หัวข้อ : เล่มที่ ๑ ยอดฝีมือซื่อบื้อ ตอนที่ ๕ ยอดฝีมือซื่อบื้อ

โพสต์เมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:25

ตอนที่

 

ยอดฝีมือซื่อบื้อ

 

 

โง่ละอายพูดว่า “พี่น้องเฉินเฟิงใจลอยคิดอะไรอยู่หรือ ? วางใจเถอะ ผมไม่ได้มาชวนอะไรหรอก เพราะวันนี้ทุกคนได้มือใหม่มาเพิ่มกันจนพอใจแล้ว ผมเป็นตัวแทนที่ทุกคนส่งมา นอกจากจะมาเพื่อขอโทษคุณอย่างเป็นทางการอีกครั้งแล้ว ผมยังมาเพื่อช่วยตอบข้อสงสัยให้คุณด้วย”

เฉินเฟิงยิ้ม “พี่น้องโง่ละอาย ผมบอกแล้วว่าไม่เป็นไร ทุกคนเกรงใจกันเกินไป แต่คุณมาได้จังหวะพอดี ผมอยากรู้จริงๆ ว่าสมาคมอัศวินมีความแค้นอะไรกับพวกคุณหรือ ? ทำไมพอเห็นคนแต่งชุดแบบคนของสมาคมอัศวิน ทุกคนถึงได้ทำท่าเหมือนของขึ้นกันแบบนั้น ?”

โง่ละอายตอบว่า “เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็น่าละอายจริงๆ ความจริงเรื่องระบบอาชีพนี่ คิดว่าหลังจากที่ได้อ่านประกาศแล้ว คุณก็คงพอเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างล่ะนะ !”

เฉินเฟิงพยักหน้า แล้วส่ายหน้า

“ก็เข้าใจนิดหน่อย แต่ข้อสงสัยก็เพิ่มขึ้นอีกจมเหมือนกัน”

โง่ละอายหัวเราะ “เรื่องธรรมดาครับ ผู้เล่นแทบทุกคนอ่านประกาศนี้จบ ก็ไม่ต่างจากคุณเท่าไหร่นักหรอก ความจริงพวกคุณน่ะโชคดีมากแล้ว เพราะอย่างน้อยตอนนี้ก็ยังมีสมาคมอาชีพให้เข้าเป็นสมาชิก พวกผมทั้งก๊กที่เข้ามาเล่นเกมนี้แทบจะเป็นคนแรกๆ นี่สิ ตอนนั้นไม่มีสมาคมให้เข้าแม้แต่สมาคมเดียวเลยแหละ !

“สมาคมนักดาบ เป็นอาชีพแรกสุดที่ทางการประกาศออกมา และเป็นอาชีพเดียวที่เงื่อนไขในการได้อาชีพไม่ถือเป็นความลับ แต่ส่วนที่ไม่เป็น ‘ความลับ’ ก็แค่พวกทักษะที่จำเป็นต้องมีเท่านั้น ส่วนที่ว่าทักษะพวกนั้นจะได้มาโดยวิธีไหน ก็ยังเป็นความลับของสมาคมนักดาบอยู่ และความลับในการได้ทักษะก็คือต้นทุนในการดึงคนของแต่ละสมาคม”

เฉินเฟิงค่อยเข้าใจที่มาที่ไปของเรื่อง

“อย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะถึงได้ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับว่าทำยังไงถึงจะได้ทักษะอาชีพมาเลย”

โง่ละอายพูดต่อว่า

“ส่วนเรื่องที่ทำไมพวกเราถึงต้องพยายามดึงคนกันแทบเป็นแทบตาย ก็มี ๒ เหตุผล

“เกมราชาฯกำหนดว่า เงื่อนไขในการสร้างอาณาจักรจำเป็นต้องมีกลุ่มที่มีสมาชิก ๕,๐๐๐ คน บวกกับเงิน ระดับ (level) รวมถึงบุคลากร จึงจะสามารถสร้างอาณาจักรได้ เมื่อสร้างอาณาจักรได้แล้ว ก็จะสามารถมีเมืองของตัวเอง ประชากรของอาณาจักรก็สามารถได้รับบ้านและชุดเกราะที่อาณาจักรสร้างขึ้นตามระดับความดีความชอบที่ทำ แถมยังมีได้กระทั่งพื้นที่สำหรับฝึกฝีมือโดยเฉพาะ สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับมีมากเสียจนทำให้ผู้คนพากันแก่งแย่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ดังนั้นถึงได้มียอดฝีมือจำนวนมากมุ่งมั่นอยากจะสร้างอาณาจักร และพยายามดึงคนเข้ามาเป็นสมาชิกกันสุดฤทธิ์

“ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่พยายามดึงคนเข้าสมาคม ก็เพื่อคงจำนวนสมาชิกต่ำสุดเอาไว้ เพราะถึงเกมราชาฯจะกำหนดเอาไว้ว่าแค่มีผู้เล่นอาชีพเดียวกัน ๕ คนก็สามารถยื่นคำร้องขอตั้งสมาคมได้แล้วก็ตาม แต่หลังจากก่อตั้งสมาคมแล้ว หากต้องการทำให้สมาคมคงอยู่ต่อไป ก็ต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า ๕๐๐ คน แน่นอนว่าในเดือนที่สมาคมถูกตั้งขึ้น จะมีเวลา ๑ เดือนสำหรับทำการประกาศรับสมัครสมาชิก

“ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรหรือสมาคม หากสมาชิกคนใดไม่มีแต้มคะแนนสะสม หรือไม่ได้ลงทะเบียนเข้าสู่เกมนานเกินกว่า ๑ เดือนตามเวลาในโลกความจริง จะถูกลบออกจากการเป็นสมาชิกของสมาคมโดยอัตโนมัติ”

เฉินเฟิงแทรกขึ้นว่า “พวกคุณมีความลับในการได้ทักษะของอาชีพอยู่ในมือ การดึงคนเข้าสมาคมก็ไม่น่าจะยากนี่นา ? การมีอาชีพไม่แค่ทำให้ข้ามพ้นขีดจำกัดของระดับของผู้เริ่มต้นได้เท่านั้น ยังจะได้ทักษะเฉพาะของอาชีพมาด้วย ถึงเกมราชาฯจะกำหนดจำนวนคนมากเกินไปหน่อย แต่ก็ยังไม่น่าจะถึงกับต้องแย่งคนกันมั้ง ?”

