หัวข้อ : สรุปรวมความแตกต่างของละครซีรีส์ สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่ กับหนังสือนิยาย สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนย

โพสต์เมื่อ 16 ธ.ค. 2560, 21:00

ส่วนตัวแล้วดิฉันยังไม่ได้ดูซีรีส์ แต่เท่าที่ฟังหลายๆ ท่านเล่า ก็พอจะมองเห็นความแตกต่างหลายๆ อย่างของเวอร์ชันนิยายกับซีรีส์ จะลองทยอยรวบรวมมาลงไว้ดูนะคะ

1. ในนิยาย ตงหัวเป็นคนรวบรวมหกบรรจบแปดดินแดนเข้าด้วยกัน เป็นประมุขแห่งฟ้าดินคนแรกสุด และคนเดียว นั่นคือ

- ฮีเป็นราชาของเผ่ามารทั้งหมด ในตอนที่เผ่ามารยังไม่แตกออกเป็น 7 เผ่าอย่างในปัจจุบัน

- ฮีเป็นราชาของเผ่าอสูรที่ในเวลาปัจจุบันของนิยาย หลีจิ้งเป็นอยู่
.
- ฮีเป็นเทียนจวินของเผ่าเทพที่กุมอำนาจมากที่สุดตั้งแต่โลกถือกำเนิดมา

จนเมื่อตงหัวเบื่อจะยุ่งวุ่นวายกับทางโลกแล้ว จึงได้สละบัลลังก์เทียนจวินของเผ่าเทพให้เทียนจวินคนปัจจุบัน และวางมือจากอำนาจราชาของเผ่ามาร เผ่าปิศาจ ปล่อยให้พวกนั้นไปหาราชาคนใหม่มาปกครองกันเอง เผ่ามารจึงแตกออกเป็น 7 เผ่า

นั่นคือ จริงๆ แล้ว เทียนจวินไม่มีสิทธิ์จะออกคำสั่งต่อตงหัว หากฮีไม่คิดจะทำ และถ้าเทียนจวินหือมาก อาจโดนตงหัวถีบกระเด็นออกจากตำแหน่งเทียนจวิน และริบตำแหน่งคืนกลับมาได้ง่ายมาก

2. จากตัวอย่างเนื้อเรื่องที่เคยลงให้อ่าน เรื่องกำเนิดตงหัว บวกกับรายละเอียดจากในหนังสือป่าท้อ ที่บอกว่าเหล่าเทพและมารในยุคบรรพกาลต่างหน้าตาดีเลิศกว่าในยุคปัจจุบันชนิดทาบไม่ติด จะเห็นว่า ตงหัวเคยเจอสาวสวยหยาดฟ้ามาดินมาเยอะแยะ ที่สวยเลิศกว่าเฟิ่งจิ่วก็มีเพียบ โดนสาวย่องขึ้นเตียงอ่อยขั้นสุด ฮีก็โดนมาจนเอียน แต่ฮีไม่เคยปิ๊งใครเลย สาวย่องขึ้นเตียง สวยระดับเฟิ่งจิ่วทาบไม่ติดกี่รายต่อกี่ราย ฮีก็อุ้มออกไปโยนนอกห้องแล้วปิดใส่หน้าประตูหมดทุกราย

3. ด้วยความที่ตำแหน่งประมุขแห่งหกบรรจบแปดดินแดน ได้มาจากการทำสงครามเข่นฆ่าปราบเผ่าต่างๆ จนยอมสยบ ดังนั้นในหนังสือจึงเคยบอกไว้กลายๆ ว่า ไอ้ที่บอกว่าเผ่าเทพต้องถือคุณธรรมอะไรนั่น เพิ่งมามีเอายุคหลังทั้งนั้น เพราะต่อให้ดีแสนดีอย่างม่อเยวียน ยุคนั้นก็มือเปื้อนเลือดกันถ้วนหน้า และเพราะกว่าจะรวมแผ่นดินได้มันลำบากมาก ไม่ใช่ได้มาด้วยความดี แต่ได้มาเพราะฝีมือกับหัวสมอง ดังนั้นนิสัยของตงหัวเลยเจ้าเล่ห์ เพื่อผลลัพธ์แล้วไม่เลือกวิธีการ และจริงๆ ก็เป็นคนโหดเหี้ยมมาก ที่ชื่อเสียงฮีฟังดูดีแสนดี ต้องยกประโยชน์ให้ฉงหลินล้วนๆ แต่ด้วยความที่ฮีเคยเป็นประมุขฟ้าดินมาก่อน ดังนั้นในหลายๆ เรื่องจึงจะไม่ทำเลยเถิด ยังมองสถานการณ์ใหญ่เป็นหลักอยู่

