หัวข้อ : ม่านม่านชิงหลัว บทที่ 3

โพสต์เมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:34

บทที่ 3

 

หลี่ชิงเหล่ยกับหลี่ชิงเฟยเติบโตเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้นทุกวันตามวัย อาหลัวไม่ถึงกับว่ามีความแค้นอะไรกับพวกนาง แต่เนื่องจากท่านแม่ของแต่ละคนเป็นเหตุ สามพี่น้องจึงต่างไม่ได้คบค้าสมาคมกัน

วิชาดีดพิณของชิงเหล่ยกับวิชาเขียนพู่กันของชิงเฟยค่อยๆ โดดเด่นเป็นที่ลือเลื่องท่ามกลางบรรดากุลสตรีในห้องหอทั้งหลาย ชื่อเสียงที่ว่าในบ้านมหาเสนาบดีหลี่มีบุตรีอัจฉริยะอยู่สองนางได้แพร่กระจายออกไปในเมืองเฟิงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว มีเพียงคุณหนูสามชิงหลัวเท่านั้นที่น้อยนักจะมีผู้ใดรู้จัก

ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน ผู้ที่มาสู่ขอหลี่ชิงเหล่ยกับหลี่ชิงเฟยก็มีมากเสียจนแทบจะย่ำธรณีประตูคฤหาสน์มหาเสนาบดีพังภินท์ มหาเสนาบดีหลี่เอาแต่ส่ายศีรษะกล่าวว่าบุตรียังเล็กนัก ท่านไม่อาจตัดใจให้ออกเรือนไปเร็วปานนี้ ถึงกระนั้นงานเลี้ยงชมดอกท้อของเมืองเฟิงในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ มหาเสนาบดีหลี่ก็ได้รับบัตรเชิญจากฮู่กว๋อกงจู่[1]ด้วยเช่นกัน

งานเลี้ยงชมดอกท้อเป็นงานเลี้ยงในฤดูใบไม้ผลิที่ใหญ่โตเอิกเกริกที่สุดของเมืองเฟิง เดิมทีฮู่กว๋อกงจู่ทรงเป็นพระขนิษฐาของหนิงหวาง[2] หลังจากอภิเษกสมรสกับแม่ทัพใหญ่เฉินได้เพียงไม่นานก็ตกพุ่มม่าย งานเลี้ยงชมดอกท้อนี้ก็คืองานเลี้ยงชุมนุมอย่างเป็นการส่วนตัวของเหล่ากุลสตรีในห้องหอ ซึ่งในฤดูใบไม้ผลิองค์หญิงทรงอยู่ว่างไม่มีกิจธุระใดให้กระทำ จึงได้จัดงานเลี้ยงนี้ขึ้นที่เรือนพักตากอากาศเคหาสน์เก็บมรกต ทุกครั้งที่ถึงวาระมวลหมู่พฤกษชาติในเขตเคหาสน์ผลิบาน องค์หญิงก็จะทรงเชื้อเชิญบรรดาภริยาและธิดาของพระญาติพระวงศ์ ราชินีกุล ตลอดจนขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนักทั่วทุกคนมาร่วมชุมนุมสังสรรค์ชมดอกไม้ ต่อมาภายหลังจึงค่อยๆ เชื้อเชิญบรรดาชายหนุ่มทรงภูมิรูปงามสง่าในเมืองเฟิงมาร่วมด้วย ผลคืองานเลี้ยงนี้ได้กลายเป็นงานเลี้ยงดูตัวชั้นสูงไปโดยปริยาย

มีคำกล่าวว่าเมืองเฟิงมีคุณชายอยู่ห้าท่าน คุณชายทั้งห้าได้แก่ ไท่จื่อ[3]แห่งแคว้นหนิง หลิวเจี้ยน, องค์ชายสี่ หลิวเฟย, โอรสของอานชิงหวาง[4] หลิวเจว๋, จ้วงหยวน[5]ของการสอบครั้งล่าสุด เฉิงซือเยว่ และบุตรชายของมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย กู้เทียนเสียง ฟังว่าล้วนแต่เป็นชายหนุ่มอายุประมาณ ๒๐ ปีที่ทรงภูมิรู้รูปงามสง่าด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อเอ่ยถึงห้าคุณชาย สาวน้อยกว่าครึ่งในเมืองเฟิงต่างต้องทำตาลอยอย่างเคลิ้มฝัน

มหาเสนาบดีหลี่ได้รับบัตรเชิญมาก็ลูบเครานิ่งคิด ฟังว่างานเลี้ยงชมดอกท้อครั้งนี้มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าห้าคุณชายแห่งเมืองเฟิงจะไปร่วมงานกันทุกคน เพียงราชนิกุลชั้นสูงก็มีถึงสามคนแล้ว ทั้งยังโสดกันทุกคน เมื่อไม่กี่วันก่อนหนิงหวางทรงลอบบอกต่อเขากลายๆ ว่าต้องตาชิงเหล่ย บุตรสาวคนโตของเขา หากไม่มีเรื่องผิดคาดใดจะได้เป็นตัวเลือกของตำแหน่งไท่จื่อเฟย[6] มหาเสนาบดีหลี่ฟังแล้วตื้นตันใจจนน้ำหูน้ำตาไหล หลังจากนั้นก็ได้ยินมาว่ามหาเสนาบดีกู้ก็ได้รับการบอกกล่าวกลายๆ แบบเดียวกันนี้ นั่นคือหนิงหวางทรงต้องพระทัยบุตรีของมหาเสนาบดีกู้ กู้เทียนหลิน...หญิงสาวซึ่งได้รับการขนานนามร่วมกับชิงเหล่ยว่าเป็นสองสุดเลิศล้ำแห่งเมืองเฟิง มหาเสนาบดีหลี่จึงเริ่มจะไม่มั่นใจนัก

หลังจากนั้นมาอีกก็ได้ยินว่าหวางโฮ่ว[7]ทรงมีเจตนาจะให้หวางเยี่ยนหุยหลานสาวของพระองค์ บุตรีของไท่เว่ย[8] คนปัจจุบันได้ตำแหน่งนี้ ฟังว่าคุณหนูหวางเยี่ยนหุยวางแผนการได้เก่งกาจเหนือธรรมดา เฉลียวฉลาดเป็นเลิศ รูปโฉมคงจะสู้กู้เทียนหลินกับหลี่ชิงเหล่ยไม่ได้ แต่ก็กล่าวได้ว่างามหมดจด อิทธิพลอำนาจของตระกูลหวางยิ่งไม่อาจจะดูแคลน

เมื่อความเห็นของหนิงหวางและหวางโฮ่วไม่ตรงกัน ฮู่กว๋อกงจู่จึงเสนอให้จัดงานเลี้ยงชมดอกท้อ โดยมีจุดประสงค์ให้ธิดาของทั้งสามตระกูลต่างเผยโฉมต่อหน้าผู้คน แฝงเจตนาให้ประกวดประขันกันอย่างเปิดเผย หนิงหวางทรงรักใคร่ตามใจไท่จื่อมาแต่ไหนแต่ไร จึงมีราชโองการให้ถือความพอใจของไท่จื่อเป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้ งานเลี้ยงชมดอกท้อจึงได้กลายมาเป็นงานเลี้ยงเลือกเฟ้นไท่จื่อเฟยไปโดยปริยาย

ทุกคนต่างทราบดีว่างานเลี้ยงครั้งนี้มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง จึงพากันรอดูสามดรุณีแข่งขันชิงตำแหน่งไท่จื่อเฟย

มหาเสนาบดีหลี่พินิจดูบุตรสาวทั้งสาม ชิงเหล่ยภูมิฐานสำรวมเยือกเย็นเฉิดฉาย ชิงเฟยเปิดเผยร่าเริง ชิงหลัวตัวเล็กบางอ่อนหวาน กล้วยไม้วสันต์เบญจมาศสารท[9] ต่างเด่นไปคนละแบบ นอกจากอาหลัวที่ไม่มีวิชาเลิศล้ำโดดเด่น บุตรีอีกสองนางต่างสร้างความพอใจให้แก่เขาอย่างที่สุดทั้งคู่ แต่ครั้นไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่ ก็ยังคงไม่มั่นใจอยู่ดี จึงให้ร้อนใจจนเดินวนไปมาอยู่ในห้องทำงาน

ฟูเหรินใหญ่ยิ้มละไม “เหล่าเหยีย ไยจึงไม่ให้บุตรสาวไปร่วมงานเลี้ยงทั้งสามคนเล่า? มิใช่ฟังว่าห้าคุณชายแห่งเมืองเฟิงจะมาร่วมงานกันทุกคนดอกหรือ?”

ถ้อยคำนี้ของฟูเหรินใหญ่สะกิดให้มหาเสนาบดีหลี่ฉุกใจคิดได้ แม้ไม่ได้เป็นไท่จื่อเจิ้งเฟย เป็นเช่อเฟย[10]ก็ได้นี่ ส่วนบุตรีอีกสองคนนั้นหากสามารถเป็นที่ต้องตาของห้าคุณชายแห่งเมืองเฟิงคนใดสักคน ล้วนไม่ใช่การค้าที่ขาดทุนทั้งสิ้น คิดได้ดังนี้ก็ลูบเครากล่าวยิ้มๆ “ฟูเหรินช่างมองการณ์ไกลยิ่งกว่าโดยแท้!”

 <>::<>::<>

ครั้นฟูเหรินเจ็ดได้ฟังว่าอาหลัวจะได้ไปร่วมงานเลี้ยงชมดอกท้อด้วย ดวงตาก็เปล่งประกายสุกใส กลับถึงสวนห่ายถังโอบอาหลัวไว้กล่าวว่า “ซานเอ๋อร์ แม้เจ้าจะอายุเพียง ๑๒ ปี แต่เจ้ากลับมิได้ด้อยไปกว่าพี่สาวทั้งสองของเจ้าเลย งานเลี้ยงครั้งนี้บรรดาคุณชายตระกูลสูงของแคว้นหนิงแทบจะถูกเชิญมาทั้งหมด เจ้าจงดูให้ถี่ถ้วนละ จะได้เก็บไว้คิดอ่านในวันหน้า”

อาหลัวใจหายวาบ “เหนียง ข้าเพิ่งจะ ๑๒ ขวบเท่านั้นนะ!” ๑๒ ขวบก็ไปดูตัวแล้ว? นางรู้สึกเหลือเชื่อนัก ไม่ว่าธรรมเนียมของที่นี่เป็นอย่างไร ตัวนางต้องไม่มีทางยอมรับได้แน่นอน ถึงกระนั้นการที่จะได้ออกไปนอกคฤหาสน์มหาเสนาบดีก็ทำให้เด็กสาวตื่นเต้นยินดี หกปีแล้ว...ในที่สุดก็ได้ออกไปข้างนอกเสียที ไม่รู้ว่าการนี้หมายความว่าต่อไปจะสามารถออกไปนอกคฤหาสน์ได้หรือไม่

ฟูเหรินเจ็ดเอ่ยยิ้มๆ “สตรีแคว้นหนิงอายุ ๑๕ ก็สามารถแต่งงานได้แล้ว อาหลัวของข้าสามารถหมั้นหมายคู่ครองดีๆ ไว้ก่อนได้ รอจนเติบใหญ่แล้วค่อยแต่งก็ไม่สาย!”