โง่ละอายถอนใจ “คุณถามถูกจุดแล้วล่ะ ในตอนแรกที่สมาคมยังกุมความลับในการได้ทักษะอาชีพ จำนวนสมาชิกไม่เคยมีปัญหาหรอกครับ ตอนนั้นประธานกับสมาชิกฝ่ายบริหารสำคัญๆ ของแต่ละสมาคมต่างก็รู้จักกันดี จนกระทั่งสมาคมอัศวินถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อ ๓ เดือนก่อน สัญญาลับระหว่างกันของแต่ละสมาคมในหนึ่งปีมานี้ก็ถูกทำลายลงอย่างถึงรากถึงโคน

“ถึงจะพูดว่ากุมความลับเอาไว้ ความจริงทุกคนก็แค่รู้ครึ่งไม่รู้ครึ่ง วิธีเดียวกัน คนที่ใช้ต่างคนกัน บ่อยครั้งที่ไม่ได้ให้ผลแบบเดียวกัน บวกกับความเห็นแก่ตัวอยากอุบไต๋ไว้ของแต่ละคน ทำให้ถึงแต่ละสมาคมจะมีสมาชิกอย่างน้อย ๑,๐๐๐ คน แต่คนที่ได้อาชีพสำเร็จ มีแค่ไม่เกิน ๒๐๐ คนเท่านั้น !”

เฉินเฟิงตกใจ “น้อยอย่างนั้นเชียว ?”

“มี ๒๐๐ คนถือว่ามากแล้วนะ อย่างสมาคมนินจากับสมาคมนักเขียน ได้ยินว่าสมาชิกที่ได้อาชีพสำเร็จมีแค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น หลังจากที่สมาคมอัศวินถูกก่อตั้งขึ้น ก็ใช้วิธีการที่แตกต่างจากพวกเราสมาคมเก่าๆ ก่อนอื่นคือขอเพียงเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ก็จะมีสิทธิ์ได้รู้ผลลัพธ์จากการศึกษาค้นคว้าของสมาคมในทันที ขณะที่สมาคมของพวกเราต้องอาศัยปริมาณความดีความชอบที่ทำให้กับสมาคม ถึงจะได้รับสิทธิ์ให้ได้รู้ผลลัพธ์จากการศึกษาค้นคว้าของสมาคม แค่ประเด็นนี้ประเด็นเดียวก็ทำให้สมาชิกของหลายๆ สมาคมขอลาออกเพื่อย้ายไปเข้าสมาคมอัศวินกันมากภายในระยะเวลาสั้นๆ อัตราเร็วในการสูญเสียสมาชิกสูงมากจนไม่อยากจะเชื่อ สุดท้ายมันก็บีบให้เราจำเป็นต้องหันมามองปัญหานี้ตรงๆ”

“แบบนี้...สมาชิกพวกนั้นเขาลาออกไปเอง แล้วจะพูดว่าสมาคมอัศวินแย่งคนไปได้ยังไง ? หากให้ผมเลือก บอกตามตรงว่าผลประโยชน์ที่สมาคมอัศวินยื่นให้ดีกว่าสมาคมอื่นๆ มาก”

โง่ละอายหน้าแดง “ผมถึงได้บอกว่าน่าละอายไงครับ ความจริงสาเหตุที่เกิดการกระทบกระทั่งกันไม่ใช่เพราะสมาชิกที่ลาออกมีมากเกินไป แต่เป็นเพราะเมื่อพวกเรารู้ตัวว่าตัวเองจะมีอภิสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวไม่ได้อีกแล้ว พวกเราก็ใช้วิธีเดียวกับสมาคมอัศวิน คือประกาศผลลัพธ์จากการศึกษาค้นคว้าให้สมาชิกในสมาคมทุกคนได้ทราบ”

เฉินเฟิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

โง่ละอายยิ้มจืดเจื่อน “ผมคิดว่าอีกไม่นานผลจากการศึกษาค้นคว้าพวกนี้คงไม่เป็นความลับอีกแล้ว เมื่อพวกผู้เล่นที่ลาออกจากสมาคมเดิมย้ายไปเข้าสมาคมอัศวินรู้ว่าสมาคมเดิมของตัวเองก็ประกาศเปิดเผยผลการค้นคว้าด้วยเหมือนกันแล้ว ย่อมจะมีผู้เล่นไม่ใช่น้อยอยากจะกลับมาเข้าสมาคมเดิมที่ตัวเองเลือกในตอนแรก แต่สมาคมอัศวินกลับตรากฎขุนพลทรยศอะไรนั่นว่า ผู้เล่นที่เข้าสู่สมาคมอัศวิน หากได้รับผลลัพธ์จากการศึกษาค้นคว้าแล้ว ห้ามไม่ให้ลาออกจากสมาคม หากลาออกจากสมาคมจะถูกประหารไม่ละเว้น นอกจากจะทิ้ง username เดิมมาสมัคร username ใหม่ ไม่อย่างนั้นประกาศิตไล่ฆ่าจะคงอยู่ตลอดไป แม้จะทิ้ง username เดิมแล้วมาเล่นใหม่ ถ้ายังใช้วิธีการของพวกเขาจนได้อาชีพอัศวินมาอย่างง่ายดายละก็ พวกเขาก็จะออกประกาศิตไล่ฆ่า

