หัวข้อ : องก์ที่ 2 หากรักมีชีวิตอื่น (2)

โพสต์เมื่อ 3 ต.ค. 2560, 07:57

องก์ที่ 2
หากรักมีชีวิตอื่น (2)

 

กลับมาที่เรื่องของเนี่ยอี้กับเนี่ยเฟยเฟย หลังจากที่เนี่ยอี้ขอแต่งงานอีกครั้ง และเนี่ยเฟยเฟยตอบตกลง

หลังจากวันที่เนี่ยเฟยเฟยตอบตกลง วันรุ่งขึ้นเธอกับทีมงานของเธอก็ออกจากเกาะไวโอเล็ตไปถ่ายภาพที่เกาะอื่น ส่วนเนี่ยอี้ก็ยุ่งอยู่กับการพรีเซนส์รายงานวิชาการของเขา จนเนี่ยอี้จบงานกลับบ้านไปก่อน กว่าเนี่ยเฟยเฟยจะกลับบ้าง เนี่ยอี้ก็บินไปทำธุระเรื่องงานที่ยุโรป สวนทางกันอีกแล้ว

ช่วงเวลาสิบกว่าวันที่ไม่ได้เจอหน้ากันนี้ สองครอบครัวได้ดำเนินการเรื่องจัดการงานแต่งกันไปอย่างรวดเร็ว

เนี่ยเฟยเฟยไม่ได้โทรหาเนี่ยอี้เลย เนี่ยอี้เป็นฝ่ายโทรมาหาเธอสองครั้ง ครั้งแรกคือถามเวลาเสร็จงานของเธอ เผื่อว่าจะได้กลับด้วยกัน กับโทรบอกว่ากำลังจะไปธุระเรื่องงานที่ยุโรป

เนี่ยเฟยเฟยกลับถึงบ้าน ก็พบว่าน้าสาวที่เป็นเปี๋ยวเจี่ยของแม่ ส่ง รุ่ยจิ้ง ลูกสาวคนเล็กของเธอมาเรียนที่มหาวิทยาลัย S เลยมาขออาศัยพักกินนอนที่บ้านเธอ

รุ่ยจิ้งเป็นเด็กสาววัยรุ่นอายุ 19 ปีที่หน้าตาสวยมาก แต่แต่งหน้าจัดจนดูตลก ทำตัวเป็นเด็กแว้นแก่แดด ชอบแต่งตัวสั้นๆ รัดๆ นิสัยไม่ดี ก่อเรื่องเป็นประจำแล้วให้พวกเธอต้องวิ่งช่วยแก้ปัญหา แถมไม่เคยสำนึก ไม่รู้จักเกรงใจญาติ แต่เพราะครอบครัวเนี่ยเฟยเฟยเห็นเป็นญาติ และยังเด็ก จึงพากันไม่ถือสา

เนี่ยเฟยเฟยกลับมาแล้ว ก็ต้องปิดด่านกักตัวแต่งรูปพักใหญ่

ก่อนเธอจะปิดด่าน เลขาฉู่ได้โทรมาหาเธอ ถามว่าทำไมเธอถึงไม่โทรหาเนี่ยอี้บ้างเลย เนี่ยเฟยเฟยบอกว่า ก็เนี่ยอี้ไม่ชอบผู้หญิงทำตัวน่ารำคาญเที่ยวโทรตามไม่ใช่เหรอ เลขาฉู่เลยบอก แต่เนี่ยเฟยเฟยก็ทำตัวไม่น่ารำคาญเกินเหตุอยู่นะ วันนี้เขาได้ยินเนี่ยอี้บ่นว่า สงสัยเธอจะยุ่งกับงานจนลืมเรื่องงานแต่งงานไปแล้ว จากนั้นบอกเวลาที่เนี่ยอี้จะบินกลับมาถึง

เนี่ยเฟยเฟยเก็ต จึงไปเข้าร้านเสริมสวย แล้วไปรอรับเนี่ยอี้ที่สนามบิน

เนี่ยอี้มาถึงสนามบิน เนี่ยเฟยเฟยเดินอ้าแขนจะเข้าไปกอดอย่างสนิทสนม แล้วนึกขึ้นมาได้ว่าทำแบบนี้ไม่เหมาะ เพราะเธอกับเขาไม่ได้คบกันจริงๆ เรื่องฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งเนี่ยอี้แบบนี้ทำได้แต่ตอนมีเหล้าเป็นข้ออ้างเท่านั้น

พอคิดได้แบบนี้ มือที่ยื่นออกไปเตรียมกอดเอวเขาจึงเปลี่ยนเป็นยกขึ้นวางแปะบนบ่าเขา วางหน้าเคร่งขรึม บอกว่าตรงบ่ามีรอยย่นนิดหน่อย ฉันช่วยลูบจัดให้นะ

เลขาฉู่กลั้นยิ้ม เนี่ยอี้มองบ่าตัวเอง ปากถามว่า “ทำไมถึงมีเวลาว่างมารับผมล่ะ?”

เนี่ยเฟยเฟยพูดอย่างจริงใจ “เพื่อทำตัวให้สมกับตำแหน่งคู่หมั้นตัวอย่างค่ะ”

เนี่ยอี้เหมือนจะหัวเราะ “อ้อ สมตำแหน่ง ตัวอย่าง”

เนี่ยอี้นั่งไปกับรถของเนี่ยเฟยเฟย เธอจะขับไปส่งเขาที่บ้าน แต่เนี่ยอี้ให้ขับไปส่งที่หอประชุมใบไม้แดงแทน เพราะขับกลับบ้านไกลเกินไป บวกกับพรุ่งนี้มีประชุมที่บริษัทแม่ หอประชุมอยู่ใกล้บริษัทแม่มากกว่า

ระหว่างขับรถ ทั้งสองคนก็คุยกันไป

เนี่ยอี้ “งานช่วงหลังครั้งนี้ไม่ค่อยเยอะหรือ?”

เนี่ยเฟยเฟย “เยอะแทบตายเลยต่างหาก อย่างน้อยต้องทำกันตั้งครึ่งเดือน”

เนี่ยอี้ “งั้นวันนี้ยังจะมาเสียเวลาแบบนี้อีก?”