อาหลัวถอนหายใจอย่างหดหู่ “ข้าไม่อยากไปจากเหนียง ยิ่งไม่อยากหมั้นหมายเร็วปานนี้ด้วย!”

ฟูเหรินเจ็ดปลอบโยนว่า “เหนียงก็ไม่อยากแยกจากเจ้าเช่นกัน แต่เจ้าจะอยู่กับเหนียงไปจนชั่วชีวิตหาได้ไม่ หากสามารถพบคนดีๆ สักคน อย่างไรก็ยังดีกว่าต่อไปต้องหลับหูหลับตาออกเรือนไปกับใครสักคน เหนียงเพียงแต่ต้องการให้เจ้าตั้งใจดูในงานเลี้ยงอย่างถี่ถ้วนเท่านั้น หากดูดีแล้วว่ามีผู้ที่ต้องตา ต่อไปภายหน้าจะได้ถือเป็นตัวเลือกว่าที่เขยขวัญ”

อาหลัวคร้านจะพูดต่อ หมั้นหมายเร็วปานนี้แล้ว ๓-๔ ปีให้หลังก็แต่งงาน จากนั้นย้ายไปห้ามออกจากบ้านที่คฤหาสน์อีกหลังหนึ่งอย่างนั้นหรือ? หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่เอาด้วยหรอก! นางคิดเพียงแค่ว่าจะฉวยโอกาสที่ได้ออกไปนอกคฤหาสน์ครั้งนี้ชมดูทิวทัศน์เบื้องนอกให้เต็มที่ เพราะนางเก็บกดจะแย่อยู่แล้ว

 <>::<>::<>

๗ ค่ำเดือน ๓ ลมวสันต์ไล้ใบหน้า ตะวันอุ่นสาดส่องสูง อากาศดีเหมาะแก่การย่ำวสันต์[11]อย่างที่สุด

ฟูเหรินใหญ่พาธิดาทั้งสามนางออกงานเลี้ยงชมดอกท้อ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ฟูเหรินใหญ่พึงพอใจมากที่สุด ด้วยว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่มีสิทธิ์ร่วมยืนอย่างหยิ่งผยองกับปวงสตรีสูงศักดิ์ของแคว้นหนิง วันนี้นางจงใจเกล้าผมเป็นมวยสูงทรงฉาวเทียนจี[12] สวมชุดกระโปรงสีทองหม่นมีตัวอักษร “ฝู[13]” ปักลวดลาย ผมเสียบดอกโบตั๋นทำจากทองคำ ไข่มุกร้อยเรียงแกว่งไกวตามย่างก้าว หยกประดับไหวกระทบดังกรุ๋งกริ๋ง ภายใต้การขับเน้นของเสื้อผ้าและทรงผม รูปร่างท้วมสมบูรณ์ของวัยกลางคนยิ่งเสริมให้เห็นถึงความสูงศักดิ์เปี่ยมราศีของภริยามหาเสนาบดี

อาหลัวพินิจดูหลี่ชิงเหล่ย เอี๊ยมปิดอกสีฟ้าอ่อน เอวพันกระโปรงสีขาว ใช้ด้ายเงินปักรูปกิ่งเหมยพาดทับซับซ้อนอย่างละเอียดประณีตเป็นต้นเหมยที่ผลิดอกตูมเต็มต้น ยืนตัวตรงเป็นสง่า ดวงหน้ารูปหัวใจงามหมดจดสำรวม เยือกเย็นพิลาสไร้ผู้เทียม

หันไปดูหลี่ชิงเฟย เอี๊ยมปิดอกสีหยกสวมทับด้านนอกด้วยเสื้อแพรเนื้อบางสีแดงอ่อน ชายกระโปรงและชายแขนเสื้อใช้ด้ายสีเข้มกว่าปักรูปหมู่ผกาดอกแล้วดอกเล่า รูปร่างของนางสูงที่สุดในสามสาว อายุ ๑๔ ก็สูงถึง ๑๖๐-๑๗๐ เซนติเมตรแล้ว ครั้นสายลมโชยพัดมา หอบเสื้อแพรพลิ้วไหวขึ้น แลสง่าดั่งห่านป่า

ย้อนกลับมาดูตัวเอง เสื้ออ๋าวสีเขียวกับกระโปรงสีเขียวเข้ม ทั้งยังเกล้าผมเป็นมวยเด็กสองมวย ผมม้าที่ทิ้งลงปรกหน้าผากเพิ่งจะให้เสี่ยวอวี้ช่วยตัดแต่งให้หมาดๆ ปิดดวงหน้าเล็กๆ ไปเสียครึ่ง บนศีรษะมีแถบแพรสองเส้นปลิวไสว เมื่อไปยืนอยู่ข้างๆ ชิงเหล่ยกับชิงเฟย ไม่เพียงแต่ตัวเตี้ยกว่าพี่สาวทั้งสองถึงหนึ่งช่วงศีรษะเท่านั้น มิหนำซ้ำยังดูเหมือนสาวใช้ที่ชิงเหล่ยกับชิงเฟยพามาไม่มีผิดอีกด้วย

ชิงเหล่ยกับชิงเฟยดูชิงหลัวแล้วหัวเราะคิก ฟูเหรินใหญ่ขมวดคิ้ว แล้วคิดเสียว่าชิงหลัวยังเล็กอยู่ ตัวเอกของวันนี้คือบุตรีคนโตกับคนรองต่างหาก จึงมิได้สั่งให้ชิงหลัวไปแต่งตัวมาใหม่

อาหลัวกล่าวประจบอย่างนอบน้อมว่า “วันนี้ต้าเจี่ยกับเอ้อร์เจี่ยช่างงามนัก อาหลัวขอเป็นสาวใช้ช่วยตั้งใจเลือกชายหนุ่มที่พึงใจให้ต้าเจี่ยกับเอ้อร์เจี่ยก็แล้วกันนะเจ้าคะ”

ชิงเหล่ยกับชิงเฟยหน้าแดงเรื่อดุนางทันที “ยายม้าดีดกะโหลกร้ายอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!”

อาหลัวหัวเราะหน้าเป็นโดยไม่พูดตอบ

นั่งรถเกี้ยวเทียมม้าออกจากคฤหาสน์มหาเสนาบดี นี่เป็นการออกนอกประตูคฤหาสน์ครั้งแรกนับตั้งแต่มายังโลกต่างมิติแห่งนี้ อาหลัวเกิดความอยากรู้อยากเห็นอย่างรุนแรง จึงเลิกม่านรถมองออกไปข้างนอกในระหว่างทางอย่างอดใจไม่อยู่ ฟูเหรินใหญ่กระแอมออกมาแล้วอบรมว่า “อาหลัว ตอนจะออกจากบ้าน เตียเจ้าสั่งสอนไว้ว่าต้องระมัดระวังฐานะของกุลสตรีชั้นสูง ห้ามทำให้ท่านขายหน้าเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะลงโทษตามกฎตระกูล เจ้าดูอาเหล่ยกับอาเฟยแล้วย้อนดูตัวเองเถิด นิสัยไม่รู้จักสำรวมของน้องเจ็ดพลอยสอนให้บุตรสาวด้วยเสียแล้ว!”

อาหลัวฉุนกึกในใจทันที เก็บสายตาอยากรู้อยากเห็นกลับ นั่งตัวตรงอย่างสำรวม คิดในใจว่า ...สักวันเถอะ ไว้ข้ามีกำลังจะคุ้มครองตัวเองเมื่อไร ข้าจะพาเหนียงชินคนงามย้ายออกไปจากคฤหาสน์มหาเสนาบดีให้ได้!...

รถม้าออกจากประตูคฤหาสน์มุ่งหน้าไปทางตะวันออกเกือบสองชั่วยามเต็มจึงค่อยหยุดลง ภายใต้การจับตาดูอย่างเข้มงวดของฟูเหรินใหญ่ สามพี่น้องต่างนั่งกันอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย อาหลัวถือเสียว่ากำลังฝึกโยคะ แต่ตอนลงจากรถขาก็ยังเลือดลมติดขัดชาเล็กน้อยอยู่ดี ไม่รู้ว่าชิงเหล่ยกับชิงเฟยฝึกวิชานั่งกันอย่างไร ตอนลงจากรถถึงได้พลิ้วลงไปอย่างเบาหวิวราวกับผีเสื้อก็ไม่ปาน

เห็นแต่ท้องฟ้าสี่เหลี่ยมในคฤหาสน์มหาเสนาบดีเสียนมนาน มาบัดนี้สายตาได้เปิดกว้าง ...อิสรภาพช่างดีอะไรอย่างนี้!... อาหลัวนึกทอดถอนในใจ วันใดหนอถึงจะสามารถไปท่องเที่ยวได้อย่างอิสรเสรี!

เคหาสน์เก็บมรกตของฮู่กว๋อกงจู่สร้างอิงภูเขา สามารถมองเห็นมุมชายคาและกำแพงสีนวลโผล่ให้เห็นท่ามกลางแนวป่าบนเนินเขาได้รำไร อาหลัวถอนหายใจอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ที่แท้ที่นี่เป็นเขตบ้านพักตากอากาศของเศรษฐีดอกหรือ

เดินเข้าประตูใหญ่ มีบ่าวรับใช้หามเกี้ยวรออยู่แล้ว และได้หามพวกนางเข้าไป นั่งเกี้ยวไปได้ครึ่งชั่วยามก็มาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง สีชมพูแถบใหญ่ได้ปรากฏแผ่ไพศาลขึ้นเบื้องหน้า สภาพภูมิประเทศของที่นี่เป็นพื้นราบ ธารน้ำตื้นใสกึ่งธรรมชาติกึ่งมนุษย์สร้างสรรค์ทอดไหลรินลดเลี้ยวอยู่ท่ามกลางป่าท้อ บนผิวน้ำมีกลีบดอกไม้ลอยมาเกือบตลอดเวลา นำพากลิ่นหอมจรุงชวนลุ่มหลง อาหลัวถอนหายใจเป็นครั้งที่สาม แดนถิ่นดอกท้อนอกโลกีย์[14]ที่ไร้มลพิษโดยแท้!

