หัวข้อ : เล่มที่ 6 รวมสมาพันธ์เฟิงเป็นหนึ่ง ตอนที่ 5 พยัคฆ์เมฆาน้อย

โพสต์เมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:11

ตอนที่ 5

 

พยัคฆ์เมฆาน้อย

 

 

ท้องฟ้าราตรีที่หมู่ดาวกะพริบพราว แม้ราตรีอันมืดมิดจะกลืนกินแสงสว่าง แต่ก็มอบเวลาแห่งการหยุดพักให้ผืนพิภพเช่นกัน

เดิมทียามราตรีก็เป็นเวลาอันควรแก่การพักผ่อนอยู่แล้ว และมีแต่ต้องผ่านยามราตรีเท่านั้น จึงจะสามารถปลดปล่อยแสงสว่างออกมาได้อีกครั้ง...

แต่ทว่าท้องฟ้าในราตรีนี้ดูจะไม่ค่อยเงียบสงบเท่าไรนัก

“ก๊ากกก...ขำเป็นบ้าเลย พวกนั้นคิดได้ไงเนี่ย ฮ่าฮ่า ! โอ๊ย…ขำจะตายอยู่แล้ว...”

เอ็ทนามองเฉินเฟิงโดยไม่พูดอะไร เธอละเชื่อความมองโลกในแง่ดีกับยอมรับชะตากรรมของหมอนี่จริงจริ๊ง

ตั้งแต่เธอไปแขวนสร้อยเวทกระจกเงากลับมาจนถึงตอนนี้ เฉินเฟิงก็เอาแต่นั่งหัวเราะก๊ากกลิ้งไปกลิ้งมาคนเดียวอยู่อย่างนั้นมาตั้งกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ทั้งหัวเราะขำเพื่อนของเขาเอง และหัวเราะขำกลุ่มผู้ออกแบบเกมที่อุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจวางแผน

เฉินเฟิงเช็ดน้ำตาออกจากหางตา นี่เป็นน้ำตาที่เกิดจากการหัวเราะติดต่อกันนานเกินไปจนกล้ามเนื้อรอบดวงตาทนการใช้งานหนักเกินพิกัดไม่ไหว จึงขับน้ำตาแห่งความสุขออกมาโดยธรรมชาติ

ตรงหน้าคือกระจกกรอบเหลี่ยมบานสูงเท่าตัวคนลอยคว้างอยู่กลางอากาศ รอบๆ มีแสงสีขาวเป็นเส้นสายทอประกายระยิบระยับ ดูราวกับว่าที่กลางอากาศถูกทำให้มีโลกที่ตั้งฉากกับโลกใบนี้ขึ้นมากระนั้น

ภาพที่สะท้อนอยู่บนกระจกคือภาพเยี่ยหลานกับวิหารจันทราเทพที่กำลังร้อนอกร้อนใจนั่นเอง เหนือศีรษะของพวกเธอยังมีพยัคฆ์เมฆาที่หายสาบสูญไปอีกด้วย

เฉินเฟิงสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ติดต่อกันหลายครั้งกว่าจะสงบอารมณ์ลงได้ แล้วค่อยพูดอย่างค่อนข้างจะมีโมโหว่า

“ที่แท้ก็เพื่อไข่ใบนี้นี่เอง แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับการทดสอบไม่ทราบ ? ผมสงสัยอยู่แล้วว่าพวกคุณคงไม่มีเจตนาดีแน่ ที่จงใจถ่วงเวลาไม่ให้ผมกลับไปนี่คงเพราะกลัวว่าผมจะพูดสื่อสารกับพยัคฆ์เมฆาสินะ ?”

เอ็ทนาส่ายหน้า “แหม…ที่ไม่ปล่อยคุณกลับไป เพราะไม่อยากให้คุณไปสื่อสารกับพยัคฆ์เมฆาจริงๆ นั่นล่ะ แต่นี่ไม่ได้ขัดต่อข้อกำหนดว่าด้วยความยุติธรรมของเกมนี้หรอกนะ ต่อให้พวกเราส่งเยี่ยหลานกลับไปที่เมืองก็เถอะ มันก็สอดคล้องกับกฎว่าด้วยความยุติธรรมเหมือนกันอยู่ดี แต่ขนาดคิดหลายตลบแล้วก็ยังพลาดจนได้สิน่า…”

เฉินเฟิงถามอย่างไม่เข้าใจ “ไข่สัตว์เลี้ยงก็ให้มาแล้วแท้ๆ ทำไมถึงต้องห้ามผู้เล่นฟักไข่ด้วยล่ะ ?”

“คุณพูดผิดแล้วล่ะค่ะ ! พวกเราขวางไม่ให้สัตว์อสูรช่วยฟักไข่ให้ต่างหาก ไม่ได้ขวางไม่ให้ผู้เล่นฟักไข่เองเสียหน่อย…” เอ็ทนาแก้ “อันที่จริงเป็นเพราะระดับสูงเกินไปนั่นล่ะ ทำให้ขืนปล่อยออกไป มันจะเป็นการกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมบางอย่างได้ ที่พวกเราทำแบบนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือกค่ะ แล้วต่อให้เธอฟักมันออกมาได้ในตอนนี้ ก็ยังต้องรอจนกว่าระดับของเธอเองไล่ตามทัน ถึงจะสามารถควบคุมได้โดยสมบูรณ์อยู่ดี หากฟักออกมาก่อนกำหนด มันจะกลายเป็นระเบิดเวลาที่ไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนเหมือนกับอเล็กซ์ของคุณนั่นแหละ !”