4. ซูม่อเยี่ยเคยพูดความแตกต่างของตงหัวก่อนและหลังได้พบเฟิ่งจิ่วไว้ว่า ก่อนพบเฟิ่งจิ่ว ในดวงตาของตงหัวสงบนิ่ง ไม่สะท้อนอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนทุกอย่างในโลกต่างไม่มีความสำคัญสำหรับเขา แต่หลังจากได้รักเฟิ่งจิ่ว ในดวงตาของตงหัวมีอารมณ์ความรู้สึกแบบที่คนปกติเขามีกัน

5. เฟิ่งจิ่วนิสัยร่าเริงน่ารักมาก แสบมาก กล้าหาญ และเป็นเพื่อนที่ดี ในหนังสือนิยายป่าท้อและลิขิต จะเขียนเล่าวีรกรรมของเฟิ่งจิ่วไว้มากมาย รวมถึงบอกให้รู้ว่าชีมีเพื่อนที่เจ๋งๆ อยู่หลายคนมาก (เพื่อนผู้ชายทั้งนั้น) การที่คนเจ๋งๆ เหล่านั้นจะยอมคบเฟิ่งจิ่วเป็นเพื่อน เป็นสิ่งยืนยันถึงนิสัยแมนมากของชีได้ และที่ผ่านมา ตงหัวคงไม่เคยเจอคนที่โดนใจเขาทุกอย่างอย่างเฟิ่งจิ่วมาก่อน ดังนั้นถึงได้สนใจเฟิ่งจิ่วทันทีที่ได้เจอตัว แม้แต่ตอนเฟิ่งจิ่วเป็นจิ้งจอก ตงหัวยังถูกใจเป็นพิเศษ ในนิยายเอ่ยถึงประเด็นนี้ในตอนที่ตงหัวรู้ความจริงเรื่องจิ้งจอกน้อยของเขาคือเฟิ่งจิ่ว ว่าเขารู้ตัวว่าเฟิ่งจิ่วแตกต่างจากคนอื่นสำหรับเขามาตั้งแต่ตอนเฟิ่งจิ่วยังเป็นจิ้งจอกแล้ว นั่นคือ จะเป็นหมาจิ้งจอกหรือเป็นคน จะรู้หรือไม่รู้ ขอแค่เป็นเฟิ่งจิ่ว ก็สามารถทำให้เขารู้สึกพิเศษได้เสมอ นี่คือที่ในเวอร์ชันนิยายสื่อออกมา

6. ศิลาลิขิตสวรรค์ในนิยาย มีเซียนชราเฝ้าอยู่ ศิลาลิขิตสวรรค์ในนิยายไม่ใช่ของที่จะลบหรือเขียนเพิ่มได้ และไม่บอกถึงอนาคต แต่ในนิยาย เนื่องจากตงหัวเรียกเซียนเฝ้าศิลาออกมาถาม ทำให้อนาคตที่เคยจารึกไว้บนศิลาจะต้องเปลี่ยน เซียนจึงบอกอนาคตของเดิมให้ตงหัวได้รู้ เพราะอนาคตของจริง จะไม่ใช่ตามนี้อีกต่อไป ในนิยายไม่ได้เล่นปริศนาเรื่องชื่อคู่ครองอะไรทั้งนั้น

7. ตงหัวไม่ได้สนใจหวงความโสดของตัวเองเลย ที่ผ่านมาที่ไม่สนใจผู้หญิงคนไหน ก็แค่เพราะคุณเธอเหล่านั้นไม่ตรงสเปคเขา ก็แค่นั้น พอได้เจอเฟิ่งจิ่ว แล้วแกล้งชีเล่นเพราะสนุกดี จนเหลียนซ่งสังเกตเห็น และพูดเตือนว่า เฟิ่งจิ่วน่ะอ่อนกว่าเขาเยอะนะ เอาเฟิ่งจิ่วเป็นเมียนี่คือรุ่นจะต่ำกว่าเยี่ยหัวอีกนะ ยังโดนตงหัวศอกกลับหน้าหงายไปเลย