ครั้นได้ฟังสาวใช้มารายงานว่าฟูเหรินของมหาเสนาบดีหลี่มาถึง ฮู่กว๋อกงจู่ก็แย้มสรวลเสด็จมาต้อนรับ หลังจากต่างคำนับทักทายตามมารยาทและนั่งลงแล้ว ก็ได้ยินฮู่กว๋อกงจู่ตรัสถามฟูเหรินใหญ่ว่า “ได้ยินมานานว่าธิดาทั้งสองของบ้านท่านมีความสามารถเป็นเอกในเมืองเฟิง ทั้งยังงดงามราวกับนางสวรรค์ เข้ามาให้ข้าดูหน้าชัดๆ หน่อยเถิด”

ฟูเหรินใหญ่รีบบอกให้ชิงเหล่ยกับชิงเฟยเข้าไปหา

อาหลัวกับสาวใช้เจวียนเอ๋อร์ยืนอยู่ด้านข้างลอบพินิจดูฮู่กว๋อกงจู่ ซึ่งเป็นหญิงสูงศักดิ์ลักษณะภูมิฐานสำรวมและงดงามหมดจด อายุอยู่ในวัย ๓๐ ปี ท่วงทีกิริยาผ่าเผยเปี่ยมราศี เป็นบุคลิกที่ติดตัวมาแต่กำเนิด

ค่อยหันไปมองรอบด้าน พื้นที่ว่างแถบนี้ได้กางกระโจมโปร่งขนาดย่อมไว้สองแถว รอบกระโจมแต่ละหลังผูกม่านบางเบา เป็นกระโจมที่มีไว้สำหรับให้แขกที่มาได้ใช้งาน เพียงแต่ม่านของกระโจมที่มีภริยาและธิดาของคนใหญ่คนโตอยู่ภายในจะถูกปล่อยลง ในกระโจมเหล่านั้นมีฟูเหรินและดรุณีวัยกำดัดนั่งกระจายอยู่ไม่น้อย ซึ่งล้วนแต่แต่งกายประณีตงดงาม บ่งบอกว่าตั้งใจแต่งตัวก่อนจะมาถึงงาน

อาหลัวแอบหัวเราะ ยังดีนะที่วันนี้มีลม เมื่อลมพัดผืนม่านปลิวขึ้น โฉมหน้าของเหล่าสาวน้อยก็จะเผยให้เห็นอย่างไม่ต้องกังขา กำไรบรรดาชายหนุ่มที่นั่งเรียบร้อยสำรวม แต่กลับค่อยๆ ยืดคอยาว สายตาเหลือบแลไปมา

ผ่านไปครู่หนึ่ง ฟูเหรินใหญ่ที่หน้าแดงก่ำด้วยความภูมิใจก็พาสองสาวน้อยที่ต่างหน้าแดงเข้มเป็นลูกตำลึงสุกเข้าไปในกระโจมของบ้านมหาเสนาบดีหลี่พร้อมกัน อาหลัวติดใจอยากจะรู้อย่างมาก จึงรบเร้าถามชิงเฟยว่าเมื่อครู่นี้ฮู่กว๋อกงจู่ตรัสว่าอะไรบ้าง ชิงเฟยมีทีท่ากระมิดกระเมี้ยน ฟูเหรินใหญ่จึงเอ่ยปากบอกเสียเองว่า

“องค์หญิงทรงโปรดปรานชิงเหล่ยกับชิงเฟยมาก ตรัสว่าอีกสักครู่จะทรงเชิญไท่จื่อกับฝ่าบาทสี่เด็ดดอกไม้มาส่งให้” แล้วชี้ไปยังกระโจมฝั่งตรงข้าม เสริมว่า “นั่นแหละคือกระโจมของไท่จื่อ ที่อยู่ติดกันคือกระโจมของฝ่าบาทสี่” จากนั้นกระซิบว่า “ด้านซ้ายของพวกเราคือกระโจมของบ้านมหาเสนาบดีกู้ ด้านขวาคือกระโจมของบ้านหวางไท่เว่ย ฟังว่าบุตรีมหาเสนาบดีกู้กับบุตรีหวางไท่เว่ยต่างมาถึงกันก่อนแล้ว”

ครั้นได้ฟังที่ฟูเหรินใหญ่พูด ชิงเหล่ยกับชิงเฟยก็มองไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างห้ามใจไม่อยู่ ในกระโจมไม่มีใคร สองสาวจึงหันไปมองด้านซ้ายกับด้านขวา กระโจมด้านข้างทั้งสองด้านล้วนแต่มีม่านผืนบางบดบังสายตา มองเห็นสตรี ๒-๓ นางได้เพียงรางๆ โดยมองไม่เห็นใบหน้า สองสาวจึงออกจะผิดหวังและร้อนใจ

ชิงหลัวยิ้มเจ้าเล่ห์ “ต้าเหนียง อาหลัวขอไปสืบข่าวสักหน่อยได้หรือไม่?”

ฟูเหรินใหญ่ลังเลอยู่บ้าง “หากบังเอิญถูกจับได้ขึ้นมากลายเป็นเสียมารยาทจะทำอย่างไร? จะยังไงเจ้าก็เป็นถึงบุตรีของบ้านมหาเสนาบดี”

อาหลัวโน้มน้าวหน้าระรื่น “ต้าเหนียง เวลานี้ยังไม่มีผู้ใดทราบกระมังว่าข้าคือคุณหนูสามของบ้านมหาเสนาบดีฝ่ายขวา? สายตาของทุกคนต่างจับอยู่ที่ต้าเจี่ยกับเอ้อร์เจี่ยทั้งนั้น ก็บอกไปเลยสิว่าข้าคือสาวใช้ของที่บ้าน ท่านดูเถิด แต่เดิมก็เหมือนอยู่แล้วนี่”

ดวงตาฟูเหรินใหญ่ค่อยเปล่งประกายยิ้มละไม “ความคิดนี้ดีนัก วันนี้ไม่มีใครรู้จริงๆ นั่นแหละว่าคุณหนูสามของบ้านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาก็มาด้วย คนเขารู้กันหรือไม่ว่าบ้านมหาเสนาบดีฝ่ายขวามีคุณหนูสามอยู่ยังพูดยากด้วยซ้ำ เจ้าจงไปดูๆ คุณหนูสองคนนั้นเถิด แล้วค่อยฟังว่าคนอื่นเขาพูดอย่างไรบ้าง” จากนั้นหันไปสั่งเจวียนเอ๋อร์ว่า “เจ้าจงไปกับคุณหนูสาม ห้ามก่อเรื่องยุ่งยากใดเข้าละ”

เจวียนเอ๋อร์รีบพยักหน้ารับคำ อาหลัวยิ้มให้พี่สาวทั้งสองแล้วกระซิบว่า “เจี่ยเจียไม่ต้องร้อนใจไปละ อาหลัวไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมาแล้ว” ในที่สุดก็ไม่ต้องนั่งเอี้ยมเฟี้ยมเป็นกุลสตรีในกระโจมนั่นแล้ว อาหลัวรู้สึกเหมือนนกน้อยที่หลุดจากกรง พาเจวียนเอ๋อร์ที่คล้องตะกร้าใบหนึ่งกับแขนเดินไปทางป่าดอกไม้กันสองคน

เนื่องจากงานเลี้ยงชมดอกท้อของฮู่กว๋อกงจู่ในครั้งนี้มีจุดประสงค์อื่นแฝงอยู่ จึงอนุญาตให้แขกเด็ดดอกไม้ได้ตามใจชอบ หากได้พบเจอผู้ที่ต้องใจก็สามารถเขียนบทกวีผูกบนช่อดอกไม้ส่งมอบให้เป็นการเกี้ยวพาได้ หากไม่มีผู้ที่ต้องตาก็สามารถนำดอกไม้กลับกระโจม ให้ในกระโจมของบ้านตัวเองก็มีช่อดอกไม้ให้ชื่นชม จะได้ไม่ถึงกับต้องกระอักกระอ่วนที่ไม่มีผู้ใดมอบดอกไม้ นอกจากนี้ระหว่างสตรีด้วยกันยังสามารถมอบช่อดอกไม้แก่กันได้ เพื่อแสดงถึงไมตรีจิตและมารยาท อาหลัวก็ตั้งใจจะใช้ข้ออ้างว่ารับคำสั่งจากฟูเหรินมหาเสนาบดีหลี่มามอบดอกไม้ให้นี่แหละไปแอบดูโฉมหน้าของคุณหนูกู้เทียนหลิน บุตรีของมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย กับคุณหนูหวางเยี่ยนหุย บุตรีของหวางไท่เว่ย แน่นอนว่าตอนเดินผ่านกระโจมของพวกหนุ่มๆ ก็จะฉวยโอกาสดูๆ ด้วยเช่นกัน

เดินเข้าไปในสวนดอกไม้ อาหลัวรู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้หวนคืนสู่ธรรมชาติ เบื้องหน้าคือสีชมพูทั้งแผ่นผืน ใต้เท้าคือพื้นหญ้าหนานุ่ม ลำธารขจรกลิ่นหอมจรุง นางพูดยิ้มๆ กับเจวียนเอ๋อร์ “ที่นี่ช่างงามแท้!”

เจวียนเอ๋อร์อายุเพียง ๑๓-๑๔ ปี เป็นช่วงวัยที่กำลังรักสนุกพอดี จึงเดินตามคุณหนูสามชมทิวทัศน์ผสมชมดอกไม้จนค่อยๆ ออกห่างจากบริเวณที่พักไกลขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทราบเดินอยู่นานเท่าไร ครั้นเจวียนเอ๋อร์หันหน้ากลับไป ก็มองไม่เห็นที่ตั้งของกระโจมเสียแล้ว ที่ปรากฏแก่สายตามีเพียงต้นไม้ดอกไม้ทั้งสิ้น เด็กสาวจึงเริ่มจะลนลาน “คุณหนูสามเจ้าคะ เราหลงทางแล้วใช่หรือไม่?”

อาหลัวที่กำลังเริงร่าอารมณ์ดีชะงักงัน หันหน้ากลับไปดู ต้นไม้ดอกไม้หน้าตาคล้ายคลึงกันไปหมด แล้วกระโจมตั้งอยู่ทิศใดเล่า? นางพลอยร้อนใจขึ้นมาอีกคน

“แย่ละสิ เจวียนเอ๋อร์ ขืนกลับไปช้ามีหวังถูกต้าเหนียงดุเอาเป็นแน่ พวกเราเดินมาจากทิศไหนน่ะ?”

เจวียนเอ๋อร์ทำหน้าอมทุกข์ตอบไม่ได้ อาหลัวมองดูเงาจากแสงแดด ค่อยคิดถึงทิศที่ตั้งของกระโจม จากนั้นพาเจวียนเอ๋อร์เดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เดินไปได้ครู่หนึ่งก็ร้องออกมาอย่างดีใจ “เจวียนเอ๋อร์ ดูสิ ตรงโน้นไงกระโจมที่พัก!”

