หัวข้อ : ฉันไม่อยากเป็นซินเดอเรลลา บทที่ 3 เซ่นความรักที่จากไป

โพสต์เมื่อ 23 ก.ค. 2559, 15:48

บทที่ 3 เซ่นความรักที่จากไป

 

“นายท่าน จางอี้หยวนมาแล้วขอรับ” หลังจากที่ชายวัยกลางคนในชุดพ่อบ้านเคาะประตูเข้ามา ก็กล่าวรายงานเสียงเป็นพิธีรีตอง

ชายชราผมขาวที่สวมแว่นสายตายาวอ่านหนังสือพิมพ์ ลดหนังสือพิมพ์ลงมองพ่อบ้าน เอ่ยช้าๆ “ให้เขามาที่ห้องทำงานเถอะ ชงชาแดงให้เขาหนึ่งกา ใส่มะนาวด้วย”

พ่อบ้านโค้งกายน้อยๆ แล้วถอยออกไป ครู่หนึ่งให้หลังก็นำชายวัยสี่สิบกว่าปีตัวสูงปานกลางคนหนึ่งเข้ามา ชายผู้มาใหม่โค้งกายลงสามสิบองศาตั้งแต่ที่ประตู พูดอย่างนอบน้อม “ท่านเคานท์เซียนอวี๋ ซิ่นหงมารบกวนแล้วขอรับ”

ชายชราผมขาวร่างอ้วนใหญ่หัวเราะหึหึ ถอดแว่นตาลงเรียกจางอี้หยวนมานั่งตรงข้ามโต๊ะน้ำชาด้วยสีหน้าอารมณ์ดี “ในการประชุม ทางซิ่นหงราบรื่นดีอยู่ไหม?”

“ขอรับ ด้วยบุญท่านคุ้ม”

“ไม่หรอกน่า” ท่านเคานท์เซียนอวี๋คลี่ยิ้ม ดูเหมือนผู้พันที่หน้าประตูร้านไก่ทอด KFC แต่ก็แค่ดูแล้วใจดีเท่านั้น ทักทายตมมารยาทไป 2-3 คำก็มุ่งตรงเข้าประเด็น “ซิ่นหงมาเพราะเรื่องของหลิงซีกระมัง?”

จางซิ่นหงพยักหน้า “ฟังว่าท่านยินยอมปล่อยหุ้นในมือแล้วหรือขอรับ?”

ท่านเคานท์เซียนอวี๋ถอนหายใจ ไม่ได้เอ่ยตอบตรงๆ แต่ย้อนถามว่า “เรื่องท่านรัฐมนตรีป๋ายถูกย้ายไปภูธร ซิ่นหงเห็นว่าอย่างไร?”

จางซิ่นหงนิ่งคิด “ท่านรัฐมนตรีป๋ายน่าจะถูกใส่ร้ายขอรับ”

ชายชราพยักหน้า ถามต่อว่า “เธอคิดว่าพวกเราต่างก็รู้ เป็นไปได้หรือที่ใต้ฝ่าพระบาทจะไม่ทรงทราบ?”

จางซิ่นหงตะลึง “ท่านหมายความว่า...?”

“ตระกูลป๋ายไม่เป็นที่โปรดปรานอีกแล้ว” ดวงตาชายชราทอประกายวาบ ใบหน้าชราภาพของเขาราวกับหนุ่มขึ้นหลายปีในพริบตา

“ดังนั้นท่านเห็นว่าหลิงซีไม่ไหวแล้ว?” จางซิ่นหงอดขมวดคิ้วไม่ได้

“เป็นเรื่องไม่เร็วก็ช้านั่นล่ะ” ชายชรากลับคืนสู่ท่าทีเรื่อยเฉื่อยไร้พิษภัย

“แต่จั๋วเยว่เป็นแค่เครือไฟแนนซ์ของสามัญชน พึ่งได้หรือขอรับ?” จางซิ่นหงอดข้องใจไม่ได้

