หัวข้อ : ม่านม่านชิงหลัว บทที่ 5

โพสต์เมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:37

บทที่ 5 

 

เงินเดือนแต่ละเดือนของฟูเหรินเจ็ดกับชิงหลัวรวมกันเพียง ๑๐ ตำลึงเท่านั้น ฝืนใจเพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายของสวนห่ายถัง นับตั้งแต่มหาเสนาบดีหลี่ได้ทราบว่าชิงหลัวมิใช่ไร้สิ้นความถนัด เงินเดือนก็เพิ่มขึ้นกะทันหันเป็น ๒๐ ตำลึง

ฟูเหรินเจ็ดพินิจดูตั๋วเงินที่อาหลัวฉวยมาจากหลิวเจว๋อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พบว่ามิได้มีตราสัญลักษณ์พิเศษใด ก็มอบให้จางมาแอบวานคนนำไปขึ้นเงินที่ร้านเงิน ได้มาถึงสี่ร้อยกว่าตำลึง

เทียบกันแล้วช่างน่าเจ็บใจเหลือแสน ในกระเป๋าหลิวเจว๋แค่ใส่เงินส่งๆ ก็มีตั้งหลายร้อยตำลึงแล้ว เพียงพอให้สมาชิกของสวนห่ายถังทั้งสี่คนกินไปได้เป็นหลายปี อาหลัวเชื่อมั่นเต็มที่ว่ามีเงินนี่สิคือกฎเหล็ก จะเดินทางถึงที่ใดพี่รูเหลี่ยม[1]ล้วนเป็นทูตที่ดีที่สุดทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้เด็กสาวจึงตัดสินใจว่าจะออกจากคฤหาสน์ไปหาโอกาสหาเงิน

ฟูเหรินเจ็ดมองอาหลัวอย่างกลุ้มใจ “เดือนหน้าเจ้าเพิ่งจะเต็ม ๑๓ ปีเท่านั้น ปกติไม่เคยย่างเท้าออกจากบ้าน เหนียงจะวางใจได้อย่างไร?”

อาหลัวหว่านล้อมว่า “ปกติข้าเคยได้ยินได้ฟังธรรมเนียมต่างๆ และเรื่องราวของผู้คนในเมืองเฟิงมามากมาย ทั้งยังแอบหาหนังสือมาอ่านอีกเป็นหลายเล่ม ไม่ถึงกับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแคว้นหนิงเลย อีกอย่าง สติปัญญาของอาหลัวเหมือนเด็กอายุ ๑๓ ปีจริงๆ หรือ?”

ฟูเหรินเจ็ดยังคงไม่วางใจอยู่นั่นเอง อาหลัวจนแต้มเข้า จึงคว้ามือฟูเหรินเจ็ดพาไปที่ป่าไผ่ ใช้สันมือดาบฟันลำไผ่อวบใหญ่ลำหนึ่งปริแตกต่อหน้านาง ทั้งยังแสดงเพลงหมัดเท้าไปหนึ่งรอบ ที่ที่หมัดเท้าไปถึง ใบไผ่ต่างปลิวว่อน พอจะมีอานุภาพน่าเกรงขามอยู่หลายส่วน ฟูเหรินเจ็ดตกตะลึงตาค้างในบัดดล อาหลัวยิ้มพลางกระตุกมือนาง “ตอนยังเด็กมีอยู่วันหนึ่งข้านอนไม่หลับ จึงออกมาวิ่งเล่นในสวน แล้วได้พบกับท่านลุงที่กำลังใช้หมัดเท้าผู้หนึ่ง ท่านเป็นคนสอนข้าเอง หลังจากสอนวิธีฝึกฝนให้เสร็จสิ้นท่านก็จากไป ท่านกำชับข้าว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด เหนียง ในคฤหาสน์หลังนี้มีเพียงท่านเท่านั้นที่ทราบ ครั้งก่อนซื่อจื่อของวังอานชิงหวางผู้นั้น ข้าก็ฟันสลบในทีเดียวนี่แหละ”

ฟูเหรินเจ็ดเอามือปิดปากบุตรสาวทันควัน มองดูกิริยาอาการภูมิอกภูมิใจของบุตรสาวแล้วทั้งฉิวทั้งขันทั้งตื่นเต้นยินดี “ซานเอ๋อร์ คราวนี้ได้การละ หากจนหนทางเข้าจริงๆ เมื่อเจ้าไปจากคฤหาสน์มหาเสนาบดี คาดว่าน่าจะสามารถหนีรอดตามลำพังได้”

อาหลัวกอดนางไว้ “จะไปก็ต้องไปด้วยกัน ข้าไม่มีทางทิ้งท่านไว้ที่นี่คนเดียวดอก” ในโลกต่างมิติแห่งนี้ ฟูเหรินเจ็ดคือความทรงจำที่อบอุ่นที่สุดของนาง คนหาใช่ท่อนไม้ ๗ ปีที่อยู่ด้วยกัน อาหลัวได้ถือฟูเหรินเจ็ด เสี่ยวอวี้ และจางมาเป็นคนในครอบครัวอยู่นานแล้ว

เสี่ยวอวี้อายุ ๑๖ ปีแล้ว ฟูเหรินเจ็ดนำเงินออกมาหนึ่งร้อยตำลึงต้องการให้นางออกไปจากคฤหาสน์แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุข จากนั้นหาใครสักคนแต่งงานด้วย เสี่ยวอวี้ไม่ยินยอม ร้องไห้กล่าวว่า “เสี่ยวอวี้ไม่มีญาติพี่น้องเหลืออยู่ในโลกนี้แล้ว กาลก่อนก็ได้ฟูเหรินมอบเงินช่วยเหลือให้เสี่ยวอวี้นำไปฝังท่านแม่ มายามนี้จะให้เสี่ยวอวี้ไปที่ใดเล่า?”

ฟูเหรินเจ็ดเอ่ยว่า “หากรั้งอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ จะทำให้เจ้าต้องพลาดโอกาสเป็นฝั่งเป็นฝา”

เสี่ยวอวี้เอาแต่ส่ายหน้า “ฟูเหรินกับคุณหนูดีต่อเสี่ยวอวี้ดั่งครอบครัว ให้เสี่ยวอวี้รั้งอยู่เถิดเจ้าค่ะ คุณหนูยังเล็กนัก”

อาหลัวได้ฟังก็ประคองเสี่ยวอวี้ขึ้นมา พูดเสียงหนักแน่น

“ต่อไปเจ้าคือพี่สาวของข้าละนะ พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าไปถึงที่ใดก็จะไม่มีทางทอดทิ้งเจ้า”

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฟูเหรินเจ็ดก็สอนให้เสี่ยวอวี้เป่าตี๋ด้วย เพื่อป้องกันวันใดที่อาหลัวออกไปนอกคฤหาสน์ เสี่ยวอวี้ก็สามารถเป่าตี๋ในป่าไผ่เป็นตัวแทนให้ได้

นับตั้งแต่รับปากมหาเสนาบดีหลี่ว่าจะตั้งใจฝึกเป่าตี๋ให้เชี่ยวชาญ ในยามเช้าตรู่อาหลัวมักจะเดินเข้าไปในป่าไผ่หลังเรือนฝึกเป่าเพลงตี๋ ป่าไผ่ในยามรุ่งอรุณอากาศสดชื่น มีเสียงนกร้องขับขาน ปราศจากผู้ใดรบกวน

วันนี้เด็กสาวเป่าตี๋ได้ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเป่าเพลงเซียวดังมาจากด้านนอกของกำแพงคฤหาสน์ ร่วมประสานกับเสียงตี๋พอดี นางคึกคักขึ้นมาทันควัน คนเป่าเซียวนั่นมาอีกแล้ว นางค่อยๆ เป่าจนจบหนึ่งเพลงแล้วลดตี๋ลง เสียงเซียวที่ด้านนอกก็ค่อยๆ ครวญแผ่วลงเช่นกัน ก่อนจะจางหายไป

เสียงเซียวเริ่มปรากฏหลังจากนางมาเป่าตี๋ในป่าไผ่ได้ประมาณหนึ่งเดือน หลังจากนั้นทุกครั้งที่นางมาเป่าตี๋ที่นี่ในยามเช้าตรู่ เสียงเซียวก็จะดังตามร่วมประสาน ช่วงแรกๆ ฝีมือของนางยังไม่เชี่ยวชาญ แต่ครั้นค่อยๆ เป่าตามเสียงเซียวอย่างแช่มช้า ก็กลับเป่าดีขึ้นเรื่อยๆ

ฟูเหรินเจ็ดกล่าวอย่างปลาบปลื้มว่า “ซานเอ๋อร์ พิณเซียวตี๋ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าดีดพิณได้เหนือล้ำกว่าเหนียงในกาลก่อนอยู่แล้ว ตี๋ก็หัดได้เร็ว มากพอจะว่ากล่าวต่อเตียของเจ้าแล้ว”

นับแต่นั้นอาหลัวก็มิได้มุ่งมั่นตั้งใจกับการฝึกเป่าตี๋อีก ว่ากล่าวได้ก็เพียงพอแล้ว เด็กสาวคิดว่าอย่างไรก็ต้องออกไปดูข้างนอก จึงจะสามารถทำความคุ้นเคยกับเมืองเฟิงโดยเร็วที่สุดและเสาะหาหนทางให้พบสักทางได้

 <>::<>::<>

กำแพงล้อมคฤหาสน์มหาเสนาบดีสูงแปดฉื่อ[2] ก่อจากอิฐเขียวปิดล้อมสนิททุกด้าน ไร้รอยร่องแม้แต่น้อย เสี่ยวอวี้เฝ้าอยู่ที่นอกป่าไผ่ สองนายบ่าวปรึกษากันเป็นที่เรียบร้อยว่าหากเกิดเหตุใดขึ้นให้ใช้เสียงตี๋เป็นสัญญาณ อาหลัวเดินลึกเข้าสู่ป่าไผ่จนถึงกำแพงรั้ว จากนั้นเดินเลียบไปตามแนวกำแพงพร้อมกับพินิจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนหนึ่งรอบ ครั้นไม่พบว่ามีรูโหว่แต่สักแห่ง ก็นึกสรรเสริญอยู่ในใจว่าเหตุใดสมัยนี้จึงไม่มีการก่อสร้างแบบแอบลักไก่บ้างนะ!

