หัวข้อ : องก์ที่ 1 มอบแด่คุณ ผู้ที่ฉันรักอย่างลึกล้ำ (5)

โพสต์เมื่อ 28 ก.ย. 2560, 15:34

องก์ที่ 1
มอบแด่คุณ ผู้ที่ฉันรักอย่างลึกล้ำ (5)

 

เนี่ยเฟยเฟยเหมือนจะหลับไปนานมาก ตื่นมาพบว่าตัวเองนั่งอยู่ในรถ บนตัวมีแจ็คเก็ตหนังคลุมอยู่ รถจอดอยู่ ตรงที่นั่งคนขับไม่มีใคร

เธองงไปสักพักถึงค่อยนึกขึ้นได้ว่าเธออยู่ระหว่างหนีออกจากบ้าน แล้วรถเสีย ลงมาโบกรถ แล้วเจอหร่วนอี้เฉินโดยบังเอิญ เขาจะไปเกาะนาโกย่าด้วยเหมือนกัน จึงพาเธอไปด้วยกัน เธอกับเขาแวะพักที่โรงแรมในเมือง C หนึ่งคืน จากนั้นออกเดินทางต่อ ระหว่างทางเธอหลับไป และฝันถึงอดีตที่เธอแสนคิดถึง วันนั้นในอดีตคือเดือนสิงหาคม ปี 2017

วันนี้คือวันที่ 27 เดือนพฤศจิกายน ปี 2020

เธอเลื่อนกระจกลง ชะโงกหน้าไปถามหร่วนอี้เฉินที่กำลังสูบบุหรี่ว่าเหนื่อยหรือเปล่า? เปลี่ยนมาให้เธอขับไหม?

หร่วนอี้เฉินไม่ตอบ ดับบุหรี่แล้วกลับเข้ามาในรถ สตาร์ตรถ พูดว่า “ตอนเธอหลับ เธอร้องไห้ด้วย”

เนี่ยเฟยเฟยเงียบไปสองวินาที “คุณดูผิดหรือเปล่า?”

หร่วนอี้เฉิน “เธอยังเรียก ‘อี้’ ด้วย”

เนี่ยเฟยเฟยเงียบไปอีกสองวินาที “อี้? อ้อ ไม่ใช่ว่าเรียกคุณหรอกเหรอ? น่าจะเป็นเพราะคุณขับรถพาฉันไปเกาะนาโกย่า ทำให้ฉันซาบซึ้งใจมาก ขนาดในฝันยังไม่ลืมว่าต้องขอบคุณคุณละมั้ง”

หร่วนอี้เฉิน “ถ้าคนที่เธอเรียกคือฉัน คงไม่บอกให้ฉันปล่อยเธอไปหรอก”

เนี่ยเฟยเฟย “ฉันพูดว่าอะไรบ้าง?”

หร่วนอี้เฉิน “เธอพูดว่าไม่มีอะไรที่เวลารักษาไม่ได้ เธอให้เขาปล่อยเธอไป”

เนี่ยเฟยเฟยหน้าเฉยสนิท “อ้อ”

หร่วนอี้เฉิน “เขาน่าจะเป็นแฟนของเธอ ระหว่างเธอกับเขา ดูไม่เหมือนปัญหาเล็กๆ นะ”

เนี่ยเฟยเฟย “ก็ได้ โดนคุณดูออกซะแล้ว ถูกต้อง ปัญหาใหญ่มากเลยแหละ”

หร่วนอี้เฉิน “เธอไม่ใช่คนเอาแต่ใจ ดังนั้นเขาเป็นคนทำผิดสินะ?”