เนี่ยเฟยเฟยรู้ดีว่าเสียเวลาที่เขาพูด คือไปรับเขาที่สนามบิน จึงหลับหูหลับตาพูดว่า “เพราะวันก่อนฉันดูละครเรื่องหนึ่ง นางเอกไปรับแฟนที่จากกันไปนานมากที่สนามบิน ไม่นึกว่าแฟนดันความจำเสื่อม แถมยังพาสาวสวยกลับมาจากต่างประเทศด้วย ฉันดูแล้วเนื้อเรื่องคล้ายสถานการณ์ของเราเลย แน่นอนว่าเรื่องคุณความจำเสื่อมนี่เป็นไปได้ยาก แต่เกิดครั้งนี้คุณไปเจอแผ่นดินแห่งใหม่ เห็นว่ามีสาวอื่นที่ดีกว่าฉัน แถมยังพากลับมาด้วย ถึงตอนนั้นฉันจะทำยังไง? เครื่องช่วยดำน้ำของฉันจะทำยังไง? ฉันก็เลยมานี่ไงคะ”

เนี่ยอี้ถกกับเธออย่างมีสติ “ถ้าผมเห็นว่าสาวอื่นดีกว่าคุณจริง แถมยังพากลับมาด้วย ต่อให้คุณมารับผม ผมก็คงไม่เปลี่ยนใจหรอก”

เนี่ยอี้ก็ตอบเขาอย่างมีสติเหมือนกัน “เรื่องนี้ฉันก็คาดไว้แล้วเหมือนกันค่ะ คุณดูไม่ออกเหรอว่าฉันไปเข้าร้านเสริมสวยมาตั้งสามชั่วโมง เพื่อทำให้ตัวเองดูเจิดจ้าสะดุดตาขึ้นอีกหน่อย? ฉันคิดว่าเกิดคุณพาสาวสวยคนไหนกลับมาด้วยจริงๆ ฉันต้องสวยข่มเธอให้ได้ พอคุณเห็นว่าฉันสวยกว่าเธอ ไม่แน่ว่าคุณอาจจะพิจารณาฉันอีกที”

เนี่ยอี้เหมือนจะกำลังยิ้ม “ดูกันแค่หน้าตาเปลือกนอกน่ะอ่อนหัดเกินไป ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องนั้น คุณต้องพิจารณาใช้ข้อดีข้ออื่นถึงจะเอาชนะใจผมได้”

เนี่ยเฟยเฟย “งั้นก็จบสิคะ นอกจากสวย ฉันก็ไม่มีข้อดีอย่างอื่นแล้ว”

เนี่ยอี้มองเธออย่างเพ่งพิศอยู่สองวินาที “ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ บุกเบิกกันไป”

เนี่ยเฟยเฟย “บุกเบิกเสน่ห์ในตัวฉันหรือ?”

เนี่ยอี้ส่ายหน้า “เปล่า บุกเบิกว่าจะลดระดับรสนิยมด้านความสวยของผมได้ยังไง”

เนี่ยเฟยเฟยพูดเสียงโหด “ด็อกเตอร์เนี่ย เชื่อไหมว่าฉันจะทิ้งคุณไว้บนทางด่วนนี่?”

เนี่ยอี้พูดทันที “วันนี้คุณสวยมาก”

เนี่ยเฟยเฟยพูดเสียงโหดต่อไป “ยอฉันไปก็ไร้ประโยชน์ แถมยังเป็นการยอแบบลดระดับรสนิยมด้านความสวยอีกต่างหาก ดูท่าทางต้องทนเจ็บตัดใจบอกลาเครื่องช่วยดำน้ำซะแล้ว”

เนี่ยอี้หลับตาลง ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ “เฟยเฟย ในห้องรับผู้โดยสาร ช่วงแรกที่คุณเห็นผม คุณดูห่างเหินมาก”

เนี่ยเฟยเฟยนึกถึงที่เธอเปลี่ยนจากกอดเอวเป็นจับไหล่เขาขึ้นมาทันที แต่ปากแข็งว่า “มีด้วยหรือ?”

เนี่ยอี้ “เป็นแบบตอนนี้แหละดีมาก คุณไม่ต้องคิดมากนักหรอกว่าผมจะคิดยังไง คุณเป็นคนในครอบครัวของผม มีสิทธิ์ทำอะไรกับผมได้ทุกอย่าง”

คนในครอบครัวของผม

เนี่ยอี้รักไม่เป็น และไม่มีทางบอกว่ารัก คังซู่หลัวมักจะรู้สึกว่าที่เนี่ยเฟยเฟยเลือกเนี่ยอี้นั้นเสียเปรียบอย่างมาก แต่คำ “คนในครอบครัวของผม” ที่เนี่ยอี้พูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ กลับกินใจมากยิ่งกว่าคำบอกรักใดๆ เธอต้องการแค่สิ่งนี้ ต้องการแค่สิ่งนี้ก็เพียงพอแล้ว ในใจเธอรู้สึกอบอุ่นมาก แต่จะให้เนี่ยอี้ดูออกไม่ได้

เนี่ยเฟยเฟยรักษาท่าทีและน้ำเสียงให้ดูปกติ “มีสิทธิ์ทำอะไรกับคุณได้ทุกอย่าง รวมทั้งทิ้งคุณไว้บนทางด่วนตอนนี้ด้วยหรือเปล่า?”

เนี่ยอี้ “ได้ทุกอย่าง แต่ไม่รวมข้อนี้”

 

หอประชุมใบไม้แดงอยู่ใจกลางเมือง แบ่งออกเป็นตอนหน้ากับตอนหลัง ตอนหน้าของแขกทั่วไป ตอนหลังเป็นคฤหาสน์แยกเป็นหลังๆ สำหรับแขกซูเปอร์ VIP เนี่ยอี้มีคฤหาสต์ส่วนตัวอยู่ในตอนหลัง

ไปถึงคฤหาสน์ส่วนตัวของเนี่ยอี้ มีสาวใช้จัดเตรียมที่พักอาหารเอาไว้ให้พร้อมสรรพแล้ว เนี่ยอี้บอกให้เนี่ยเฟยเฟยนั่งดูทีวีรอไปก่อนระหว่างรอเขาอาบน้ำ เนี่ยเฟยเฟยไปสอบถามเมนูอาหารที่เนี่ยอี้ชอบกิน พบว่ามีแต่เมนูผักรสจืดๆ ทั้งนั้น แล้วเธอทำเป็นแต่เต้าหู้ผัดเผ็ด จึงถามพวกสาวใช้ว่า

“พวกคุณช่วยทำให้เนี่ยอี้ชอบกินเต้าหู้ผัดเผ็ดได้มั้ย?”

สาวใช้อึ้งกิมกี่อึกอักว่า “พ...พวกเราขอเปิดประชุมศึกษากันก่อนนะคะ...”

 

ระหว่างนั่งรอเนี่ยอี้อาบน้ำ รุ่ยจิ้งส่งข้อความขอความช่วยเหลือมาหาเนี่ยเฟยเฟย บอกว่าตอนนี้เธออยู่ที่หอประชุมใบไม้แดง ห้อง 310 เธอเล่นพนันแล้วเสีย 80,000 หยวน ไม่มีเงินจ่ายเขา โดนเขากักตัวไว้

เนี่ยเฟยเฟยนึกด่ารุ่ยจิ้งอยู่ในใจ แต่ก็ใช้ความคิดอย่างใจเย็นว่า คนที่จะไปเที่ยวร่วมก๊วนกับรุ่ยจิ้ง มีแต่พวกลูกคนรวยลูกนักการเมืองในเมืองนี้ ซึ่งจากที่เธอรู้จักพวกลูกหลานคนรวยในเมืองนี้ ถึงจะไม่ค่อยเอาถ่านไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่นิสัยยังโอเคอยู่ ไม่น่าจะถึงขั้นกักตัวรุ่ยจิ้งไว้ คาดว่าที่รุ่ยจิ้งโดนกักตัว ต้องก่อเรื่องอื่นที่ไม่ยอมบอกออกมาด้วยแหงๆ