“เครือไฟแนนซ์ของสามัญชน?” ชายชราแค่นหัวเราะ “แม้แต่เธอยังถูกหลอกได้ ความจริงหวงเจี้ยน ประธานกรรมการของจั๋วเยว่เป็นหมาแสนภักดีที่ตระกูลชุยเลี้ยงเอาไว้”

“ตระกูลชุย?” ได้ฟังชื่อตระกูลชุย คิ้วจางซิ่นหงยิ่งขมวดมุ่นกว่าเดิม

“อย่าดูถูกตระกูลชุยเชียว ถึงชุยหย่าจื้อจะเป็นแค่ขุนนางตำแหน่งเล็กๆ แต่เป็นขุนนางใกล้ชิดของใต้ฝ่าพระบาท อย่าว่าแต่เหวินฉี่ตงก็เป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาอย่างมาก...เฮ้อ ที่สำคัญคือใต้ฝ่าพระบาททรงป้องกันพวกเราเหล่าตาแก่แน่นหนาขึ้นทุกทีนั่นแหละ”

“ซิ่นหงเข้าใจแล้วขอรับ” ต้องรีบสลัดความสัมพันธ์กับตระกูลป๋ายแต่เนิ่นๆ เป็นดี ควรตัดแต่ไม่ตัด มีหวังได้พลอยฟ้าพลอยฝน

จังหวะนี้ พ่อบ้านได้ส่งชาแดงใส่มะนาวเข้ามา จางอี้หยวนดื่มน้ำชาไปหนึ่งคำ ก็เห็นท่านเคานท์เซียนอวี๋หยิบซิการ์คิวบาหนึ่งมวนออกจากกล่องบุหรี่เงินมาจุด สูบแรงๆ หนึ่งคำ หลับตาลงพ่นควันออกมา ดื่มด่ำอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยลืมตาขึ้น “พักนี้ซิ่นหงได้ยินข่าวลือประหลาดเรื่องหนึ่งบ้างไหม?”

จางซิ่นหงมองท่านเคานท์เซียนอวี๋อย่างสงสัย ได้ยินท่านพูดช้าๆ ว่า “ความจริงก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราหรอก...เจ้าฟ้าชายลำดับสามที่ไม่เป็นที่โปรดปรานท่านนั้น หายสาบสูญไปในระหว่างดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการที่อาณานิคมเจมมา”

“หา? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีข่าวอะไรจากฝ่ายราชการเลยล่ะขอรับ?” จางอี้หยวนยืดตัวนั่งตรงอย่างตกตะลึง

“น่าจะถูกใต้ฝ่าพระบาทกับจวนผู้ว่าฯที่เจมมาปิดข่าวไว้” ท่านเคานท์เซียนอวี๋ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ฟังว่าถูกกลุ่มไม่ทราบฝ่ายโจมตีในระหว่างแลกเปลี่ยนข่าวลับ จากนั้นไม่ทราบร่องรอย”

ท่านเคานท์เซียนอวี๋นิ่งคิด แล้วยิ้มอีกครั้ง ในรอยยิ้มแฝงอารมณ์สมน้ำหน้านิดๆ “เวลานี้สงสัยว่าใต้ฝ่าพระบาทคงจะทรงหัวปั่นน่าดู พระราชินีกับฝ่ายกองทัพต่างรับมือไม่ง่ายทั้งนั้นล่ะนะ”

“ใต้ฝ่าพระบาททรงลำเอียงมากเกินไปจริงๆ ดันส่งเจ้าฟ้าชายลำดับสามไปประจำยังอาณานิคมที่วุ่นวายที่สุดได้ แถมครบวาระประจำการสี่ปีแล้ว ยังไม่ทรงเปลี่ยนใครไปแทนอีก”