เนี่ยเฟยเฟยไม่อยากคุยหัวข้อนี้ต่อ กลบเกลื่อนว่า “หายากนะที่คุณชมฉันอย่างนี้”

หร่วนอี้เฉิน “ตอนที่เธอกับฉันคบกัน ก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ เป็นความผิดของฉัน”

เนี่ยเฟยเฟยมองเขาอย่างประหลาดใจ

หร่วนอี้เฉินเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน เขาเอื้อมมือข้างหนึ่งไปกดรับสาย ทางปลายสายเป็นผู้หญิง เสียงดังมากเหมือนกรีดร้องจนเสียงลอดออกมาให้ได้ยินแว่วๆ

เนี่ยเฟยเฟยหันไปมองนอกหน้าต่าง ได้ยินหร่วนอี้เฉินพูดเสียงเย็นชาว่า “เมื่อวานนี้บอกเธอไปแล้ว เราเลิกคบกันแล้ว” เหมือนอีกฝ่ายจะถามถึงเหตุผล เขาตอบว่า “ไม่มีเหตุผลอะไร ก็แค่ถึงเวลาแล้ว” ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นพูดอะไรอีก  เขาตอบว่า “อย่าให้เราทั้งสองฝ่ายต้องลำบากใจ” ดูเหมือนอีกฝ่ายจะกำลังร้องไห้ หรือไม่เธอก็คิดไปเอง

มีทะเลสาบวิ่งผ่านหน้าต่างรถ เนี่ยเฟยเฟยคิดว่าครั้งก่อนที่ได้นั่งเรือดูน้ำ มันเมื่อไหร่แล้วนะ? ชีวิตครึ่งหนึ่งของเธอเคยเป็นทะเลกับเรือ สักปีได้แล้วที่ไม่ได้ออกจากบ้านเลย กระทั่งวิวในชนบทแบบนี้ยังรู้สึกแปลกใหม่

หร่วนอี้เฉินวางสายแล้ว ยังไม่ลืมมาต่อบทสนทนาที่ค้างอยู่ เขาถามเธอว่า “ถ้าตอนนั้นฉันไปหาเธอที่อเมริกา...”

อย่างน้อยเธอยังต้องอยู่กับหร่วนอี้เฉินไปอีกสองวันครึ่ง หัวข้อนี้ไม่ควรจะคุยกันต่ออย่างเห็นได้ชัด เธอตัดบทเขาว่า “คุยเรื่องเลิกคบกับเด็กผู้หญิงควรจะอ่อนโยนสักหน่อยนะ เพื่อนฉันคนหนึ่งบอกว่า การบอกเลิกก็เป็นศิลปะแขนงหนึ่งเหมือนกัน เลิกกันแบบทั้งสองฝ่ายต่างสบายใจถึงจะเรียกได้ว่าเลิศมาก คุณบอกเลิกคนอื่นแบบนี้ไม่ผ่านชัดๆ”

หร่วนอี้เฉิน “ไม่ได้รัก จะบอกเลิกแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น มีรักอยู่ ต้องบอกเลิกแบบไหนถึงจะสบายใจ?”

เนี่ยเฟยเฟย “เป็นคำถามที่ดีมาก ไว้เมื่อไหร่จะให้คุณกับเพื่อนฉันไปลองถกกันดูนะ” พูดจบก็ดึงเสื้อหนังขึ้นมาปิดศีรษะพึมพำว่า “ฉันของีบก่อนนะ ชักจะง่วงอีกแล้ว”

เธอเข้าใจแล้วว่า ถ้าใครอยากจะคุยเรื่องอะไรสักเรื่อง การพยายามห้ามน่ะห้ามไม่อยู่หรอก ไม่รู้วันนี้หร่วนอี้เฉินเกิดของขึ้นอะไรขึ้นมา อยู่ดีๆ ก็ลากไปคุยเรื่องในอดีตของเธอกับเขา ขืนปล่อยให้คุยกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาอาจจะถามคำถามจำพวก “ตอนนั้นที่เราเลิกคบกัน คุณรู้สึกยังไง” ออกมาจริงๆ ก็ได้ แต่เรื่องพวกนี้ควรจะหยุดไว้แค่ตรงช่วงเวลาที่มันควรจะหยุด ไม่มีความจำเป็นที่ใครจะไปรื้อฟื้นมันขึ้นมา

 

กว่าจะไปถึงเมืองถัดไปปาเข้าไปเกือบบ่ายสอง หาที่กินข้าวลวกๆ แล้วเดินทางต่อ

หลังจากหร่วนอี้เฉินทำท่าจะรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ เนี่ยเฟยเฟยขึ้นรถปุบก็แกล้งหลับ กินข้าวก็เลือกที่ที่คนพลุกพล่าน ถึงโรงแรมก็บอกว่าเหนื่อย รีบเช็คอินเข้าห้องพักส่วนตัวทันที ไม่เปิดโอกาสให้หร่วนอี้เฉินได้ชวนคุย แต่ไม่นึกว่าในคืนสุดท้ายของการเดินทาง เขาจะมาเคาะประตูห้องเธอ