ขณะที่กำลังผิดหวัง ก็พลันมองเห็นหินหลิงหลง[3]ขนาดใหญ่หลายก้อนกองสุมอยู่ริมกำแพง คาดว่าคงจะเหลือจากการสร้างสวน และคงจะถูกกองทิ้งไว้มานานวันจนด้านบนมีตะไคร่จับและหญ้าขึ้น

เด็กสาวรวบแขนเสื้อขึ้นเข้าไปขยับหิน แม้หินหลิงหลงจะเบา แต่ก้อนที่ใหญ่ก็หนักกว่าร้อยกิโลกรัม นางสูดหายใจแล้วออกแรงยก หินหลิงหลงขยับเล็กน้อย นางดีใจมาก มองดูตำแหน่งแล้วเดินออกจากป่าไผ่ ยิ้มหวานให้เสี่ยวอวี้

วันรุ่งขึ้น ฟูเหรินเจ็ดเฝ้าอยู่ที่นอกป่าไผ่ด้วยตัวเอง อาหลัวกับเสี่ยวอวี้ถือไม้พลองอวบใหญ่สองเล่มมายังตำแหน่งเมื่อวานนี้ เสี่ยวอวี้มองหินหลิงหลงอย่างทำอะไรไม่ถูก “คุณหนูเจ้าคะ หินนี้ปกติต้องให้ชายฉกรรจ์หลายคนช่วยกันยกจึงจะเคลื่อนย้ายได้นะเจ้าคะ พวกเราจะไหวหรือ?”

อาหลัวพูดยิ้มๆ “พวกเราน่ะใช้หลักคานงัด ไม่ต้องใช้แรงมากนักก็ทำได้ อาร์คีมีดีสพูดว่า ‘ขอจุดยืนที่มั่นคงให้ข้าสักจุด แล้วข้าจะขยับโลกให้ดู[4]’ หินไม่กี่ก้อนแค่นี้ไม่เท่าไรดอก”

เสี่ยวอวี้ฟังไม่รู้เรื่องสักนิด “มีดีอะไรจุดยืนอะไร คุณหนูพูดอะไรกันเจ้าคะ?”

อาหลัวหัวเราะหึหึ “ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ เจ้าทำตามข้าเป็นพอ” ว่าพลางสอนให้เสี่ยวอวี้สอดไม้พลองเข้าไปในร่องใต้หินหลิงหลง ตามด้วยหาก้อนหินที่แข็งแรงหนึ่งก้อนมายัดไว้ใต้ไม้พลอง จากนั้นอาหลัวออกแรงกดปลายไม้พลองลง งัดหินหลิงหลงขึ้นมา เสี่ยวอวี้เข้าไปผลักหิน หินหลิงหลงก็ค่อยๆ กลิ้งไปยังตำแหน่งริมกำแพงที่เล็งไว้ทีละน้อยๆ

เสี่ยวอวี้ปรบมืออย่างดีใจ อาหลัวพ่นลมออกมาดัง “ฮู่” แล้วทั้งสองคนก็ช่วยกันยกหินก้อนที่มีขนาดย่อมกว่าเล็กน้อย เริ่มจัดเรียงตำแหน่ง

ไม่กี่วันให้หลัง ครั้นฟูเหรินเจ็ดมาที่ริมกำแพง ก็เห็นเพียงกอไผ่กับกอเถาวัลย์ไม่กี่กอ หาได้มีทางสำหรับออกไปนอกคฤหาสน์ไม่ ขณะที่กำลังนึกสงสัย อาหลัวก็ดึงมือนางอ้อมไปด้านหลัง จึงค่อยมองเห็นหินหลิงหลงกองหนึ่งจัดวางสูงต่ำลดหลั่นกัน สามารถเดินตามกองหินขึ้นไปถึงสันกำแพงได้อย่างง่ายดาย

ฟูเหรินเจ็ดกับอาหลัวแอบชะโงกศีรษะออกไปดู ข้างนอกเป็นถนนสายเล็กเส้นหนึ่ง เลยไปอีกมีแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่ง รอบด้านไร้ผู้คน สองแม่ลูกต่างลอบยิ้มพลางลงมาจากบนกำแพง อ้อมมายังด้านหน้า ฟูเหรินเจ็ดออกปากชมว่า “ดูจากด้านหน้าจะมองไม่เห็นเค้าอะไรเลยสักนิดเทียว”

อาหลัวพูดยิ้มๆ อย่างภูมิอกภูมิใจ “ข้ากับเสี่ยวอวี้เสียเวลาเปลืองเรี่ยวแรงตั้งมากมายเทียวนะกว่าจะขนย้ายเถาวัลย์มาบังได้”

กลับไปถึงภายในเรือน ฟูเหรินเจ็ดย้อนนึกทบทวนอย่างถี่ถ้วน แล้ววาดภาพตำแหน่งของคฤหาสน์มหาเสนาบดีออกมา คาดเดาว่าแม่น้ำที่นอกกำแพงสายนั้นไหลมาจากในวังหลวงซึ่งตั้งอยู่ตรงเขาอวี้เซี่ยง เมื่อไหลออกจากประตูเมืองตะวันออกก็จะไปรวมสายสู่แม่น้ำตูหนิง นางยังวาดภาพหน้าตาคร่าวๆ ของเมืองเฟิงจากความทรงจำอีกด้วย

อาหลัวหลอมรวมสิ่งที่บันทึกอยู่ในหนังสือเข้ากับภาพที่ฟูเหรินเจ็ดวาด จึงค่อยได้รู้จักภาพหน้าตาทั้งหมดของเมืองเฟิง

นอกกำแพงเมืองทิศใต้ของเมืองเฟิงคือแม่น้ำตูหนิง ด้านตะวันตกคือทุ่งหญ้า มุ่งหน้าตรงไปทางตะวันตกเรื่อยๆ เลยเมืองเปียนไปก็จะเดินทางถึงแคว้นฉี่

ด้านตะวันออกคือเขาอวี้ชุ่ย เคหาสน์เก็บมรกตของฮู่กว๋อกงจู่สร้างอยู่บริเวณเชิงเขานี้เอง อุทยานล่าสัตว์ของราชวงศ์ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ข้ามผ่านเขาอวี้ชุ่ยไปคือป่าดงดิบอันไพศาลไร้ที่สุดของเขาเฮยซาน เลยไปอีกคือทุ่งหญ้าหม่างตู้ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างแคว้นหนิงกับแคว้นอาน เลยต่อไปอีกทางตะวันออกคือทะเลเยว่หลีที่ไร้ขอบเขต

ด้านเหนือของเมืองเฟิงคือเขาอวี้เซี่ยง วังหลวงสร้างโดยอิงภูเขา ยอดของเขาอวี้เซี่ยงแทงทะลุสู่ชั้นเมฆ หิมะสะสมตลอดทั้งปี น้ำพุซุ่ยอวี้ซึ่งเกิดจากหิมะละลายสี่ฤดูไม่แห้งเหือด ไหลออกผ่านวังหลวง จากนั้นค่อยทำชลประทานชักนำสู่พื้นที่ต่างๆ ภายในเมืองเพื่อเป็นแหล่งน้ำ ด้านหลังของเขาอวี้เซี่ยงก็เป็นป่าดงดิบเขาเฮยซาน เลยไปอีกก็ติดกับพรมแดนแคว้นอานเช่นกัน

ด้านทิศใต้ผ่านแม่น้ำตูหนิงไปแล้ว ผ่านเมืองอีก ๓๐ เมืองบรรลุถึงแม่น้ำฮั่นสุ่ย ข้ามแม่น้ำไปจะเป็นแคว้นเฉิน ส่วนทิศตะวันตกเฉียงใต้คั่นด้วยแม่น้ำฮั่นสุ่ยคือแคว้นเซี่ย

เมืองเฟิงมีกำแพงเมืองเพียงสามแห่ง อิงภูเขาติดแม่น้ำแข็งแกร่งมั่นคงดุจกำแพงเหล็กคูน้ำเดือด มีป่าทึบผืนใหญ่ขวางกั้นจากแคว้นอาน จึงไม่ต้องกังวลภัยจากด้านหลัง เมืองเฟิงคือปราการที่มั่นด่านสุดท้ายของแคว้นหนิง แคว้นหนิงรุ่งเรืองสงบสุข ไร้ศึกสงครามมาหลายสิบปี

ตำแหน่งที่วังหลวงตั้งอยู่ได้มีการตัดถนนกว้างใหญ่สายหนึ่งมุ่งเป็นเส้นตรงสู่ประตูเมืองทิศใต้ ถนนใหญ่สายนี้ได้ตัดกันที่กลางเมืองกับถนนใหญ่อีกสายซึ่งเชื่อมประตูเมืองทิศตะวันออกกับตะวันตก ส่งผลให้ภายในเมืองถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนเท่ากันโดยปริยาย ได้แก่

ส่วนตะวันตกเฉียงเหนือคือที่ตั้งของสถานที่ราชการ เป็นเขตที่ทำการ

ส่วนตะวันออกเฉียงเหนือคือเขตที่พักอาศัยของราชนิกุลชั้นสูง ขุนนางใหญ่ และเรือนพักหลวงของราชทูตทุกคน เป็นย่านคหบดีมีทรัพย์