“พวกนั้นใช้วิธีสุดยอดผูกขาดแบบนี้แหละที่ทำให้ตอนนี้ทั่วทั้งเกมราชาฯมีแต่กลิ่นคาวเลือด ความแค้นก็ยิ่งสุมทับเพิ่มขึ้นทุกที ตอนนี้สมาชิกของสมาคมอัศวินต่างก็ไม่กล้าปรากฏตัวเดี่ยวๆ ที่บริเวณทิศใต้ของเมืองเขี้ยวมังกร (หลงหยาเฉิง) ในทวีปกู่ย่า และผู้เล่นธรรมดาทั่วไปก็จะไม่ผ่านไปบริเวณทางเหนือของเมืองเขี้ยวมังกรเช่นกัน

“การแต่งตัวของคุณวันนี้ ถ้าเพิ่มโล่ขนาดใหญ่เข้าไปอีกอัน ก็จะกลายเป็นเครื่องแบบมาตรฐานของพวกอัศวินเลยล่ะ ดังนั้นทุกคนถึงได้เข้าใจผิดกัน”

เฉินเฟิงฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อ

“แล้วบริษัทเลจจ์เว็บไซท์ไม่เข้ามาแทรกแซงอะไรเลยหรือ ?”

โง่ละอายหัวเราะ “ถ้าพวกเขาเข้ามาแทรกแซง เกมนี้ก็ไม่ยุติธรรมแล้วล่ะ แล้วคุณคิดว่ายังจะเหลือคนที่เล่นเกมนี้อยู่อีกสักกี่คน ? ความยุติธรรมและความพลิกแพลงเป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้เกมราชาฯสามารถดึงสมาชิกมาได้ถึงล้านกว่าคนในเวลาสั้นๆ ถึงสมาคมอัศวินจะทำตัวเป็นมาเฟีย แต่บริษัทเลจจ์ก็ไม่ได้เข้าข้างพวกเขา ถ้าพวกนั้นฆ่าคน ระบบก็จะออกคำสั่งไล่ฆ่าในเวลา ๑๒ วันเหมือนกัน คุณคงจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วสินะว่าการฆ่าคนต้องชดใช้ยังไงบ้าง”

“ก็ใช่...สถานการณ์ซับซ้อนขนาดนี้เชียว อยู่บนเกาะเริ่มต้นแบบนี้ไม่รู้สึกอะไรเลย ที่คุณพูดมาทั้งหมดผมก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกนี่แหละ”

“เกาะเริ่มต้นเป็นสถานที่ที่สงบมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ผู้เล่นทั่วไปพอระดับถึงประมาณระดับที่ ๒๕ ก็จะออกจากที่นี่ไปที่ทวีปกู่ย่า และสถานที่สนุกๆ น่าสนใจทั้งหลายของเกมราชาฯก็เริ่มต้นขึ้นที่นั่น ที่นี่เป็นแค่ที่สำหรับอุ่นเครื่องของผู้เล่นเท่านั้น ถ้าไม่เพราะใกล้จะถึงเวลานับจำนวนสมาชิกแล้วล่ะก็ วันนี้พวกเราก็คงไม่ได้เจอกันหรอก !

“จะว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณที่พวกสมาคมอัศวินมันก่อเรื่อง ผมถึงมีโอกาสได้รู้จักพี่น้องเฉินเฟิง ผมไม่ได้ตื้นตันใจแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ยุคสมัยของ ‘ราชาแห่งราชัน’ คงใกล้จะเริ่มเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงแล้วแน่ๆ ผมกำลังเฝ้ารอเลยนะนี่ ! พูดตามตรงนะ พี่น้องเฉินเฟิง ได้เห็นวิธีคลี่คลายปัญหาคนทะเลาะกันของคุณเมื่อกี้แล้ว เชื่อว่าคุณเองก็คงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป บุคคลสำคัญในอนาคตของเกมราชาฯต้องมีคุณอยู่ด้วยแน่นอน !”

เฉินเฟิงหัวเราะ “ยกย่องกันเกินไป แต่ได้ฟังคุณพูดแบบนี้ ผมไม่พยายามให้มากกว่านี้สักหน่อยคงไม่ได้ซะแล้ว !”

พูดจบ ทั้งสองก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะ

หลังจากที่ฟังโง่ละอายอธิบายแล้ว เฉินเฟิงก็เข้าใจสาเหตุในที่สุดว่าทำไมอยู่ๆ ตัวเองถึงได้ถูกล้อมเล่นงานเอาดื้อๆ ทั้งยังได้ทราบทักษะอันเป็นเงื่อนไขในการได้อาชีพของนักดาบ

ถึงแม้จะไม่มีวิธีฝึกเพื่อให้ได้ทักษะมา แต่เมื่อลองคิดดูดีๆ ในเมื่อทักษะสามารถก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทใหญ่โตถึงขนาดนี้ แสดงว่าการจะได้รับทราบเบาะแสนั้นยากมาก เฉินเฟิงจำต้องข่มความอยากรู้เอาไว้ก่อน รอวันหน้ามีโอกาสเขาค่อยศึกษาเอาเองก็แล้วกัน

เมื่อย้อนคิดดู ตั้งแต่เข้ามาในเมืองเริ่มต้นจนถึงตอนนี้ เขาอยู่ในเมืองมาร่วม ๑๔ ชั่วโมงแล้ว แต่นอกจากเมืองเริ่มต้น เขายังไม่ได้ไปดูสถานที่อื่นๆ เลย

ถึงแม้โง่ละอายจะแนะนำให้เขาไปที่ทวีปกู่ย่า แต่เฉินเฟิงอยากจะอุ่นเครื่องก่อนค่อยว่ากัน รอจนเกาะเริ่มต้นไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว ค่อยไปผจญภัยที่ทวีปกู่ย่า