เนี่ยเฟยเฟยโทรหารุ่ยจิ้ง รุ่ยจิ้งบอกว่าพ่อเธอระงับบัตรเครดิตของเธอ พวกนั้นเลยให้เธอร้องเพลงหนึ่งเพลงแทนเงินที่ต้องจ่าย หนูเป็นใครกัน หนูเป็นน้องพี่เชียวนะ ไม่ใช่นักร้องรับจ้างร้องเพลงซะหน่อยใช่มั้ยล่ะ ร้องเพลงให้พวกนั้นฟังเรอะ? ไม่มีทาง! พวกนั้นเลยกักตัวหนูไว้ไม่ยอมให้หนูไป

เอ่ยถึงความเก่งกาจในการทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ รุ่ยจิ้งเป็นยอดฝีมืออย่างไม่ต้องกังขา เนี่ยเฟยเฟยพยายามพูดเสียงนิ่งๆ ว่า “รอพี่สิบนาที สิบนาทีนี้ห้ามเธอเอ่ยปากพูดคำไหนอีกและห้ามเอาขวดเหล้าทุบหัวใครด้วย”

วางสายแล้ว เนี่ยเฟยเฟยเขียนช็อตโน้ตทิ้งไว้บอกเนี่ยอี้ว่าเธอมีธุระด่วนขอตัวกลับก่อน แล้วไปช่วยรุ่ยจิ้งที่หอประชุมใบไม้แดงส่วนหน้า

 

พอเนี่ยเฟยเฟยไปถึงห้อง 310 ก็พบว่าเป็นห้องส่วนตัวมืดสลัวที่เปิดไฟดิสโก้ มีคนอยู่เต็มห้อง พอเนี่ยเฟยเฟยเข้าไป ห้องก็ถูกล็อค รุ่ยจิ้งจูบกับหนุ่มคนหนึ่งอยู่ด้านในสุดของห้อง ดูสบายดีมาก แถมหันมายิ้มเยาะเนี่ยเฟยเฟย

เนี่ยเฟยเฟยเห็นแบบนี้ ก็นั่งลงบนโซฟา พูดอย่างใจเย็นว่า “ดีมาก แสดงละครได้ไม่เลว อุตส่าห์ลำบากลำบนขนาดนี้หลอกฉันมาที่นี่ ใครอยากจะเจอฉันรึ?”

รุ่ยจิ้ง “ฉันเป็นคนอยากจะแกล้งปั่นหัวเธอเล่นไม่ได้รึไง? ฉันน่ะหมั่นไส้ท่าทางอวดดีกับท่าทางเหมือนตัวเองแสนจะวิเศษเลิศลอยของเธอสุดๆ!”

จังหวะนี้ เนี่ยอินก็เดินออกมาจากกลุ่มคน เขาคือผู้ชายที่จูบอยู่กับรุ่ยจิ้งเมื่อกี้นี้

เรื่องของเรื่องคือ รุ่ยจิ้งร่วมมือกับเนี่ยอินหลอกเนี่ยเฟยเฟยมาติดกับ ในห้องนั้นนอกจากจะมีพวกลูกชายลูกสาวเศรษฐี ลูกนักการเมืองทั้งหลายแล้ว ยังมีดาราอยู่อีกหลายคน เนี่ยอินกะจะให้คนพวกนี้กระจายข่าวออกไปเพื่อทำลายชื่อเสียงของเนี่ยเฟยเฟย

พอเนี่ยเฟยเฟยเห็นเนี่ยอิน ก็ถามอย่างในเย็นว่า “พูดมาตรงๆ เลยเถอะ หลอกฉันมาที่นี่ทำอะไร? ฉันจำได้ว่าพี่ชายนายสั่งให้นายอยู่ให้ห่างๆ จากฉันหน่อยนะ”

เนี่ยอินนั่งลงบนโซฟาชิดเนี่ยเฟยเฟย พูดแบบจงใจให้คนที่ได้ยินเข้าใจผิดว่าเขากับเธอมีอะไรกันแล้ว แถมทำมือไม้ยุ่มย่ามโอบไหล่ไล้หน้า

เนี่ยเฟยเฟยนิ่งอยู่พักหนึ่ง วิเคราะห์อย่างใจเย็นว่าดูท่าทางเนี่ยอินจะแค้นเธอจริงๆ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเนี่ยอินถึงแค้นเธอ การทำลายชื่อเสียงของเธอเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นผลดีอะไรต่อครอบครัวของเขาเลย หรือเป็นเพราะคิดหาวิธีอื่นเล่นงานเธอไม่ได้ ขอแค่ได้เห็นเธอเจ็บปวดก็สะใจแล้ว?

เนี่ยเฟยเฟยคิดว่าตอนนี้เธอควรจะมีปฏิกิริยายังไงดี?

ลุกพรวดขึ้นยืนแผดด่าว่าเนี่ยอินนายโกหก? แค่ดูก็รู้สึกเหมือนอยากจะกลบเกลื่อนแล้ว

ร้องไห้ไปพลางด่าไปพลางว่าเนี่ยอินนายโกหก? แค่ดูก็รู้สึกเหมือนอยากจะกลบเกลื่อนแบบเรียกร้องความเห็นใจแล้ว

ตบหน้าไปหนึ่งทีพูดว่าเนี่ยอินนายโกหก? แค่ดูก็รู้สึกว่าอยากจะกลบเกลื่อนเพราะถูกแทงใจดำแล้ว

เนี่ยอินย่ามใจว่าไม่ว่าเธอจะมีปฏิกิริยาแบบไหน ก็หนีการถูกเข้าใจผิดไม่พ้น เลยยิ่งเอาใหญ่

เนี่ยเฟยเฟยเดือดจัดจนยิ้มออกมา เลิกสนใจแล้วว่าจะแสดงปฏิกิริยายังไงดี ลุกพรวดขึ้นถีบอกเนี่ยอินเต็มแรง คาดว่าลูกถีบนี้มาแบบกะทันหันเกินไป ทุกคนในที่นั้นจึงพากันตั้งตัวไม่ทัน ผ่านไปห้าวินาทีถึงค่อยสะอึกเข้ามาล้อมเธอไว้

เนี่ยเฟยเฟยเดินเข้าไปจับเนี่ยอินกดหมอบคว่ำหน้ากับพื้น เหลียวไปพูดปลอบใจทุกคนในห้องว่า “วางใจเถอะ ยังไม่ตายหรอก พี่สะใภ้ใหญ่เป็นเหมือนแม่ ฉันที่เป็นพี่สะใภ้จะสั่งสอนถังตี้ที่ไม่รู้ความของครอบครัว ถือเป็นเรื่องในครอบครัวของตระกูลเนี่ย ทุกท่านใครที่รู้สึกขัดตาอยากจะออกหน้าแทนเขาให้ได้ ช่วยรอฉันสองนาทีได้มั้ย ฉันขอจัดการมันให้ตายก่อนแล้วค่อยว่ากัน?”