“ต่อให้เป็นแบบนั้นก็เถอะ จะฟักหรือไม่ฟัก ก็น่าจะให้ผู้เล่นเป็นคนตัดสินใจเองสิครับ ? พวกคุณทำแบบนี้ไม่เท่ากับเป็นการทุบป้ายยี่ห้อของตัวเองที่ว่าจะไม่แทรกแซงการกระทำของผู้เล่นทุกคนเพื่อความยุติธรรมของเกมหรอกหรือไง ?” เฉินเฟิงไม่เห็นด้วย

เอ็ทนาถอนใจ “ถึงยังไงมันก็ฟักไปแล้ว เถียงกันไปก็เท่านั้น…การคงความยุติธรรมเอาไว้น่ะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอกนะ ถึงจะอธิบายไป คุณก็ไม่เข้าใจหรอก แต่ฉันขอย้ำอีกครั้งอยู่ดีว่า ที่พวกเราทำแบบนี้ ไม่ได้ขัดต่อข้อกำหนดว่าด้วยความยุติธรรมของเกมนี้หรอกนะ”

เฉินเฟิงโบกมือ “ช่างเถอะๆ พวกคุณเป็นกลุ่มผู้ออกแบบเกมนี่ พวกคุณว่ายังไงผมก็ว่าตามกันอยู่แล้ว ผมไม่โง่ถึงขนาดคิดจะเถียงกับคุณต่อหรอกน่า ว่าแต่คืนสร้อยคอเส้นนั้นมาให้ผมได้หรือยังล่ะ ? นั่นน่ะเอาคะแนนทดสอบไปแลกมาเชียวนะ แล้วก็…คงจะส่งผมกลับไปซะทีได้แล้วสินะ ?”

เอ็ทนาอ้าปากค้าง นึกไม่ถึงว่าเมื่อกี้เฉินเฟิงเพิ่งจะยกเหตุผลมาเถียงฉอดๆ อยู่หยกๆ แท้ๆ ไหงแค่แป๊บเดียวดันเปลี่ยนใจเป็นไม่แยแสไปซะแล้ว ? เธอล่ะไม่เข้าใจหลักตรรกของอีตานี่เลยจริงๆ !

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ็ทนาก็พูดว่า

“ยังไม่ได้ค่ะ…อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่ามันจะฟักออกมาก่อน การทดสอบถึงจะสิ้นสุดลงอย่างแท้จริง ไหนๆ คุณก็อุตส่าห์รอมาตั้งนานขนาดนี้แล้ว รอต่ออีกสัก 10 นาทีก็แล้วกันนะ !”

เฉินเฟิงพูดไม่ออกบอกไม่ถูกจริงๆ คืนนี้เขามาเสียเวลาอยู่ที่นี่ทั้งคืนก็ว่าได้เลยนะ แล้วปากของเอ็ทนาก็แข็งชะมัดยาด ถามอะไรไปก็ไม่ยอมแย้มให้รู้กันเลยสักนิด นี่ถ้าไม่เพราะมีเวทกระจกเงาที่ทำให้มองเห็นเยี่ยหลานกับวิหารจันทราเทพได้ล่ะก็ เขามีหวังได้เซ็งจัดจนประสาทกินไปนานแล้ว

เวลาแห่งการรอคอยมักคืบคลานผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสมอ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีแต่ผืนฟ้าผืนดินสีขาวโพลนโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักอย่างแบบนี้ ในความรู้สึกของเฉินเฟิง เวลาสั้นๆ แค่ 10 นาทีนี้นานอย่างกับครึ่งศตวรรษเชียวนะ !

และแล้วเขาก็กล้ำกลืนฝืนทนรอจนได้เวลาจนได้ ในกระจก เยี่ยหลานกับวิหารจันทราเทพเองก็กลับคืนเป็นปกติกันแล้ว เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าวิหารจันทราเทพยังคงคิดจะสู้เต็มที่ ดูท่าทางเธอจะกกไข่ยักษ์สีขาวใบนี้มานานจนเริ่มเกิดความรู้สึกผูกพันเข้าให้แล้ว

วิหารจันทราเทพคลำหาอาวุธของตัวเองไปทั่วพื้น ที่น่าแค้นใจคือหมอกหนาทึบมากเกินไปจนมองไม่เห็นอะไรเลย ทำให้กว่าเธอจะคลำเจอธนูยาว ก็เสียเวลาไปตั้งพักใหญ่

กว่าวิหารจันทราเทพจะคลำหากระบอกธนูเจอ เธอก็ไม่ทราบเสียแล้วว่าพยัคฆ์เมฆาหายสาบสูญไปทางทิศไหน จึงได้แต่ซี้ซั้วยิงมั่วขึ้นไปบนอากาศอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ

เยี่ยหลานได้ยินเสียงลูกธนูแหวกอากาศเข้าก็ตกใจ เธออยากจะหยุดไม่ให้วิหารจันทราเทพทำอะไรวู่วามอยู่หรอก แต่น่าเสียดายที่ตัวเธอเองก็อยู่กลางหมอกหนาทึบขาวโพลนนี้เหมือนกัน นั่นคือพลอยจับทิศทางไม่ถูกไปด้วย ก็เลยได้แต่พยายามพูดเกลี้ยกล่อมแทนโดยหวังให้วิหารจันทราเทพกลับมามีสติรู้คิดเหมือนเดิม

ระหว่างที่สองสาวกำลังวุ่นวายกันอยู่ข้างล่าง พยัคฆ์เมฆาที่ซ่อนตัวอยู่กลางอากาศก็เกิดการเปลี่ยนแปลง หมอกสีขาวที่เดิมทีพลุ่งแผ่กระจายออกไปรอบด้านเริ่มไหลย้อนกลับเข้าไปหาตัวมันอย่างแช่มช้า และหมุนวนทวนเข็มนาฬิกาจนค่อยๆ กลายเป็นก้อนกลมสีขาวขนาดยักษ์

เนื่องจากละอองหมอกค่อยๆ เบาบางลง ทิวทัศน์รอบด้านจึงเริ่มปรากฏให้เห็นทีละน้อย แล้วเยี่ยหลานก็หาวิหารจันทราเทพเจอในที่สุด ทั้งยังแย่งกระบอกธนูในมือเธอมาได้สำเร็จ

“บัดซบ ! อย่ามาห้ามฉันนะ ! ช่างหัวสิว่ามันเป็นตัวอะไร กล้ามาขโมยกินไข่สัตว์เลี้ยงของฉันได้ ฉันจะยิงมันให้พรุนเลยคอยดู…หลาน คืนลูกธนูมาสิ !” วิหารจันทราเทพเป็นฟืนเป็นไฟ