8. ในนิยาย ตงหัวไม่เคยลงไปเกิดเป็นฮ่องเต้อะไรทั้งนั้น นั่นเป็นแผนหลอกลวงคนทั้งสวรรค์ของฉงหลิน เนื่องจากตงหัวมีความสำคัญในเรื่องเป็นผู้ "ค้ำยุค" มีหน้าที่คอยกำราบพวกตัวร้ายใหญ่ๆ จากจิตด้านลบของมนุษย์ ที่พวกเด็กรุ่นหลังอย่างเทียนจวิน เยี่ยหัว ไม่มีปัญญาปราบไหว และตอนนั้น ฮีก็สู้กับจิตด้านลบที่ว่าจนเสียพลังไปเยอะ ต้องนอนหลับลึกเพื่อฟื้นพลัง ซึ่งเรื่องนี้จะรั่วไหลออกไปไม่ได้เด็ดขาด ฉงหลินถึงได้เมคเรื่องขึ้นมาว่าตงหัวอยากลงไปเกิดเพื่อผ่านด่านรัก ซึ่งแน่นอนว่าด้วยนิสัยของตงหัว ถ้าลงไปเกิดจริง นิสัยจะเป็นเหมือนเจ้าตัว ไม่มีทางเมียเยอะอย่างฮ่องเต้นั่นแน่นอน และด้วยพลังของตงหัว ถ้าลงไปเกิดจริง ไม่มีทางเป็นมนุษย์ธรรมดาชัวร์ ดูเยี่ยหัวสิ ลงไปเกิดยังเป็นอัจฉริยะเลย นี่ตงหัวเหนือกว่าเยี่ยหัวอีก สรุปคือ เฟิ่งจิ่วตอบแทนบุญคุณสูญเปล่านั่นแหละ

หลักฐานของเคสนี้ ย้อนไปอ่านในหนังสือ สามชาติสามภพ ลิขิตเหนือเขนย เล่ม 4 หน้า 407-408 ได้เลยค่ะ มีตารางเวลาโดยละเอียดของลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ ผู้แปลสอบถามผู้เขียนไว้นานแล้ว และผู้เขียนก็ตอบยืนยันมาอย่างละเอียดโดยโชว์ตารางเวลาที่ตัวเองทำไว้เป็นโพยตอนเขียนมาให้ดู ซึ่งผู้แปลก็คัดลอกมาแปลลงในหนังสือให้ตามนั้น

9. ในนิยาย ถ้าจะนับฉากที่เทียบได้กับฉากในโลกมนุษย์ของในซีรีส์ เห็นจะเป็นฉากในห้วงฝันของอาหลานเหร่อ ที่เป็นตัวหนุนเสริมให้เฟิ่งจิ่วมีวาสนากับตงหัวอย่างแท้จริง เพราะถ้าไม่ใช่เพราะความรักของเฉินเยี่ยกับอาหลานเหร่อไม่สมหวัง ตงหัวก็จะไม่มีทางได้รู้จักเฟิ่งจิ่วไปตลอดกาล นี่คือสิ่งที่เขียนไว้บนศิลาลิขิตสวรรค์ในเวอร์ชันนิยาย และคิดว่า รายละเอียดของเนื้อเรื่องส่วนนี้ของนิยาย น่าจะละเอียดกว่าและกินใจกว่า ประทับใจกว่าในซีรีส์เยอะนะ

10. ในนิยาย ตงหัวร้องไห้แค่ครั้งเดียว คือตอนใกล้จบ ที่เขาเข้าใจว่าเฟิ่งจิ่วคงต้องตายแน่นอนโดยที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้