เนี่ยอินถูกเนี่ยเฟยเฟยจับนอนคว่ำสองมือไพล่หลังเอาหน้ากดพื้น ไอออกมาอย่างทรมาน เหล่าพวกพ้องที่สะอึกเข้ามาทำท่าจะช่วยพากันชะงักเท้าอย่างลังเล เนี่ยเฟยเฟยตบหน้าเนี่ยอินแปะๆ พูดเสียงสงบว่า

“นิสัยติดพี่ชายน่ะไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร แต่ยังไงพี่ชายนายก็ต้องแต่งงานจริงมั้ย? นายจะเที่ยวมาหาเรื่องฉันอยู่ทุกวันเพราะพี่ชายนายเลือกฉัน จะแต่งงานกับฉันไม่ได้หรอกจริงมั้ย? แค่ครั้งสองครั้งยังพอทำเนา หลายครั้งเข้าฉันเองก็รำคาญเป็นเหมือนกันจริงมั้ย?”

เนี่ยอินเถียงว่า “ฉันไม่ได้เป็นโรคติดพี่...”

เนี่ยเฟยเฟยตบหัวเนี่ยอินผัวะใหญ่ “ฉันไม่ได้จะไปก้าวก่ายนายซะหน่อย ฉันแต่งงานกับพี่ชายนาย นายก็เป็นเด็กติดพี่ที่มีอิสระและมีความสุขต่อไปได้เหมือนเดิมจริงมั้ย? ทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โลกนี้ถึงจะมีสันติจริงมั้ย?”

เนี่ยอินคิดจะเถียงอีกครั้ง “แม-เอ๊ยเหล่าจือไม่ใช่เด็กติดพี่...”

เนี่ยเฟยเฟยทำท่าจะตบหัวเนี่ยอินอีกที ประตูห้องก็ถูกเปิดออกกะทันหันเสียก่อน ผู้จัดการของหอประชุมเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเซี่ยหลุนที่กำลังโทรศัพท์คุยกับเนี่ยอี้

เซี่ยหลุนกวาดตาดูสถานการณ์ภายในห้อง แล้วทำหน้าตกตะลึง ก้มหน้าลงพูดโทรศัพท์ต่อ

“...ไม่ได้เสียท่าอะไร...ใช่ เนี่ยอินอยู่ที่นี่...ไม่รู้สิ...อ้อ ได้ นายรีบมาเถอะ” แล้วเงยหน้าขึ้นมองเนี่ยอินกับเนี่ยเฟยเฟย “รีบมาก่อน มาแล้วค่อยว่ากัน...”

 

ตอนเนี่ยเฟยเฟยเล่าเรื่องนี้ให้คังซู่หลัวฟัง โดนคังซู่หลัวสมน้ำหน้าใส่ สั่งสอนว่า บอกแล้วว่าวันหลังให้หัดดูหนังนิยายน้ำเน่าซะบ้าง อย่าเอาแต่ดูหนังแฟนตาซี จะได้รู้ว่าตามพล็อตนิยายน้ำเน่าน่ะ เวลาเจอสถานการณ์แบบนี้มักจะมีวีรบุรุษมาช่วยหญิงงาม แค่เธอนั่งรออีกหน่อย วีรบุรุษก็มาช่วยแล้ว เธอแค่โดนพูดจาล่วงเกินนิดหน่อยจะเป็นไรไปยะ ดันทนไม่ไหวลุกขึ้นมาสั่งสอนเขา ทำเอาตอนวีรบุรุษมาถึง เลยตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าจะช่วยเธอหรือช่วยตัวร้ายดี

เนี่ยเฟยเฟย “ดีนะที่ตอนหน้ากับตอนหลังของหอประชุมห่างกันมากพอสมควร และเซี่ยหลุนเป็นคนมาถึงก่อน เนี่ยอี้เลยไม่ได้เห็นตอนที่ฉันขี่หลังเนี่ยอินเงื้อหมัดเตรียมชกเขา ภาพนั้นนี่...”

คังซู่หลัวพยักหน้า “ภาพนั้นต้องงดงามมากแหงๆ จนไม่กล้าดูเลยแหละ...”

 

เนี่ยเฟยเฟยปล่อยตัวเนี่ยอิน เนี่ยอินทำท่าจะสวนคืน แต่ถูกเซี่ยหลุนขวางไว้ เซี่ยหลุนบอกเนี่ยอินว่า “พี่ชายนายกำลังจะมาเดี๋ยวนี้ ไปรอนิ่งๆ อยู่ด้านข้างเลย”

เนี่ยอินตัวแข็ง ไปนั่งตัวแข็งอย่างว่าง่าย มือยังลูบอกที่ถูกเนี่ยเฟยเฟยถีบอยู่ป้อยๆ

เนี่ยเฟยเฟยนั่งโซฟาตรงข้ามเนี่ยอินแบบตัวแข็งนิดๆ เหมือนกัน ข้างๆ มีที่ว่างพอดี เซี่ยหลุนจึงนั่งลง ทักทายเธอว่า “คุณหนูเนี่ย ยินดีที่ได้รู้จัก ผมชื่อเซี่ยหลุน  น้องสาวผมชอบคุณมาก ตอนอยู่ที่บ้านเธอพูดถึงคุณบ่อยเลยละ”

เนี่ยเฟยเฟยนึกขึ้นได้ว่าน้องสาวของเซี่ยหลุนคือเซี่ยหมิงเทียน จึงทักทายเขาตอบ แล้วถามเรื่อยเปื่อยว่าเซี่ยหมิงเทียนพักนี้เป็นยังไงบ้าง จนหมดเรื่องคุย เซี่ยหลุนค่อยบอกว่า “เมื่อสิบนาทีก่อนผมเห็นคุณที่ข้างล่าง นึกว่าเนี่ยอี้ก็อยู่ที่ตึกหน้านี่ด้วย เลยโทรไปหาเขา ผลคือไม่มีคนรับสาย เมื่อกี้เขาค่อยโทรกลับมาหาผม พอฟังว่าคุณอยู่ทางนี้ ก็กลัวว่าคุณจะเกิดเรื่องอะไร ให้ผมล่วงหน้ามาดูก่อน”

ฉากที่เธอสั่งสอนเนี่ยอิน เซี่ยหลุนเห็นหมดแล้ว ไร้ประโยชน์จะปิดบัง เนี่ยเฟยเฟยเลยพูดออกไปตามตรงว่า “คุณมาได้ทันเวลามาก ช่วยชีวิตเนี่ยอินไว้ได้พอดีเลยค่ะ”

เซี่ยหลุนหัวเราะพรืด “ได้ยินหมิงเทียนบอกว่าคุณคาราเต้สองดั้ง สมคำร่ำลือจริงๆ”

บอกยากมากว่านี่คือคำชมหรือคำแซว เนี่ยเฟยเฟยได้แต่พูดว่า “ไม่หรอกค่ะ...”