ถึงแม้เยี่ยหลานจะไม่เข้าใจว่าทำไมวิหารจันทราเทพถึงได้ให้ความสำคัญกับไข่ยักษ์ใบนั้นถึงขนาดนี้ แต่เธอยังไม่ลืมหรอกนะว่าไอ้ที่ขโมยไข่ไปน่ะมันตัวอะไร และแน่นอนละว่าเธอไม่มีทางยอมคืนลูกธนูให้เด็ดขาด

พอแย่งลูกธนูแพ้ วิหารจันทราเทพก็เปลี่ยนเป้าหมายไปหาลูกธนูอีกกระบอก แต่เยี่ยหลานก็ชิงล้ำหน้าหนึ่งก้าวไปริบลูกธนูทั้งหมดที่ตกอยู่บนพื้นมาไว้เสียก่อน ทำเอาวิหารจันทราเทพเดือดดาลสุดขีดจนได้แต่กระทืบเท้าเร่าๆ

ระหว่างที่สองสาวกำลังแย่งลูกธนูกัน กระแสอากาศรอบด้านไม่ทราบเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันตั้งแต่เมื่อไร ทั้งยังเริ่มก่อตัวเป็นพายุเฮอร์ริเคนขนาดเล็กอีกต่างหาก ส่วนก้อนกลมใหญ่ซึ่งเกิดจากการที่พยัคฆ์เมฆาดูดหมอกกลับคืนมาก็ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของพายุไป

สองสาวเพิ่งจะมารู้สึกตัวเอาตอนที่ชักจะยืนไม่ค่อยอยู่ว่านอกจากเธอสองคนแล้ว รอบด้านได้ถูกพายุกวาดพัดจนเกลี้ยงเกลา พวกเธอเองก็ถูกบีบจนต้องย่อตัวลง ถึงค่อยไม่โดนพัดปลิว

ทั้งที่ด้านนอกพายุร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ก้อนกลมสีขาวที่ด้านในกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่น้อย ราวกับว่าทุกสิ่งในที่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับมันทั้งสิ้นกระนั้น ซึ่งทำให้พายุเฮอร์ริเคนและก้อนกลมสีขาวดูขัดแย้งกันอย่างรุนแรง

 

เอ็ทนาถอนหายใจ “น่าเสียดายจริงๆ !”

“นั่นน่ะสิ ! ไอเท็มถูกพัดปลิวไปหมดแล้ว นั่นน่ะอย่างน้อยก็ตั้ง 2-3 หมื่นเหรียญเงินเชียวนะ !” เฉินเฟิงบ่นปนโวย “จะส่งผมกลับไปได้หรือยังครับ…เพราะถ้าถ่วงต่อไป จะเก็บไอเท็มกลับมาไม่ได้แล้วนะ !”

เอ็ทนายิ้มจืดๆ “ที่ฉันเสียดายน่ะไม่ใช่ไอเท็มพวกนั้นสักหน่อย ! แต่เสียดายที่ฉันพลาดโอกาสไปอีกครั้งแล้วต่างหาก...คำนวณพลาด...คำนวณพลาดจริงๆ !”

เฉินเฟิงชักโมโหอีกแล้ว “อย่าบอกนะว่าคุณยังคิดจะก่อกวนให้เสียเรื่องอีกน่ะ ?”

เอ็ทนาเลี่ยงจากสายตาเค้นถามของเฉินเฟิงหันไปมองกระจกเวทมนตร์ที่เกิดจากเวทกระจกเงาก่อตัวเป็นรูปร่าง แล้วถอนหายใจ

“สัตว์เลี้ยงกำลังจะออกมาดูโลกแล้ว สัตว์เลี้ยงตัวนี้ต่อให้ต้องใช้ไอเท็มเป็นสองเท่าของที่ปลิวไปนั่นมาแลก ก็คุ้มค่าอย่างแน่นอน”

แม้เฉินเฟิงจะไม่พอใจที่เอ็ทนาจงใจเลี่ยงไม่ตอบคำถามของเขา แต่ก็อดถูกภาพในกระจกดึงดูดไม่ได้อยู่ดี

 

ลมเฮอร์ริเคนที่เมื่อครู่ยังพัดแรงเสียจนยืนไม่อยู่ได้สาบสูญไปแล้ว...

หมอกขาวที่หุ้มอยู่รอบตัวพยัคฆ์เมฆาซึ่งบินค้างอยู่กลางอากาศค่อยๆ ควบตัวเข้าหากัน และเปลี่ยนเป็นเปลือกบางเฉียบสีขาวทีละน้อยๆ เหมือนกับเปลี่ยนเป็นไข่สีขาวอีกใบที่ใหญ่กว่าใบเดิม เปลือกไข่เปล่งแสงสีขาวนวลออกมาจางๆ ภายใต้แสงจันทร์สาดสะท้อน ท่ามกลางความเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียงเช่นนี้ ดูราวกับว่ามันได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนปฐพีกระนั้น

ชีวิต !

ถูกต้อง ! ชีวิตเกี่ยวพันกับไข่อย่างแยกไม่ออกมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมก็ตาม ตอนที่อยู่ในการปกป้องของครรภ์มารดา ก็เป็นการอยู่ในสภาพปิดตายของสิ่งที่มีรูปลักษณ์คล้ายกันกับไข่อยู่ดี

ทั้งเอ็ทนา เฉินเฟิง เยี่ยหลาน และวิหารจันทราเทพต่างก็สามารถรู้สึกได้...รู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์แห่งการถือกำเนิดของชีวิต สิ่งที่ทุกคนกำลังรอคอยด้วยหัวใจที่เต้นโครมครามในเวลานี้ คือความพยายามของชีวิตใหม่ สิ่งที่ทุกคนกำลังห่วงกังวล คือชีวิตใหม่จะออกมาจากไข่ได้สำเร็จหรือไม่

“พยายามเข้า !”