ส่วนตะวันตกเฉียงใต้เป็นย่านคนจน เขตที่อยู่อาศัยของชาวเมืองทั่วไป

ส่วนตะวันออกเฉียงใต้เป็นเขตค้าขาย

ภายในแต่ละเขตจะมีร้านน้ำชา ร้านสุรา และร้านอาหารตั้งอยู่มากมายแน่นขนัด ส่วนภายในเขตค้าขายจะมีตรอกซอยเริงรมย์ ร้านค้าของพ่อค้าจากต่างถิ่น ภัตตาคารและโรงเตี๊ยมชั้นเลิศสุด หอนางโลมชั้นเลิศสุด ร้านสินค้าจากต่างแดนชั้นเลิศสุด ออกจากประตูเมืองทิศใต้ไป บนแม่น้ำตูหนิงยังมีเรือสำราญอีกนับไม่ถ้วน สรุปคือที่นี่เป็นเมืองหลวงใหญ่นานาชาติที่แบ่งเขตใช้งานชัดเจนและคึกคักรุ่งเรือง

ที่ซึ่งอาหลัวจะไปเดินดูเป็นแห่งแรกหลังออกนอกคฤหาสน์คือเขตค้าขาย นางต้องการหาเงิน ต้องการข่าวสาร และต้องการทำความเข้าใจแผ่นดินแปลกหน้าแห่งนี้ ที่ที่ยังไม่ได้บุกเบิกมักจะมีแดนถิ่นดอกท้อนอกโลกีย์ซ่อนเร้นอยู่ นางเชื่อมั่นเต็มที่ว่าจะต้องสามารถหามันพบ ตัวนางในยามนี้ไม่มุ่งหวังจะยิ่งใหญ่ลือลั่นในยุคโบราณ จะหวังก็เพียงสามารถตั้งตัวและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัย สามารถตัดสินใจเองได้ในทุกเรื่องเป็นพอ

 <>::<>::<>

วันนี้ชิงหลัวตื่นแต่เช้าตรู่ ชั้นในสวมเสื้อจงอี[5]กระชับตัว ชั้นนอกคลุมเสื้อผาวยาวสีเงินไว้หลวมๆ มัดผมเสร็จสิ้น คาดสายรัดเอวหยกเรียบร้อย ลองส่องกระจกดู กลับปรากฏภาพหนุ่มน้อยมีสง่าราศีรูปงามประดุจหยกผู้หนึ่งอย่างน่าตื่นตะลึง

ฟูเหรินเจ็ดช่วยทาผิวที่โผล่พ้นร่มผ้าของบุตรสาวให้เป็นสีน้ำตาล และเขียนคิ้วเสริมให้ดูหนาขึ้น อาหลัวดัดเสียงให้ทุ้มลง หวนกลับไปเดินก้าวยาวๆ เช่นที่เมื่อก่อนเคยเป็น ท่วงทีกิริยามองไม่เห็นอาการขวยอายของเด็กสาวแม้แต่น้อย อาหลัวพอใจยิ่ง ฟูเหรินเจ็ดวางใจยิ่ง พูดยิ้มๆ ว่า “หากมิใช่คนคุ้นเคย ต้องไม่ทราบเป็นแน่ว่าเจ้าคือสตรี”

ออกเคลื่อนไหวครั้งแรกให้ความรู้สึกประหม่าตื่นเต้นและลุ้นระทึก อาหลัวปีนขึ้นกำแพงอย่างง่ายดาย แล้วหยิบบันไดถักจากเชือกป่านเส้นใหญ่ออกมาโรยลงไป คิดในใจ ...แบบนี้ง่ายกว่าปีนหน้าผาจำลองตั้งเยอะ หากเป็นวิชาตัวเบาก็ดีสิ บินมาบินไปอิสระจะตาย... นึกถึงวิชาตัวเบาของหลิวเจว๋แล้ว นางอดอิจฉาไม่ได้ นี่ถ้าไม่ได้ผูกความแค้นกัน ไปขอให้เขาเป็นอาจารย์ละเยี่ยมไปเลย

หลังจากลงถึงพื้นโดยสวัสดิภาพ นางก็แยกแยะทิศทาง แล้วขยับเท้าทำท่าจะเดินมุ่งหน้าไปทางเขตค้าขาย แต่ครั้นมองไปยังแม่น้ำสายน้อยไม่ห่างออกไปนักก็กลับเปลี่ยนใจ เดินจนถึงมุมเปลี่ยวลับตาและเงียบสงัดอีกมุมหนึ่งของแนวกำแพง คลำหาตี๋หยิบออกมาเป่าเป็นทำนองเพลงซึ่งปกติมักจะเป่าประสานกับคนเป่าเซียวอยู่เนืองๆ

ทันทีที่เสียงตี๋ดังขึ้น นางก็หันไปสังเกตดูรอบด้าน

เพียงครู่เดียวเสียงเซียวก็ดังมา อาหลัวฟังดู พบว่าเสียงดังมาจากริมแม่น้ำนั่นเอง จึงเก็บตี๋เดินมุ่งหน้าไปทางทิศนั้น

ครั้นเสียงตี๋หยุดลง เสียงเซียวก็ชะงัก ราวกับนึกแปลกใจว่าเหตุใดวันนี้เสียงตี๋จึงกระชั้นสั้นปานนี้ จากนั้นเสียงเซียวจึงดังขึ้นอีกครั้ง

เข้าไปใกล้แม่น้ำแล้ว อาหลัวค่อยผ่อนฝีเท้าลง แสดงท่าทางว่ากำลังเดินเล่นชมทิวทัศน์ เดินไปได้เพียงไม่นานก็มองเห็นว่าที่ใต้ต้นหลิวริมตลิ่งมีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่ สวมชุดผาวสีม่วง มือถือเซียวหยกเลาหนึ่ง ที่แท้ผู้เป่าเซียวคือเขานี่เอง เหตุใดจึงมาเป่าเซียวที่นี่ทุกวันเล่า? เพียงเพื่อประสานกับเสียงตี๋ที่นางเป่าเท่านั้นหรือ?

ครั้นรู้สึกว่าข้างหลังมีคน ชายหนุ่มก็หันศีรษะไป และพบว่าคุณชายน้อยรูปงามผู้หนึ่งกำลังจ้องมองเซียวในมือเขาเขม็ง จึงคลี่ยิ้มอย่างเอ็นดู เอ่ยถามว่า “เสี่ยวซยงตี้[6]ก็ชอบเป่าเซียวหรือ?”

อาหลัวพบว่าชายหนุ่มตรงหน้าคือคุณชายวัยประมาณ ๒๐ ปี คิ้วกระบี่ชี้เฉียงจรดจอน แววตาลึกล้ำ เรียวปากอมยิ้มแผ่วจางคล้ายมีคล้ายไม่มี...สินค้าชั้นเลิศอีกคนแล้ว! ดูจากลักษณะหน้าตาไม่ใช่คนจุกจิกใจแคบ ประกอบกับเขาเป่าเซียวเป็นเพื่อนนางมาเนิ่นนานปานนี้ เด็กสาวจึงรู้สึกถูกชะตาด้วย เอ่ยตอบไปว่า “ข้ากำลังชมทิวทัศน์อยู่ริมแม่น้ำ ได้ยินเสียงเซียวทอดระเรื่อย จึงเสาะหามาตามเสียง รบกวนคุณชายแล้ว”

ชายหนุ่มเปล่งเสียงหัวเราะแผ่วๆ “ไม่รบกวนๆ วันนี้...ก็แค่ครู่เดียวนี้กระมัง”

อาหลัวฟังออกว่าน้ำเสียงอีกฝ่ายดูจะหดหู่ผิดหวัง ก็ทราบดีว่าเป็นเพราะไม่มีเสียงตี๋ดังเป็นเพื่อน จึงพูดยิ้มๆ “ข้าชอบเป่าตี๋ ขอร่วมบรรเลงกับคุณชายหนึ่งเพลงได้หรือไม่?”

ดวงตาชายหนุ่มวาบประกายยินดี “เสี่ยวซยงตี้เป่าตี๋ได้? ดีเหลือเกิน!”

ครั้นแล้วทั้งสองก็หยิบตี๋กับเซียวออกมาเป่าบรรเลงร่วมกันทันที เป่าจบไปหนึ่งเพลง ทั้งสองต่างรู้สึกใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ชายหนุ่มเอ่ยว่า “ได้พานพบผู้รู้ใจให้เบิกบานนัก ได้เห็นเสี่ยวซยงตี้แล้วรู้สึกสนิทชิดเชื้อยิ่ง ขอเชิญเสี่ยวซยงตี้ไปร่วมสังสรรค์ที่เหลาเชียนเฟิงได้หรือไม่?”

อาหลัวคิดในใจ ...เกรงว่า “เหลาเชียนเฟิง” ที่ว่าคงจะเป็นสถานที่จำพวกภัตตาคารหรือโรงน้ำชากระมัง กำลังคิดจะไปอยู่เทียว มีเพื่อนไปสักคนก็ดีเหมือนกัน... จึงพยักหน้าตกลงและเอ่ยถามยิ้มๆ “ข้าชื่อ ‘หลัวซาน’ ขอถามแซ่สูงส่งของต้าเกอ[7]?” นางจัดแจงดึงความสัมพันธ์เข้ามาใกล้ชิดขึ้นอีกหนึ่งชั้นอย่างแนบเนียน

ชายหนุ่มยิ้มละไม “ประเสริฐ วันนี้ไม่เพียงแต่ได้ผู้รู้ใจมาหนึ่งคน ยิ่งได้รู้จักพี่น้องหนึ่งท่าน ข้าแซ่เฉิน เรียกข้าว่า ‘จื่อหลี’ ก็ได้ หรือจะเรียก ‘ต้าเกอ’ ก็ได้”