11. ในนิยาย ตงหัวหื่นเอาการ และขี้อ้อนมาก หากไล่อ่านแบบไม่ข้ามตั้งแต่ต้นจนจบ จะมองเห็นพัฒนาการของตงหัวทีละขั้นอย่างชัดเจน จากตอนแรกที่แกล้งเฟิ่งจิ่วเหมือนแกล้งเด็กเล่นแล้วสนุกดี จนเริ่มสนใจตามติด อยากรู้เรื่องของเธอ ตอนเฟิ่งจิ่วพลัดตกลงไปในหุบเขาเสียงธรรม ระหว่างรอเวลาหุบเขาเปิด ตงหัวสั่งให้ฉงหลินไปสืบประวัติเฟิ่งจิ่วมาอย่างละเอียดเป็นเล่มหนา แล้วเอามาอ่าน ก่อนจะลงไปแกล้งเฟิ่งจิ่วในหุบเขาเสียงธรรมต่อ รู้ประวัติเฟิ่งจิ่วขนาดรู้ว่าชีกลัวงู กลัวความมืด รู้นิสัย ต่อมาก็เริ่มหึง และทำหลายๆ อย่างเพราะความหึงโดยไม่ทันได้นึกว่าเลเวลตัวเองต่างกับเฟิ่งจิ่วขนาดไหน ตัวเองทำลงไปแล้วผู้หญิงเขาจะลำบากแค่ไหน รู้สึกยังไง พอเข้าสู่ห้วงฝันอาหลานเหร่อ ถึงได้พัฒนามากขึ้น ถึงจะอยากฆ่าเฉินเยี่ย ก็ยังรู้จักยั้งใจไว้เพราะกลัวว่าทำลงไปแล้ว เฟิ่งจิ่วจะเสียใจ

12. ในนิยาย เฟิ่งจิ่วปากว่ามือถึงเฉพาะตอนเป็นจิ้งจอก และตอนเป็นจิ้งจอก ชีมีหางเดียว (ส่วนสาเหตุของการนี้ คนที่อ่านนิยายแล้วย่อมจะรู้ดี) ขนก็ธรรมดา ไม่ได้สวยเลอเลิศอะไร ขณะที่ตงหัว ใจกล้าหน้าด้าน ปากว่ามือถึงสุดๆ รุกจีบเฟิ่งจิ่วรัวๆ ขณะที่เฟิ่งจิ่วไม่รู้เรื่องบ้าง พยายามเลี่ยงตงหัวเพราะเกรงใจจีเหิงบ้าง

13. ในนิยาย "ดาวเทพลิขิตชะตา" คือชื่อตำแหน่งเทพบริวารของเทพบดีอายุวัฒนะแห่งขั้วโลกใต้ โดยตำแหน่งนี้ ในป่าท้อ เล่ม 1 เขียนไว้ว่า "กระนั้นข้ากับทพบดีอายุวัฒนะแห่งขั้วโลกใต้หาได้มีน้ำใจคบหาต่อกัน เทพชะตาทั้งหกคนใต้สังกัดของเขา ข้ายิ่งไม่เคยแม้แต่จะพบหน้า" นั่นคือ ไม่ได้มีแค่คนเดียว ส่วนเทพชะตาที่เป็นเพื่อนซี้ของเฟิ่งจิ่ว มีแค่คนเดียว เป็น 1 ในดาวเทพลิขิตชะตาจำนวนทั้งหกคนในวิมานของเทพบดีอายุวัฒนะแห่งขั้วโลกใต้ เนื้อเรื่องยังไม่เคยบอกว่าเทพชะตากับเฟิ่งจิ่วรู้จักกันได้ยังไง แต่บอกคร่าวๆ ถึงความยาวนานในการรู้จักกันของสองคนนี้ตามคำบอกเล่าของเฟิ่งจิ่วช่วงหนึ่งว่า “‘แผนหญิงงาม’ ใน ‘สามสิบหกแผนออกรบสี่ทะเลรับประกันท่านชนะ’ นั่นดาวเทพลิขิตชะตาบนสวรรค์เป็นคนเขียน เขาน่ะตั้งแต่เล็กจนโตสู้มวยหมู่ไม่เคยชนะเลยสักครั้ง น้อมบอกท่านสักคำ ก็เชื่อไม่ได้เหมือนกัน!”

