋ ! แบบนี้ไม่ค่อยดีมั้งครับ ผมยอมรับไม่ได้ !”


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:29 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:43

0 ความคิดเห็น