เนี่ยเฟยเฟย “ฉันเตรียมจะเข้านอนแล้ว”

หร่วนอี้เฉินไม่ไว้หน้ากันสักนิด “เพิ่งสามทุ่ม”

เนี่ยเฟยเฟย “ฉันเข้านอนเร็ว”

หร่วนอี้เฉิน “ฉันจะรอเธอที่ห้องน้ำชาชั้นบนสุด” แล้วเสริมว่า “ฉันจะรอเธอไปเรื่อยๆ”

 

หร่วนอี้เฉินรอเธอทำไม เนี่ยเฟยเฟยพอจะเดาได้อยู่ เมื่อก่อนไม่เห็นเขาจะเป็นคนมุ่งมั่นแบบนี้เลย สุดท้ายเธอก็ยอมไปพบเขาตอน 21:20 น.

เข้าไปถึงก็เห็นหร่วนอี้เฉินเลือกโต๊ะที่ค่อนข้างลับตา นั่งดื่มเหล้าอยู่ เนี่ยเฟยเฟยเข้าไปนั่งลง รอให้เขาเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน

หร่วนอี้เฉิน “หลังจากเธอไปอเมริกาแล้ว ฉันก็ไปฝรั่งเศส ตอนนั้นเธออาจจะชอบฉัน แต่ยังไม่ถึงกับรัก”

เนี่ยเฟยเฟยพูดไปคนละเรื่อง “ดื่มเหล้าแล้วดื่มน้ำชามันไม่ดี จะให้ฉันสั่งน้ำส้มให้คุณสักแก้วไหม?”

หร่วนอี้เฉินส่ายหน้า พูดต่อว่า “การแยกทางกับเธอทำให้ฉันรู้สึกล้มเหลวมาก หลังจากนั้นฉันคบแฟนอีกหลายคนมาก แต่ละคนคบไม่นานทั้งนั้น”

เนี่ยเฟยเฟย “...เรื่องนี้ไม่น่าจะมาโทษฉันนะ”

หร่วนอี้เฉิน “เนี่ยเฟยเฟย เธอเป็นรักแรกของฉัน ตอนนั้นฉันชอบเธอมาก”

เนี่ยเฟยเฟยนึกว่าหูเฝื่อนฟังผิดไป พักใหญ่ ประคองถ้วยน้ำชาโดยไม่พูดอะไร

หร่วนอี้เฉินเหมือนไม่ต้องการให้เธอตอบ พูดต่อไปว่า “ระหว่างที่ไปฝรั่งเศส ฉันไม่เคยคิดจะไปหาเธออีกครั้งเลย ปีที่แล้วฉันกลับประเทศ หลังจากกลับมาแล้วก็ไม่เคยคิดอีกเหมือนกันว่าเราสองคนจะได้พบกันอีก เธอมีความประสาททื่อของเธอ ฉันเองก็มีศักดิ์ศรีของฉัน”

เนี่ยเฟยเฟยพยักหน้า “ฉันเข้าใจ”

หร่วนอี้เฉิน “เธอก็ยังเป็นเหมือนสมัยอยู่มหา’ลัย”

เนี่ยเฟยเฟย “น่าจะสวยกว่าตอนนั้นเยอะนะ”

หร่วนอี้เฉินมองหน้าเธออยู่นาน “เฟยเฟย เรายังมีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาคบกันอีกไหม?”