อาหลัวเรียก “ต้าเกอ” อย่างสนิทสนม ทั้งสองเดินไปพลางสนทนากันไปพลาง อาหลัวค้นพบอย่างยินดีว่าต้าเกอคนใหม่ที่เพิ่งนับเนื่องรู้เรื่องเมืองเฟิงดีมาก ไปกับเขาเหมือนพามัคคุเทศก์ไปด้วย หรือเหมือนมีแผนที่เดินได้ จึงแอบนึกดีใจว่าในที่สุดโชคดีก็มาเยือนนาง พึงทราบว่าในสถานที่แปลกถิ่นไม่คุ้นเคยเช่นนี้ การมีสหายเป็นเรื่องล้ำค่ามากเพียงใด อีกทั้งสหายผู้นี้ดูแล้วยังเป็นชายหนุ่มรูปงามผู้แสนเที่ยงธรรมเสียด้วย อาหลัวแอบเอามือปิดปากหัวเราะร่า

คนทั้งสองเดินเลียบริมแม่น้ำไปทางตะวันออก เมื่อขึ้นไปบนเขื่อนก็มีเพิงขายน้ำชาปรากฏให้เห็น อาหลัวเพิ่งจะเคยเดินบนถนนของเมืองเฟิงเป็นครั้งแรก เห็นอะไรก็แปลกใหม่ มองอะไรก็ตื่นตาตื่นใจไปหมด ศีรษะหันทางซ้ายทีทางขวาที รู้สึกละลานตาจนดูไม่ทัน ครั้นหันกลับไปมอง ก็พบว่าพวกตนได้ออกห่างจากเขตคฤหาสน์หรูมาจนไกลโขแล้ว

พลันได้ยินจื่อหลีเอ่ยเรียกนาง “ซานตี้[8] เดินกันแบบนี้ เกรงว่าเดินจนตะวันตกดินก็ไปไม่ถึงเหลาเชียนเฟิงดอก”

อาหลัวหน้าแดงเรื่อ เงยหน้าขึ้นถามว่า “เหลาเชียนเฟิงยังอยู่อีกไกลเท่าไรหรือ ต้าเกอ?”

จื่อหลีตอบว่า “ขี่ม้าไม่ถึงสองเค่อ[9] แต่เดินเท้าต้องหนึ่งชั่วยาม”

อาหลัวคิดในใจ ...เดินสองชั่วโมงหรือ? เมืองเฟิงแห่งนี้กว้างใหญ่จริงๆ ดูท่าทางมีม้าจะดีที่สุด...

พูดถึงม้า ม้าก็มา เสียงม้าร้องดังขึ้น อาหลัวหันมองไป ก็พบกับศีรษะม้าใหญ่มหึมาที่ยื่นมาเกือบจะชิดใบหน้า

จื่อหลีอธิบายว่า “ข้าให้บ่าวรับใช้จูงม้ามารออยู่ที่นี่ ซานตี้ เจ้าขี่ม้าเป็นหรือไม่?”

“ขี่ม้าแล้วให้คนจูงพาเดินถือว่าขี่เป็นหรือไม่?” อาหลัวย้อนถาม

จื่อหลีเห็นดวงตาดั่งแก้วใสมองเขาไม่กะพริบ ก็นึกทอดถอนชมเชยอยู่ในใจ ...ดวงตาอันยอดเยี่ยม... ก่อนจะตวัดร่างขึ้นขี่ม้าอย่างปราดเปรียว แล้วยื่นมือข้างหนึ่งให้เด็กสาว “มาเถิด ขี่ตัวเดียวกับต้าเกอ”

อาหลัวกุมมือชายหนุ่มอย่างไม่มีการลังเล แล้วรู้สึกถึงแรงดึงมหาศาล ร่างกายพลันเบาวูบถูกหิ้วขึ้นหลังม้า ...เขาก็เป็นวิทยายุทธ์ด้วย?... นางเลิกคิ้วอย่างลืมตัว ในยุคนี้ช่างมีชาวยุทธจักรมากมายเสียจริง!

จื่อหลีเตือนยิ้มๆ “นั่งดีๆ ละ!” ก่อนจะตวาดเบาๆ ม้าพลันตะกุยเท้าทั้งสี่ข้างพุ่งโถมออกไป อาหลัวเม้มปากสุดชีวิตไม่ให้เสียงหวีดร้องหลุดรอดออกมา มือจับสายบังเหียนแน่น ตัวหงายไปด้านหลัง ร่างทั้งร่างซุกเข้าสู่วงแขนของจื่อหลี รู้สึกได้ว่าลมหายใจอุ่นจัดของเขาอยู่เหนือศีรษะนี่เอง เสียงสงบนิ่งทุ้มลึกของจื่อหลีดังขึ้นว่า “ไม่ต้องกลัว มีต้าเกออยู่ด้วย ไม่มีทางตกลงไปดอก”

อาหลัวไม่ทราบจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ...ท่านบอกว่าไม่ต้องกลัวก็ไม่กลัวได้หรือไร?... นางยังคงเกร็งตัวจนแข็งทื่อดังเดิม เหงื่อเย็นเยียบผุดซึม ทุกครั้งที่ม้าสะเทือนไหวต่างทำเอานางอกสั่นขวัญสะท้าน มองดูสิ่งของรอบด้านวิ่งถอยหลังอย่างรวดเร็วดั่งเหินบิน ในที่สุดนางก็ตะโกนว่า “ต้าเกอ ช่วยช้าลงหน่อยได้หรือไม่!”

จื่อหลีได้ยินเสียงของนางสั่นระริก ก็คิดในใจว่าหลัวซานต้องเป็นคุณชายน้อยที่ถูกเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมตามใจของตระกูลใหญ่ใดสักตระกูลเป็นแน่ ถึงได้ใจเสาะไม่เคยขี่ม้า เนื่องจากเห็นว่าเข้าสู่เขตตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ชายหนุ่มจึงชะลอความเร็วลง “ซานตี้ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ให้ม้าเดินได้แล้วละ เจ้าสามารถนั่งบนหลังม้าชมตลาดได้”

อาหลัวค่อยยืดตัวนั่งตรง มองเห็นถนนใหญ่ตะวันออกตรงหน้ากว้างถึง ๒๐-๓๐ เมตร มีรถม้าและรถเกี้ยวสวนไปมาตลอดเวลาโดยไม่ต้องหลีกทางให้แก่กัน หินเขียวก้อนใหญ่ที่ใต้เท้าถูกฝนจนเรียบสนิทเท่ากันทุกก้อน ปูเรียบเสมอชิดติดกันไร้รอยร่องอย่างเป็นระเบียบ จากการนี้ก็สามารถคาดคะเนถึงความยิ่งใหญ่ของเมืองเฟิงได้แล้ว สองฟากฝั่งถนนคึกคักอย่างมาก ทั้งขายอาหารกินเล่น ขายของเล่นของประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อย แสดงปาหี่ ดูดวงชะตา เสียงร้องตะโกนดังไม่ขาดหู บ้านเรือนล้วนแต่เป็นหอสูง ๒-๓ ชั้นทั้งสิ้น สร้างเรียงกันเป็นตับขนาบถนนใหญ่ ชั้นล่างเป็นร้านค้า ชั้นบนดูเหมือนจะเป็นภัตตาคารกับโรงน้ำชา บนถนนชายหญิงแต่งกายสีฉูดฉาด จับกลุ่มกันสองคนบ้างสามคนบ้างเดินไปมาพลุกพล่าน

จื่อหลีสั่งม้าบ่ายหน้าไปทางใต้ ย่างเข้าไปในถนนสายหนึ่งซึ่งเล็กกว่าถนนใหญ่ตะวันออกเล็กน้อย บริเวณนี้ต่างเป็นหอโดดแยกเฉพาะทั้งหมด ต้นไม้เขียวชอุ่มร่มรื่นเรียงรายล้อมทั้งสี่ด้านของหอน้อยที่ตั้งอย่างโดดเดี่ยวแต่ละหอ

ครั้นเดินไปถึงหน้าหอหลังหนึ่ง อาหลัวเงยหน้าขึ้นเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่รอยหมึกลื่นไหลปราดเปรียวสามตัว...“เหลาเชียนเฟิง” ก็ทราบว่ามาถึงแล้ว จื่อหลีกระโดดลงจากหลังม้า แล้วรับอาหลัวลงมา เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเด็กสาวก็รู้สึกระบมก้น จึงอดไม่ได้ต้องเอามือคลำป้อยๆ ครั้นเห็นชายหนุ่มมองมาเขม็งด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้ม ก็บ่นประท้วงหน้างอ “ต้าเกอขี่ม้าเร็วเกินไปหน่อยแล้ว”

จื่อหลีกลั้นยิ้ม “ต้าเกอผิดเอง ขออภัยเจ้าด้วย”

อาหลัวกล่าวอย่างใจกว้าง “ยกโทษให้ท่านแล้ว ใครใช้ให้ข้าขี่ม้าไม่เป็นเล่า” เมื่อก่อนนางเคยแต่ขี่ม้าที่มีคนจูงพาเดินตามสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น ย่อมจะไม่สามารถคุ้นชินกับการควบม้าห้อตะบึง ครั้นนึกถึงว่าต่อไปอาจมีโอกาสที่ต้องขี่ม้าอีกมาก ก็ร้องขอยิ้มๆ “วันหน้าต้าเกอช่วยสอนเสี่ยวตี้[10]ขี่ม้าได้หรือไม่?”

จื่อหลีพยักหน้ารับปาก เห็นว่าซานตี้ผู้นี้เป็นคนโอ่อ่าเปิดเผยดีแท้ จึงนึกถูกชะตาเพิ่มขึ้นหลายส่วน

ทั้งสองเดินเข้าไปในเหลาเชียนเฟิง เสี่ยวเอ้อร์[11]รู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างวาบในบัดดล ตัวเขารับแขกส่งแขกอยู่ทุกวัน ย่อมจะมีสายตาในการสังเกตแยกแยะคนอยู่พอตัว แขกของเหลาเชียนเฟิงส่วนมากล้วนแต่มีฐานะมีที่มาด้วยกันทั้งสิ้น ผู้มาใหม่ทั้งสองนี้คนตัวสูงท่วงทีอิริยาบถเผยความสูงศักดิ์ คนตัวเล็กเองเกรงว่าคงจะเป็นคุณชายน้อยของเศรษฐีมีทรัพย์บ้านใดเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงรีบสาวเท้าเข้าไปกล่าวต้อนรับอย่างกระตือรือร้น “คุณชายทั้งสองท่านเชิญที่ชั้นบนขอรับ”

อาหลัวมองเห็นในห้องโถงใหญ่ของชั้นล่างไม่มีโต๊ะอาหารตั้งอยู่สักตัว จะตั้งก็เพียงโต๊ะน้ำชาไม้มะเกลือหนึ่งตัว บนผนังแขวนภาพทิวทัศน์ขุนเขาสายธารและภาพอักษรอยู่หลายภาพ ให้กลิ่นอายปัญญาชนเต็มที่ ก็คิดในใจ ...เถ้าแก่ของที่นี่สิ้นเปลืองชั้นล่างแบบนี้ อาหารที่ชั้นบนต้องแพงแน่นอน...