ก่อนออกจากเมือง เฉินเฟิงอ้อมไปที่ร้านขายเครื่องป้องกัน ซื้อโล่ขนาดเล็กระดับที่ ๑ มาหนึ่งอัน เป็นโล่ทำจากไม้ ใช้เงินไป ๑๕๐ เหรียญเงิน ก่อนจะไปเขาค่อยพบว่าร้านขายอาวุธอยู่ข้างๆ ร้านขายเครื่องป้องกัน จึงแวะเข้าไปเดินๆ ดู จากนั้นซื้อดาบสองมือระดับที่ ๒ มาหนึ่งเล่ม พลังโจมตี ๑๐๐ จุด ใช้ไป ๒๕๐ เหรียญเงิน

เฉินเฟิงขี่ซวงเว่ยออกจากประตูเมืองด้านทิศใต้ แล้วเดินไปตามถนนเล็กๆ ทางซ้าย จุดหมายแรกคือสถานที่สุดวิเศษสำหรับฝึกวิชาของเกาะเริ่มต้น “ทุ่งหญ้าหม่าง” นี่เป็นความรู้ที่อ่านเจอจากคู่มือสัตว์อสูร

เดินช้าๆ ไปได้เกือบหนึ่งชั่วโมง ค่อยไปถึงทุ่งหญ้าที่ระบุอยู่ในแผนที่ นี่เป็นความเร็วจากการขี่ม้า ถ้าเดินเท้ามาจะไม่มีทางเร็วขนาดนี้แน่

ระหว่างทางได้พบผู้เล่นมือใหม่ที่สวมชุดผ้าอยู่ไม่กี่คน สัตว์อสูรก็มีแค่กระต่ายหรือหนูตัวเล็กๆ ถึงแม้เขาอยากจะลองใช้อาวุธดู แต่ก็ไม่หน้าด้านพอจะไปแย่งพวกมือใหม่ สุดท้ายก็เดินผ่านมาตลอดทางโดยไม่ได้ใช้อาวุธเลยสักครั้ง

เฉินเฟิงสังเกตเห็นว่ายิ่งเข้าไปใกล้ทุ่งหญ้ามากเท่าไร จำนวนผู้เล่นมือใหม่ก็น้อยลงทุกทีๆ แต่เครื่องป้องกันที่สวมก็มีระดับมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้เล่นบางคนมีชุดเครื่องป้องกันป่านแล้ว คนที่เครื่องป้องกันด้อยหน่อยก็รวมกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ ๓ - ๕ คน แต่ยังไม่พบผู้เล่นที่มีชุดเกราะหนังโผล่มาให้เห็น มิน่าเล่าตัวเขาถึงเป็นจุดสนใจขนาดนั้น

เขาจำได้ว่าคู่มือสัตว์อสูรอธิบายไว้ว่า สัตว์อสูรที่มักจะปรากฏในทุ่งหญ้ามี ๓ ชนิด ได้แก่ สุนัขป่า กวางอูฐ และราชาสุนัขป่า

สุนัขป่าเป็นสัตว์เวทธาตุไฟระดับ ๑๕ สำหรับที่นี่ถือว่าค่อนข้างตึงมือ เพราะพวกมันมักโผล่มาพร้อมกันทีละ ๓ - ๕ ตัว หากมือใหม่มาพบเข้า และมีคนไม่มากพอ ก็มีแต่ต้องเผ่นเท่านั้น

ส่วนกวางอูฐกล่าวได้ว่าเป็นสัตว์อสูรที่บรรดามือใหม่โปรดปรานมากที่สุด ระดับ ๑๓ แถมจะไม่เป็นฝ่ายโจมตีมาก่อน เป็นเป้าหมายหลักของพวกมือใหม่ที่มายังทุ่งหญ้า

ราชาสุนัขป่าคือสัตว์เวทระดับนักฆ่า ระดับสูงถึง ๒๕ โชคดีที่ส่วนใหญ่มักจะปรากฏเพียงตัวเดียว ถือเป็นสัตว์อสูรแสนรักของกลุ่มมือใหม่ที่มาฝึกวิชา

อาจเป็นเพราะระดับของชุดเกราะต่างกันมากเกินไป บวกกับขี่ซวงเว่ย ตลอดทางจึงไม่มีผู้เล่นคนไหนมาชวนเฉินเฟิงไปเข้ากลุ่มเลยสักคน เฉินเฟิงเลยสบายไป เพราะยังไงที่ออกมาครั้งนี้ก็เพื่อจะลองอาวุธเป็นหลัก ถ้าต้องลดระดับลงให้เหมาะสมกับผู้เล่นคนอื่นๆ อย่างนั้นตอนสู้จะไปมันอะไร !

เห็นสีเขียวพืดเป็นแผ่นผืนอยู่ตรงหน้า ครั้นมองออกไป มีแต่หญ้ากับหญ้า แต่พอมาถึงที่นี่ ความเร็วในการเดินรุดหน้าของบรรดาผู้เล่นก็ลดลงมากจนเห็นได้ชัด

ผู้เล่นที่เดินทางเพียงลำพังเริ่มจะรวมตัวกัน ทำท่าระวังตัวสุดขีดจนเฉินเฟิงพลอยเกร็งไปด้วย

เฉินเฟิงหยิบหน้าไม้เหล็กกล้าออกมา ผ่อนฝีเท้าลงมุ่งไปยังจุดศูนย์กลางของทุ่งหญ้า ไม่นานเรื่องผู้เล่นคนอื่นๆ ก็ถูกเขาปัดออกไปจากสมอง

เหยื่อตัวแรกโผล่มาอย่างรวดเร็ว กวางอูฐตัวหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหน้าไม่ไกลนัก เขาทดลองถามซวงเว่ยว่า

“ซวงเว่ย ช่วยให้ข้อมูลของสัตว์อสูรข้างหน้าฉันตัวนั้นหน่อย”

ซวงเว่ยตอบว่า “เจ้านาย กวางอูฐ ระดับ ๑๓ ไม่มีธาตุสังกัด ไม่สามารถจับมาเป็นสัตว์เลี้ยงได้”

เฉินเฟิงตกตะลึงกับคำตอบซึ่งต่างจากที่คาดไว้

“รู้สังกัดธาตุกับระดับได้ด้วย แบบนี้ก็เหมือนกับวิชาตรวจสอบเลยน่ะสิ ! แปลกแฮะ หรือจะจำกัดที่ ๑๐ ระดับด้วยเหมือนกัน ?”