14. ตงหัวมีเทพผู้ช่วยที่เป็นเหมือนพ่อบ้านควบเลขาฯ คอยจัดการทุกอย่างให้และรู้ใจตงหัวมาก ชื่อว่า "ฉงหลิน" หมอนี่เป็นคนช่วยบิวท์ชื่อเสียสารพัดของตงหัวจนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า และเป็นคนวางแผนช่วยปิดบังสถานะนอนหลับลึกให้ตงหัว ด้วยการแต่งเรื่องหลอกเทพทั้งสวรรค์ ว่าตงหัวอยากจะสัมผัสด่านรักดู เลยขอลงไปเกิดเป็นมนุษย์
.
15. น่าสังเกตว่า ถึงแม้ตงหัวจะสืบประวัติเฟิ่งจิ่วมาอย่างละเอียด แต่กลับไม่เคยรู้เรื่องที่เฟิ่งจิ่วแอบรักเขามานาน แสดงว่าเรื่องที่เฟิ่งจิ่วแอบรักตงหัว มีคนรู้แค่ไม่กี่คน เช่น ป๋ายเฉี่ยน ป๋ายเจิน และเพื่อนบางคนของเฟิ่งจิ่วที่มีส่วนช่วยในแผนจีบตงหัว เช่น เทพชะตา เซี่ยกูโฉว นอกนั้น แม้แต่ป๋ายอี้พ่อของเฟิ่งจิ่วเองยังไม่รู้เรื่องเลย

16. ลองวิเคราะห์นิสัยของตงหัว ก่อนอื่น พึงทราบว่า ตำแหน่งประมุขแห่งฟ้าดินได้มาจากการนองเลือด ตงหัวต้องต่อสู้เก่งที่สุดยิ่งกว่าใคร รวมถึงเก่งกว่าม่อเวียน และต้องฉลาดมาก ไม่งั้นคงปราบทุกเผ่าไม่ได้ ต้องเป็นผู้นำที่ลูกน้องรักและภักดี ขณะเดียวกัน ด้วยความที่อยู่จุดสูงสุดของยอดพีระมิด แถมขึ้นมายืนยังจุดนี้ได้ด้วยความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยสายเลือด ในการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ใช่ประชาธิปไตย จึงต้องมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก (นึกถึงจิ๋นซีฮ่องเต้สิ) เมื่อรวมเงื่อนไขเหล่านี้ บวกกับข้อมูลของเฟิ่งจิ่วที่ฮีได้มาไม่ครบ และนิสัยแปลกประหลาดของเฟิ่งจิ่วเองที่ได้มาจากการเลี้ยงดูของป๋ายเฉี่ยนกับป๋ายเจิน ไม่แปลกที่ตงหัวจะวิเคราะห์และตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องของเฟิ่งจิ่วแทบทุกครั้ง

17. เนื่องจากตงหัวเกษียณตัวเอง สละตำแหน่งเทียนจวินให้เทียนจวินคนปัจจุบันไปแล้ว ฮีเลยทำงานอดิเรกสบายใจไปวันๆ อย่างที่ในหนังสือจะบอกไว้ว่าฮีมีงานอดิเรกเยอะมาก ทั้งปลูกใบชาเอง บ่มเอง ชงเอง ถ้วยชาก็มีเตาหลอมของตัวเอง ปั้นเอง วาดลายเอง เผาเอง วาดภาพ ตกปลา ทำอาวุธ อ่านพระสูตรชำระพระสูตร ฯลฯ งานจริงๆ ของฮีมีแค่นั่งเป็นประธานในพิธีรับเซียนใหม่ปีละ 1 วัน กับไปร่วมในงานเลี้ยงใหญ่ๆ สำคัญๆ แค่ไม่กี่งาน เพราะปกติ ด้วยความที่ฐานะของฮี เทียบกับมนุษย์ เรียกว่าตำแหน่ง "ไท่ซ่างหวง" หรือ "ฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่ยังไม่สวรรคต" ซึ่งโดยมากจะเป็นพระบิดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เลยจะไม่มีใครหาญกล้าบังอาจไปรบกวนฮีด้วยเรื่องจุกจิก ต่อให้มีเรื่องมารบกวนฮีจริงๆ ก็มีฉงหลินจัดการแทนให้ซะส่วนมาก ฮีเลยนั่งว่างทำงานอดิเรกไปวันๆ ไม่ได้เที่ยวไปประชุมราชการกับเทียนจวินบ่อยๆ อย่างที่ในซีรีส์แสดง

18. อันนี้เป็นความเชื่อมโยงของป่าท้อสิบหลี่เวอร์ชันนิยาย กับหุบเขาเสียงธรรม ตอนเฟิ่งจิ่วตกลงไปในหุบเขาเสียงธรรม ชีเคยบอกไว้ว่า ที่ไม่กล้าเปิดเผยว่าตัวเองคือเจ้าหญิงของเผ่าจิ้งจอกขาวเก้าหาง ก็เพราะว่าเผ่านกปี่อี้มีความบาดหมางอยู่กับเผ่าจิ้งจอกขาวเก้าหาง ที่มาของความบาดหมาง มาจากเรื่องป่าท้อสิบหลี่ ดอกท้อดอกแรกของป๋ายเฉี่ยน คือองค์ชายเก้าของเผ่านกปี่อี้ เรื่องราวความบาดหมางนี้มีที่มายังไง ท่านที่อ่านป่าท้อสิบหลี่มาแล้วคงจะยังจำกันได้ดีนะคะ