ขึ้นไปชั้นบน ฉากบังตาลายฉลุกั้นแยกโต๊ะที่นั่งเป็นสัดส่วน และมีห้องส่วนตัวแยกเฉพาะ จื่อหลีขอห้องส่วนตัวหนึ่งห้อง รอจนอาหลัวนั่งลงแล้วจึงเอ่ยว่า “นั่งคุยกันในนี้ค่อยเงียบหน่อย”

อาหลัวพยักหน้า นั่งลงริมหน้าต่างมองออกไปยังทิวทัศน์ภายนอก ได้ยินจื่อหลีกล่าวกับเสี่ยวเอ้อร์ว่า “ได้ฟังมานานว่าเหลาเชียนเฟิงมี ‘สามอาหารสุดเลิศล้ำ’ และ ‘สามสุราสุดเลิศล้ำ’ วันนี้มาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวัง”

เสี่ยวเอ้อร์หัวเราะร่าพยักหน้า “คุณชายมาเป็นครั้งแรกหรือ? อย่างนั้นต้องลองชิมฝีมือต้าซือฟู่[12]ของพวกเราให้ได้ขอรับ”

ครู่หนึ่ง อาหารก็ถูกยกมาวาง อาหลัวกวาดตาดู ครั้นเห็นว่าเป็นเต้าหู้เปล่า ผักเขียวเปล่า และมะเขือม่วงเปล่า ก็มองหน้าจื่อหลี จื่อหลียิ้มพลางส่ายหน้าให้ เป็นความหมายว่าเขาเองก็ไม่เคยรับประทานมาก่อนเช่นกัน

อาหลัวทราบดีว่ายิ่งเป็นผักเปล่ายิ่งปรุงยาก จึงยื่นตะเกียบออกไปคีบเต้าหู้มาลองชิมหนึ่งชิ้น ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร ก็ได้ยินจื่อหลีกล่าวชมว่า “เยี่ยม! เต้าหู้นุ่มและลื่น ไม่เสียรสชาติดั้งเดิม ทั้งกลืนลงไปยังมีกลิ่นหอมสดชื่น”

อาหลัวรีบชิมผักเขียวกับมะเขือม่วงต่อ ได้ยินจื่อหลีทอดถอนชมเชยไม่ขาดปากว่าชุ่มคออร่อยเลิศ จึงอดไม่ได้ต้องเอ่ยถามว่า “ต้าเกอ อาหารเหล่านี้อร่อยปานนั้นจริงๆ หรือ?” นางกินแล้วรสชาติก็ธรรมดานี่นา

จื่อหลีย้อนถามอย่างประหลาดใจ “หรือสัมผัสด้านรสชาติของซานตี้จะแตกต่างจากคนทั่วไป? ปกติเต้าหู้ที่บ้านเหมือนเต้าหู้เสียที่ไหน กินไม่ได้รสเต้าหู้แต่สักนิด มิน่าเล่าซื่อจื่อของวังอานชิงหวางจึงได้แนะนำว่า หากจะกินรสชาติของเต้าหู้ มีแต่ต้องมาที่เหลาเชียนเฟิง”

อาหลัวได้ยินคำว่า “ซื่อจื่อ” ก็สำลักกระอักกระไอ หลังจากดื่มน้ำชาลงไปและปรับลมหายใจจนสงบแล้วค่อยถามว่า “ต้าเกอสนิทกับหลิวเจว๋หรือ?” ขณะที่ในใจนึกเสียววาบ กลัวอย่างยิ่งว่าต้าเกอที่เพิ่งนับเนื่องผู้นี้จะเป็นสหายสนิทของหลิวเจว๋ และนางก็พาตัวเองมาประเคนให้ถึงที่

ดวงตาจื่อหลีวาบประกายสงสัย น้ำเสียงราบเรียบ “ไม่สนิทนัก เคยพบกันไม่กี่ครั้งเท่านั้น ซานตี้รู้จักเขาหรือ?”

“เคยพบกันที่งานเลี้ยงชมดอกท้อ” อาหลัวตอบ แล้วมองดูสามอาหารสุดเลิศล้ำของเหลาเชียนเฟิงตรงหน้า รีบเปลี่ยนเรื่องพูดโดยพลัน “ข้าคิดว่าเหลาเชียนเฟิงจะจงใจเล็งที่คนมีเงินได้กินปลากินเนื้อมากมายจนเคยชิน จึงทำผักลวกน้ำเปล่าเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกท่านได้ลองลิ้มชิมของใหม่เท่านั้น เพราะรสชาติของอาหารเหล่านี้...ไม่เท่าไรเลยจริงๆ”

รอยยิ้มผุดพรายบนริมฝีปากจื่อหลีอีกครั้ง นิ่งฟังอาหลัววิจารณ์ เห็นนางโคลงศีรษะไปมาทำหน้าเบ้ ดวงตาเปล่งประกายอยู่วูบวาบดึงดูดใจนัก หากว่าเขานิยมบุรุษ จะต้องพานางกลับไปด้วยอย่างแน่นอน ชายหนุ่มหวนนึกถึงเสียงตี๋ของเช้าตรู่วันนี้ที่เป่าเพียงครู่สั้นๆ เท่านั้น หลังจากบังเอิญมาได้ยินเสียงตี๋นั้นเข้าที่ริมแม่น้ำ เขาก็เริ่มเป่าเซียวประสานกับเสียงตี๋นั้น ต่อมาเสียงตี๋ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นใสเสนาะ ฝีมือเป่ายกระดับรวดเร็วยิ่ง ถึงตอนท้ายได้แฝงอารมณ์นับไม่ถ้วน หลายครั้งคราที่เขาคิดจะกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปดูว่าผู้เป่าตี๋คือใครในคฤหาสน์มหาเสนาบดีฝ่ายขวา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ เขาชอบที่จะใช้เสียงเซียวสื่อสารกับอีกฝ่าย...สัมผัสรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของผู้เป่าตี๋ ด้วยเหตุนี้จึงมาเฝ้ารอที่ริมแม่น้ำในยามเช้าตรู่ทุกวัน

นึกไม่ถึงว่าวันนี้กำลังนึกท้อใจอยู่เทียวว่าเสียงตี๋ขาดหายเร็วเกินไป ก็กลับมีเสี่ยวซยงตี้ที่เฉลียวฉลาดรูปงามเช่นนี้มาเยือน ทั้งเมื่อเป่าตี๋ เสียงยังคล้ายคลึงกับเสียงตี๋ของคนที่ด้านหลังกำแพงอย่างมากอีกด้วย ในใจเขาจึงปรารถนาจะเข้าใกล้ชิดสนิทสนมกับอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง

ขณะที่กำลังคิดเพลิน ชายหนุ่มได้ดื่มสามสุราสุดเลิศล้ำลงไปหลายจอกโดยไม่รู้ตัว ครั้นมองดูหลัวซานอีกครั้งในยามนี้ พลันนึกถึงเสือดาวที่เคยไปล่า ดวงตาของมันก็ใสดังนี้เช่นกัน ชายหนุ่มคิดในใจ ...หากสีผิวขาวผ่องละก็ เกรงว่าสตรีก็งดงามสู้หลัวซานไม่ได้เสียแล้ว...

อาหลัวสาธยายความรู้สึกหลังจากได้ลิ้มชิมอาหารเสียยืดยาวเสร็จสิ้น เห็นจื่อหลีกำลังใจลอย ก็พูดว่า “ต้าเกอ หากมีโอกาส เสี่ยวตี้จะเข้าครัวทำอาหารให้ท่านชิมสัก ๒-๓ จาน รับรองว่าแปลกใหม่เลิศรสจนท่านเผลอกลืนลิ้นเลยเทียว!”

จื่อหลีตื่นจากภวังค์ยิ้มละไมเอ่ยว่า “ผู้ที่ดูแคลนสามอาหารสุดเลิศล้ำของเหลาเชียนเฟิงเช่นนี้ เจ้าถือเป็นคนแรกของเมืองเฟิงเลยทีเดียว”

อาหลัวตกใจ “ไม่จริงกระมัง? ข้าเห็นเมืองเฟิงออกจะเจริญ หรือด้านอาหารการกินจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้?”

จื่อหลีถามอย่างฉงน “เจ้ามิใช่ชาวเมืองเฟิงดอกหรือ?”

“นี่เป็นครั้งที่สองที่ข้าออกจากบ้าน เป็นครั้งแรกที่มากินอาหารในเหลา ปกติอาหารที่บ้าน ข้ากินแล้วยังถูกปากดีอยู่” อาหลัวตอบ ปกตินางจะรับประทานอาหารที่สวนห่ายถัง ซึ่งไม่ใช่จางมาทำกับข้าวก็เป็นฟูเหรินเจ็ดเข้าครัว จะได้นั่งรับประทานอาหารพร้อมหน้ากับครอบครัวของมหาเสนาบดีหลี่ทั้งสิ้นเพียงเดือนละหนึ่งมื้อ ซึ่งล้วนแต่ระมัดระวังตัวลีบจนค่อยไม่กล้ายื่นตะเกียบออกไปคีบอะไรเท่าไรนัก และรู้สึกว่ารสชาติอาหารที่ครัวใหญ่ทำด้อยกว่าสวนห่ายถังมาก แต่หลงนึกว่าเพียงเพราะมหาเสนาบดีหลี่เย็นชาหมางเมินต่อสวนห่ายถัง พวกนางจึงได้รับประทานอาหารที่ไม่ค่อยจะดีนักเสียอีก ไม่นึกว่าวันนี้ได้มาเหลาเชียนเฟิง ได้กินสามอาหารสุดเลิศล้ำอะไรนี่ กลับเป็นวัตถุดิบพื้นๆ แบบนี้เสียได้!