ทั้งสองคนรีบเร่งฝีเท้าตรงไปทางทิศที่มีผืนผ้าสีขาวพลิ้วไสว ขณะที่มองเห็นอยู่ว่าอีกเพียงครู่เดียวก็จะกลับไปได้แล้ว ลำธารตรงหน้ากลับเปลี่ยนเป็นแผ่กว้าง อาหลัวเก็บกิ่งไม้กิ่งหนึ่งลองปักลงในน้ำ ตำแหน่งที่ลึกจมถึงขาอ่อน

หากหาทางต่อ ก็กลัวว่าจะช้าเกินไป นางหันมองไปรอบด้าน...เงียบสงบมาก ได้ยินเสียงสรวลเสเฮฮาดังมาจากทางด้านกระโจมอยู่แว่วๆ เด็กสาวเริ่มถอดถุงเท้ารองเท้า พับขากางเกงขึ้นสูงอย่างตัดสินใจเด็ดขาด “ฉวยโอกาสที่ตอนนี้ไม่มีคน เร็วเข้าเจวียนเอ๋อร์ ขืนมีใครมาเห็นเข้าละได้ยุ่งแน่”

เจวียนเอ๋อร์ร้อนใจแทบร้องไห้ เห็นคุณหนูลงน้ำไปแล้วและยื่นมือมาจูงนาง ก็แข็งใจถอดถุงเท้ารองเท้าตามอย่าง เทินตะกร้าไว้เหนือศีรษะ กุมมืออาหลัวเดินข้ามไปทีละก้าวๆ ขณะที่ใกล้จะถึงฝั่ง เจวียนเอ๋อร์ก็ไปเหยียบถูกก้อนหินที่นูนขึ้นมาและเสียหลักเซวูบ ตะกร้าที่ใส่ถุงเท้ารองเท้าและกิ่งดอกไม้ได้ตกลงไปในน้ำ นางจึงร้องอุทานออกมาอย่างลืมตัว “ตะกร้า!”

อาหลัวปล่อยมือเจวียนเอ๋อร์ไปคว้าตะกร้า มือคว้าตะกร้าไว้ได้ แต่ตัวกลับเสียหลัก ขณะที่เห็นอยู่ว่ากำลังจะเซล้มลงไปในน้ำ เงาร่างหนึ่งซึ่งไม่ทราบว่าเหาะมาจากที่ใดได้กระชากแขนของนางดึงพาพ้นขึ้นมาจากน้ำ

“ว้าย!” อาหลัวหวีดร้องอย่างลืมตัว พริบตาถัดมาสองเท้าก็แตะถูกฝั่ง

นางยังไม่หายเสียขวัญ เบิกตากว้างจ้องคนตรงหน้าเขม็ง พบว่าอีกฝ่ายคือชายหนุ่มร่างสูงเพรียวงามสง่าและกำลังอมยิ้มมองนางอยู่ สายตาทอดลงข้างล่างเหมือนถูกตรึงไว้กระนั้น อาหลัวหน้าแดงก่ำก้มหน้าลง ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองขาอ่อนกับเท้าเปลือยเปล่าของนางอยู่ ไฟโทสะก็ลุกพรึบขึ้นในใจทันที ตะคอกเสียงแข็ง “หันหลังไปซะ ข้ากูเหนี่ยง[15]จะสวมรองเท้า!”

ชายผู้นั้นค่อยรู้สึกตัวว่ากำลังเสียมารยาทและหันหลังให้ อาหลัวเห็นแผ่นหลังของเขาสั่นระริก ก็ทราบว่าเขากำลังแอบหัวเราะ จึงนึกสรรเสริญชายหนุ่มอยู่ในใจ

เจวียนเอ๋อร์ก็ขึ้นมาบนฝั่งแล้วเช่นกัน สองนายบ่าวรีบร้อนแต่งตัวให้เรียบร้อย เสร็จแล้วอาหลัวค่อยพูดเนิบๆ กับชายหนุ่มผู้นั้นว่า “เมื่อกี้นี้ขอบคุณท่านแล้ว ท่านอย่าเพิ่งหันมาละ พวกข้ายังสวมถุงเท้าไม่เสร็จ เดิมทีน่ะก็ควรจะขอบคุณท่านดีๆ อยู่ดอก แต่ว่า...” น้ำเสียงของนางพลันเปลี่ยนไป “ใครใช้ให้ตาของเจ้าดันอยู่ไม่สุขล่ะยะ?!” ขาดคำเด็กสาวก็ใช้ออกไปหนึ่งกระบวนท่า ฝ่ายนั้นนึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่ายาโถว[16]ที่เกือบจะหัวทิ่มลงไปในน้ำผู้นี้มีวิทยายุทธ์ ทั้งยังใช้พลังได้อย่างพอดิบพอดีอีกด้วย จึงถูกเล่นงานตัวเอียงวูบล้มไปทางลำธาร

ปรากฏว่าชายหนุ่มพลิกเปลี่ยนท่าร่างที่กลางอากาศติดต่อกันหลายครั้ง ฝ่ามือข้างหนึ่งตบลงใส่ผิวน้ำ แขนเสื้อเปียกชุ่มไปครึ่งซีก ร่างทั้งร่างกลับยืมพลังพลิกตัวเหวี่ยงร่างไปถึงฝั่งตรงข้ามโดยไม่ได้ตกลงไปในน้ำ

อาหลัวตกตะลึง คนคนนี้มีวิทยายุทธ์ที่เล่าลือกัน! นางรีบคว้ามือเจวียนเอ๋อร์วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนโดยไว

หลังจากชายหนุ่มผู้นั้นยืนหยัดมั่นคงดีแล้วก็หันกลับมา ครั้นเห็นสาวน้อยทั้งสองหิ้วตะกร้าวิ่งกันล้มลุกคลุกคลานก็คลี่ยิ้มอย่างลืมตัว ค่อยสะบัดแขนเสื้อคิดในใจ ...สาวใช้ป่าเถื่อนที่บ้านใดเลี้ยงไว้กัน! ขอเพียงเจ้าอยู่ในงานเลี้ยงนี้ ข้าหรือจะหาตัวเจ้าไม่พบ?...

ในใจอาหลัวปั่นป่วนลนลาน กลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา จึงเฝ้าย้ำกำชับเจวียนเอ๋อร์ว่าห้ามพูดเรื่องที่ลำธารเด็ดขาด เจวียนเอ๋อร์มีหรือจะกล้าพูด เพียงคุณหนูสามไม่พูดก็ถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว นางจึงพยักหน้าโดยแรงเป็นการรับคำ

เดินกันไปถึงนอกกระโจมของบ้านมหาเสนาบดีกู้ อาหลัวกล่าวเบาๆ “หนูปี้[17]รับคำสั่งจากฟูเหรินมหาเสนาบดีหลี่นำดอกไม้มามอบให้ฟูเหรินมหาเสนาบดีกู้เจ้าค่ะ”

เสียงใจดีเสียงหนึ่งดังมาจากในกระโจม “เข้ามาเถิด”

อาหลัวก้มศีรษะย่อกายคารวะ สองมือประคองกิ่งดอกไม้ที่เพิ่งเด็ดมาเมื่อครู่ยื่นส่งให้ ได้ยินเสียงใจดีนั้นกล่าวว่า “ฟูเหรินของบ้านเจ้าเกรงใจแล้ว อันมาแล้วไม่ไปนั้นไร้มารยาท เหอซิน เจ้าจงตามกูเหนี่ยงผู้นี้ไปขอบคุณฟูเหรินมหาเสนาบดีหลี่ พร้อมกับนำผลไม้สดสักจำนวนหนึ่งไปให้ด้วยเถิด”

สาวใช้ชื่อเหอซินรีบขานรับ แล้วประคองผลไม้หนึ่งจานเล็กเดินออกไปนอกกระโจมพร้อมกับอาหลัว

...ไหนว่าบุตรีของมหาเสนาบดีกู้ คุณหนูเทียนหลินก็มาแล้วอย่างไรเล่า? ไยทั้งกระโจมจึงมีเพียงกู้ฟูเหรินกับสาวใช้สองนางเท่านั้น?... อาหลัวผิดหวังอย่างมาก เบือนหน้าไปมองเหอซิน แล้วพบว่าเหอซินงดงามยิ่ง ศีรษะเชิดขึ้นเล็กน้อย เผยลำคอขาวผ่องเรียวระหงช่วงหนึ่ง มือทั้งคู่ยิ่งขาวสะอาดดุจหยกขาว จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เหอซินเจี่ยเจียช่างงามนัก ไม่ทราบว่าคุณหนูของบ้านท่านงดงามยิ่งกว่านี้หรือไม่?”

เรียวปากเหอซินเผยอยิ้มอ่อนจาง อาหลัวตะลึงมองตาค้าง คิดในใจว่าหากชิงเหล่ยเยือกเย็นเฉิดฉายดั่งกล้วยไม้ เหอซินผู้นี้ก็สงบสำรวมดั่งเบญจมาศ นางพลันเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า หญิงสาวผู้นี้คือหนึ่งในสองสุดเลิศล้ำแห่งเมืองเฟิง...กู้เทียนหลิน

เหอซินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยาโถวในคฤหาสน์ตระกูลหลี่ล้วนแต่เฉลียวฉลาดเช่นเม่ยเมย[18]หรือ?”