“ใครใช้ให้เจ้าฟ้าชายลำดับสามมีชาติกำเนิดสูงส่ง องค์มุฏราชกุมารกลับมีฐานอำนาจบางเบาเล่า? ฮึ แต่เรื่องพวกนี้ พวกเราอย่าไปยุ่งจะดีกว่า บางทีครั้งนี้ อย่างจะเป็นการโหมโรงก่อนที่เจ้าฟ้าชายลำดับสามจะโจมตีกลับก็เป็นได้”

 

<>::<>::<>

 

ผลสุดท้าย ซูจิ่นก็ทนปวดใจควักกระเป๋าซื้อ “Final Fantasy” ชุดนั้นจนได้ เพราะเธอไม่มีเวลาไปหาชุดอื่นแล้วจริงๆ

วันจันทร์หลังจากไปทำงาน หญิงสาวก็เริ่มประชุมจากครั้งนี้จนไปต่อประชุมครั้งโน้น ประชุมกับธนาคารที่ออกทุน ประชุมกับคนของฝ่ายบัญชี ประชุมกับคนของฝ่ายกฎหมาย ถึงแม้อุตสาหกรรมหนักหลิงซีจะไม่ถึงกับนับว่าเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการอุตสาหกรรม แต่ก็ไม่ใช่เล็กๆ ดีไม่ดีอาจต้องใช้สินทรัพย์ถึงหลายหมื่นล้าน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ซูจิ่นกับผู้อำนวยการหยวนสองคนจะจัดการได้ครบทุกด้านเด็ดขาด ดังนั้นทั้งสองคนจึงต่างเริ่มเตรียมการกันล่วงหน้ามาตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน โดยส่งมอบรายชื่อบุคคลที่เลือกมาอยู่กลุ่มเฉพาะกิจไปหนึ่งชุด หลังจากผ่านปีใหม่ ก็จะมีพนักงานของกลุ่มชุดหนึ่งมาเข้าร่วม ถึงเวลานั้น ซูจิ่นก็จะสบายยิ่งกว่านี้มาก

แต่ ณ ตอนนี้ เมื่อแต่ละวันเธอเหนื่อยจนลิ้นห้อยกลับมาถึงบ้าน ฉินชวนก็หลับไปแล้ว รุ่งเช้าตอนเธอออกจากบ้าน ฉินชวนยังไม่ตื่น...สถานการณ์แบบนี้มันพิลึกจริงๆ ทั้งที่ทั้งสองคนพักอยู่ใต้ชายคาเดียวกันแท้ๆ กลับไม่ได้พบหน้ากันเลยตลอดทั้งสัปดาห์ กระทั่งตอนที่ซูจิ่นทดลองสวมชุดราตรี ฉินชวนก็ไม่ได้เห็น

เดิมทีคิดจะให้เขาได้เห็นสักนิดเชียวนะ ซูจิ่นเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าในห้องพักแขกของโรงแรมที่จัดงานเลี้ยงราตรีเสร็จ มองดูหญิงสาวสำรวมมีสง่าและงดงามในกระจก รู้สึกว่าทั้งเหมือนตัวเธอ และไม่เหมือนตัวเธอ

ทำไมตัวเธอที่นิสัยเสียและหัวดื้อ ถึงดันมีหน้าตาสุภาพเรียบร้อยว่านอนสอนง่ายได้? เพราะหน้าตาแบบนี้แหละ ตั้งแต่เล็กจนโต บรรดาผู้ชายที่ถูกหน้าตาของเธอดึงดูดจนเป็นฝ่ายมาเข้าใกล้เธอ ต่างพากันตกใจเผ่นหนีไปจนหมดหลังจากที่ได้รู้จักนิสัยแท้ๆ ของเธอแล้ว ส่วนแฟนทุกคนของเธอ เธอต่างเป็นฝ่ายพยายามไปจีบเขาเองทั้งนั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทั้งๆ ที่เรียกได้ว่าเป็นสาวสวยแท้ๆ กลับไม่เคยได้รับอภิสิทธิ์ของการเป็นสาวสวยเลย ในโลกนี้ยังมีเรื่องที่น่าเซ็งยิ่งกว่านี้อีกไหม?