จื่อหลีกล่าวอีกว่า “เหลาเชียนเฟิงเน้นซู่ช่าย[13]เป็นหลัก ในเมืองเฟิงก็นับว่าเป็นภัตตาคารเลื่องชื่อติดอันดับเช่นกัน คาดว่าฝีมือคนครัวที่บ้านของซานตี้ต้องเลิศล้ำอย่างยิ่งเป็นแน่”

อาหลัวนิ่งคิดแล้วร้องขอว่า “ต้าเกอ ครั้งหน้าช่วยพาเสี่ยวตี้ไปลองชิมอาหารที่ภัตตาคารเลื่องชื่อแห่งอื่นๆ ได้หรือไม่? การชิมอาหารเลิศรสคือความชอบอย่างยิ่งประการหนึ่งของเสี่ยวตี้เทียวละ”

จื่อหลีเห็นนางมองเขาด้วยดวงตาทอประกายอ้อนวอนงดงามจับใจ ก็รับปากทันทีโดยไม่ต้องคิด “ซานตี้ เจ้าทราบหรือไม่ว่ายามเจ้ามองใครด้วยสีหน้าแววตาเช่นนี้ ผู้อื่นจะไม่อาจแข็งใจปฏิเสธเจ้าได้ดอก”

อาหลัวหน้าร้อนผ่าวหลุบตาลง

จื่อหลียิ้มละไมเอ่ยว่า “หากข้ามีน้องชายเช่นเจ้า อยากได้สิ่งใดข้าจะยกให้ทั้งหมด ซานตี้ ข้าชอบที่เจ้าเรียกข้าว่า ‘ต้าเกอ’ ยิ่งนัก”

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสิ้นและคิดเงิน เสี่ยวเอ้อร์แจ้งราคาด้วยใบหน้ายิ้มกว้าง “๑๓ ตำลึงเงินขอรับ”

อาหลัวสะดุ้งโหยง เผลอติดอ่างทันที “ซ...ซู่ช่ายสามอย่างนี้ราคาแพงปานนี้เทียว?”

จื่อหลีมองนางอย่างขบขัน “ไม่ถือว่าแพงดอกนะ ซานตี้” แล้วล้วงหยิบเงินออกมาส่งให้เสี่ยวเอ้อร์

เมื่อเดินออกมาจากเหลาเชียนเฟิงแล้ว อาหลัวได้หันหน้ากลับไปมองอีกครั้ง ในที่สุดก็ทราบแล้วว่าเหตุใดห้องโถงใหญ่ของชั้นหนึ่งไม่จัดโต๊ะที่นั่ง...ชั้นสองมีคนน้อยก็ไม่เป็นไร อาหารมื้อเดียวก็กินค่าใช้จ่ายของสมาชิกสวนห่ายถังทั้งสี่คนไปตั้งหนึ่งเดือน ยังไม่ถือว่าแพงอีก? นางไม่เข้าใจเอาเลย จากนั้นนึกถึงว่าหากเปิดภัตตาคารอย่างนี้สักแห่งบ้าง ไม่กำไรอื้อซ่าหรอกหรือ?

หลังออกมาจากเหลาเชียนเฟิง จื่อหลียืนคิดอยู่ชั่วแล่นก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฤทธิ์ของสามสุราสุดเลิศล้ำทอดนาน ต้าเกอดื่มมากไปสองจอก ออกจะเวียนศีรษะอยู่บ้าง เดินเล่นให้สร่างเมาสักหน่อยเป็นอย่างไร?”

อาหลัวพยักหน้า ชายหนุ่มจึงจูงม้า ทั้งสองเดินทอดฝีเท้าเลียบเหลาเชียนเฟิงไปทางทิศใต้ เพิ่งจะเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กแห่งหนึ่ง ก็พลันมีคนปิดหน้าถือดาบหลายคนกระโดดพรวดออกมาฟันดาบใส่คนทั้งสองโดยไม่พูดไม่จา

จื่อหลีดึงตัวอาหลัวไปหลบข้างหลังตน มือขวาไม่ทราบหยิบกระบี่ออกมาจากที่ใด ลงมือต่อสู้กับกลุ่มคนปิดหน้า อาหลัวดูจนตาลายไปหมด แม้ว่านางจะฝึกคาราเต้มาหลายปี มาเห็นภาพเงาดาบประกายกระบี่ปลิวว่อนเช่นตรงหน้านี้ ก็ยังคงไม่ค่อยชินอยู่นั่นเอง รู้สึกเพียงว่ามือถูกจื่อหลีกุมไว้แน่น ชายหนุ่มคอยคุ้มครองนางอยู่ตลอด นางหลบซ้ายหลบขวาตามเขา พร้อมกันนี้ก็ค่อยๆ ดูทิศทางที่ดาบฟันเข้าใส่ออกทีละน้อย จึงกุมมือของจื่อหลียืมแรง ตวัดสองเท้าลอยหวือ เตะเปรี้ยงใส่คนปิดหน้าที่ควงดาบฟันมาคนหนึ่งผงะหงายไป

จื่อหลีหันมามองนาง ดวงตาทอแววตกตะลึงเล็กน้อย ฉวยโอกาสตวัดกระบี่ ๒-๓ ครั้งบีบให้คนปิดหน้าผงะถอยไป ก่อนจะกระชากตัวอาหลัวตวาดเบาๆ “ขึ้นม้า!” แล้วกระโดดตัวลอยขึ้นบนหลังม้า แต่พลันเจ็บแปลบและชาวูบที่บั้นท้าย ร่างร่วงตกจากหลังม้า อาหลัวก็พลอยตกจากหลังม้าตามไปด้วย นางไม่อาจมัวพะวงถึงก้นที่กระแทกพื้นจนระบม รีบวิ่งไปถึงตัวจื่อหลี “ต้าเกอ เป็นอะไรไป?”

จื่อหลีพลันยิ้มออกมา “เจ้าน้องโง่ ไยจึงไม่ขี่ม้าหนีไปเล่า?” ระหว่างที่หอบหายใจ บนใบหน้าได้ปรากฏสีเขียวเคลือบอยู่จางๆ “บนอานม้าปักเข็มพิษไว้”

ยามนี้คนปิดหน้ากำลังก้าวเนิบช้าเข้ามาใกล้ คนหนึ่งหัวเราะหึหึพูดว่า “หากไม่ใช้แผนนี้ อาศัยพวกข้าไม่กี่คนมีหรือจะสกัดขวางท่านได้”

อาหลัวนึกหวาดกลัว แต่กลับก้าวไปขวางอยู่ข้างหน้าจื่อหลีอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แหวอย่างโกรธเกรี้ยว “ต่ำช้าปานนี้ยังจะมีหน้ามายิ้มอีกรึ? ส่งยาแก้พิษมา!” ถึงจะนึกโมโห แต่ในใจกลับร้องคร่ำครวญว่า ...อย่าฆ่าข้าเทียวนะ!...

คนเหล่านั้นเห็นคุณชายน้อยชุดแพรผู้นี้โมโห ก็พากันยิ้มเย้ยหยัน “คุณชายน้อยที่งดงามนัก งานครั้งนี้ได้กำไรไม่เลวเลย เจ้าหลีกไปเถอะ จะได้ไม่ต้องตกใจจนขวัญฝ่อตอนเลือดกระเซ็นออกมา!”

อาหลัวหันกลับไปดูจื่อหลี บนใบหน้าของชายหนุ่มกลับยังคงประดับรอยยิ้มอยู่ จึงพูดว่า “ต้าเกอ แข็งใจไว้นะ!” แล้วออกแรงพยุงชายหนุ่มขึ้น “ต้าเกอ ข้าช่วยพยุงให้ ท่านออกแรงขึ้นม้าดู!”

คนปิดหน้าเหล่านั้นยิ่งหัวเราะงอหายกว่าเดิม “คุณชายน้อย พยุงไหวไหม? ให้ต้าเกอช่วยหรือไม่?”