 

เนี่ยอี้มาถึง ก็เปิดไฟในห้องจนสว่าง เซี่ยหลุนเห็นเพื่อนมาแล้วก็บอกขอตัวแล้วออกไป

เนี่ยอี้จับเนี่ยเฟยเฟยนั่งลง สำรวจตัวเธอว่าบาดเจ็บตรงไหนมั้ย พอเห็นมือถลอก ก็สั่งคนเอายามาทำแผลให้

เนี่ยอิน เขารีบบอกทันทีว่าเนี่ยเฟยเฟยรู้ว่าน้องสาวมาที่นี่ เลยแวะมาร่วมสนุก

เนี่ยอี้พูดเสียงเย็นชากับผู้จัดการหอประชุมว่า “ต่อไปเนี่ยอินจะไม่มาที่นี่อีก เขาความจำไม่ดี คุณช่วยเขาจำหน่อยนะครับ”

เนี่ยอินหน้าเปลี่ยนสีทันที ผู้จัดการถามว่า “งั้นห้องชุดส่วนตัวของคุณชายอินที่นี่จะเก็บไว้หรือว่า...”

เนี่ยอี้ “เปลี่ยนเป็นห้องว่างไป”

เนี่ยอินหน้าปั้นยากสุดๆ พูดเสียงแหบ “พี่ พี่จะทำแบบนี้กับผมไม่ได้ เราเป็นพี่น้องที่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกัน เนี่ยเฟยเฟยเป็นใครกัน เธอ...”

เนี่ยอี้ฉีกห่อสำลี พูดเสียงเรียบ “ในเมื่อนายไม่ชอบเฟยเฟย งั้นที่ที่เธอโผล่เป็นประจำนายก็ไม่ต้องโผล่มาแล้ว สมเหตุสมผลมาก”

เนี่ยเฟยเฟยรู้สึกว่าเนี่ยอี้ทำเกินเหตุไปหน่อย “เราไม่ควรใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเรียบง่ายตรงไปตรงมาอย่างนี้หรือเปล่าคะ?”

เนี่ยอี้ “คำแนะนำแบบอ้อมค้อม ผมเคยบอกไปตั้งสองครั้งแล้ว”

เนี่ยอินลุกพรวดขึ้นยืนตวาดลั่น “พี่ให้ผมอยู่ห่างๆ จากเนี่ยเฟยเฟยหน่อย นั่นเรียกว่าคำแนะนำแบบอ้อมค้อมเรอะ? เธอแต่งเข้ามาก็จะเป็นคนของสกุลเนี่ยแล้ว ทำไมผมต้องอยู่ให้ห่างจากเธอด้วยล่ะ? ไม่มีเหตุผลเลย!”

มือเนี่ยอี้ที่กำลังทายาให้เนี่ยเฟยเฟยชะงักเล็กน้อย “คำพูดที่ฉันเคยพูดออกไปต้องมีผล เรื่องนี้นายลืมไปแล้วใช่ไหม?”

เนี่ยอินหน้าซีดทันที กัดริมฝีปากแน่นไม่พูดอะไรอีก

เนี่ยอี้ “เจี่ยนซีอยู่อเมริกา นายไปอยู่เป็นเพื่อนเธอสองเดือนซะ”

เนี่ยอิน “พี่ไล่เราสองคนไปทั้งคู่...”

เนี่ยอี้เงยหน้าขึ้นมองน้องชาย

เนี่ยอินคอตกนั่งกลับลงบนโซฟา หัวเราะออกมา “ใช่สิ ขอแค่เป็นคำพูดที่พี่พูดจะต้องมีผล ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผล ผมไม่ควรลืมเลย แต่ว่า พี่นึกว่าเนี่ยเฟยเฟยเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์รึ? เธอ...”

เนี่ยอี้ “เรื่องนี้พอแค่นี้ ไม่ต้องคุยกันแล้ว” จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองคนอื่นๆ ในห้องที่รอให้จัดการ “ไม่เกี่ยวกับพวกเขา สลายตัวไปให้หมดเถอะ”

บรรดาลูกคนรวย ลูกนักการเมือง ดาราทั้งหลังพากันทยอยออกไปจากห้องอย่างโล่งอก

เนี่ยอินได้แต่ขู่อย่างทำอะไรไม่ได้ “พี่ ต่อไปพี่ต้องนึกเสียใจแน่!”

 

คืนนั้น เนี่ยอี้ให้เนี่ยเฟยเฟยค้างที่คฤหาสน์ตอนหลังหอประชุมของเขา เพราะดึกมากแล้ว เนี่ยเฟยเฟยถามว่าไม่กลัวจะโดนเธอแอบโจมตีกลางดึกเรอะ?

เนี่ยอี้บอก คุณตื่นเต้นจนเดินมือกับเท้าแกว่งข้างเดียวกันพร้อมกันแล้วยังจะพูดถึงเรื่องแอบโจมตีกลางดึกอีกเรอะ

จังหวะนี้รุ่ยจิ้งที่รออยู่หน้าห้องโวยวายจะให้เนี่ยเฟยเฟยขับรถกลับไปส่ง ไม่ก็เรียกคนขับรถที่บ้านเนี่ยเฟยเฟยมารับเธอกลับบ้าน เนี่ยเฟยเฟยบอกให้รุ่ยจิ้งนั่งแท็กซี่กลับเอง ทำท่าจะหยิบเงินให้ รุ่ยจิ้งด่าเนี่ยเฟยเฟยใหญ่ว่าหน้าไหว้หลังหลอก ตอนอัดเนี่ยอินนี่อย่างโหด พออยู่ต่อหน้าเนี่ยอี้ล่ะแกล้งทำเป็นกุลสตรี

เนี่ยเฟยเฟยเก็บกระเป๋าเงิน บอก เดินกลับบ้านเองแล้วกัน ไม่มีค่าแท็กซี่ให้แล้ว รุ่ยจิ้งโวยวายไม่หยุด บอกเนี่ยเฟยเฟยได้อยู่ค้าง เธอก็ต้องได้อยู่ค้างด้วย สุดท้ายเนี่ยอี้เลยสั่งให้ผู้จัดการเปิดห้องพักที่ตึกส่วนหน้าให้รุ่ยจิ้งหนึ่งห้อง แล้วพาเนี่ยเฟยเฟยกลับไปที่คฤหาสน์ส่วนตัวตรงตึกส่วนหลัง

 

คืนนั้น คุณแม่เนี่ยเฟยเฟยโทรหาลูกสาว ถามว่าเนี่ยอี้รังแกเธอหรือเปล่า เนี่ยเฟยเฟยงง ย้อนถามว่าเนี่ยอี้จะรังแกเธอทำไม? คุณแม่เลยบอกว่ารุ่ยจิ้งโทรศัพท์มาบอกแม่ว่า คืนนี้เนี่ยเฟยเฟยค้างคืนกับเนี่ยอี้