หญิงสาวแลบลิ้นใส่กระจก แล้วค่อยลงไปที่ห้องโถงจัดงาน

ปกติเวลาบริษัทจัดงานเลี้ยงราตรี มักจะเหมาโรงแรมระดับห้าดาวทั้งโรงทุกครั้ง หลังงานเลี้ยงเลิก พนักงานก็สามารถขึ้นไปนอนพักผ่อนในห้องพักแขกชั้นบนหนึ่งคืนได้ ตอนสายวันรุ่งขึ้นค่อยกลับบ้าน

ตลอดทางไม่ได้เห็นหนุ่มหล่อเลยสักคน ซูจิ่นชักจะคิดถึงฉินชวนขึ้นมา ใบหน้าปั้นรอยยิ้มหวาน เข้าไปนั่งยังที่นั่งซึ่งกำหนดไว้ก่อนท่ามกลางเสียงทอดถอนชมเชยของบรรดาเพื่อนร่วมงานหญิงที่ปกติค่อนข้างสนิทกัน ในใจกลับเผอคิดไปว่า สายพรุ่งนี้ตอนกลับไปบ้าน ฉินชวนจะกำลังทำอะไรอยู่นะ?

“ชุดที่คุณใส่นี่ คงไม่ใช่ ‘Final Fantasy’ ที่วาเลนติโน่ปล่อยออกมาใช่ไหม?” ซูจิ่นเพิ่งนั่งลงเรียบร้อย แอนนีเพื่อนร่วมงานในฝ่ายการเงินก็ถามขึ้นทันที ชุดราตรีชุดนี้เผยโฉมในนิตยสารแฟชั่นถี่มาก คิดจะไม่รู้ยังยาก...แน่นอน คนที่จะอ่านนิตยสารแฟชั่นก็เฉพาะตอนที่เข้าแถวรอจ่ายเงินในซูเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้นอย่างซูจิ่นถือเป็นข้อยกเว้น

ซูจิ่นพยักหน้าอย่างเปิดเผย แล้วได้ยินเฉินเหม่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ แซวเล่นว่า “ยายนี่เป็นเศรษฐีนี ใครแต่งกับเธอ ก็ลดเวลาที่ต้องฝ่าฟันลงไปได้เป็นสิบกว่ายี่สิบปีเลยแหละ” ซูจิ่นแกล้งทำเป็นเหล่ใส่คนพูดตาเขียว “งั้นฉันยังจะออกมาทำงานไปทำเพื่อ?”

“หึหึ เธอยังขาดสามีไม่ใช่เหรอ อยู่แต่กับบ้าน สามีน่ะไม่มีทางตกลงมาจากฟ้าหรอกนะ” เฉินเหม่ยหัวเราะคิกคักแซวซูจิ่น

ที่บ้านมีอยู่หนึ่งคนจริงๆ ด้วย...ซูจิ่นหัวเราะอย่างชั่วร้ายตามอีกฝ่าย ในศีรษะผุดภาพใบหน้าหล่อลากดินนั้น...แต่น่าเสียดายที่เธอกับเขาอยู่คนละโลกกัน ถูกกำหนดแน่นอนว่ายากจะเดินไปด้วยกันได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เขาจนไปหน่อย เธอเองก็ไม่ได้รังเกียจที่จะเลี้ยงหนุ่มลากดินไว้ในบ้านสักคนอยู่แล้ว...แต่แน่นอนละว่าก็ได้แค่คิดเท่านั้น...