19. จากบุคลิกของอาหลานเหร่อ ชวนให้คิดว่า ถ้าเฟิงจิ่วไม่ถูกป๋ายเฉี่ยนกับป๋ายเจินเลี้ยงดู น่าจะออกมาเหมือนอย่างอาหลานเหร่อนี่แหละ ไม่ได้โก๊ะแบบนี้ แต่ก็คงไม่ถูกสเปคตงหัวอีกเหมือนกัน ตงหัวชอบตรงความโก๊ะของชี เพราะดูน่าแกล้งดี + แกล้งแล้วสนุกดี

20. ส่วนตัวแล้ว ดิฉันเห็นว่า เอกลักษณ์ของถังชีคือ คุณร้องไห้เพราะอ่านหน้านี้ แล้วต้องหัวเราะออกมาเมื่ออ่านหน้าถัดไป หรือสลับกัน ถังชีจะเขียนเหตุการณ์ที่ความจริงแล้วเป็นโศกนาฏกรรมอย่างมากให้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา จนลดความรันทดของเนื้อเรื่องลงไปมาก แต่เมื่อมาย้อนคิดตามหลักความจริง จะพบว่าความจริงเหตุการณ์แบบนั้นบีบคั้นจิตใจมากๆ และสไตล์มุกตลกของถังชี ก็เลียนแบบยากมากด้วย มีนักเขียนหลายคนเคยพยายามเลียนแบบ แต่ก็ทำไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง

21. ตอนที่ดิฉันเลือกเรื่องป่าท้อมาแปล โดยแซงคิวเรื่องม่านม่านชิงหลัว (แน่นอนว่าตอนนั้นโดนคนที่รออ่านหนังสือม่านด่าเช็ด) ก็เพราะประทับใจสไตล์การเขียนแบบทั้งเรื่องเต็มไปด้วยข้อความระหว่างบรรทัดของถังชี ที่อ่านรอบแรกจะงงๆ ไม่ค่อยรู้เรื่อง จนอ่านจบไปรอบหนึ่งค่อยอ๋อ เข้าใจแล้ว พอมาอ่านใหม่ทั้งหมดอีกรอบ ค่อยมองเห็นข้อความระหว่างบรรทัดที่ซ่อนอยู่ตรงโน้นตรงนี้เต็มไปหมด แล้วพออ่านรอบที่สาม ก็พบกับหลายๆ ประเด็นที่ตอนอ่านรอบที่ 1 ไม่รู้ อ่านรอบที่ 2 ไม่ทันได้คิด นิยายแบบนี้หายากมาก ลิขิตเหนือเขนยเขียนแบบซ่อนข้อความระหว่างบรรทัดได้ไม่ดีเท่าป่าท้อ เพราะตอนที่เขียน ถังชีต้องทยอยเขียนออกมาทีละเล่ม ไม่สามารถเขียนจนจบ แก้ไขให้ดีเลิศ แล้วค่อยพิมพ์รวมเล่มเหมือนอย่างเรื่องป่าท้อ แถมระหว่างที่เขียน ยังโดนทั้งคนอ่านและบก.กดดันให้รีบๆ เขียนเสร็จอีกด้วย ความละเอียดของผลงานย่อมจะสู้ป่าท้อไม่ได้เป็นธรรมดา แต่พัฒนาการของตัวละคร ลิขิตเหนือเขนยทำได้ดีกว่ามาก เพราะป่าท้อเล่นง่ายตรงให้เยี่ยหัวรักแรกพบ แต่ตงหัว ต้องแสดงให้คนอ่านเห็นว่าคนที่ไม่เคยรักใครมาก่อนเลยอย่างผู้ชายคนนี้ ค่อยๆ รักเฟิ่งจิ่วได้ยังไง และดิฉันมองว่าถังชีทำได้ดีในจุดนี้นะ

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 16 ธ.ค. 2560, 21:00

0 ความคิดเห็น