อาหลัวถลึงตาใส่กลุ่มคนปิดหน้า แล้วหันมาดูจื่อหลี ใบหน้าของชายหนุ่มมีสีเขียวเคลือบอยู่ แต่ยังคงทำสีหน้าเหมือนจะยิ้มดังเดิม ขณะที่ร่างกายอ่อนปวกเปียก นางทราบดีว่าจื่อหลีขึ้นขี่ม้าไม่ไหวเสียแล้ว จึงทิ้งบังเหียนตบบั้นท้ายม้าปล่อยให้มันวิ่งจากไป โดยหวังว่าจะสามารถเกิดปาฏิหาริย์จำพวกม้าแก่เจนทางชักนำกองหนุนมาช่วยได้ นางพยุงจื่อหลีไปถึงโคนกำแพงแล้วให้นั่งลง จังหวะนี้คนปิดหน้าผู้หนึ่งได้พูดยิ้มๆ “ตรอกนี้ไม่มีทางจะมีใครเดินเข้ามาใกล้อีก ข้าขอบอกพวกเจ้าตามตรง วันนี้พวกเจ้าติดปีกก็ยากจะบินหนีได้เสียแล้ว”

อาหลัวหลับตา กระโดดขึ้นลงอุ่นเครื่อง คนปิดหน้าชะงักงัน ไม่ทราบว่านางคิดจะทำอะไร เด็กสาวขยับเคลื่อนไหวไม่กี่ครั้งก็หยุดลง ถอดเสื้อผาวตัวนอกออก มองคนปิดหน้าอย่างเย็นชา “ไม่ได้วิวาทมาหลายปีเต็มที พวกเจ้าจะสู้ตัวต่อตัวหรือหมาหมู่?” ในใจนางไม่มั่นใจว่าจะชนะ แต่จะให้เบิ่งตาดูตัวเองถูกฆ่าตายเฉยๆ ก็ไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจะสู้สักตั้ง

เสียงหัวเราะครืนสนั่นดังมา คนปิดหน้าผู้หนึ่งโยนดาบทิ้งพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่นึกว่าข้าจะวาสนาดีที่สุด มามะ...มาให้ต้าเกอกอดก่อน”

ไม่รอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ เท้าข้างหนึ่งของอาหลัวพลันถีบเปรี้ยงโดนศีรษะของอีกฝ่ายอย่างจัง แล้วสืบเท้าก้าวคันศร[14]ออกไป แขนขวาโจมตีใส่แผ่นหลังของชายปิดหน้า ได้ยินเสียงกระดูกเคลื่อนดัง “กร็อก” ชายปิดหน้าตัวอ่อนระทวยล้มทรุดลงไป

อาหลัวพุ่งปราดเข้าไปโดยไม่รอให้ทุกคนทันได้ไหวตัว ทั้งต่อยทั้งเตะอยู่พักหนึ่ง การฝึกซ้อมในโรงยิมเมื่อหลายปีก่อนได้ผุดขึ้นในศีรษะทั้งหมด เหล่าคนปิดหน้าถูกเล่นงานจนมือไม้ปั่นป่วนรับมือไม่ทัน หลังจากล้มหมอบไปสองคนจึงค่อยตั้งสติได้ ตวัดดาบฟันใส่อาหลัว เวลานี้อาหลัวเริ่มจะหอบแล้ว คนเหล่านี้ลงมืออำมหิตทุกดาบ นางพยายามขวางอยู่ข้างหน้าจื่อหลีอย่างสุดความสามารถ วงต่อสู้ได้หดแคบลงเรื่อยๆ นางต้านรับไม่ไหวแล้ว จึงคิดในใจอย่างสิ้นหวัง ...หรือจะต้องมาตายทั้งอย่างนี้เสียแล้ว?...

นางพยายามรักษาความคล่องแคล่วของร่างกาย หลบซ้ายเบี่ยงขวา ต่อยหมัดฟันสันมือออกไปเป็นระยะๆ ซึ่งกระทั่งตัวนางเองยังรู้สึกได้ว่ามือที่โจมตีช่างไร้น้ำหนักสิ้นดี พลันได้ยินเสียงจื่อหลีถอนหายใจ เขาลุกขึ้นยืน แล้วดึงตัวนางไปข้างหลัง จังหวะนี้ลูกธนูไม่ทราบพุ่งฟุ่บๆ มาจากที่ใด คนปิดหน้าต่างแผดร้องลั่นล้มคว่ำลง

ถัดจากนั้นคนหลายคนได้กระโดดลงมาจากบนกำแพง คุกเข่าข้างหนึ่งให้จื่อหลี “สู่เซี่ยมาสาย จู่กง[15]โปรดลงทัณฑ์!”

จื่อหลีมองดูแล้วเอ่ยว่า “ลุกขึ้นเถิด”

ผู้มาใหม่หลายคนนี้ลุกขึ้นยืนแล้วจัดแจงย้ายซากศพออกไปอย่างว่องไว ตามด้วยจัดการรอยเลือดในที่เกิดเหตุจนสะอาดเกลี้ยงเกลา ทั้งหมดดำเนินไปอย่างเป็นขั้นตอนไม่มีสับสน เพียงครู่เดียวภายในตรอกก็เหมือนไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้นมาก่อน ผ่านไปอีกครู่หนึ่งได้มีผู้ติดตามจูงม้าเดินเข้ามาหา แล้วยืนรออย่างสงบอยู่ด้านข้าง

อาหลัวมองอย่างปากอ้าตาค้าง ลมหายใจยังคงหอบถี่กระชั้น มือยังคงสั่นระริก ...สวรรค์! นี่มันเรื่องอะไรกัน?... ครั้นหันกลับไปก็เห็นว่าใบหน้าของจื่อหลียังคงประดับรอยยิ้มอยู่ดังเดิม จึงถามว่า “ท่านไม่ได้ถูกพิษ?”

ดวงตาจื่อหลีทอประกายยิ้มละไม “พิษเล็กน้อยแค่นี้เพียงครู่เดียวก็ไม่เป็นอะไรแล้ว อีกประการ ฝ่ายที่ติดปีกก็ยากจะบินหนีได้คือพวกเขาต่างหาก!”

นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจื่อหลีจึงไม่มีท่าทีลนลานร้อนใจแต่สักนิด และเสียความรู้สึกอยู่บ้าง นางยังคงมองคนของที่นี่ตื้นเขินเกินไปอยู่นั่นเอง ในใจให้รู้สึกหม่นหมอง จ้องหน้าจื่อหลีเขม็งกล่าวอย่างโมโห “เช่นนั้นท่านยังจะมองดูข้าโดนดาบฟันใส่อยู่อีกรึ? ไร้คุณธรรมนัก! ไม่นับท่านเป็นต้าเกอแล้ว! ต่อไปอย่ามาพูดนะว่าเรารู้จักกัน ถือเสียว่าข้ามันโง่ไปเอง!” กล่าวจบก็หยิบเสื้อผาวขึ้นเดินจากไป

ได้ยินเสียงจื่อหลีดังมาจากข้างหลังว่า “เหตุใดเมื่อกี้จึงไม่ขี่ม้าหนีไป?”

อาหลัวหันกลับไปทำตาเขียวใส่ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากขี่ม้าหนีไป ข้าถูกม้าสลัดตกลงมาต่างหาก!”

จื่อหลีเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าก็หนีไปได้นี่ พวกเขาไม่ได้ต้องการชีวิตเจ้าสักหน่อย!”

อาหลัวยิ่งโมโหหนักขึ้น “ไม่ได้ยินพวกเขาพูดว่าข้าเป็น ‘คุณชายน้อยหน้าตางดงาม’ หรือไร? ข้าอยากหนีแต่ไม่มีโอกาส! ขอลาตรงนี้ ไม่ต้องพบกันอีก!”

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จื่อหลีก็ตามมา “อยากหัดขี่ม้าหรือไม่?”

อาหลัวไม่สนใจเขา จื่อหลีถามอีกว่า “อยากกินอาหารเลิศรสหมดทั้งเมืองเฟิงหรือไม่?”

อาหลัวยังคงไม่สนใจเขา จื่อหลีถอนหายใจ “ข้าเพียงแต่อยากจะดูวิทยายุทธ์ของเจ้าเท่านั้น ท่ากระโดดเตะนั้นของเจ้าหมดจดงดงามมาก ข้าจึงทราบว่าเจ้าเคยฝึกวิทยายุทธ์มาก่อน หากเจ้ามีทีท่าว่าจะเสียท่าจริงๆ ข้าย่อมจะลงมือช่วยอย่างแน่นอน แม้ว่าข้าไม่ลงมือช่วย องครักษ์ของข้าก็จะลงมือ เอาอย่างนี้ เจ้าจงบอกมาเถิด ขอเพียงข้าทำได้ จะตามใจเจ้าทั้งหมด”

อาหลัวหยุดเดิน คิดในใจ ...จื่อหลีดูเผินๆ เหมือนมาเพียงลำพัง กลับมีองครักษ์ที่ผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวดมากมายปานนี้ลอบคุ้มครองอย่างลับๆ ที่มาจะต้องไม่ด้อยอย่างแน่นอน ดังนั้นห้ามไปมีความเกี่ยวข้องใดกับเขาเด็ดขาด... จึงเอ่ยปากถามย้ำว่า “จริงหรือ?”

“จริงสิ” จื่อหลียิ้มน้อยๆ

อาหลัวถามต่อ “ท่านรวยมากหรือไม่?”

จื่อหลีขมวดคิ้ว “ถือว่าพอมีก็แล้วกัน!”

อาหลัวพูดยิ้มๆ “รวยก็ใช้ได้แล้ว ขอถามสักหน่อยได้หรือไม่ว่า ต้องใช้เงินมากเท่าใดถึงจะซื้อเหลาเชียนเฟิงได้?”

จื่อหลียิ้ม “เจ้าอยากได้เหลาเชียนเฟิง?”

อาหลัวส่ายหน้า จื่อหลีนิ่งคิดแล้วตอบว่า “หนึ่งหมื่นตำลึงเงินกระมัง”

“อย่างนั้นหากจะซื้อเรือนสักหลังในเมืองเฟิงกับใช้จ่ายกินอยู่ไปทั้งชีวิต ต้องใช้เงินเท่าไรถึงจะพอ?” อาหลัวถามต่อ

จื่อหลีกล่าวตอบยิ้มๆ “เงินไม่กี่ร้อยตำลึงสามารถซื้อเรือนพักชั้นกลางค่อนข้างดีหนึ่งหลังได้ คนปกติทั่วไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่สุด ๕๐-๑๐๐ ตำลึงเงินก็สามารถอยู่ได้หนึ่งปีแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้นอาหารไม่กี่อย่างเมื่อกี้ก็กินค่าใช้จ่ายของคนทั่วไปตั้งหนึ่งเดือนเทียวนะ!” อาหลัวเห็นว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนของที่นี่กว้างมากจริงๆ

จื่อหลียังคงยิ้มบางๆ “ซื้อสาวใช้หนึ่งนาง เพียง ๒๐ ตำลึงก็พอแล้วเสียด้วยซ้ำ”

“ข้าต้องการเงินหนึ่งพันตำลึง ท่านให้ข้าได้หรือไม่?” อาหลัวถาม

จื่อหลีประหลาดใจ “เจ้าต้องการเงินหนึ่งพันตำลึงไปทำอะไร?”