งานเลี้ยงราตรีที่บริษัทจัดมีสารพัดรายการ นอกจากจับสลากรางวัลรอบแล้วรอบเล่าแล้ว ที่ได้รับการจับตาดูมากที่สุด ก็คือการแสดงในฐานะแขกรับเชิญของหานเยี่ยนักร้องชื่อดังระดับท็อป ทันทีที่เขาก้าวขึ้นเผยโฉมบนเวที คนทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงต่างแห่กันไปเบียดอยู่ที่ใต้เวที ที่ถ่ายรูปก็ถ่ายไป ที่กรีดร้องก็ร้องไป ซูจิ่นถูกเฉินเหม่ยบังคับลากไปออที่ด้านหน้าดูอยู่พักหนึ่ง ก็หน้าตาดีจริงๆ นั่นแหละ เสียงก็ดี แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลั่งดาราอย่างเธอแล้ว เขาก็เป็นแค่ผู้ชายที่ร้องเพลงเป็นเท่านั้น เธอจึงยากจะนึกตื่นเต้นเหมือนอย่างคนอื่นๆ

ตอนที่หานเยี่ยเริ่มร้องเพลงที่สอง หญิงสาวก็อ้างว่าขอไปห้องน้ำปลีกตัวออกมา ไม่นึกว่าจะได้พบเหวินฉี่ตงซึ่งกำลังสูบบุหรี่เข้าที่หน้าประตูห้องจัดงาน เขาสวมชุดสูท Armani ตลอดทั้งตัวเหมือนเคย แม้แต่ตอนสูบบุหรี่ ชุดสูทก็แนบเข้ากับรูปร่างที่สมดุลได้ส่วนของเขาอย่างเรียบกริบและตรงดิ่ง สง่างามน่ามองอย่างบอกไม่ถูก เหวินฉี่ตงเป็นผู้ชายที่เหมาะจะสวมชุดสูทมากที่สุดเท่าที่เธอเคยพบมาอย่างไม่ต้องสงสัย ฉินชวนสวมชุดสูทก็น่าจะไม่เลวเหมือนกัน แต่ไม่ทราบทำไม เธอมักจะรู้สึกว่าเขาเหมาะจะสวมเครื่องแบบทหารของราชอาณาจักรที่มีพื้นสีดำประดับด้วยสีเงินมากกว่า บางทีอาจจะเพราะบุคลิกเป็นเหตุกระมัง

หญิงสาวเพิ่งคิดจะทำเป็นมองไม่เห็นเขาและเดินหนีไป เหวินฉี่ตงกลับหันหน้ามาเหมือนรู้สึกถึงอะไร สบกับสายตาที่กำลังจะรั้งกลับของเธอพอดี ซูจิ่นยิ้มเก้อๆ ได้แต่เดินเข้าไปหาเรื่องชวนคุย “ผู้อำนวยการเหวินถูกรางวัลบ้างหรือเปล่าคะ?” ตอนจับสลาก ใช้แต่หมายเลขพนักงานทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่ทราบว่ามีใครบ้างที่ถูกรางวัล

ชายหนุ่มเห็นเธอเดินเข้ามาใกล้ ก็กดบุหรี่ดับอย่างรู้ตัวดีมาก โยนไปลงถังขยะข้างๆ “ไม่ถูกครับ ผมไม่ค่อยมีโชคด้านนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

“ฉันก็ด้วยค่ะ” พอซูจิ่นพบว่าเขากับเธอมีชะตากรรมเหมือนกัน ก็รู้สึกอยู่ใกล้กันกว่าเดิมโขขึ้นมาทันที

ชายหนุ่มยิ้ม ดูการแต่งตัวของเธอ เอ่ยด้วยแววตาชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง “คืนนี้คุณสวยมาก”

“ขอบคุณค่ะ” ซูจิ่นยิ้มหวาน พูดขอบคุณตรงๆ

เขาและเธอต่างเคยไปเรียนที่ต่างประเทศ...ได้รับการกล่อมเกลาจากวัฒนธรรมตะวันตกกันมาหลายปี ดังนั้นจึงรู้ใจกันดีในเรื่องเอ่ยชมและถูกชม ไม่มีทางข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายมีเจตนาเป็นอื่นเพราะเหตุนี้ไปได้ และไม่มีทางแสร้งทำเป็นถ่อมตัวอย่างกระดาก และด้วยความเคยชินจากวัฒนธรรมตะวันตกเช่นกันที่ทำให้คนทั้งสองต่างไม่อยากจะคุยถึงเรื่องงานกันในเวลาแบบนี้ แต่นอกจากเรื่องงานแล้ว เวลานี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรอื่นที่จะคุยกันได้ ดังนั้นหลังจากทักทายกันง่ายๆ 2-3 คำแล้ว ก็ต่างคนต่างแยกย้าย