คนทั้งสี่ต่างส่งคำพูดนี้ออกไปพร้อมกันโดยอัตโนมัติในใจโดยไม่จำเป็นต้องผ่านภาษาใดเป็นสื่อกลางทั้งสิ้น

“เปรี๊ยะ ! เปรี๊ยะ !”

ความเคลื่อนไหวแผ่วเบาสั่นสะเทือนจิตใจของทุกคน และทิ้งรอยร้าวเล็กบางเอาไว้บนเปลือกไข่

ทุกคนต่างกลั้นหายใจ รอคอยอย่างเงียบงัน

“เป๊าะ !”

รอยร้าวเล็กบางบนเปลือกไข่เปลี่ยนเป็นรูขนาดเล็กในบัดดล จากรูนั้นสามารถมองลอดเข้าไปเห็นชีวิตน้อยๆ กำลังต่อสู้เพื่อตัวเอง โดยพยายามหาทางออกมาจากไข่ให้ได้

จมูกเล็กนิดเบียดอยู่กับรูบนเปลือกไข่ อุ้งเท้าพยายามตบๆ หมายจะให้รูนั้นขยายใหญ่กว่าเดิม...

สุดท้าย เสียงปริแตกกังวานใสดังขึ้นหลายครั้ง ครั้นแล้วศีรษะอันสุดจะน่ารักน่าชังของชีวิตน้อยๆ ก็ยื่นโผล่ออกมาจากไข่

บางทีการใช้คำว่า “เล็ก” มาบรรยายถึงมันอาจจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก เจ้าตัวน้อยที่ทลายเปลือกไข่ออกมาตกลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะแตะถึงพื้น มันก็งอตัวอย่างรวดเร็ว แล้วสัมผัสพื้นโดยไม่มีเสียงแม้สักนิด

มันมีขนสีขาวสะอาด มีลายสีน้ำตาล นัยน์ตาสีฟ้าสดใส ลำตัวยาวกว่า 1.5 เมตร ขนาดตัวของมันเล็กกว่าพยัคฆ์เมฆาอยู่หลายเบอร์ก็จริง แต่หากเทียบกับสองสาวที่อยู่ใกล้ๆ แล้วละก็ ตัวมันก็ยังใหญ่จนน่าตกใจอยู่ดี

เสียงจากระบบดังขึ้นในศีรษะของวิหารจันทราเทพว่า

“ผู้เล่นวิหารจันทราเทพฟักไข่สัตว์เลี้ยงชั้นสูงสำเร็จอย่างราบรื่น ได้รับสัตว์เลี้ยงพยัคฆ์เมฆาระดับ 60 หนึ่งตัว เนื่องจากระดับทักษะของผู้เล่นไม่พอที่จะควบคุม จึงจะเข้าสู่รูปแบบกาฝากในทันที”

เมื่อเสียงแจ้งจากระบบจบลง พยัคฆ์เมฆาน้อยก็เปล่งเสียงคำรามต่ำๆ แล้วกระโจนเข้าหาวิหารจันทราเทพทันควัน ทำเอาเยี่ยหลานใจหายวาบ รีบร้องว่าระวัง แล้วกระโจนพรวดเข้าใส่วิหารจันทราเทพทันทีโดยไม่ทันคิดห่วงตัวเอง

“แก๊ก !”

เกราะหนังสองชิ้นกระแทกเข้าหากันเกิดเป็นเสียงดังทึบๆ แล้วสองสาวต่างก็ล้มกลิ้งไปบนพื้นหญ้าด้วยกันทั้งคู่

เยี่ยหลานที่หลังจากกลิ้งไปสองตลบค่อยยันตัวลุกขึ้นมาได้มีอันตกตะลึง เพราะพยัคฆ์เมฆาน้อยที่กระโจนเข้าใส่ดันหายวับไปต่อหน้าต่อตาเธอ ส่วนวิหารจันทราเทพเองถึงจะเสียหลักล้มลงนั่งกับพื้น แต่สีหน้าดูสงบนิ่ง และกำลังมองแขนขวาของตัวเองอยู่ บนแขนขวาของเธอมีปลอกแขนแปลกๆ ที่มีลวดลายเวทมนตร์โผล่มาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ

“หึหึ...ไม่ต้องตกอกตกใจไปหรอกน่า ! เป็นเพราะระดับของจันทราเทพไม่พอ พยัคฆ์เมฆาน้อยก็เลยต้องใช้สถานะกาฝากอยู่บนแขนของเธอไปก่อน หลาน ที่จันทราเทพได้พยัคฆ์เมฆาน้อยมาอย่างราบรื่นในครั้งนี้ ถือเป็นความดีความชอบของเธอล้วนๆ เลยนะ !”

คนที่เอ่ยวาจาก็คือท่านหัวหน้ากลุ่มที่หายสาบสูญไปเสียนานนั่นเอง ข้างกายเขายังมีอเล็กซ์ อู้คง และซวงเว่ย สัตว์เลี้ยงทั้งสามตัว ส่วนหลายฝูวิ่งลาดตระเวนอยู่ไกลๆ[1]

ตอนแรกที่ได้เจอเฉินเฟิง สองสาวที่คิดถึงเขาอยู่ “ทุกลมหายใจเข้าออก” ก็พากันดีอกดีใจ แต่หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นอึดอัดขัดเขินในทันที เป็นเพราะดูจากเรื่องที่เขาช่วยอธิบายกรณีพยัคฆ์เมฆาน้อยอยู่ในสถานะกาฝากแล้ว เขาก็น่าจะรู้หมดน่ะสิว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกับเธอสองคนบ้าง...

เฉินเฟิงไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกกระอักกระอ่วนของสองสาวแม้แต่น้อย หลังจากตรวจสอบสถานะของตัวเองกับพวกสัตว์เลี้ยงเสร็จ เขาก็ยังไม่ลืมว่ายังมีไอเท็มของวิหารจันทราเทพที่ถูกลมเฮอร์ริเคนพัดปลิวรอให้ไปเก็บอยู่

กว่าเฉินเฟิงจะไปตามเก็บไอเท็มจากที่ห่างออกไปกว่า 500 เมตรอย่างลำบากยากเย็นจนได้กลับคืนมาเป็นส่วนใหญ่ สองสาวก็ปรับอารมณ์จนเป็นปกติเรียบร้อยแล้ว

ครั้นเห็นสองสาวเอาแต่ซุบซิบกันอย่างมีลับลมคมในโดยไม่มีทีท่าว่าจะสนใจไอเท็มกับพวกอาวุธชุดเกราะแม้แต่น้อย เฉินเฟิงก็พูดเตือนปนหอบว่า

“จันทราเทพลองเช็กดูสิว่าขาดอะไรที่มีค่าไปบ้างหรือเปล่า ? ถ้าเวลาผ่านไปนานเกินไปล่ะก็ คิดจะไปหาก็หาไม่เจอแล้วนะ !”

วิหารจันทราเทพยิ้มละไม “พี่เฟิงไม่ต้องเหนื่อยแล้วล่ะค่ะ เพราะถึงยังไงก็ไม่มีอะไรที่มีค่ามากอยู่แล้ว...แต่ก็ขอบคุณมากนะคะ !”

เยี่ยหลานอึกอักถามว่า “พี่เฟิงคะ เมื่อกี้พี่...มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่หรือคะ ?”

“ก็ตอนที่พวกเธอกำลังเล่นเกมถลาเข้าหากันอยู่ไง !” เฉินเฟิงแกล้งตอบเล่นลิ้น

เยี่ยหลานค้อนขวับทันที แล้วพ่นลมออกทางจมูกแรงๆ

“เฮอะๆๆ ไม่ตลกค่ะ ! เล่นเกมถลาเข้าหากันอะไรกันฮะ...นี่ถามซีเรียสนะ ยังจะมาล้อเล่นอีก แล้วพี่รู้ได้ยังไงคะว่าพยัคฆ์เมฆาน้อยจะอยู่ในสถานะกาฝาก ?”

นานๆ เฉินเฟิงจะอุตส่าห์พูดเล่นสักที นึกไม่ถึงว่าเยี่ยหลานจะไม่ยอมไว้หน้ากันเลย แต่เรื่องนี้จะไปโทษเธอก็ไม่ได้ เพราะตอนนี้เรื่องที่เธอกำลังกังวลมากที่สุดคือ เฉินเฟิงทราบได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ แม้แต่วิหารจันทราเทพเองก็พลอยแสดงสีหน้ากังวลสนใจด้วยเช่นกัน

ซึ่งความจริงไม่ว่าใครก็ไม่ชอบถูกเฝ้าจับตาดูกันทั้งนั้น ถึงคนที่จับตาดูจะเป็นคนที่ตัวเองสนิทสนมคุ้นเคยก็เถอะ มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกนี้ได้อยู่ดี

ถึงแม้ “ราชาแห่งราชัน” จะเป็นแค่เกมก็ตาม แต่กระทั่งบริษัทเกมเลจจ์ที่มีประวัติของผู้เล่นทั้งหมดอยู่ในมือ ก็ยังไม่สามารถประกาศหรือเปิดเผยบันทึกข้อมูลของผู้เล่นให้บุคคลที่สามทราบโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เล่นได้ นอกเสียจากว่าผู้เล่นได้กระทำผิดกฎหมาย ทางบริษัทจึงจำเป็นต้องให้ความร่วมมือในการตรวจสอบและรายงาน แล้วเมื่อกี้สองสาวดันนินทาเฉินเฟิงไปตั้งเยอะเสียด้วย

ความจริงที่เฉินเฟิงทำเป็นพูดเล่นลิ้นก็เพื่อที่จะเปลี่ยนประเด็นนั่นแหละ เนื่องจากตอนที่เอ็ทนาอธิบายข้อจำกัดในการใช้เวทกระจกเงาจบ ก็เตือนเฉินเฟิงแบบทีเล่นทีจริงว่า อย่าได้ใช้เวทมนตร์ไปแอบดูใครเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นได้เดือดร้อนแน่ ตอนนั้นเฉินเฟิงก็แค่หัวเราะเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่าพอกลับมาปุ๊บ เขาก็เจอะกับการซักฟอกของสองสาวเข้าให้ทันที ทำเอาต้องนึกเรียบเรียงคำพูดอยู่พักใหญ่

วิหารจันทราเทพถามว่า “หรือว่า…เมื่อกี้เธอกลายเป็นพยัคฆ์เมฆาไปจริงๆ ?!”

“ฮ่าฮ่า…!” ครั้นเฉินเฟิงที่กำลังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มอธิบายจากตรงไหนก่อนดีได้ยินคำถามของวิหารจันทราเทพเข้า ก็บังคับตัวเองไม่อยู่เผลอหัวเราะก๊ากเป็นบ้าเป็นหลังทันที

เนื่องจากภาพแรกที่เขาเห็นหลังจากเอ็ทนาไปสวมจี้คริสตัลให้พยัคฆ์เมฆากลับมา คือภาพที่สองสาวเริ่มทำการทดสอบปัญญาอ่อนครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะนึกสงสัยว่าเขากลายเป็นพยัคฆ์เมฆาหรือเปล่านั่นเอง และมันก็ทำเอาเขาหัวเราะแทบเป็นแทบตายอยู่นานตั้งกว่าครึ่งชั่วโมง

ครั้นเห็นสองสาวต่างก็ชักสีหน้า เฉินเฟิงค่อยพยายามหยุดหัวเราะอย่างกระดากกระเดื่อง

“ขอโทษทีๆ ! ผมบอกก็ได้ ผมไม่ได้กลายเป็นพยัคฆ์เมฆาแหงอยู่แล้ว แต่ช่วงครึ่งหลังผมรู้ความเคลื่อนไหวของพวกเธอได้เพราะอาศัยมันจริงๆ นั่นล่ะ”

“แล้วเรื่องมันเป็นยังไงมายังไงไม่ทราบ ช่วงครึ่งหลังน่ะมันเริ่มจากตรงไหนหา ? อย่ามาทำเป็นเล่นลิ้นนะ รีบพูดมาเร็วเข้า !” เยี่ยหลานถามอย่างมีโมโห