เนี่ยเฟยเฟยเคืองรุ่ยจิ้งมากที่จงใจโทรฟ้องให้แม่เธอเข้าใจผิด แล้วเล่าความจริงให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น บอกว่าเนี่ยอี้จัดการเนรเทศเนี่ยอินไปอยู่อเมริกาสองเดือนตัดปัญหา ส่วนเธอกลับมาที่คฤหาสน์ส่วนตัวของเนี่ยอี้พร้อมกับเนี่ยอี้แล้ว ก็กินข้าวด้วยกัน กินข้าวเสร็จ เนี่ยอี้ก็ไปนอน ตอนนี้เนี่ยอี้หลับไปแล้ว

ทีแรกแม่เนี่ยเฟยเฟยโล่งอกที่เนี่ยอี้หลับไปแล้ว คิดอีกทีก็เคืองอีกว่าอยู่กับลูกสาวฉันสองต่อสองในบ้านที่บรรยากาศอำนวยขนาดนี้ ยังหลับลงอีกเรอะ เนี่ยเฟยเฟยฟังแล้วเหงื่อตก ประท้วงแทนเนี่ยอี้ว่า แบบนี้เนี่ยอี้จะหลับแล้วหรือยังไม่หลับก็ผิดทั้งคู่ในสายตาแม่ เขาอยู่ยากมากเลยนะแม่

กำลังคุยกันอยู่ เสียงเนี่ยอี้ก็ดังมาว่า “ผมยังไม่นอน คุณแม่ (ยาย) จะคุยกับผมหรือ?” เนี่ยเฟยเฟยหันไปเห็นก็ตกใจ รีบตัดบทแม่วางสายอย่างรวดเร็ว หันไปถามเนี่ยอี้ว่าทำไมยังไม่นอนอีกหรือ

เนี่ยอี้บอกง่วงจนหายง่วงแล้ว เห็นเนี่ยเฟยเฟยยังไม่ง่วง จึงชวนไปดูหนังด้วยกันที่ห้องโฮมเธียเตอร์ เนี่ยเฟยเฟยมองว่านี่เหมือนได้เดตกันเลย กลัวตัวเองจะเผลอทำอะไรเนี่ยอี้ เลยตัดสินใจไปเลือกไวนท์สองขวดที่ชั้นเก็บไวน์ กะว่าเกิดเผลอใจทำอะไรเขาขึ้นมา จะได้โทษว่าตัวเองเมา

เนี่ยอี้เห็นเนี่ยเฟยเฟยถือไวน์มาสองขวด ก็คว้าขวดไปช่วยเปิดให้อย่างชำนาญพลางพูดว่า “ดื่มให้หลับง่ายไม่ต้องดื่มทีละสองขวด แค่ครึ่งแก้วก็พอแล้ว”

เนี่ยเฟยเฟย “คุณไม่รู้แฟชั่นตอนนี้หรอกหรือ? ผู้ปกครองที่หัวเสียเพราะเด็กบ้าในปกครองเขาฮิตดวดเหล้าไปพลางดูทีวีไปพลางคุยกันยาวตลอดทั้งคืนเรื่องปัญหาการอบรมเลี้ยงดูลูกหลานไปพลางอยู่นะ”

เนี่ยอี้เหลือบตาขึ้นมองหน้าเธอ “คุณเชิญผมดวดเหล้าด้วย? แล้วทำไมเอาแก้วมาแค่ใบเดียว?”

เนี่ยเฟยเฟยพูดอย่างรังเกียจเขา “บอกตามตรงฉันกะจะดวดคนเดียวค่ะ ทำไมคุณอยากจะเข้าร่วมวงด้วยรึ?” แล้วตบบ่าเนี่ยอี้ “แต่ว่านะเบบี๋ คออ่อนปวกเปียกอย่างคุณน่ะดวดได้อย่างมากก็แค่นม รอเดี๋ยวนะฉันจะไปอุ่นนมมาให้” แล้วทำท่าจะลุกขึ้น

เนี่ยอี้รีบคว้าตัวเธอไว้ “หม่ามี้ อย่างน้อยก็ให้ผมดวดเบียร์เถอะ”

เนี่ยเฟยเฟย “เบบี๋ อย่างมากหม่ามี้ได้แค่เพิ่มเบียร์ลงไปในนมให้ในสัดส่วน 1:50 เป็นยังไง? เอ คุณว่ารสมันจะเป็นแบบไหนน่ะ ดื่มได้หรือเปล่า?”

เนี่ยอี้ “โปรตีนในนมจะจับตัวเป็นก้อน ยังไม่ต้องพูดถึงรสชาติ ดื่มลงไปแล้วเรื่องทำให้ท้องเสียน่าจะไม่มีปัญหา หม่ามี้ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของผมใช่มั้ย?”

เนี่ยเฟยเฟยหัวเราะพรืด “ด็อกเตอร์เนี่ย ทำไมไม่ยักเคยรู้เลยว่าคุณขี้เล่นแบบนี้?”

เนี่ยอี้ “ผมน่าจะไม่เคยปฏิเสธถึงความสำคัญของอารมณ์ขันนะ?”

เนี่ยเฟยเฟย “เมื่อก่อนนานๆ ทีคุณก็พูดเล่นบ้างอยู่หรอก แต่ว่า...คืนนี้ต่างออกไป”

เนี่ยอี้ “ฟังดูแล้วเมื่อก่อนผมดีกับคุณไม่มากพอนะ”

เนี่ยเฟยเฟยพูดไม่ตรงกับใจ “เปล่าหรอกค่ะ คุณ nice มาก ทุกคนรู้สึกว่าคุณ nice มากกันทั้งนั้น”

เนี่ยอี้ “ผมไม่เคยสิ้นเปลืองอารมณ์ขันกับคนโง่ ผมว่าพวกเขาน่าจะไม่คิดว่าผม nice หรอก”

เนี่ยเฟยเฟย “อารมณ์ขันไม่ได้เป็นเงื่อนไขเดียวที่ใช้วัดว่าใคร nice หรือไม่ nice บางทีพวกเขาอาจจะเห็นว่าคุณ...” นึกอยู่พักใหญ่ เนี่ยเฟยเฟยก็นึกไม่ออกว่าจะใช้คำไหนดี เห็นเนี่ยอี้เงยหน้าขึ้นรอฟัง เลยแถไปว่า “บางทีพวกเขาอาจจะเห็นว่าคุณหล่อมากก็ได้ค่ะ คุณก็รู้ดีนี่ คนที่หน้าตาดีน่ะ ทุกคนมักจะยอมอดทนด้วยมากหน่อยกันทั้งนั้น...”

เนี่ยอี้นิ่งคิด “นี่ฟังดูแล้วน่าจะเป็นคำชมนะ แต่...”

เนี่ยเฟยเฟย “ไม่มีแต่ค่ะ นี่คือคำชมจริงแท้แน่นอน”

เนี่ยอี้มองหน้าเธออยู่สามวินาที แล้วพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “เพราะอย่างนี้ทั้งที่รู้ดีว่าบางทีเนี่ยอินก็เป็นบ้า ทำให้คุณตกอยู่ในอันตราย คืนนี้คุณก็ยังคงแวะไปอยู่ดี เพราะเขาหน้าตาดี ทำให้คุณลดความระวังตัวลงงั้นหรือ?”