อาหลัวชะงัก แล้วยิ้มหน้าเป็น “ถูกแล้ว น่าเสียดายที่ต่างเป็นยาโถวเหมือนกัน ข้ากลับเทียบเหอซินเจี่ยเจียไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว”

ระหว่างที่ทั้งสองสนทนากัน กลุ่มคนในกระโจมฝั่งตรงข้ามต่างจ้องมองมาอย่างตะลึงลานเป็นทิวแถว โดยพากันคิดว่าหญิงสาวในชุดสาวใช้ที่ออกมาจากกระโจมของบ้านมหาเสนาบดีกู้ผู้นี้ช่างงดงามโดดเด่นนัก จึงหันไปกระซิบกระซาบคาดเดากันว่าคุณหนูกู้จะงดงามหยาดฟ้ามาดินสักปานใด

เหอซินเดินไปถึงหน้ากระโจม ถ่ายทอดถ้อยคำขอบคุณของกู้ฟูเหริน ฟูเหรินใหญ่กำลังคิดจะเรียกนางเข้าไปในกระโจม อาหลัวได้ฉวยจานผลไม้มาจากมือของเหอซินเสียก่อน แล้วกะพริบตาเอ่ยยิ้มๆ “เหอซินเจี่ยเจีย ข้านำเข้าไปให้ท่านดีกว่า ไม่รบกวนเวลาท่านรับใช้กู้ฟูเหรินละ”

เหอซินก็เอ่ยยิ้มๆ เช่นกัน “ไม่ว่าอย่างไรก็ควรต้องกล่าวขอบคุณต่อหน้านะ”

“อย่าจะดีกว่า ในไม่ช้าฟูเหรินย่อมต้องจำท่านได้อยู่ดี สาวใช้ของบ้านสกุลกู้...หากเล่าลือออกไปจะน่าขายหน้าสักเท่าใด เทียนหลินเจี่ยเจีย!” อาหลัวลองเสี่ยงหยั่งเชิงดู

เหอซินใจหายวาบ รอยยิ้มบนใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลงขณะที่ความคิดแล่นปราด หากแสดงความคารวะหลี่ฟูเหรินด้วยฐานะสาวใช้ แล้วภายหลังถูกจำหน้าได้ ก็ออกจะเสียหน้าอยู่จริงๆ คิดได้ดังนี้จึงยื่นมือไปหยิกแก้มอาหลัวเบาๆ “เด็กแก่แดด ว่างๆ มาเล่นกับข้าที่คฤหาสน์ตระกูลกู้ละ!” ตอนเดินจากไปได้กระซิบถามว่า “เจ้าเป็นเพียงสาวใช้ของบ้านสกุลหลี่จริงๆ หรือ?”

อาหลัวยิ้มตาหยีโดยไม่ตอบ แค่เอ่ยปากหยั่งเชิงดู เหอซินคือกู้เทียนหลินจริงๆ ดูท่าทางนางเองก็อยากจะเห็นมากเช่นกันว่าหลี่ชิงเหล่ยหน้าตาเป็นอย่างไร จึงได้ไม่เสียดายต่อการปลอมตัวเป็นสาวใช้มาแอบดู เพียงแต่กลับไม่ทันคิดว่าหลังจากได้เห็นแล้ว หากถูกจำหน้าได้จะมีผลลัพธ์เช่นไร

การห้ามกู้เทียนหลินไว้ก็มีข้อดีอยู่ มหาเสนาบดีซ้ายขวาจะได้ไม่ต้องหมางใจกันด้วยเรื่องนี้ ในวงราชการหวาดระแวงกันสูงมาก เป็นมิตรหรือศัตรูไหนเลยกล่าวให้ชัดเจนได้ เพียงเผลอนิดเดียวก็จะถูกศัตรูการเมืองเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าหมดโอกาสพลิกฟื้นตัว นางยังคิดจะอยู่อย่างสงบสุขในคฤหาสน์มหาเสนาบดีไปอีกหลายปีดอกนะ

อาหลัวมองแผ่นหลังตรงสง่ามีราศีของกู้เทียนหลินแล้วอมยิ้ม แหวกม่านผืนบางเดินเข้าไป ฟูเหรินใหญ่มองเด็กสาวอย่างสงสัย ไม่ทราบว่าเหตุใดนางจึงขวางไม่ให้สาวใช้ของคฤหาสน์ตระกูลกู้เข้ามาในกระโจม

อาหลัวพูดยิ้มๆ “ข้าได้เห็นบุตรีของบ้านมหาเสนาบดีกู้แล้ว”

เพียงประโยคเดียวก็เบนความสนใจได้สำเร็จ ทุกคนกรูกันเข้ามาล้อมฟังเด็กสาวสาธยาย ใบหน้าของชิงเหล่ยประดับรอยยิ้มจางๆ เหมือนไม่ค่อยจะสนใจนัก ครั้นได้ฟังชิงหลัวบอกว่ากู้เทียนหลินมีท่วงทีกิริยาสง่างดงามทั้งยังเฉลียวฉลาดเหนือธรรมดา ก็แค่นเสียงเบาๆ ใบหน้าปรากฏแววดูแคลนจางๆ อาหลัวดูแล้วถอนหายใจ ต้าเจี่ยผู้นี้นั้นดีอยู่ดอก เสียแต่ทะนงตนเกินไปนี่แหละ

ฟูเหรินใหญ่ถามอีกว่า “ยังได้ยินอะไรอีกหรือไม่? ไปตั้งนานปานนี้ ได้เห็นองค์ชายทั้งสองพระองค์แล้วหรือยัง?”

อาหลัวจนถ้อยคำ เจวียนเอ๋อร์เริ่มจะหน้าถอดสี อาหลัวรีบตอบอย่างรวดเร็วว่า “ไม่ได้เห็นองค์ชายทั้งสองพระองค์ แต่บุตรสาวของบ้านสกุลหวางงามสู้ต้าเจี่ยไม่ได้แน่นอน งามสู้เอ้อร์เจี่ยยังไม่ได้เสียด้วยซ้ำ”

ชิงเหล่ยกับชิงเฟยต่างยิ้มออกมาอย่างลืมตัว

จังหวะนี้พลันได้ยินฮู่กว๋อกงจู่ตรัสเสียงดังว่า

“ในถิ่นงามยามดีเช่นนี้ หากมีผู้ใดดีดพิณสักเพลงเท่ากับเพิ่มลวดลายบนผืนแพร[19] ฟังว่าธิดามหาเสนาบดีกู้และธิดามหาเสนาบดีหลี่ได้รับขนานนามร่วมกันว่าเป็นสองสุดเลิศล้ำแห่งเมืองเฟิง ต่างเชี่ยวชาญในเชิงพิณ ไม่ทราบว่าสองท่านยินดีดีดให้เปิ่นกง[20]ฟังคนละหนึ่งเพลงหรือไม่?”

อาหลัวแอบแลบลิ้นตกใจ นี่มันการ PK[21] กันลุ่นๆ เห็นๆ

ครู่หนึ่งต่อมาผู้รับใช้ก็มารับฟังคำตอบ ทั้งสองบ้านมีหรือจะไม่ให้เกียรติองค์หญิง ฟูเหรินใหญ่ยกเรื่องมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมีฐานะสูงกว่าเป็นข้ออ้าง เชิญให้คุณหนูบ้านสกุลกู้ดีดก่อน

เพียงครู่เดียว ในกระโจมหลังติดกันก็มีเพลงพิณพลิ้วดังขึ้น เสียงพิณสงบใส ประหนึ่งเสียงหยกประดับจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า คือเพลง “กล้วยไม้ประดับกาย” ซึ่งนำถ้อย “ร้อยกล้วยไม้สารทเป็นหยกห้อยประดับกาย” ในบทกวี “หลีซาว” ของชวีหยวนมาเป็นความหมายของบทเพลงนั่นเอง ได้ยินเสียงเพลงนุ่มหวานมีกังวานดังมาว่า

“กล้วยไม้งามกำเนิดกลางหุบเขา  ไร้ผู้เนาว์รื่นกลิ่นหอมอยู่เดียวดาย...”

อุปนิสัยใจคอของคุณหนูแห่งบ้านสกุลกู้มองเห็นได้ชัดเจนในบัดดล เจตนาในการเสาะหาผู้รู้สำเนียงได้ทยอยบอกกล่าวออกมาทางเสียงพิณ

อาหลัวคิดในใจ ...มีถ้อยกวีฉือกล่าวว่า ‘หมายมอบความในใจนั้น  แก่เพลงพิณอัน  แฝงเร้นซึ่งจิตปณิธาน  ผู้รู้สำเนียงขับขาน  กลับน้อยนักปาน  ยามสายสะบั้นใครยิน?’ กู้เทียนหลินเลือกดีดเพลงนี้ทั้งที่เจตนาอยู่ที่ไท่จื่อชัดๆ แต่กลับยืนกรานที่จะย้ำว่าเสาะหาผู้รู้สำเนียง โดยเปรียบตัวเองเป็นกล้วยไม้กลางหุบเขาอันว่างเปล่า แสดงออกถึงจิตเจตนาว่าจะไม่ทำเพื่อลาภยศสรรเสริญ...

เพลง “กล้วยไม้ประดับกาย” ท่วงทำนองละเอียดแต่ไม่กดดัน เนิบช้าแต่ทอดกังวาน ผยองแต่ไม่ยโส หากได้หญิงผู้นี้เป็นภรรยา จะสมกันยิ่งกว่าน่งอวี้และเซียวสื่อ[22] จะต้องสามารถร่วมกันบรรเลงบทเพลงได้อย่างแน่นอน

เกรงว่ากู้เทียนหลินคงจะคาดคะเนจิตใจของไท่จื่อว่าไม่ต้องการเลือกหญิงเจ้าเล่ห์เพทุบายที่มุ่งหวังแต่จะครองตำแหน่งไท่จื่อเฟยกระมัง หลังจากดีดเพลงนี้แล้ว หากต่อไปได้เป็นไท่จื่อเฟย ก็จะไม่ตกเป็นที่ครหาว่าพยายามจะจับไท่จื่อ ต่อให้ไม่ถูกเลือก ก็จะเป็นเพียงเพลงที่ไม่พบผู้รู้สำเนียงเท่านั้น กู้เทียนหลินช่างคิดอ่านได้ละเอียดรอบคอบดีแท้!

อาหลัวเบนสายตาไป พบว่าในกระโจมฝั่งตรงข้ามนั้นนอกจากกระโจมของไท่จื่อกับองค์ชายสี่ที่ว่างอยู่แล้ว กระโจมอื่นๆ ล้วนมีบรรดาชายหนุ่มผู้ทรงภูมิของเมืองเฟิงนั่งอยู่เต็มทุกกระโจม ต่างฟังเสียงพิณอย่างเพลิดเพลินจนบ้างก็โคลงศีรษะไปมา บ้างก็ตะลึงลานใจลอยละล่องไปตามๆ กัน ย้อนมาดูต้าเจี่ยชิงเหล่ย นางนิ่งเงียบงัน เกรงว่าเพลง “กล้วยไม้ประดับกาย” นี้ได้ถ่ายทอดจิตใจของนางเช่นกันกระมัง ไม่ทราบว่าชิงเหล่ยต้องเลือกเพลงใดจึงจะสามารถรับมือได้

ชิงเหล่ยขมวดคิ้วน้อยๆ ยามนี้ไม่ทราบเพราะเหตุใดอาหลัวจึงออกจะรู้สึกสงสารพี่สาวตรงหน้า ผู้ซึ่งต้องดวลตัดสินแพ้ชนะกับกู้เทียนหลินต่อหน้าธารกำนัลอยู่บ้าง การที่ชิงเหล่ยสามารถได้รับขนานนามว่าเป็นสองสุดเลิศล้ำแห่งเมืองเฟิงร่วมกับกู้เทียนหลิน ฝีมือพิณย่อมมิได้ด้อยไปกว่ากัน แต่หากเพลงที่เลือกไม่สามารถถ่ายทอดความในใจ ก็จะพ่ายแพ้ในด้านเลือกเพลงไปแล้วหนึ่งยก และต่อไปจะกลายเป็นเรื่องขำขันครั้งใหญ่ของเมืองเฟิง ซึ่งไม่เพียงแต่ชิงเหล่ยจะต้องขายหน้าอย่างที่สุดเท่านั้น บ้านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจะเสียหน้าอย่างยิ่งเช่นกัน