ตอนอยู่ในเมืองเริ่มต้น เขาเคยลองถามเรื่องของพฤกษ์ไพธอนสารหนูแดงจากซวงเว่ย แต่ตรวจสอบสังกัดธาตุและระดับไม่ได้ รอสักครู่เขาจะลองหาสัตว์อสูรตัวอื่นมาทดสอบดู

การทดสอบเล็กๆ น้อยๆ และอาการตกใจนี้ถูกกวางอูฐที่ประสาทแสนจะฉับไวสังเกตเห็นเข้าแล้ว เพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ ไว้ มันรีบหันหัววิ่งหนีโดยไม่ลังเล

เฉินเฟิงไม่มีทางยอมปล่อยให้เหยื่อตัวแรกหนีไปได้อยู่แล้ว หากล้มเหลวตั้งแต่เริ่ม มีหวังได้ซวยต่อเนื่องไปตลอดแหงๆ สองขาหนีบท้องของซวงเว่ย เร่งความเร็วพุ่งไปข้างหน้าอย่างฉับพลัน ย่นระยะห่างให้ใกล้เข้ามา

เฉินเฟิงเล็งกวางอูฐผ่านช่องเล็ง แล้วยิงลูกดอกออกไปสองดอกพร้อมกันดัง “ฟุ่บ ! ฟุ่บ !”

กวางอูฐที่น่าสงสารแม้จะรู้ตัวเร็ว แต่ก็เร็วไม่เท่าความเร็วของหน้าไม้ ได้แต่ต้องรอไปเกิดใหม่อย่างว่าง่าย

เสียงที่ไม่ได้ยินมาพักใหญ่ของระบบดังขึ้นในศีรษะของเฉินเฟิงว่า

“ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไข แสดงทักษะพื้นฐานของนายพรานลุล่วง ได้รับทักษะ ‘ธนู’ ของนายพราน ระดับที่ ๑ ผู้เล่นเฉินเฟิงสังหารกวางอูฐ ระดับ ๑๓ ได้รับค่าประสบการณ์ ๑๕๐ แต้ม ค่าประสบการณ์สะสมที่เหลือ ๔๐๒,๖๕๐ แต้ม”

ของที่ได้รับมีเพียงเหรียญเงิน ๑๕ เหรียญ แต่มีอย่างหนึ่งที่เฉินเฟิงประหลาดใจ นั่นคือศพของกวางอูฐไม่ได้หายไปเหมือนอย่างหนอนเขียวเขี้ยวเหล็กไหลและพฤกษ์ไพธอนสารหนูแดง ตอนนี้ยังนอนนิ่งๆ อยู่บนพื้นหญ้าอยู่เลย

ไหวพริบของเขาวาบขึ้นทันที หยิบมีดทำครัวกับเขียงออกมา นี่เป็นหนึ่งในไอเท็มสำคัญที่แฟนนี่จากร้านขายไอเท็มแนะนำมา

ถึงแม้หลังจากที่กวาดซื้อไอเท็มพวกนี้มาแล้ว เฉินเฟิงเพิ่งจะมาเข้าใจว่า ไอเท็มทุกชิ้นในร้านขายไอเท็มสำคัญที่สุดทั้งนั้นสำหรับแฟนนี่ แต่เธอแนะนำไอเท็มชุดนี้ถึง ๓ ครั้ง สุดท้ายเฉินเฟิงที่ไม่เคยเข้าครัวมาก่อนก็ต้องซื้อมันมาอยู่ดีเพราะไม่อาจต้านทานคารมหว่านล้อมของเธอได้ เพราะอย่างนี้เขาถึงจำได้แม่นเป็นพิเศษ

เฉินเฟิงจัดการชำแหละศพกวางอูฐออกเป็นชิ้นเล็กๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ เพิ่งจะชำแหละเสร็จ เสียงจากระบบก็ดังขึ้นในศีรษะตามที่คาด

“ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไข แสดงทักษะพื้นฐานของพ่อครัวลุล่วง ได้รับทักษะ ‘เตรียมเครื่องปรุง’ ของพ่อครัว ระดับที่ ๑

เฉินเฟิงกระโดดเหยงๆ โห่ร้องอย่างดีอกดีใจ

“ที่แท้ก็ง่ายแบบนี้เอง ฮ่าฮ่าฮ่า ! เรานี่มันอัจฉริยะจริงวุ้ย !” โชคดีที่ที่นี่ไม่มีผู้เล่นคนอื่นอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นคงจะนึกสงสัยเป็นแน่ว่าสมองของเขามีปัญหาเสียแล้ว

เวลาสองชั่วโมงหลังจากนั้น เฉินเฟิงอยู่ในทุ่งหญ้าล่ากวางอูฐฝึกฝีมือยิงหน้าไม้และเตรียมเครื่องปรุงอย่างเพลิดเพลิน เขาไล่ล่ากวางอูฐมาจนถึงด้านใต้สุดของทุ่งหญ้า ข้างหน้าคือผาขาด ที่นี่ไม่ค่อยจะมีผู้เล่นเดินทางมานัก ผู้เล่นที่ระดับสูงหน่อยมักจะทะลุผ่านทุ่งหญ้าไปตรงๆ เพื่อมุ่งหน้าไปปราบผีดิบที่ถ้ำผีดิบ ส่วนมือใหม่ต่างก็ไม่กล้าเข้ามาลึกเกินไป