เนี่ยเฟยเฟยคิดในใจว่าหน้าตาเนี่ยอินยังไม่หล่อมากพอจะลดความระวังตัวของฉันลงหรอกค่ะ ปากถอนหายใจพูดว่า “เรื่องในห้องพิเศษนั่น เป็นความโชคร้ายของการมีญาตินิสัยไม่ดีต่างหากค่ะ...”

เนี่ยอี้ทำหน้าประหลาดใจ เนี่ยเฟยเฟยทำท่าไม่อยากพูดมาก แต่เนี่ยอี้อยากฟัง ขอให้เธอเล่า เนี่ยเฟยเฟยจึงเล่าปัญหาระหว่างครอบครัวเธอกับครอบครัวของรุ่ยจิ้งให้เนี่ยอี้ฟัง

 

เรื่องเริ่มจากเดิมทีแม่ของรุ่ยจิ้งนัดดูตัวกับเนี่ยคุน พ่อของเนี่ยเฟยเฟย แล้วนึกไงไม่รู้ แม่รุ่ยจิ้งพาเนี่ยคุนไปที่ร้านหนังสือที่แม่เนี่ยเฟยเฟยนั่งแจกลายเซ็นอยู่ ตอนนั้นแม่เนี่ยเฟยเฟยเป็นกวีหน้าใหม่ที่มีชื่อเสียงพอตัวแล้ว จากนั้นพ่อเนี่ยเฟยเฟยก็ตกหลุมรักแม่เนี่ยเฟยเฟยแต่แรกพบ และตามจีบเธออย่างอุตสาหะ

แม่รุ่ยจิ้งมองว่าแม่เนี่ยเฟยเฟยแย่งเนี่ยคุนไปจากเธอ ส่วนรุ่ยจิ้งเองก็มองว่าถ้าเนี่ยคุนแต่งงานกับแม่ของเธอ เธอก็จะเป็นเนี่ยเฟยเฟย ได้ทุกอย่าง มีทุกอย่างที่เนี่ยเฟยเฟยมี สองแม่ลูกจึงพากันมองว่าเนี่ยเฟยเฟยกับแม่มาแย่งสิ่งดีๆ ในชีวิตของตัวเองไป

ข้างเนี่ยคุน ตอนนั้นเป็นนร.ทุนป.โทเอกควบของม.ดังเมืองนอก แต่เรื่องแต่งกลอนห่วยแตก แม่เนี่ยเฟยเฟยเลยไม่ชอบเขา เนี่ยคุนก็อุตส่าห์ไปเรียนแต่งกลอนมาจีบสาว แต่งกลอนชมโฉมสาวออกมาสัมผัสได้ แต่ความหมาย...ดันไปชมกระบนใบหน้าที่สาวถือว่าเป็นข้อด้อย สาวเจ้าเลยโกรธมาก

เนี่ยเฟยเฟยเล่าถึงตรงนี้ ก็บอกเนี่ยอี้ว่า “ถ้าต่อไปคุณแต่งกลอนให้ฉัน ไม่เป็นไรนะคะ คุณสามารถชมทุกส่วนบนใบหน้าของฉันได้เต็มที่เลย ฉันใจกว้างกว่าแม่ฉันค่ะ”

เนี่ยอี้ “บนชั้นวางหนังสือตรงนั้นมีแว่นขยายอยู่ คุณหยิบให้ผมหน่อย”

เนี่ยเฟยเฟยหันไปหยิบแว่นขยายให้ ถามงงๆ “คุณจะเอามาทำอะไรหรือ?”

เนี่ยอี้ “หาส่วนที่จะพูดชมได้บนใบหน้าของคุณ”

เนี่ยเฟยเฟยปาหมอนใส่หน้าคนพูดทันที “ยังอยากจะฟังต่อมั้ย?”

เนี่ยอี้ยิ้ม “ฟังดูเหมือนคุณพ่อตาไม่น่าจะมีนางจีบคุณแม่ยายติดได้เลยนะ แล้วต่อมาทำไมถึงมีคุณได้ล่ะ?”

เนี่ยเฟยเฟยเล่าว่าแม่ของเธอป่วยหนักเกือบตาย พ่อเธอดร็อปการเรียนหนึ่งเทอมมาเฝ้าแม่ และขอแต่งงานตอนแม่ป่วย คุณปู่เธอมองว่าลูกชายตัวเองบ้าไปแล้ว แต่คุณย่าเธอมองว่าแบบนี้แหละถูกต้องแล้ว เมื่อได้เจอรักแท้ก็ให้รีบคว้าไว้ อย่าปล่อยให้หลุดมือไป เพราะรักแท้หาได้ยากมาก

เนี่ยอี้ฟังแล้วเงียบไปนานมาก กว่าจะพูดออกมาว่า “เฟยเฟย ครอบครัวคุณดีมาก”

เนี่ยเฟยเฟยเคยได้ยินคุณแม่เธอเล่าเรื่องเบื้องลึกของครอบครัวเนี่ยอี้ให้ฟังเมื่อสามเดือนก่อนว่า ฟังว่าพ่อกับแม่ของเนี่ยอี้เข้ากันไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะสมัยเนี่ยอี้ยังเด็ก พ่อไปมีผู้หญิงอื่นนอกบ้านอยู่บ่อยๆ โดยที่แม่เขาบังคับพ่อไม่ได้ จึงหันไปทุ่มเทให้กับเรื่องสังคมสงเคราะห์ด้านอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าแทน ต่างฝ่ายต่างไม่ค่อยสนใจจะดูแลเนี่ยอี้

แม่เธอเล่าว่า คุณแม่เนี่ยอี้เคยชมลูกชายตัวเองให้ฟังว่า เนี่ยอี้ทำอะไรด้วยตัวเองเก่งมาแต่เด็ก ไปพิพิธภัณฑ์เอง ไปห้องทดลองเอง เรื่องทุกเรื่องเขาจะจัดการด้วยตัวเองคนเดียวได้อย่างดีเยี่ยม แต่เนี่ยเฟยเฟยกลับคิดว่า นั่นไม่ใช่เพราะเนี่ยอี้อยากจะทำอะไรๆ เองเป็นหรอก แต่ถูกบังคับให้ต้องทำอะไรๆ เองเป็นต่างหาก เขาเกิดในตระกูลที่ร่ำรวยมีอิทธิพล แต่กลับไม่เคยได้สัมผัสถึงความรักในครอบครัวที่ธรรมดาที่สุดเลย

เนี่ยเฟยเฟยมองเนี่ยอี้ในมุมมองของอัจฉริยะ ที่มักจะคิดอ่านในมุมมองที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป และเนี่ยอี้ก็มักจะมองสิ่งต่างๆ ผ่านสายตาของนักชีววิทยา แทนที่จะผ่านสายตาของคนธรรมดาคนหนึ่งในสังคม เธอถึงกับคิดว่าเนี่ยอี้ไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่าความผูกพันในครอบครัว จนกระทั่งคืนนั้นบนเกาะไวโอเล็ต เขาบอกเธอว่าเขาไม่เคยเห็นความรักที่ดีมาก่อน