งานเลี้ยงดำเนินไปจนถึงห้าทุ่ม หลังจากที่รางวัลใหญ่รางวัลสุดท้ายถูกคนอุ้มออกไป ทุกคนก็เริ่มต่างคนต่างออกจากงานเลี้ยงไปหาที่ต่อกัน ซูจิ่นเองก็โดนลากไปร้องคาราโอเกะ ร้องจนถึงตีสามตีสี่จึงค่อยกลับโรงแรมไปนอน

ตอนเช้าตื่นขึ้นมากินอาหารเช้าฟรีซึ่งทางโรงแรมมีให้ที่ห้องอาหารแล้ว หญิงสาวค่อยเช็คเอาท์กลับบ้าน พอเข้าประตูบ้าน ที่ต้อนรับเธอกลับเป็นสีหน้าบึ้งจัดคิ้วขมวดแน่นของฉินชวน

“เมื่อคืนนี้คุณไม่ได้กลับบ้าน” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิโดยไม่รอให้เธอเอ่ยปากทัก

“คุณรู้แล้วไม่ใช่หรือคะว่าเมื่อคืนนี้บริษัทพวกฉันจัดงานเลี้ยงราตรี? คุณเป็นคนช่วยเลือกชุดราตรีให้เองด้วยซ้ำไป” ซูจิ่นไม่เห็นด้วยนักกับการตำหนิของเขา

“แต่คุณไม่ได้บอกนี่ว่าจะไม่กลับทั้งคืน! ผมนึกว่าคุณเกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียอีก” ฉินชวนตวาดเสียงดัง ไม่เหลือความสุภาพอ่อนโยนอย่างยากจะได้เห็น

ซูจิ่นถูกสีหน้ากิริยาของเขากดดันจนรู้สึกผิด อุบอิบว่า “งานเลี้ยงราตรีก็ต้องค้างข้างนอกอยู่แล้วนี่นา” เห็นเขาทำท่าจะพูดอีก ก็รีบเอาใจว่า “เอาน่า ครั้งต่อไปจะบอกคุณก่อนแน่ๆ ค่ะ”

ฉินชวนสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่เหมือนกัน สามัญชนมีหรือจะพบเจอเรื่องแปลกๆ ง่ายขนาดนั้นได้? ขอแค่ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ เธอก็จะปลอดภัย

ชายหนุ่มมองหน้าเธออย่างไม่รู้ควรจะพูดอะไรดี แล้วเดินกลับห้องไป

 

เวลานี้ผู้หญิงคนนั้นกับเขาถือว่ามีความสัมพันธ์แบบไหนต่อกันกันแน่?

ฉินชวนกลับห้องเปิดทีวีอย่างโมโหกรุ่น ดูรายการของวันเสาร์ที่ปกติมักจะไม่มีสาระอะไร ในใจกลับวนเวียนอยู่ที่ปัญหานี้

ผู้มีพระคุณช่วยชีวิต? เจ้าของบ้าน? คนที่พักอยู่ด้วยกัน?

ทำไมคนที่ไม่ใช่แม้แต่จะเป็นเพื่อนชัดๆ เขากลับนึกแคร์ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว?

สัปดาห์นี้เธอกลับบ้านดึกทุกคืน ถึงเขาจะเข้านอนแต่หัวรุ่ง กลับต้องได้ยินเสียงประตูจากการกลับบ้านของเธอดังขึ้นเสียก่อนถึงจะวางใจหลับลงได้ นี่มันนิสัยเสียที่ติดมาตั้งแต่เมื่อไรกัน?