อันตรายได้ถูกชักนำมาโดยไม่เจตนา เฉินเฟิงกำลังเมามันกับการล่ากวางอูฐ ในเป้มีเนื้อกวางอัดเต็มจนไม่สามารถจะใส่เข้าไปได้อีก เขาจึงปล่อยให้กวางอูฐที่เหลือนอนทอดซากอยู่ตามรายทางที่ผ่านโดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าที่ด้านหลังมีสุนัขป่า ๓๐ - ๔๐ ตัวติดตามอาหารอันโอชะที่เขาทิ้งเอาไว้มุ่งหน้าใกล้เข้ามาอย่างเงียบกริบ

ขณะที่เฉินเฟิงจัดการกับกวางอูฐตัวที่ ๔๘ เสร็จเรียบร้อย ก็มาถึงจุดสิ้นสุดของทุ่งหญ้าหม่าง

ระดับของทักษะยิงธนูเลื่อนขึ้นเป็นระดับที่ ๓ ระดับของทักษะเตรียมเครื่องปรุงก็เลื่อนเป็นระดับที่ ๓ นอกจากเงินเกือบหนึ่งพันเหรียญเงินแล้ว ยังได้อัญมณีสีเหลืองมาอีก ๑๒ ก้อน

ขณะที่หันกลับไปเตรียมจะหาเหยื่อต่อ ก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อพบว่าตัวเขาได้กลายเป็นเหยื่อไปเสียแล้ว

หากได้เห็นสุนัขป่า ๓๐ - ๔๐ ตัวล้อมตัวเองอยู่ เป็นใครก็ต้องกลัวกันทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ !

ถึงแม้สุนัขป่าทั้งฝูงจะกินเนื้อกวางจนหมดแล้ว แต่สุนัขป่าจำนวนมากขนาดนี้ต้องมาแบ่งของขวัญจำนวนแค่น้อยนิดที่ร่วงตกลงมาจากฟ้า ย่อมจะไม่เพียงพอ และแล้วเฉินเฟิงก็ถูกฝูงสุนัขป่าล้อมเอาไว้ที่หน้าผาอย่างรวดเร็ว

เฉินเฟิงเก็บหน้าไม้ มือขวาดึงดาบสั้นออกมา มือซ้ายถือโล่ กระโดดลงจากหลังซวงเว่ยแล้วพูดว่า

“ซวงเว่ย คิดไม่ถึงว่าฉันจะเผลอประมาทจนทำให้นายต้องพลอยมาตายไปด้วย อีกเดี๋ยวถ้ามีโอกาส นายล่วงหน้ากลับเมืองเริ่มต้นไปก่อนเลยนะ !”

เวลานั้นเสียงจากระบบได้แจ้งขึ้นว่า ทักษะขี่ม้าเลื่อนเป็นระดับที่ ๒ แต่เฉินเฟิงไม่รู้สึกดีใจเสียแล้ว

ซวงเว่ยยังคงตอบตามหน้าที่เช่นเคยว่า

“ซวงเว่ยไม่สามารถอยู่ห่างจากเจ้านายไกลเกินกว่า ๓๐ ก้าวได้ เว้นแต่ว่าเจ้านายจะเข้าไปในสิ่งก่อสร้าง”

เฉินเฟิงตะลึง แล้วถามว่า

“ซวงเว่ย แล้วถ้าฉันตาย ระหว่างที่รอเกิดใหม่ นายจะไปที่ไหน ?”

ซวงเว่ยตอบว่า “ถ้าเจ้านายมีบ้าน ซวงเว่ยจะไปรอที่บ้านเอง ถ้าไม่มีบ้าน ซวงเว่ยก็จะกลายเป็นม้าป่า แต่เนื่องจากซวงเว่ยได้รับการตั้งชื่อแล้ว ดังนั้นภายใน ๔ ชั่วโมง มีแต่เจ้านายที่สามารถจับซวงเว่ยอีกครั้งได้”

เฉินเฟิงถามต่อว่า “ซวงเว่ย แล้วถ้าเราตายพร้อมกันล่ะ ?”

ซวงเว่ยตอบว่า “ถ้าซวงเว่ยตายตัวเดียว เจ้านายสามารถใช้ม้วนคาถาคืนชีพช่วยทำให้ซวงเว่ยฟื้นคืนชีพได้ ถ้าตายพร้อมกัน ซวงเว่ยก็จะหายไป”

เฉินเฟิงร้องโพล่งทันทีอย่างลิงโลด

“ม้วนคาถา ? ฮ่าฮ่าฮ่า...เรานี่ปัญญาอ่อนจริงๆ เรามีม้วนคาถากลับบ้านนี่นา ! แต่จะใช้ยังไงล่ะ ?”

อย่าว่าแต่ม้วนคาถาเลย กระทั่งยาฟื้นพลัง เฉินเฟิงก็ยังไม่เคยใช้เลยสักขวด

เมื่อคิดถึงว่าสามารถใช้ม้วนคาถา “เผ่น” ได้ แน่นอนล่ะว่าไม่ต้องตายได้ย่อมจะดีที่สุด ดังนั้นเขากลับขึ้นหลังม้าอีกครั้ง เปลี่ยนกลับมาถือหน้าไม้ แล้วเอาลูกดอกที่มีทั้งหมดออกมา

ในเมื่อหมาป่าพวกนี้คิดจะบีบคั้นจนเขาต้องกลับไปที่เมืองเริ่มต้น อย่างนั้นพวกมันก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนกันหน่อยละ !

เฉินเฟิงปรับช่องข่าวสารไปที่ช่องมวลชน ส่งข้อความถามถึงวิธีใช้ยาฟื้นพลังและม้วนคาถา แน่นอนว่ามีผู้เล่นใจดีหลายคนช่วยตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเพื่อนๆ ที่ได้รู้จักที่หน้าตึกแนะนำอาชีพต่างก็อยู่ด้วยครบทุกคน

เซียวหยาวช่วยทำให้เฉินเฟิง “หมดแรง” ทันทีด้วยการส่งข้อความตอบกลับว่า

“ไหว้ล่ะ คุณมือใหม่สุดโอเวอร์ของพวกเรา คุณฝึกมาจนถึงระดับ ๓๐ ได้ยังไงกันนี่ !”