“ก็ไอ้นี่ไง รู้สึกคุ้นๆ ไหม ?” เฉินเฟิงคุ้ยกระเป๋าคาดเอวของตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ แล้วหยิบจี้คริสตัลออกมายื่นส่งให้เยี่ยหลาน

สองสาวตรวจสอบอยู่พักใหญ่ ค่อยทราบว่านี่คือจี้เส้นที่ห้อยอยู่ที่คอพยัคฆ์เมฆานั่นเอง และพากันถอนหายใจอย่างโล่งอกได้ในที่สุดที่ไม่ใช่ว่าเริ่มถูกจับตาดูตั้งแต่ตอนที่เฉินเฟิงหายสาบสูญไป ไม่อย่างนั้นเขามีหวังรู้เรื่องตอนที่เธอสองคนออกตามหาเขาตั้งเป็นนานสองนานหมดน่ะสิ

หลังจากนั้นอีกกว่าครึ่งชั่วโมง เฉินเฟิงก็ถูกสองสาวซักไซ้ละเอียดยิบจนต้องเล่ารายงานเหตุการณ์ตอนที่หายสาบสูญไปทั้งหมด ตั้งแต่ไปเจอใคร พูดอะไรบ้าง โดยห้ามดำน้ำข้ามไปแม้แต่นิดเดียว

สุดท้าย หลังจากที่ได้ทราบว่าจี้คริสตัลต้องร่ายเวทเปิดใช้ล่วงหน้า และต้องใช้พลังจิตจำนวนมากในการคงสภาพเอาไว้ สองสาวก็ค่อยเบาใจขึ้นหน่อย

และนับแต่นั้นมา สองสาวก็ไม่แตะไอเท็มจำพวกสร้อยคออีกเลย ต่อให้เฉินเฟิงพยายามอธิบายจนปากแทบฉีกว่ามีแต่สร้อยคริสตัลเท่านั้นที่ใช้สร้างเวทกระจกเงาได้ก็เถอะ หัวเด็ดตีนขาดยังไงพวกเธอก็ไม่ยอมสวมสร้อยอีก

หลังจากวุ่นวายกันมาทั้งคืน ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว

เฉินเฟิงแบ่งยาฟื้นพลังที่เหลืออยู่เพียงนิดหน่อยให้สองสาว แล้วเริ่มมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางอันได้แก่ “เจดีย์ยักษ์สีขาว” แดนศักดิ์สิทธิ์สู่อาชีพนักบวชกันต่อโดยมีอเล็กซ์กับอู้คงนำหน้าเบิกทาง

ด้วยความช่วยเหลือของอเล็กซ์กับอู้คงที่เป็นสัตว์เลี้ยงระดับสูงทั้งสองตัว บวกกับม้วนคาถาธาตุความมืดของเฉินเฟิงอีก 1 ม้วน คนทั้งสามก็สามารถตะลุยผ่านการสกัดขวางของฝูงสัตว์อสูรที่สองสาวบุกกันเองหลายครั้งก็ยังไม่ผ่านไปได้อย่างราบรื่น หลังจากตะลุยผ่านรวดเดียว 9 โค้ง ก็มาถึงอีกฟากหนึ่งของเทือกเขา

ปรากฏว่าหากว่ากันตามหลักแล้ว ถ้ำนั้นไม่ควรจะเรียกว่า “ถ้ำ” แต่ควรเรียกว่า “อุโมงค์” จะถูกต้องกว่า

เมื่อออกมาจากถ้ำ ตรงหน้าคือพื้นที่แอ่งกระทะขนาดเล็กซึ่งถูกโอบล้อมด้วยภูเขา บริเวณแอ่งกระทะมีพื้นที่ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น มีทางน้อยสายหนึ่งทอดตัวในลักษณะวนเวียนไปมาลงสู่ใจกลางแอ่ง

ตอนที่ทั้งสามไปถึง ดวงอาทิตย์ได้ไต่ขึ้นถึงยอดเขาพอดี ภาพทิวทัศน์ใต้แสงอรุณดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ และเป้าหมายของทั้งสามก็คือสิ่งก่อสร้างเพียงหนึ่งเดียว ณ ตำแหน่งใจกลางของพื้นที่...เจดีย์ชั้นเดียวสีขาว

คนทั้งสามอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเจดีย์ยักษ์สีขาวในตำนานหลังนี้ถึงได้เล็กแบบนี้ ?

แม้จะยังอยู่ห่างออกไปพอสมควร แต่คะเนดูจากขนาดสัดส่วนแล้ว เจดีย์สูงอย่างมากแค่ 3 เมตรเท่านั้น มองจากที่ไกลจะดูคล้ายๆ กับพีระมิดขนาดย่อส่วน เพียงแต่มีสีขาวเท่านั้น

แต่ถึงจะสงสัยยังไง ทั้งสามอุตส่าห์เดินทางกันตลอดทั้งกลางวันกลางคืนเชียวนะกว่าจะถ่อสังขารมาถึงที่นี่ได้น่ะ ฉะนั้นชื่อมันจะสมตัวหรือไม่ไม่สำคัญ สำคัญตรงไม่ได้มาผิดที่แน่ๆ ต่างหาก ขอแค่ที่นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์สู่อาชีพนักบวชจริงๆ ก็พอแล้ว

ทั้งสามเดินทอดน่องลงไปตามทางสายน้อย แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ เพราะเจดีย์สีขาวค่อยๆ โตขึ้นทุกทีๆ ราวกับเสกด้วยเวทมนตร์อย่างไรอย่างนั้น !

หลังจากเดินเป็นเวลาประมาณ 10 นาที ทั้งสามก็ไปถึงหน้าเจดีย์ และได้ทราบว่าความสูง 3 เมตรที่ประมาณกันไว้ก่อนหน้านี้มันช่างน่าขำสิ้นดี !