ส่วนมาคืนนี้ เขาบอกเธอว่า “เฟยเฟย ครอบครัวคุณดีมาก” น้ำเสียงราบเรียบมาก ฟังไม่ออกเลยว่ากำลังพูดชม หรือมีความรู้สึกอิจฉาเจือใดๆ อยู่ในน้ำเสียง แต่เธอนึกออกว่า เขาเคยพูดมาหลายครั้งแล้วว่า เธอเป็นคนในครอบครัวของเขา เขาชอบใช้คำว่า “คนในครอบครัว”

ดังนั้นเนี่ยเฟยเฟยจึงบอกเนี่ยอี้ว่า ครอบครัวของเธอ ก็คือครอบครัวของเขา และเธอต้องการแบ่งปันครอบครัวของเธอให้แก่เขา ตอนพูดเธอพลุ่งพล่านมาก

เนี่ยอี้บอกว่า “ผมเข้าใจ คุณพูดได้ดีมาก”

เนี่ยเฟยเฟยทำท่าจะพูดต่อ แล้วชะงักรู้ตัวว่าเกือบจะ หรืออาจจะเผลอหลุดแสดงความรู้สึกออกไปให้เนี่ยอี้เห็นจนเขารู้ตัวแล้วก็ได้ว่าเธอรักเขา จึงนึกกลัวขึ้นมาจับใจว่าเขาจะรู้ และรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างด่วนไปพูดเรื่องเสียงของปลาวาฬแทน จากนั้นก็ชวนเนี่ยอี้เต้นรำ เพลงที่เปิดเป็นเพลงที่เนี่ยเฟยเฟยเลือก เพลงเกี่ยวกับสามีที่สูญเสียภรรยา

เนี่ยอี้ถามว่า “การสูญเสียไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ดี ทำไมคุณถึงชอบล่ะ?”

เนี่ยเฟยเฟย “ก็ไม่ใช่ว่าชอบหรอกค่ะ แต่คุณไม่รู้สึกหรือว่าความรู้สึกที่ทำใจรับไม่ได้พวกนั้นน่าประทับใจออก? มีชีวิตอยู่ก็เพื่อความสุข ตายก็ควรจะตายเพื่อความสุข ถ้าหลังจากคนตายไปแล้วจะกลายเป็นวิญญาณ ก็จะทำให้เส้นแบ่งระหว่างความเป็นกับความตายไม่ชัดเจนมาก”

เนี่ยอี้ “ที่คุณพูดมาตั้งอยู่บนทฤษฎีที่ว่าวิญญาณมีอยู่จริงทั้งนั้น ก็จริงที่ว่ามีหลายคนที่ศึกษาวิจัยเรื่องนี้ และมีคนที่คิดจะใช้มวลมายืนยันถึงการมีอยู่ของวิญญาณ แต่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้อย่างสมบูรณ์เลยสักคน”

เนี่ยเฟยเฟย “คุณจะบอกว่าวิญญาณไม่มีอยู่จริง และฉันแค่เพ้อฝันไปเองสินะ แต่ถ้าวิญญาณไม่มีอยู่จริง และฉันจำต้องเชื่อความจริงข้อนี้ ถ้าสักวันฉันต้องเผชิญหน้ากับความตาย ฉันจะทำใจลำบากมากแค่ไหน? ตัวอย่างเช่นถ้าฉันตายลงตรงหน้าคุณ ระหว่างเชื่อว่าฉันตายไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิงแล้ว กับเชื่อว่าวิญญาณของฉันยังคงกลับมาดูทีวีเป็นเพื่อนคุณอยู่ทุกคืน อย่างไหนจะทำให้คุณรู้สึกดีกว่ากัน? คุณลองเอาตัวเองเข้าสมมุติดูสิ”

เนี่ยอี้หัวเราะเบาๆ “ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน การหลอกตัวเองมันง่ายกว่าการยอมรับความจริงอยู่แล้ว แต่ว่า เฟยเฟย ตอนนี้คุณแข็งแรงดีมาก”

เนี่ยเฟยเฟย “การคิดว่าฉันยังคงกลับมาดูทีวีเป็นเพื่อนคุณอยู่ทุกคืนมันทำให้รู้สึกดีกว่าใช่ไหมล่ะ? ฉันลองสมมุติดูแล้ว บอกตามตรง เป็นฉันล่ะก็ ฉันคงทำใจไม่ได้หรอก ต่อให้เชื่อจริงจังว่าตายแล้วมีวิญญาณฉันก็ทำใจไม่ได้อยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคุณบอกให้ฉันเชื่อว่าโลกนี้ไม่มีวิญญาณอยู่จริง”

เนี่ยอี้ “คุณลองสมมุติยังไงหรือ?”

เนี่ยเฟยเฟย “ฉันลองคิดดูว่าเมื่อเราสองคนแก่แล้ว และคุณตายจากไปก่อน ก็คุณแก่กว่าฉันนี่เนอะ เรื่องนี้มันเป็นไปได้อยู่ค่ะ”

เนี่ยอี้เงียบไป แล้วพูดว่า “ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าคุณกับผมจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า”

เนี่ยเฟยเฟยหน้าเจื่อนไป เข้าใจว่าเนี่ยอี้หมายถึงอาจจะแต่งงานอยู่กันได้ไม่ยืด เลยรีบพูดแก้ตัวว่าเธอก็พูดไปตามประสาศิลปินที่จินตนาการบรรเจิด แล้วพล่ามอีกยาว

เนี่ยอี้ “เฟยเฟย ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าคุณกับผมจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า แต่ถ้าคุณยอมอยู่กับผมไปจนแก่เฒ่า ผมจะดีใจมาก”

เนี่ยเฟยเฟยอึ้งไปสามวินาที รีบห้ามอาการสะอื้น ถามด้วยเสียงที่พยายามข่มให้เป็นปกติ “เพราะฉันไม่น่ารำคาญหรือ?”

อึดใจใหญ่ เนี่ยอี้ตอบว่า “บางทีอาจจะไม่ใช่แค่นั้น”

เนี่ยเฟยเฟยงงไป “ดังนั้น เนี่ยอี้ ถ้าฉันจากคุณไปก่อน คุณจะรู้สึกเหงาหรือเปล่า?”

เนี่ยอี้ “อาจจะ”

เนี่ยเฟยเฟย “อาจจะอะไรคะ?”

เนี่ยอี้ “อาจะเหงายิ่งกว่าที่ตัวเองคิดไว้”

เนี่ยเฟยเฟยเขย่งเท้ากอดคอเขา วางคางเกยบ่าเขา ซ่อนน้ำตาไหลออกมาไม่ให้เขาเห็น เนี่ยอี้ตบหลังเธอเบาๆ “เป็นอะไรไป?”

เนี่ยเฟยเฟย “คุณอย่าสนใจฉัน ฉันเมาแล้วน่ะ”

 
แก้ไขเมื่อ 9 ต.ค. 2560, 21:15 โดย หลินโหม่ว

Admin เข้าร่วมเมื่อ 3 ต.ค. 2560, 07:57

0 ความคิดเห็น