ฉินชวนที่ตกอยู่ท่ามกลางความงุนงงทิ้งตัวเองลงบนเตียงเต็มแรง มองฝ้าเพดานอย่างใจลอย

ชีวิตแบบในตอนนี้ เป็นชีวิตที่ไม่คุ้นเลยสำหรับเขา

เขาไม่เคยลองพักอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับผู้หญิงที่อายุใกล้เคียงกัน อยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำในระยะประชิดมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดจำพวกทำอาหารให้ผู้หญิงกิน เลือกเสื้อผ้าให้เธอ เฝ้ากังวลเป็นห่วงเธอทั้งคืน เขารู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงแปลกๆ อะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้นภายในตัวเขา

ฉินชวนไม่จัดเป็นคนจำพวกถือพรหมจรรย์อย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ใช่เพลย์บอยที่สนใจผู้หญิงมากกว่าคนปกติทั่วไป ในช่วงเวลาสิบปีหลังจากที่เขาบรรลุนิติภาวะ เขาเคยมีคู่ควงสาวมาแล้วหลายคน แต่อย่าว่าแต่อยู่ด้วยกันเลย กระทั่งเรื่องค้างคืนที่บ้านของคู่ควงยังมีน้อยมาก ถึงเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติของเขาที่เข้าสู่มหาวิทยาลัยการทหารแห่งราชอาณาจักรและรับการศึกษาอบรมสำหรับทหารอย่างเข้มงวดตั้งแต่อายุ 17 ปีก็ตาม แต่เหตุผลที่ลึกไปกว่านั้น เกรงว่าจะเป็นเพราะกำแพงโดยธรรมชาติซึ่งเกิดจากชาติกำเนิดอันสูงศักดิ์ของเขาที่ครอบตัวเขาไว้ นอกจากเพื่อนไม่กี่คนที่คอยอยู่เคียงข้างเขามาแต่เด็กในฐานะพระสหายร่วมเรียนแล้ว ยากมากที่เขาจะสลัดความรู้สึกมีมารยาทอันห่างเหินเวลามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้

กับคู่ควงที่ผ่านมาของเขาก็เป็นแบบนี้ พวกเธอต่างเป็นลูกผู้ดีมีตระกูล ตอนที่คบกับเขา ต่างทำตัวเรียบร้อยระมัดระวัง กลัวว่าจะเผลอล่วงเกินเขาเข้าตรงไหน กระทั่งตอนที่ร่วมรักกัน ยังถึงขนาดผมยังไม่ยุ่งสักเส้นได้

เดิมทีเขาไม่ได้นึกขัดแย้งอะไรนักกับเรื่องนี้ เคารพวิธีการใช้ชีวิตของแต่ละคน ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในการอบรมที่เขาได้รับ แต่ทว่าหลังจากที่เขาบุกเข้าสู่ชีวิตของซูจิ่นสาวโอตาคุ หรือควรพูดว่าซูจิ่นบุกเข้าสู่ชีวิตของเขา เรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

นับตั้งแต่นาทีที่เขาถูกเธอเก็บกลับมาบ้านในช่วงเวลาที่เขาทุลักทุเลที่สุด กำแพงโดยธรรมชาติของเขาก็ไม่มีผลต่อเธอโดยสิ้นเชิงแล้ว และดูเหมือนเป็นเพราะเขาโผล่เข้ามาในชีวิตส่วนที่ลับส่วนตัวที่สุดของเธอโดยตรง เธอจึงไม่เคยตระหนี่ที่จะแสดงด้านที่เป็นเนื้อแท้ที่สุดของเธอต่อหน้าเขาเช่นกัน...มีบางครั้งเธอถึงขนาดสวมชุดนอนเดินไปมาอยู่ในบ้านเสียด้วยซ้ำ ทำเหมือนไม่มีเขาอยู่ด้วยโดยสิ้นเชิง...เขาไม่เคยพบเคยเจอผู้หญิงที่ใจกล้าหน้าด้าน ไม่สำรวมไร้มารยาทมากเท่านี้มาก่อนเลย...