แค่ประตูใหญ่แบบโค้งที่เป็นทางเข้าก็สูงกว่า 3 เมตรเข้าไปแล้ว ยืนอยู่ตรงฐานเจดีย์นี่มองไม่เห็นยอดเจดีย์ด้วยซ้ำ เหมือนคนจิ๋วสามคนพลัดหลงเข้ามาในเมืองยักษ์อย่างไรอย่างนั้น

ทั้งสามต่างมองเห็นแววตกตะลึงในสายตาของกันและกัน ก่อนจะพากันเดินผ่านประตูเข้าไปอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึกพิศวง

ไม่มีการแกะสลักหรือวาดลวดลายลงบนเสา ไม่มีการประดับประดาใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่ห้องโถงสีขาวที่ไม่ทราบกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน กลางห้องโถงคือรูปสลักทูตสวรรค์เพศหญิงสูงหลายเมตร

ทูตสวรรค์มีปีกสามคู่ พัสตราสวรรค์พาดเฉียง เอวพันกระโปรงยาว สร้อยประคำประดับอก ดวงพักตร์เคร่งขรึม ประทับยืนอยู่เหนือโกมลอาสน์[2] หัตถ์ซ้ายถือแจกัน หัตถ์ขวางอลงเป็นรูปดอกบัว[3]

ดวงพักตร์เทวรูปงดงามสงบนิ่ง ท่วงทีกิริยาสูงสง่า เปล่งประกายอ่อนโยนมีเมตตา ดูเรียบง่ายและล้ำค่า เป็นเทวรูปอันงดงามที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคย หากตัดปีกออกไปละก็ จะดูคล้ายเทวรูปเจ้าแม่กวนอิมอยู่เหมือนกัน

เนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่มาคอยต้อนรับเลยสักคน ทั้งสามจึงเดินมาที่หน้าเทวรูปอย่างงุนงง

ถึงแม้เฉินเฟิงจะรวบรวมข้อมูลมาก่อนแล้ว แต่อะไรก็ได้เคยบอกไว้ว่า เจดีย์ยักษ์สีขาวเองก็เป็นสถานที่ที่ประหลาดมาก เขาไม่ทราบเหมือนกันว่ามันมีรูปลักษณ์กี่แบบกันแน่ ทราบแต่ว่าทุกครั้งที่เข้าไปในเจดีย์ หน้าตามันจะไม่เหมือนกันเลยสักครั้ง ส่วนเรื่องวิธีได้อาชีพ ต้องลองไปค้นหาดูจากข้างในกันเอาเองล่ะนะ

ทั้งสามแยกย้ายกันตรวจดูห้องโถงใหญ่อย่างละเอียดลออนานเกือบครึ่งชั่วโมง แต่นอกจากรูปสลักกับประตูใหญ่แล้ว ก็ไม่มีสิ่งของอย่างอื่นหรือทางผ่านอื่นอีกเลย สุดท้ายต่างก็ทยอยกันกลับมาที่หน้ารูปสลักตามเดิม

เฉินเฟิงเจอทางตันเข้าให้เสียแล้ว กระทั่งตอนที่พลัดหลงเข้าไปในวิหารมังกรเงินก่อนหน้านี้ พอเข้าประตูไปก็ยังมีมังกรที่ทำเอาขวัญหนีดีฝ่อพูดภาษามนุษย์ให้รู้เรื่องกันบ้าง แต่ที่นี่มันไม่มีอะไรเลย แล้วจะทำยังไงดีล่ะนี่ ?

สองสาวลองติดต่ออะไรก็ได้ดู บังเอิญว่าอะไรก็ได้เองก็กำลังจะติดต่อหาคนทั้งสามอยู่พอดี ครั้นได้ยินว่าทั้งสามต่างไปถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ อะไรก็ได้ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

เนื่องจากการติดต่อที่ขาดหายไปเมื่อวานทำเอาคมพิรุณคิดจะบุกไปทางทางหนวดมังกรฝั่งขวาเส้นที่ 1 ตั้งแต่ไก่โห่ บวกกับเหล่าสมาชิกใหม่ของตึกหญิงโหดแต่ละคนเองต่างก็ทำท่าอยากลองของกันถ้วนหน้า ทำเอาอะไรก็ได้พยายามห้ามแทบเป็นแทบตายจนเกือบจะโดนว้ากใส่อยู่รอมร่อ แน่ละว่าเขาไม่ได้กลัวหรอกว่าสัตว์อสูรเฝ้าทางจะแข็งแกร่งเกินไป แต่กังวลเรื่องธรรมเนียมทางหนวดมังกรฝั่งขวาเส้นที่ 1 กับ 2 เป็นเส้นที่เปิดให้ผู้เล่นธรรมดาใช้ผ่านต่างหาก

เนิ่นนานให้หลังเมื่ออะไรก็ได้โอดครวญจบแล้ว ค่อยถึงคิวทั้งสามเล่าสภาพภายในเจดีย์ให้ฟัง ผลปรากฏว่าอะไรก็ได้บอกว่าเขาเองก็ไม่เคยเจอมาก่อน สุดท้ายได้แต่หวังพึ่งโชคของแต่ละคนล่ะนะ

แต่อะไรก็ได้ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญอย่างหนึ่ง นั่นคือการได้อาชีพนักบวชเกี่ยวข้องกับจิตใจของตัวผู้เล่น ซึ่งโดยรวมๆ แล้วจะเกี่ยวข้องกับความศรัทธาอย่างแยกไม่ออก ให้พวกเฉินเฟิงไปลองคิดตามแนวทางนี้ดู

“ศรัทธา…ศรัทธา…” เฉินเฟิงพึมพำ “หรือจะให้พวกเราไหว้รูปสลักนี้ ? แต่นี่คือเทพอะไรกันล่ะ ?”