“เป็นค่าตอบแทนอย่างไรเล่า! ช่วยชีวิตท่านหนึ่งครั้ง ข้าเหนื่อยแทบตาย! อย่างไรชีวิตท่านคงมีค่าถึงหนึ่งพันตำลึงกระมัง!”

ผู้ติดตามตวาดกร้าวอย่างโกรธเกรี้ยวมาจากด้านข้าง “เจ้ากล้าหยามนายข้าเรอะ!”

จื่อหลีปรายตามองผู้ติดตาม ผู้ติดตามก้มหน้าลงทันควัน ไม่เอ่ยอะไรอีก สีหน้าเดือดดาลอย่างมาก อาหลัวย้อนถามอย่างฉงน “ไม่พอใจที่ข้าคิดราคาเจ้านายของท่านต่ำเกินไปหรือ? อย่างนั้นเอาเป็นสองพันตำลึงก็แล้วกัน”

ผู้ติดตามไม่กล้าต่อคำอีก เลือดขึ้นหน้าจนแดงก่ำ จื่อหลีเอ่ยยิ้มๆ “ต่อให้เจ้าต้องการเหลาเชียนเฟิงก็ยังได้”

อาหลัวยิ้ม “ข้าไม่โลภมาก สองพันตำลึง เราสองคนจ่ายเงินมอบของต่างฝ่ายต่างจบ ต่อไปต่างไม่ติดค้างกันอีก”

จื่อหลีมองนางอย่างลึกล้ำ “ยังคงโกรธที่ข้าเตรียมการอยู่ก่อนแต่กลับไม่ลงมือหรือ?”

อาหลัวพูดยิ้มๆ “ข้าเป็นวิทยายุทธ์ ทั้งเรายังเพิ่งจะรู้จักกัน ท่านจะนึกระแวงก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง เพียงแต่...ข้าไม่ชอบ!”

จื่อหลียื่นมือออก ผู้ติดตามล้วงตั๋วเงินออกมาปึกหนึ่ง ชายหนุ่มยื่นให้อาหลัวโดยไม่แม้แต่จะดู อาหลัวรับมา หยิบขึ้นสองพันตำลึง แล้วคืนที่เหลือให้เขา หันกายเดินจากไป

ขณะจะเดินออกพ้นตรอก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น แขนข้างหนึ่งรวบเอวยกตัวนางขึ้นบนหลังม้า จื่อหลีเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจะส่งเจ้ากลับไป บ้านเจ้าอยู่ที่ใด?”

อาหลัวกำลังอ่อนล้าสิ้นแรงพอดี ในเมื่อมีแท็กซี่บริการฟรีจึงไม่คิดจะปฏิเสธ กล่าวตอบไปว่า “ไปส่งข้าตรงที่พบกับท่านก็ได้”

จื่อหลีไม่พูดอะไรอีก ขี่ม้าห้อตะบึงย้อนไปตามเส้นทางเดิมออกจากประตูเขตตะวันออก ควบไปจนถึงริมแม่น้ำ

อาหลัวลงจากม้าแล้วทำท่าจะเดินจากไปทันที แต่จื่อหลีรั้งนางไว้ ปลดหยกประดับจากเชือกแพรถักที่ข้างเอวมอบให้นาง “ต่อไปหากมีเรื่อง ให้ไปที่ร้านจำนำซิ่งหยวนในเมืองขอพบเถ้าแก่ร้าน บอกไปว่าคุณชายจื่อหลีมอบให้เจ้า”

อาหลัวนิ่งคิดเล็กน้อยแล้วรับไว้

จื่อหลีขึ้นขี่ม้าอย่างเงียบงัน แล้วเฆี่ยนม้าห้อตะบึงจากไป อาหลัวเดินถึงริมกำแพงล้อมคฤหาสน์มหาเสนาบดี มองดูว่ารอบด้านไม่มีคน ก็หยิบตี๋ออกมาเป่าเป็นสัญญาณลับ ครึ่งเค่อให้หลังเสี่ยวอวี้จึงโผล่ขึ้นบนสันกำแพง

เมื่อกลับถึงเรือน อาหลัวก็หมดเรี่ยวแรงไปทั้งตัว อยากแต่จะแช่น้ำอุ่นอย่างเดียว ฟูเหรินเจ็ดเห็นนางอ่อนเพลียเช่นนี้ก็ไม่ได้ถามไถ่มากความ

อาหลัวแช่อยู่ในน้ำอุ่นแล้วสบายกายนัก สมองจึงเริ่มแล่น คุณชายจื่อหลีผู้ซึ่งรูปโฉมไม่ธรรมดา ฝีมือก็ไม่ธรรมดาคนนี้คือใครกันแน่? ดูจากวิธีปกครองลูกน้องของเขาแล้ว เขาพอจะมีความสามารถด้านบริหารอยู่ไม่น้อย คิดแล้วก็นึกโมโหขึ้นมาอีก นางแล่นไปวิวาทอย่างเปลืองแรงเปล่า ถูกคนเขาปั่นหัวเล่นเป็นละครลิงแท้ๆ ทั้งที่หากนางไม่เป็นคาราเต้ จื่อหลีก็ไม่มีทางนั่งงอมือรอความตายอยู่ดี เหตุใดคนของที่นี่จึงเจ้าเล่ห์เป็นปิศาจลิงกันทั้งนั้น ไม่มีใครซื่อเลยสักคน ที่ดีใจคือได้เงินมาอีกสองพันตำลึงแล้ว ทั้งยังได้หยกประดับสารพัดนึกมาอีกหนึ่งชิ้น นี่เป็นของล้ำค่าเลยเทียวละ เพราะไม่แน่ว่าวันใดสักวันอาจได้มีเรื่องต้องขอร้องจื่อหลี เขาจะช่วยนางอย่างแน่นอน ไม่ทราบเพราะเหตุใดนางจึงเชื่อถือถ้อยคำที่จื่อหลีพูดอย่างมาก

อาบน้ำเสร็จแล้ว อาหลัวได้มอบตั๋วเงินให้ฟูเหรินเจ็ดเก็บรักษาไว้ ฟูเหรินเจ็ดถามอย่างตกตะลึง “เหตุใดออกไปเพียงวันเดียวก็นำเงินกลับมาตั้งมากมายปานนี้? ซานเอ๋อร์ คงไม่ใช่ว่าเจ้าไปทุบตีใครสลบแล้วปล้นเขามาอีกดอกนะ?”

อาหลัวยิ้มหน้าบาน “วันนี้ทุบตีคนสลบไปหลายคนจริงๆ นั่นแหละ ข้าช่วยชีวิตคนผู้หนึ่ง เขาจึงมอบเงินนี้ให้เป็นการขอบคุณ ที่มาของเงินจึงขาวสะอาดอย่างแน่นอน เหนียง เราซื้อเรือนที่ข้างนอกกันดีหรือไม่? ข้าคิดว่าเงินพอแล้วละ” นางไตร่ตรองแล้วว่าหากจะไปจากคฤหาสน์หลังนี้ ก็จำเป็นต้องมีที่สำหรับพักอาศัยหลบซ่อนตัวชั่วคราว

ฟูเหรินเจ็ดก็เห็นพ้องเช่นกัน “ความคิดนี้ดีนัก หากมีวันใดพวกเราไปจากคฤหาสน์หลังนี้ จะได้มีที่ให้พักอาศัย จริงสิ ฟังว่าหวางโฮ่วทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้บรรดาฟูเหรินและคุณหนูไปร่วมชมจันทร์ในวัน ๑๕ ค่ำเดือน ๘ คาดว่าคงประสงค์จะดูตัวชิงเหล่ยและกำหนดตัวว่าที่ไท่จื่อเฟยแล้ว”


<>::<>::<>::<>::<>::<>

[1] พี่รูเหลี่ยม หมายถึง เงิน (ดูภาพที่ 29 หน้า)
[2] ฉื่อ คือหน่วยวัดความยาวของจีนโบราณ 1 ฉื่อ = 10 นิ้วโดยประมาณ
[3] หินหลิงหลง คือหินซึ่งมีลักษณะเป็นรูพรุนใหญ่เล็กไปทั้งก้อน (ดูภาพที่ 30 หน้า)
[4] Give me but one firm spot on which to stand, and I will move the earth. (Oxford Dictionary of Quotations, Second Edition, Oxford University Press, London, 1953, p. 14.)
[5] เสื้อจงอี คือเสื้อแบบจีนโบราณที่สาบเสื้อต้องพาดทับกัน (ดูภาพที่ 31 หน้า)
[6] เสี่ยวซฺยงตี้ แปลว่า พี่น้องน้อย; ซฺยง แปลว่า พี่ชาย, ตี้ แปลว่า น้องชาย
[7] ต้าเกอ แปลว่า พี่ชายใหญ่, พี่ชายคนโต
[8] ตี้ หรือ ตี้ตี แปลว่า น้องชาย
[9] เค่อ คือการนับเวลาของคนจีนโบราณ 1 เค่อ คือเวลาประมาณ 15 นาที
[10] เสี่ยวตี้ แปลว่า น้องชายคนเล็ก
[11] เสี่ยวเอ้อร์ คือ พนักงานบริการทั่วไปภายในร้านอาหารและโรงเตี๊ยม
[12] ต้าซือฟู่ ในที่นี้หมายถึง “พ่อครัวใหญ่”
[13] ซู่ช่าย แปลว่า อาหารจำพวกพืชผัก
[14] ก้าวคันศร คือ 1 ใน 5 ก้าวพื้นฐานของวิชากังฟูของจีน (ดูภาพที่ 32 หน้า)
[15] จู่กง แปลว่า “ท่านเจ้านาย” คือคำที่ลูกน้องบริวารใต้อาณัติใช้เรียกเจ้านาย
แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:39 โดย หลินโหม่ว

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:37

0 ความคิดเห็น