ผู้เล่นใจดีที่ตอบให้ก่อนหน้านี้หลายคนส่งข้อความกล่าวโทษกลับมาทันทีว่า

“เป็นลม” “แกล้งกันนี่หว่า !” “ไร้สาระสิ้นดี !” ...

เฉินเฟิงคิดในใจ “เขาไม่เชื่อก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เราไม่ยอมอ่านคู่มือเล่า”

เพียงแต่เวลาเดียวกันนั้น อยู่ๆ บุคคลที่น่าตกใจยิ่งกว่าอีกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาเป็นพยานให้กับเฉินเฟิง ทำให้ชื่อเฉินเฟิงโด่งดังในช่องมวลชนในพริบตาว่าเขาเป็นใครกัน ถึงสามารถสร้างผลกระทบได้มากขนาดนี้ !

ผู้เล่นแทบทุกคนต่างก็รู้จักกลุ่มคนที่ออกมาเป็นพยานให้เฉินเฟิงดี พวกเขาเหล่านั้นได้แก่ แอนนี่แห่งอาคารเริ่มต้น ฮาร์ทผู้ดูแลคลังเก็บไอเท็ม ชาลีแห่งธนาคาร แฟนนี่แห่งร้านขายไอเท็ม จิมแห่งร้านปลดผนึก พวกเขาเหล่านี้ต่างก็เป็น NPC ปกติต่างก็เป็นแขกประจำของช่องมวลชน บทบาทงานที่ทำค่อนข้างคล้ายกับ Game Master[1] เป็นเสาหลักของผู้เล่นและบริษัทเลจจ์

แต่พวกเขาจะรับผิดชอบแค่ตอบคำถามของผู้เล่น น้อยครั้งจะเข้าร่วมในการสนทนา เมื่อมีพวกเขาเป็นพยาน ทุกคนก็เชื่ออย่างสนิทใจ ดังนั้นเฉินเฟิงจึงถูกคนที่ชอบสอดเรื่องชาวบ้านในช่องมวลชนตั้งสมญานามให้ว่า “ยอดฝีมือซื่อบื้อ” และได้รับการเห็นด้วยจากผู้เล่นในช่วงมวลชนแทบทุกคน

แต่เฉินเฟิงกลับไม่ทราบจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ที่น่าโมโหกว่านั้นคือเสียงจากระบบได้ดังขึ้นในศีรษะว่า

“ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไข แสดงทักษะพื้นฐานของนักผจญภัยลุล่วง ได้รับทักษะ ‘ชื่อเสียง’ ของนักผจญภัย ระดับที่ ๑”

เขาไม่เข้าใจ แบบนี้ทฤษฎีบทไหนถือว่าเป็นชื่อเสียงกันบ้าง ?

เฉินเฟิงที่รู้สึกเหมือนถูกปรักปรำได้แต่ระบายความโกรธใส่สุนัขป่าพาซวยฝูงนี้ หน้าไม้ยิงรัวติดต่อกันด้วยความเร็วสูงสุด

น่าเสียดายที่สุนัขป่าพวกนี้ไม่ใช่กวางอูฐ อย่างมากก็โดนแค่ดอกเดียวแล้วที่เหลือก็เบี่ยงหลบไปได้ ลูกดอกแค่ดอกเดียวย่อมไม่อาจปลิดชีวิตมันได้ สุนัขป่าที่ได้รับบาดเจ็บถูกกระตุ้นสันดานดิบจนดุร้ายกว่าเดิมหลายเท่า มันกระโจนพรวดเข้าใส่ซวงเว่ยทันทีอย่างไม่กลัวตาย

ระยะห่างย่นเข้ามาใกล้แล้ว ต่อให้หลบเร็วแค่ไหนก็ต้องโดนสุนัขป่าตัวอื่นขวางทางเอาไว้ !

“ฉึกฉึกฉึกฉึกฉึก !”

ยิงติดต่อกัน ๕ ดอก โดนสุนัขป่าตัวหนึ่งเข้าเต็มที่ ในศีรษะมีเสียงของระบบดังขึ้นว่า

“ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไข แสดงทักษะพื้นฐานของนายพรานลุล่วง ได้รับทักษะ ‘ยิงรัว’ ของนายพราน ระดับที่ ๑”

ติดตามมาอย่างกระชั้นชิดด้วยสุนัขป่าอีกตัวถูกเฉินเฟิงที่ออกอาการบ้าคลั่งเล็กน้อยยิงรัวติดต่อกันจนพรุนไปทั้งตัว เสียงจากระบบได้ดังขึ้นในศีรษะอีกครั้ง

“ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไข แสดงทักษะพื้นฐานของนักรบคลั่งลุล่วง ได้รับทักษะ ‘สังหารด้วยโทสะ’ ของนักรบคลั่ง ระดับที่ ๑”

น่าเสียดายที่เฉินเฟิงไม่มีโอกาสจะมานั่งดีใจ หน้าไม้ได้ถูกสุนัขป่าที่ไม่กลัวตายคาบหลุดไปจากมือ เฉินเฟิงหยิบโล่ออกมาทันที น่าเสียดายที่ถูกโจมตีแค่ ๒ ครั้ง โล่ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ

เสียงจากระบบดังขึ้นในศีรษะอีกครั้ง

“ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไข แสดงทักษะพื้นฐานของนักดาบลุล่วง ได้รับทักษะ ‘ใช้โล่ป้องกัน’ ของนักดาบ ระดับที่ ๑ , ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไขลุล่วง ได้เลื่อนระดับทักษะใช้โล่ป้องกันของนักดาบ เลื่อนเป็นระดับที่ ๒

ช่องข่าวสารด้านการต่อสู้ได้โชว์ให้ทราบว่า พลังป้องกันของชุดเกราะไพธอนแดงเหลือเพียง ๒,๐๐๐ จุด ความรู้สึกเจ็บมาเยือนเฉินเฟิงอีกครั้ง เขารีบใช้ยาฟื้นพลังทันที แล้วใช้ดาบแทงฝูงสุนัขป่าติดต่อกัน ยาฟื้นพลังถูกใช้หมดไปขวดแล้วขวดเล่าอย่างรวดเร็ว