“จะว่าเป็นเจ้าแม่กวนอิมก็ไม่ค่อยคล้าย…จะว่าเป็นทูตสวรรค์เหรอ ก็ไม่ค่อยคล้ายอีกน่ะแหละ” เยี่ยหลานว่า “ฉันจำได้ว่าคุณอะไรก็ได้เคยบอกไว้ว่า ดูเหมือนเทพของอาชีพนักบวชจะไม่มีชื่อ ในคำร่ายคาถาก็เรียกแค่ว่า ‘เทพผู้รักษา’ เท่านั้น…”

เฉินเฟิงลองเดินวนรอบรูปสลักอย่างไม่ยอมแพ้ ไม่เห็นมีเหตุผลอะไรที่จะออกแบบมาแบบนี้เลยนี่นา ถึงการออกแบบบางอย่างในเกมราชาฯจะพิสดารมากก็เถอะ แต่ก็ยังยึดถือหลักให้ผู้เล่นธรรมดาทั่วไปสามารถเข้าใจได้ทั้งนั้น

อุตส่าห์มาถึงที่นี่ได้แล้วแท้ๆ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว การทดสอบตลอดทางที่ผ่านมาก็น่าจะมากพอแล้วนี่นา มันไม่ควรจะมาจงใจสร้างความลำบากลำบนให้ผู้เล่นในด่านสุดท้ายนี้แล้วสิใช่ไหมล่ะ ?

หลังจากฟังคำแนะนำจากอะไรก็ได้จบ วิหารจันทราเทพก็เอาแต่เพ่งมองรูปสลักเขม็งโดยไม่สนใจเสียงบ่นพึมพำของเฉินเฟิงกับเยี่ยหลาน

หลังจากเพ่งมองอยู่เป็นนาน วิหารจันทราเทพก็โค้งคารวะรูปสลักอย่างนอบน้อม 3 ครั้ง ทันใดนั้นรูปสลักได้เปล่งแสงสีขาวนวลตาสาดส่องลงหาวิหารจันทราเทพอย่างแช่มช้า จากนั้นเธอก็หายวับไปในตอนที่เฉินเฟิงกับเยี่ยหลานหันมาสังเกตเห็นพอดี

ทั้งสองต่างตกตะลึง แล้วหันมามองหน้ากัน

“แค่นี้เองเหรอ ? แค่คารวะ 3 ครั้งก็ได้แล้ว ?” เยี่ยหลานเปรย

เฉินเฟิงยักไหล่ แล้วแบมือ “คงงั้นมั้ง ลองทำดูเดี๋ยวก็รู้เอง !”

พูดจบ เฉินเฟิงก็หันไปคารวะรูปสลัก 3 ครั้ง แต่รออยู่เป็นครู่ก็ไม่เห็นจะมีปฏิกิริยาอะไรเลยสักนิด

คราวนี้เยี่ยหลานลองเข้าไปคารวะดูบ้าง แต่ผลลัพธ์ก็เป็นเหมือนกับเฉินเฟิง นั่นคือไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เฉินเฟิงชักงง “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ? หรือว่าเมื่อกี้จันทราเทพยังทำอะไรอย่างอื่นอีก ?”

เยี่ยหลานส่ายหน้า “ไม่มีค่ะ เมื่อกี้ฉันเห็นอยู่ชัดๆ ว่าจันทราเทพก็แค่จ้องเทวรูป จากนั้นคารวะ 3 ครั้ง แล้วก็หายวับไปเลย…”

เฉินเฟิงตะลึง “ไม่มี…คงไม่ใช่ว่าเป็นนักบวชนี่ต้องมีคุณสมบัติพิเศษอะไรด้วยหรอกนะ ? หรือว่าจะให้ผู้เล่นได้อาชีพได้แค่ครั้งละ 1 คนเท่านั้น ? ดูท่าพวกเราคงได้แต่รอให้จันทราเทพกลับมาถึงจะรู้ซะแล้ว…”

ครึ่งชั่วโมงให้หลัง วิหารจันทราเทพค่อยถูกแสงที่พาตัวเธอไปส่งกลับมา

ปรากฏว่าชุดของวิหารจันทราเทพได้เปลี่ยนจากชุดนินจาสีดำเป็นเสื้อสีโอลด์โรส[4] ท่อนล่างเป็นกระโปรงยาวสีเดียวกันขลิบชายด้วยแถบกว้างสีฟ้า

ปลอกแขนลึกลับบนแขนขวายิ่งดูกลืนไปกับผิวหนังมากขึ้น ทั้งยังเปล่งแสงออกมาจางๆ

นอกจากจะแสดงความยินดีกับวิหารจันทราเทพที่ได้เป็นนักบวชดังใจหวังแล้ว เฉินเฟิงกับเยี่ยหลานก็พากันถามถึงปัญหาที่เมื่อครู่ต่างคิดกันไม่ตก แต่วิหารจันทราเทพกลับบอกว่า เธอเองก็แค่คารวะเฉยๆ เท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย

เฉินเฟิงกับเยี่ยหลานที่งุนงงไม่เข้าใจได้แต่คิดว่าระบบคงจะรับผู้เล่นได้แค่ทีละคนล่ะมั้ง แล้วพากันลองดูอีกครั้ง

เพียงแต่…ผลลัพธ์ทำเอาทั้งสามต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน เพราะรูปสลักก็ยังไม่ยอมรับเฉินเฟิงกับเยี่ยหลานไปอยู่ดี ทำเอาทั้งสามงงไปหมด



[1] เนื่องจากการตายในครั้งนี้ของเฉินเฟิงเกิดจากความบกพร่องในหน้าที่ของทางฝ่ายผู้ออกแบบเกม ดังนั้นการตายในครั้งนี้ของเฉินเฟิงและสัตว์เลี้ยงทุกตัวจึงไม่นับแต่อย่างใด ซึ่งสามารถสังเกตได้จากที่ข้อความระบุสถานะของเฉินเฟิงในนาฬิกาข้อมือของระบบของเยี่ยหลานกับวิหารจันทราเทพแสดงสถานะของเฉินเฟิงว่า “ยังไม่ตาย” อยู่ตลอด

[2] โกมลอาสน์ แปลว่า ที่นั่งรูปดอกบัว ; โกมล แปลว่า ดอกบัว , อาสน์ คือ อาสนะ แปลว่า ที่นั่ง

[3] คือการทำมือในลักษณะที่ปลายนิ้วกลางแตะกับปลายนิ้วหัวแม่มือ

[4] สีโอลด์โรส คือ สีส้มอมชมพู

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 3 ก.พ. 2555, 09:11

0 ความคิดเห็น