แต่ดูเหมือนจะเป็นเพราะถูกเธอปฏิบัติด้วยอย่างไม่มีการสร้างภาพไม่มีการระแวดระวัง ในใจของเขาจึงเหมือนมีบางอย่างผ่อนคลายลงเช่นกัน เริ่มที่จะกระเซ้าเธอเล่น ทำตัวชั่วร้ายกับเธอ แม้แต่วันนี้ยังถึงขนาดตวาดใส่เธอ นี่เป็นเรื่องที่เมื่อก่อนฉินชวนผู้รักษาความสุภาพอ่อนโยนกับผู้หญิงตลอดกาลไม่กล้าที่จะนึกถึงเด็ดขาด

นี่คือความรู้สึกแบบไหนกัน? จะพูดยังไงดี มันเหมือนกับว่าก่อนที่เขากับเธอจะได้รู้จักอีกฝ่ายอย่างแท้จริง เขาก็เธอก็สนิทชิดเชื้อกันจนไร้ช่องว่างเสียก่อนแล้ว

ฉินชวนลุกพรวดขึ้นนั่งกะทันหัน สะบัดศีรษะ พยายามสลัดความคิดเมื่อกี้นี้ออกไปให้ไกลที่สุด คนเรานี่ห้ามว่างจริงๆ พักผ่อนมาสองสัปดาห์ เขาเริ่มมีความคิดแปลกๆ เยอะตั้งขนาดนี้แล้ว...

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ซูจิ่นเปลี่ยนมาสวมชุดอยู่กับบ้านแล้ว ชะโงกหน้าเข้ามา เขาจ้องหน้าจอโทรทัศน์เขม็งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มองหน้าเธอ

หญิงสาวแลบลิ้นนิดๆ “คือว่า...ทำให้คุณต้องเป็นห่วง ขอโทษนะคะ”

ชายหนุ่มค่อยหันมามองเธอ ดวงตาทอแววงุนงงที่ไม่มีใครสังเกตเห็นจางๆ “ผมสิควรจะเป็นฝ่ายขอโทษ ผมไม่มีสิทธิ์อะไรไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของคุณสักหน่อย” ไม่ทราบเป็นด้วยจิตใจแบบไหนผลักดัน เขาได้ฟื้นคืนสู่ความสุภาพห่างเหินในตอนแรกเริ่ม

ความรู้สึกใจหายจางๆ ปัดผ่านหัวใจของเธอเบาๆ เหมือนขนนก คันยิบๆ อย่างประหลาด ครั้นคิดจะสืบค้นให้ละเอียด ก็ดับสลายไร้ร่องรอยเสียแล้ว ดังนั้นหญิงสาวจึงยิ้มอย่างไม่อนาทร “งั้นคุณพักผ่อนเถอะ ฉันก็จะไปนอนต่อแล้วเหมือนกัน”

ทั้งสองต่างไม่ได้ตระหนักว่า เคยมีนาทีหนึ่ง เขาและเธอต่างใกล้ชิดกันและกันอย่างที่สุด แต่แล้วกลับลอยกระเพื่อมออกห่างกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าเรื่องนั้นไม่เกิดขึ้น บางทีเขาและเธออาจจะลอยออกห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ จวบจนถึงเวลาที่ต่างมองไม่เห็นกันและกันโดยสิ้นเชิง และต่างลืมเลือนกันและกัน

แต่อย่างไรชีวิตก็ไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็นฟังก์ชันคอมโพสิทที่มีปัจจัยตัวแปรมากมาย

 

(ยังมีต่อ)


แก้ไขเมื่อ 24 ก.ค. 2559, 11:47 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 23 ก.ค. 2559, 15:48

28 ความคิดเห็น