ในไม่ช้ายาฟื้นพลังที่เฉินเฟิงพกติดตัวมาก็เหลือเพียง ๑๐ ขวด ฝูงสุนัขป่าได้ชะงักการโจมตีระลอกที่หนึ่งลงชั่วคราวแล้วถอยไปสิบกว่าก้าว แต่ยังคงล้อมเฉินเฟิงเอาไว้ หน้าไม้เหล็กกล้านอนแอ้งแม้งอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย พอคิดถึงว่านั่นคืออาวุธระดับที่ ๔ หากจะหนียังไงก็ต้องเอามันไปด้วย

เฉินเฟิงฉวยโอกาสเก็บดาบสั้นเปลี่ยนเป็นทวนยาว แล้วหนีบท้องม้า ตวาดว่า

“ซวงเว่ย บุกทะลวงเลย !”

ซวงเว่ยส่งเสียงร้องก้องแล้วกระโจนไปข้างหน้าอย่างงดงาม พริบตาเดียวพุ่งทะยานไปไกลหลายเมตร เฉินเฟิงตวัดทวนเขี่ยวูบ หน้าไม้เหล็กกล้าถูกเกี่ยวขึ้นมาอย่างราบรื่น

แต่ฝูงสุนัขป่าก็ไม่ได้มาล้อมวงดูเฉยๆ พวกมันเริ่มจู่โจมระลอกที่สองทันที ทุกตัวต่างพุ่งวาบเข้าหาเฉินเฟิงอย่างไม่กลัวตาย

เฉินเฟิงไม่กล้าเสี่ยงด้วยอีก รีบใช้ม้วนคาถากลับบ้านทันควัน แสงสว่างวาบได้พาเฉินเฟิงกับซวงเว่ยแวบหายไป ฝูงสุนัขป่าพุ่งเข้าเจอแต่ความว่างเปล่า

เหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะอย่างไรอย่างนั้น พริบตาเดียวพื้นดินที่เหยียบอยู่ก็หายวับไป

๕ วินาทีให้หลัง เฉินเฟิงกับซวงเว่ยก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองเริ่มต้น

เสียงจากระบบดังขึ้นในศีรษะของเฉินเฟิงยาวเป็นชุดๆ ว่า

ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไข แสดงทักษะพื้นฐานของอัศวินลุล่วง ได้รับทักษะ ‘บุกจู่โจม’ ของอัศวิน ระดับที่ ๑ , ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไข แสดงทักษะพื้นฐานของอัศวินลุล่วง ได้รับทักษะ ‘บุกทะลวง’ ของอัศวิน ระดับที่ ๑ , ผู้เล่นเฉินเฟิงปฏิบัติตามเงื่อนไข แสดงทักษะพื้นฐานของนักอาคมลุล่วง ได้รับทักษะ ‘ใช้ยันต์’ ของนักอาคม ระดับที่ ๑...

“ผู้เล่นเฉินเฟิงสังหารสุนัขป่า ระดับ ๑๕ ได้รับค่าประสบการณ์ ๒๕๐ แต้ม...ค่าประสบการณ์สะสมที่เหลือ ๔๑๑,๑๕๐ แต้ม”

โชคดีที่ครั้งนี้รู้ตัวเร็ว นอกจากยาฟื้นพลังแล้ว ก็สูญเสียแค่โล่กลมขนาดเล็กอันเดียว

แต่ของที่ได้จากการฆ่าสุนัขป่าเขาไม่ได้เก็บมาเลยสักชิ้น โชคดีที่สุดท้ายยังเอาหน้าไม้กลับมาได้ ไม่อย่างนั้นคงขาดทุนป่นปี้ไปแล้ว

ลองคำนวณรายรับดู กวางอูฐหนึ่งตัวได้เหรียญเงินประมาณ ๑๕ - ๓๐ เหรียญ บางครั้งจะมีอัญมณีสีเหลืองโผล่มาบ้าง เขาฆ่ากวางอูฐไป ๔๘ ตัว ได้เงินมา ๑,๐๐๐ เหรียญเงิน อัญมณีสีเหลือง ๑๒ ก้อน และเนื้อกวางอูฐอีกกองใหญ่

เขาใช้ลูกดอกเงินไปทั้งหมด ๓๐๐ ดอก โล่ไม้กลมขนาดเล็ก ๑ อัน ยาฟื้นพลังระดับต่ำ ๑๐๐ ขวด ม้วนคาถากลับบ้าน ๑ ม้วน รวมมูลค่า ๓,๑๑๖ เหรียญเงิน ขาดทุนซะแล้ว !

หนนี้เฉินเฟิงได้ผูกความแค้นอันใหญ่หลวงกับสุนัขป่าพวกนั้น พ่ายแพ้ที่ไหนก็ลุกขึ้นมันที่นั่น เฉินเฟิงไปที่คลังเก็บไอเท็มเติมยาฟื้นพลังและลูกดอกเงินจนเต็ม แล้วกลับไปตะลุยฆ่าที่ทุ่งหญ้าอีกครั้ง

ครั้งนี้เขาจงใจมุ่งเล่นงานแต่สุนัขป่าโดยเฉพาะ เล็งยิงแต่ไกลเหมือนลูกดอกได้มาฟรี หมาป่าแทบทุกตัวถูกเขายิงจนพรุนเป็นเม่น



[1]Game Master ทำหน้าที่เป็นเสมือนตำรวจในเกม คอยเดินตรวจตรามองหาผู้เล่นเกมที่ประพฤติมิชอบในรูปแบบต่างๆ เช่น เล่นโกง ข่มขู่ผู้เล่นคนอื่น เป็นต้น


แก้ไขเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 08:22 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 2 ก.พ. 2555, 20:25

0 ความคิดเห็น