เวลานั้นกู้เทียนหลินบรรเลงจบพอดี ฮู่กว๋อกงจู่กระแอมเบาๆ ตรัสชมว่า “เพลง ‘กล้วยไม้ประดับกาย’ อันยอดเยี่ยม กูเหนี่ยงผู้เฉียบแหลมทระนงดั่งกล้วยไม้อันยอดเยี่ยม! คุณหนูกู้ เปิ่นกงมีปิ่นกล้วยไม้มรกตอยู่อันหนึ่งพอดี มานี่เถิด เปิ่นกงจะเสียบให้เจ้า”

กู้เทียนหลินก้าวแช่มช้าออกจากกระโจม ซึ่งก็คือเหอซินคนนั้นเอง เวลานี้นางได้ผลัดชุดสาวใช้ทิ้งไปแล้ว กระโปรงยาวส่ายไหว ก้าวปทุมเยื้องกราย เดินไปคุกเข่าลงยังเบื้องพระพักตร์ขององค์หญิง

ฮู่กว๋อกงจู่ปลดปิ่นกล้วยไม้อันนั้นลงจากเศียร เสียบลงในมวยผมของดรุณีตรงหน้า กู้เทียนหลินเอ่ยขอบพระทัยในพระกรุณา แล้วลุกขึ้นอย่างแช่มช้อย ก้าวเดินเนิบช้ากลับไป

อาหลัวมองไปที่ฝั่งตรงข้าม กู้เทียนหลินเผยโฉมต่อหน้าธารกำนัลในครั้งนี้ ได้สะท้านใจบรรดาชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามจนตะลึงเหม่อกันถ้วนหน้าดังที่คาด สายตาของนางพลันกวาดไปพบเงาร่างคุ้นตาเงาหนึ่ง ทำเอาใจหายวาบรีบถอยหลังกรูด ซ่อนใบหน้าไว้ข้างหลังชิงเฟย ค่อยแอบมองไปอีกครั้ง

จอมยุทธ์ที่ถูกนางผลักลงไปในลำธารคนนั้นถือดอกท้อกิ่งหนึ่งไว้ในมือ ยกขึ้นดมเบาๆ จากนั้นมอบกิ่งดอกท้อในมือให้แก่เด็กรับใช้ข้างหลัง แล้วลุกขึ้นเดินจากไป

เด็กรับใช้ถือกิ่งดอกท้อเดินตรงไปยังกระโจมของบ้านสกุลกู้ ผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กรับใช้ส่งดอกไม้ก็เพิ่มจำนวนขึ้นมาก ต่างเดินสวนกันไปมาที่หน้ากระโจมของบ้านสกุลกู้ เมื่อเป็นเช่นนี้บรรดาหญิงสาวในกระโจมอื่นๆ จึงเกิดความรู้สึกว่าถูกมองเมินโดยปริยาย ฮู่กว๋อกงจู่สังเกตเห็นประการนี้เช่นกัน จึงแย้มสรวลตรัสว่า “คุณหนูใหญ่ของมหาเสนาบดีหลี่คิดใคร่มอบเพลงใด?”

ชิงเหล่ยกราบทูลตอบอย่างนุ่มนวล “ยินดีสนองด้วย ‘สารทชล’ เพคะ”

ดวงหน้าอาหลัวคลี่บานด้วยรอยยิ้ม กู้เทียนหลินใช้กล้วยไม้สื่อใจ ชิงเหล่ยก็มิได้ด้อยกว่ากันเลย “สารทชล” ใสสะอาดบริสุทธิ์ ปณิธานสูงส่งไกลโพ้น ความหมายของเพลงนี้มิได้ด้อยไปกว่ากู้เทียนหลิน ครานี้มีละครฉากเด็ดให้ดูแล้วสิ

หลังจากกราบทูลตอบไปแล้ว ชิงเหล่ยก็สูดหายใจลึก ยื่นมือทั้งคู่ออก แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดปลายนิ้วจึงกลับสั่นระริก

ฟูเหรินใหญ่กล่าวอย่างร้อนใจ “อาเหล่ย เจ้าต้องชนะให้ได้ ห้ามทำให้บ้านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาของเราขายหน้าเป็นอันขาด!”

ชิงเหล่ยหลับตาลง สูดลมหายใจลึกๆ เป็นการสงบอารมณ์อีกครั้ง ปลายนิ้วกลับสั่นสะท้านหนักกว่าเดิม ทำท่าจะวางลงแตะสายพิณแล้วกลับรั้งกลับ กล่าวอย่างท้อแท้ “ต้าเหนียง ข้าแพ้แล้ว ใจข้าไม่อาจสงบได้”

เวลานี้ที่นอกกระโจมเริ่มมีคนรอจนรำคาญและหันไปกระซิบกระซาบกัน

ฟูเหรินใหญ่ ชิงเฟย และชิงหลัวต่างมองชิงเหล่ยอย่างร้อนใจ บนหน้าผากฟูเหรินใหญ่เริ่มมีเหงื่อผุดซึม กล่าวเสียงเครียด “ในเวลาสำคัญแบบนี้บ้านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาเราจะยอมขายหน้าได้อย่างไร? เจ้าจงรีบดีดเร็วเข้า ไม่อย่างนั้นกลับไปเมื่อไรข้าจะลงโทษตามกฎตระกูล!”

ชิงเหล่ยหน้าถอดสี ตัวอ่อนยวบ ดวงตาทอแววหวาดกลัวและเจ็บปวด

อาหลัวกล่าวอย่างสงสาร “ต้าเจี่ย คิดเสียว่าดีดพิณอยู่ที่บ้านคนเดียวสิ ไม่ต้องสนใจว่าจะแพ้หรือชนะ”

ชิงเหล่ยยิ้มขื่น “ใจเกิดความคิดแพ้ชนะไปแล้ว ไหนเลยบอกปล่อยวางก็ปล่อยวางได้?” จบคำก็ก้มหน้าลง ดวงหน้านวลหมองคล้ำ นางเริ่มดีดพิณตั้งแต่ ๓ ขวบ จิตใจเย่อหยิ่งทระนงถึงที่สุด ปกติมหาเสนาบดีหลี่เลี้ยงดูสั่งสอนอย่างเข้มงวด บอกกล่าวชัดเจนว่าต้องการให้นางแต่งเข้าสู่ราชวงศ์ แม้นางจะได้ยินว่ากู้เทียนหลินได้รับขนานนามร่วมกับนางว่าเป็นสองสุดเลิศล้ำแห่งเมืองเฟิง ในใจกลับมิได้แยแส มาวันนี้ได้ฟังหนึ่งเพลงอันจับใจผู้คนที่กู้เทียนหลินดีด ทั้งเพลงนี้ยังได้รับการบำเหน็จรางวัลจากองค์หญิง มีผู้ยอมสยบใต้เพลงพิณนับไม่ถ้วน นางก็ตะลึงพรึงเพริดอย่างที่สุดแล้ว ฝีมือของนางนั้นพอๆ กับกู้เทียนหลิน แต่กู้เทียนหลินชิงลงมือก่อนสยบขวัญ คิดจะให้เหนือล้ำกว่าไหนเลยง่ายดาย!

ความคิดวิ่งวนไปมานับร้อยพันรอบ ความคิดต่อสู้ได้หดหาย ถอนหายใจกล่าวว่า “หากข้าเป็นผู้ดีดก่อน กู้เทียนหลินก็จะเป็นดังนี้เช่นกัน!” เมื่อใช้พิณหยั่งใจ นางก็สามารถเข้าใจกู้เทียนหลินได้หลายส่วน

ฟูเหรินใหญ่ยิ่งร้อนใจ “เวลานี้เป็นสถานการณ์เช่นไร ขืนมัวลังเลอีก คนอื่นเขารำคาญ องค์หญิงจะทรงรอจนกริ้วเช่นกัน” ดวงตาทอประกายเย็นเยียบ

ชิงเหล่ยถูกสายตาของฟูเหรินใหญ่จ้องเขม็งจนตัวสั่นเยือก ร้อนใจจนเหมือนหน้ามืด ตัวอ่อนยวบล้มฮวบลงใส่ตัวเจวียนเอ๋อร์

อาหลัวมองหน้าชิงเฟย ชิงเฟยส่ายหน้า พิณไม่ใช่ความถนัดของนาง อาหลัวย้อนกลับไปมองชิงเหล่ยอีกครั้ง ถอนหายใจเฮือกอยู่ในใจ สุดท้ายก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารอยู่ดี เด็กสาวกล่าวเบาๆ กับฟูเหรินใหญ่ “ต้าเหนียง ชิงหลัวยินดีคลี่คลายวิกฤตให้เจี่ยเจีย เพียงแต่ห้ามแพร่งพรายออกไปโดยเด็ดขาด”

ฟูเหรินใหญ่ตกตะลึง “วิชาพิณของเจ้าจะใช้การได้อย่างไร?”

อาหลัวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “อย่างไรก็ดีกว่าต้องขายหน้าเพราะไม่มีใครดีดพิณละ จริงไหมเจ้าคะ ต้าเหนียง?”

จบคำก็ไปนั่งลงที่หน้าพิณ สำรวมสมาธิสงบจิตใจ เกี่ยวสายพิณดังติ๊ง นึกถึงชั่วพริบตาที่นั่งเรือยนต์แล้วได้เห็นท้องทะเลในวันฤดูสารท ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลโปร่งโล่งสดใส ผืนน้ำสีครามเรียบลื่นดั่งผืนแพรต่วน เบื้องหน้ามีเพียงความกว้างไพศาลของทะเล...จิตใจของทะเล ตัวนางได้แปลงร่างเป็นวิหคโผบินเดี๋ยวร่อนต่ำจิกพื้นน้ำ เดี๋ยวสยายปีกบินขึ้นสูง โฉบเฉี่ยวไปมาอยู่กลางเวหา เริงเล่นทะเลกว้างดั่งสระน้อย

ชิงเหล่ยจ้องมองน้องนุชสุดท้องผู้ไม่มีความถนัดใดทั้งสิ้นอย่างตะลึงพรึงเพริด รู้สึกเหมือนร่างเล็กๆ ของอีกฝ่ายกำลังเปล่งประกายจนไม่อาจจ้องมองตรงๆ นิ้วมือเกี่ยวดีดไถลรั้ง ดั่งสายน้ำไหลกระเพื่อมพุ่งทะลัก องอาจทุกหยดหยาด ดุจขุนเขาสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน เชื่อมผืนฟ้าขวางเมฆา ในใจย่อมแฝงซึ่งพันร่องหมื่นลักษณ์ หากมิใช่ได้ประจักษ์แก่สายตา ต้องนึกว่าดีดโดยมือบุรุษ มิใช่เด็กหญิงตัวเล็กๆ แน่แท้ ชิงเหล่ยเปล่งเสียงร้องขับขานออกมาอย่างอดใจไม่อยู่

“อันฤกษ์งามยามดีเอย วันมงคล             หมู่ข้าล้นสำราญเอย สุคนธ์รื่น

ปวงดอกท้อละลานเอย พราวดาษดื่น    ผืนอาภรณ์พิลาสเอย ปานบุปผา

สารทชลไหลรินเอย ไม่สิ้นสุด                 ดุจจิตข้าฮึกเหิมเอย อิสระ…”

เสียงขับร้องของนางใสกังวาน ทั้งแสดงนัยขอบคุณต่องานเลี้ยงชมดอกท้อของฮู่กว๋อกงจู่ และบอกกล่าวถึงบุคลิกจิตใจแฝงปณิธานสูงส่งกว้างไกล ร่วมประสานกับเพลงพิณเปี่ยมพลัง ปลายเสียงดังเร่งร้อนของชิงหลัว ต่างหนุนเสริมจุดเด่นกันและกัน!

กรีดนิ้วดีดเสียงสุดท้าย อาหลัวกับชิงเหล่ยมองหน้ากันแล้วยิ้ม

ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นั้นต่างนึกไม่ถึงว่าสตรีผู้หนึ่งจะสามารถดีดบรรเลงเพลง “สารทชล” ออกมาด้วยจิตใจอันกว้างไพศาลถึงเพียงนี้ได้ ในความตกตะลึงทอดถอนก็มิอาจไม่นับถือด้วยเช่นกัน ในจังหวะนี้พลันได้ยินชายหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวเสียงดังแจ่มชัดว่า

“ได้ยินมานานว่าคุณหนูใหญ่แห่งสกุลหลี่ใช้พิณแทนใจ ชื่นชมในความสูงส่งบริสุทธิ์ของดอกเหมยมาแต่เยาว์วัย ร้อยปากว่าไม่เท่าตาเห็น ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่แห่งสกุลหลี่ยินดีร่วมชมบุปผากับเปิ่นกงหรือไม่?”

ครั้นได้ยินถ้อยคำกล่าวนี้ ใบหน้าฟูเหรินใหญ่ปรากฏแววตื่นเต้นยินดีโดยพลัน พูดเสียงสั่นสะท้าน “อาเหล่ย ท...ไท่จื่อทรงเชิญเจ้า!”

ชิงเหล่ยเหมือนตกอยู่ในห้วงฝัน คลี่ยิ้มอย่างเลื่อนลอย อาหลัวกับชิงเฟยรีบผลักให้นางได้สติ “ต้าเจี่ย กราบทูลตอบไปสิ ไท่จื่อตรัสเชิญด้วยพระองค์เองเทียวนะ”

ชิงเหล่ยเพิ่งจะได้สติรู้ตัวก็ตอนนี้ หันไปมองชิงหลัว ดวงตารื้นน้ำตา

“อาหลัว ข้า...เพลงนี้มิใช่...”

อาหลัวตัดบทนางเสียงเฉียบขาด “ต้าเจี่ย พิณนี้ท่านเป็นคนดีด เพลงท่านก็เป็นคนร้อง รีบกราบทูลตอบเร็วเข้าเถิด!” จบคำก็ร่วมกับชิงเฟยช่วยประคองนาง

ฮู่กว๋อกงจู่เปล่งเสียงสรวลก้องกังวานแล้วตรัสว่า “ประเสริฐๆ ไท่จื่อทรงเชื้อเชิญนำหน้า หนุ่มๆ ทั้งหลาย มีไท่จื่อเป็นแบบอย่างแล้ว จงไปเสาะหาหญิงที่พวกเจ้าพึงใจเถิด ฟูเหรินทุกท่าน ยินดีร่วมเดินเล่นในสวนเป็นเพื่อนเปิ่นกงหรือไม่?”

ฟูเหรินทุกนางขานรับพร้อมกับเดินออกมาจากกระโจม

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งเพคะ”

ฮู่กว๋อกงจู่ตรัสอย่างซุกซน “พวกเราแก่แล้ว ปลีกตัวออกไปกันก่อนเถิด จะได้ไม่เกะกะพวกหนุ่มสาวเขา”

เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบทิศ บรรยากาศพลอยผ่อนคลายลง

นอกกระโจมมีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนเอามือไพล่หลัง กั้นกลางด้วยม่านผืนบาง สายลมพัดมา ม่านบางเบาพลิ้วลอยขึ้น จึงเห็นว่าเขาสวมเสื้อผาวสีเหลืองสว่าง รูปร่างสูงเพรียว คิ้วเข้มตากระจ่าง บุคลิกสุขุมเยือกเย็น อาหลัวถอนหายใจพลางนึกในใจ ...หนุ่มหล่อยุคโบราณ! ที่แท้ผู้ชายหุ่นดีสวมเสื้อผาวชายยาวแบบนี้จะส่งให้ยิ่งดูสง่างามนี่เอง...

ชิงเหล่ยจ้องมองชิงหลัวอย่างลึกล้ำ แล้วสงบจิตใจ มือขาวผ่องยกขึ้นเล็กน้อย แหวกม่านผืนบางก้าวเดินออกไป

กระโจมฝั่งตรงข้ามมีศีรษะของบรรดาผู้อยากรู้อยากเห็นชะโงกออกมาอยู่ก่อน หมายแย่งกันดูยอดพธูผู้ได้รับความสนใจจากไท่จื่อ และสามารถข่มความโดดเด่นของธิดามหาเสนาบดีกู้ลงได้ ครั้นชิงเหล่ยปรากฏกาย ก็เรียกเสียงโห่ร้องชมเชยแว่วมาไม่ขาดสาย ทุกคนได้ทราบกันอยู่ก่อนว่ากู้เทียนหลินบุคลิกไม่ธรรมดา นึกไม่ถึงว่าหลี่ชิงเหล่ยเองก็เยือกเย็นเฉิดฉายไม่เป็นรองใคร ไท่จื่อเผลอตะลึงเหม่อไปเล็กน้อยเช่นกัน ตรัสเบาๆ ว่า “คุณหนูหลี่โฉมดุจสารทชล ความสามารถเลิศล้ำ เปิ่นกงนับถือชื่นชมมานาน”

หลี่ชิงเหล่ยสองแก้มแดงระเรื่อ เงยหน้าขึ้นมองดวงพักตร์ของไท่จื่ออย่างรวดเร็ว ได้สบกับเนตรดำสนิทดั่งนิลเข้าพอดี จึงรีบก้มหน้างุด ปากอุบอิบกราบทูลตอบว่า “หม่อมฉันฝีมืออ่อนด้อยนักเพคะ ไหนเลยหาญรับถ้อยชมจากฝ่าบาท”

อาหลัวกับชิงเฟยในกระโจมได้ฟังก็เอามือปิดปาก ไม่กล้าหัวเราะออกเสียง ครั้นเห็นสองหนุ่มสาวเดินเคียงไหล่ไปทางป่าดอกท้อจนห่างออกไปไกลแล้ว จึงค่อยหัวเราะออกมาเสียงดัง นี่คือช่วงเวลาที่ชิงหลัวเข้ากับพี่สาวทั้งสองได้อย่างสนิทสนมกลมเกลียวมากที่สุดในหกปีที่ผ่านมา ตัวนางในยามนี้มิได้คาดคิดไปถึงว่า การช่วยดีดพิณแทนจะนำพาผลลัพธ์เช่นไรมาให้ และปลูกฝังเภทภัยในภายหลังไว้มากมายเพียงใด

ชิงเฟยมองดูด้านนอก ฝั่งตรงข้ามมีผู้คนมุงกันอยู่กลุ่มหนึ่ง มีหญิงสาวจำนวนไม่น้อยล้อมวงดู จึงดึงมือชิงหลัวหมายจะออกไปดูด้วยกัน อาหลัวเพ่งมองดู ครั้นไม่เห็นจอมยุทธ์คนนั้นก็ชักจะใจกล้า คิดในใจว่า ...ธรรมเนียมชาวบ้านของที่นี่เปิดกว้างจริงๆ ไม่ได้ด้อยไปกว่างานมหกรรมหมื่นคนดูตัวที่เคยได้เห็นมาในสวนสาธารณะเลย... แล้วจูงมือชิงเฟยเดินเข้าไปดู

ที่แท้ที่ผู้คนมุงดูกันคือกำลังแข่งขันต่อกลอนคู่ อาหลัวนึกถึงการร้องเพลงเกี้ยวพาโต้ตอบกันของชาวเขากับการแบ่งเป็นสองฝ่ายแข่งขันกันตอนดื่มเหล้าขึ้นมาโดยพลัน เพียงแต่ชายหนุ่มของที่นี่ดูแล้วเป็นสุภาพบุรุษอย่างมาก หากมีหญิงสาวคนใดตอบไม่ได้หรือตอบผิด ก็จะแค่กล่าวอย่างสุภาพว่า “เพียงคุณหนูยอมเอ่ยถ้อยต่อกลอน ก็ถือเป็นบุญอย่างล้นเหลือของเสี่ยวเซิง[23]แล้วขอรับ”

สองพี่น้องต่างเบียดเสียดอยู่ในฝูงคน อาหลัวตัวเตี้ย มองไม่ค่อยจะเห็นความเคลื่อนไหวด้านใน ชิงเฟยจึงลดเสียงเบาลงบอกน้องสาวว่า “มีคุณชายผู้หนึ่งออกกลอนคู่ครึ่งแรกมา ท่าทางภูมิใจมาก ดูเหมือนจะไม่มีใครต่อได้ด้วย”

อาหลัวถามอย่างอยากรู้ “ออกกลอนครึ่งแรกว่าอะไรหรือ?”

ชิงเฟยท่องให้ฟังเบาๆ

“เดือนขึ้นดุจคันศร เดือนแรมดุจคันศร คันศรขึ้นสาย คันศรลดสาย”[24]

อาหลัวดูกิริยาท่าทีของชิงเฟยแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “เอ้อร์เจี่ยต้องต่อได้แน่ ใช่หรือไม่?”

ชิงเฟยยิ้มอย่างทะนงตน “มีตรงไหนยากกัน!”

อาหลัวถามอีกว่า “คุณชายบ้านไหนเป็นคนออกกลอนนี้หรือ?”

“เป็นคุณชายที่หนุ่มมาก ไม่ทราบว่าผู้ใด”

“รูปงามหรือไม่?”

ชิงเฟยหน้าแดง พยักหน้านิดๆ อย่างกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน แล้วขึงตาใส่น้องสาว อาหลัวพลันตะโกนเสียงดังทันที “กลอนคู่นี้ยากตรงไหนกัน คุณหนูของข้าต่อได้!”

เสียงของนางใสเสนาะ ผู้คนข้างหน้าพากันหันกลับมามอง อาหลัวผลุบไปอยู่ข้างหลังชิงเฟยทันที แต่เดิมชิงเฟยก็ตัวสูงอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงปรากฏเด่นชัดกลางฝูงชนโดยปริยาย

ทุกคนต่างรู้สึกราวกับเบื้องหน้าสว่างวาบ ภาพที่ได้เห็นคือหญิงสาวในชุดสีแดงอ่อนดวงหน้าเป็นสีชมพูระเรื่อ สีหน้ากิริยาน่ารักน่าเอ็นดูนางหนึ่ง คุณชายที่ออกกลอนคู่ครึ่งแรกรีบยกมือขึ้นประสานคารวะ “จ้ายเซี่ย[25]รองเสนาบดีกรมพิธีการเฉิงซือเยว่ ขอบังอาจถามว่าใช่กูเหนี่ยงท่านนี้หรือไม่ที่สามารถต่อกลอนนี้ได้?”

ชิงเฟยขี่หลังเสือยากจะลง จึงคลี่ยิ้มเอ่ยตอบว่า

“แสงอุษาดั่งแพรไหม แสงสายัณห์ดั่งแพรไหม แพรไหมเมืองบูรพา แพรไหมเมืองประจิม[26] ไม่ทราบคุณชายเห็นว่าอย่างไร?”

เฉิงซือเยว่ทะนงตนว่ามีความสามารถเชิงอักษรศาสตร์เลิศล้ำเหนือใคร อายุ ๑๘ ปีก็สอบได้จ้วงหยวน ในเวลาเพียงหนึ่งปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการ ประสบความสำเร็จแต่ยังหนุ่ม ครั้นได้ฟังคำกลอนที่ชิงเฟยต่อ ประกอบกับได้เห็นว่านางทั้งทรงภูมิรู้และงดงามมีราศี ก็ดีใจจนออกนอกหน้า

“คุณหนูต่อได้ถูกต้องอย่างแน่นอน! นับถือยิ่ง จ้ายเซี่ยมีภาพอยู่ภาพหนึ่ง จะขอเชิญให้คุณหนูเขียนข้อความได้หรือไม่?”

อาหลัวลอบยิ้ม ...เขียนพู่กันรึ? เป็นเรื่องที่ชิงเฟยเก่งเป็นเลิศเทียวละ ไม่ต้องเขียนแบบซ้ายขวาพร้อมกันก็ทำให้ท่านหน้ามืดได้แล้ว...

ชิงเฟยกล่าวรับปากอย่างใจกว้าง เดินไปถึงหน้าโต๊ะ เห็นบนโต๊ะวางภาพทิวทัศน์ขุนเขากลางสายฝนภาพหนึ่ง ก็หยุดคิดเล็กน้อย แล้วจับพู่กันเขียนข้อความลงบนบริเวณที่เว้นว่างไว้บนภาพ[27]

เฉิงซือเยว่เห็นการใช้พู่กันของชิงเฟยก็ทราบทันทีว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ครั้นพินิจดูตัวอักษรบนภาพอย่างถี่ถ้วน เพรียวยาวงามอ่อนช้อย ให้อารมณ์ดอกซิ่งกลางฝนวสันต์ในเจียงหนาน[28]อยู่มาก สอดคล้องกับความหมายของภาพอย่างแนบเนียนไร้ที่ติ ครานี้เขาจึงนึกยินดีและยอมรับนับถืออย่างจริงใจ ประสานมือโค้งคารวะต่ำให้ชิงเฟยพร้อมกับเอ่ยว่า “จ้ายเซี่ยก็ชื่นชอบในเชิงอักษร ชมชอบหมากล้อมเช่นกัน ไม่ทราบว่าจะขอเชิญคุณหนูร่วมเล่นหมากล้อมสักกระดานได้หรือไม่?”

ผู้คนรอบด้านต่างพากันเอามือปิดปากลอบหัวเราะ ชิงเฟยจะเปิดเผยใจกว้างมากเพียงใด ก็เพิ่งจะเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้เป็นครั้งแรกอยู่นั่นเอง ในใจจึงทั้งขุ่นเคืองทั้งขัดเขินอย่างยิ่ง เมินหน้าหนีอย่างปั้นปึ่งเดินไปทางป่าดอกท้ออย่างไม่ไยดี อาหลัวตามหลังชิงเฟยไป หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมา เห็นเฉิงซือเยว่ยังคงยืนตะลึงมองอยู่ที่เดิมจึงกวักมือให้เขาเป็นความหมายให้ตามมา

เฉิงซือเยว่เป็นหนึ่งในห้าคุณชายแห่งเมืองเฟิง มีหรือจะไม่ทราบเรื่องการเกี้ยวพา ชายหนุ่มหันไปประสานมือคารวะขอตัวต่อผู้คนรอบข้างแล้วสาวเท้าเดินไปทางสองสาวพี่น้อง

รอจนเฉิงซือเยว่เดินเข้ามาใกล้แล้ว อาหลัวก็ขยิบตาให้เขา จากนั้นแวบหลบไปอีกทาง เฉิงซือเยว่ยิ้มออกมาอย่างลืมตัว ช่างเป็นยาโถวที่เฉลียวฉลาดเสียจริง

ชิงเฟยได้เดินเข้าสู่เขตป่าดอกท้อ ครั้นเห็นว่าห่างไกลกลุ่มคนมากพอ จึงค่อยเอ็ดว่า “อาหลัว เป็นเพราะเจ้านั่นแหละ จะให้ข้าออกหน้า น่าขายหน้าออกจะแย่”

ที่ข้างหลังพลันมีเสียงของเฉิงซือเยว่ดังมาว่า “คุณหนูมีความสามารถถึงเพียงนี้ จะกล่าวว่าขายหน้ากระไรได้ ผู้ที่ขายหน้าคือจ้ายเซี่ยต่างหากขอรับ”

ชิงเฟยเอามือปิดปากที่เกือบจะเผลอหวีดร้องออกมาอย่างตกใจ หันกลับไปเห็นเฉิงซือเยว่กำลังยิ้มน้อยๆ มองนางอยู่ หัวใจพลันเต้นกระหน่ำรัวแรงทันที


<>::<>::<>::<>::<>::<>

[1] ฮู่กว๋อกงจู่ แปลว่า เจ้าหญิงพิทักษ์แผ่นดิน, กงจู่ แปลว่า เจ้าหญิง
[2] หนิงหวาง คือ เจ้าครองแคว้นหนิง หรือ พระราชาแห่งแคว้นหนิง
[3] ไท่จื่อ แปลว่า รัชทายาท
[4] อานชิงหวาง แปลว่า เจ้าชายอานชิง
[5] จ้วงหยวน หรือ “จอหงวน” ที่คนไทยชินหู คือชื่อเฉพาะของผู้ที่สอบได้อันดับ 1 ในการสอบขุนนาง
[6] ไท่จื่อเฟย หรือ ไท่จื่อเจิ้งเฟย คือ ตำแหน่งพระชายาเอกของรัชทายาท
[7] หวางโฮ่ว คือ พระราชินี หรือ พระอัครมเหสีของพระราชา (หวาง)
[8] ไท่เว่ย คือตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในบางราชวงศ์ของจีน
[9] สารท (อ่านว่า สาด) แปลว่า ฤดูใบไม้ร่วง
[10] เช่อเฟย แปลว่า พระชายารอง (ของเจ้าชายหรือไท่จื่อ)
[11] ย่ำวสันต์ คือการเดินเล่นเที่ยวชมทิวทัศน์บริเวณชานเมืองในฤดูใบไม้ผลิของคนจีนโบราณ
[12] มวยผมทรงฉาวเทียนจี (ดูภาพที่ 15 หน้า)
[13] ตัวอักษรฝู (福) แปลว่า ความสุข , บุญวาสนา
[14] แดนถิ่นดอกท้อนอกโลกีย์ หมายถึง แดนลับแลอันสงบสุขเหมือนแดนสวรรค์
[15] กูเหนี่ยง คือคำเรียกผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน
[16] ยาโถว เป็นคำเรียกสาวใช้และคำเรียกเด็กหญิงไปจนถึงหญิงสาวอย่างเอ็นดู
[17] หนูปี้ แปลว่า “ทาสหญิง” เป็นคำเรียกแทนตัวเองของสาวใช้ในบ้านขุนนางและบ้านผู้มีฐานะ
[18] เม่ยเมย แปลว่า น้องสาว
[19] เพิ่มลวดลายบนผืนแพร หมายถึง เพิ่มสิ่งดีๆ หรือความงดงามให้สิ่งที่ดีหรืองดงามอยู่แล้ว
[20] เปิ่นกง คือคำเรียกแทนตัวเองของเจ้าหญิง ไท่จื่อ และหวางโฮ่ว
[21] PK (Player kill) เป็นศัพท์เกม หมายถึงดวลกัน
[22] น่งอฺวี้และเซียวสื่อ คือสามีภรรยาคู่หนึ่งในยุคชุนชิวซึ่งสามารถบรรเลงดนตรีร่วมกันได้อย่างเป็นเลิศ
[23] เสี่ยวเซิง แปลว่า ผู้น้อยนักศึกษา คือคำเรียกตัวเองอย่างถ่อมตัวของชายหนุ่มนักศึกษา
[24] 新月如弓,残月如弓,上弦弓,下弦弓。
[25] จ้ายเซี่ย แปลว่า “ผู้อยู่ต่ำกว่า” เป็นสรรพนามเรียกตัวเองอย่างถ่อมตัวของคนจีนโบราณ
[26] 朝霞似锦,晚霞似锦,东城锦,西城锦。
[27] ข้อความที่เขียนลงบนภาพวาดนี้เรียกว่า “ถีป๋า” หรือ “ป๋าเหวิน” โดยมากจะเป็นข้อความวิจารณ์ภาพวาด ชื่นชมภาพวาด หรือบันทึกเรื่องราวในภาพวาด (ดูภาพที่ 19 หน้า)
[28] เจียงหนาน คือดินแดนทางใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงลงไป เป็นพื้นที่ซึ่งมีอากาศอบอุ่นสำหรับคนจีนและมีฝนตกชุก (ดูภาพที่ 21 หน้า)
แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:35 โดย หลินโหม่ว

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 15 ก.ค. 2560, 11:34

0 ความคิดเห็น