เนี่ยเฟยเฟยสำลักน้ำชา นึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าเขาจะพูดประโยคนี้ออกมา ความจริงรวมถึงที่เมื่อกี้เขาบอกว่าเธอเป็นรักแรกของเขา เธอเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน

ก่อนจะมาตามนัด เนี่ยเฟยเฟยก็รู้สึกได้เลาๆ อยู่หรอกว่าตอนนั้นเธอกับเขาเลิกคบกันแบบคลุมเครือเกินไป กระทั่งบอกลากันครั้งสุดท้ายยังไม่มีเลย บางทีอาจจะมีบางเรื่องที่เขาอยากจะแก้ตัวให้เคลียร์ อยากจะถามเธอให้แน่ใจ จะได้ปิดฉากให้ช่วงชีวิตวัยรุ่นของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์

อึกใจใหญ่ เนี่ยเฟยเฟยพูดว่า “คุณตรงไปตรงมากว่าสมัยเรียนมหา’ลัยเยอะเลย”

หร่วนอี้เฉิน “ควรจะให้ดอกกุหลาบเธอ นัดเธอไปฟังละครเพลง ค่อยๆ จีบเธอไปทีละก้าวๆ รอจนวันหนึ่งเธอถามฉันว่าคิดจะทำอะไร ชอบเธอหรือเปล่า? เธอไม่มีทางถามไปตลอดกาล ฉันเคยพลาดมาแล้ว เผชิญหน้ากับเธอน่ะต้องตรงไปตรงมาหน่อย”

เนี่ยเฟยเฟย “หร่วนอี้เฉิน...”

เขาตัดบทเธอว่า “ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอมีแฟน ฉันไม่เห็นว่าเรื่องนี้ขัดแย้งอะไรกับการที่ฉันจะจีบเธอ”

เนี่ยเฟยเฟย “หร่วนอี้เฉิน ปีนี้ฉันอายุ 26 ปี”

หร่วนอี้เฉิน “ฉันรู้”

เนี่ยเฟยเฟย “ฉันมีลูกสาวหนึ่งคน อายุหนึ่งขวบครึ่ง เดินเก่งมาก พูดก็เก่งมากด้วย ตอนฉันป่วย ลูกจะมากอดฉันสงสารฉัน เรียกฉันเสียงใสๆ ว่าหมะม้า”

หร่วนอี้เฉินตกตะลึง

เนี่ยเฟยเฟย “ความจริงฉันไม่ได้มีแฟน แต่มีสามีอยู่คน เขาดีมาก”

หร่วนอี้เฉินเงียบไปนาน ค่อยถามว่า “คุณแต่งงานแล้ว? พ่อแม่จัดการให้หรือ?”

เนี่ยเฟยเฟย “เรารักกันเองค่ะ”

หร่วนอี้เฉิน “เป็นคนแบบไหน?”

เนี่ยเฟยเฟย “เป็นนักวิทยาศาสตร์”

หร่วนอี้เฉิน “อ้อ เป็นนักวิทย์ นักวิทย์มีอะไรดี?”

เนี่ยเฟยเฟยหลับหูหลับตาพูดโม้ถึงผลงานของนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งเรื่องการแช่แข็งจำศีล ว่าเขาแช่แข็งตัวเอง ภรรยา และลูกสาว เพื่อให้มีโอกาสได้ไปเห็นโลกอนาคต

หร่วนอี้เฉิน “เรื่องไม่น่าเชื่อแบบนี้...ที่คุณแต่งงานกับคนคนนั้น คงไม่ใช่เพราะว่าเขาเอาตัวคุณไปทดลองได้หรอกนะ?”

เนี่ยเฟยเฟย “แน่ละว่าฉันแต่งงานกับเขาเพราะฉันรักเขา”

หร่วนอี้เฉิน “เธอรู้หรือว่าอะไรคือความรัก?”

เนี่ยเฟยเฟย “แน่นอน ฉันรู้แน่ละ”

หร่วนอี้เฉินนวดขมับ ถามว่า “คุณรักเขาตรงไหน?”

เนี่ยเฟยเฟย “เขาเป็นอัจฉริยะ ค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน บอกตามตรง เรื่องที่เขาวิจัยน่ะฉันไม่รู้เรื่องสักนิด แต่โชคดีที่เขาไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ประเภทที่ทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับวงการศึกษา เขาเห็นว่าถึงการค้นหาคำตอบของสิ่งมีชีวิตจะน่าสนใจมาก แต่ไม่ใช่การแข่งขัน ไม่จำเป็นต้องเอาชนะใครให้ได้ ดังนั้นเขาจึงเอาเวลามากมายไปทำเรื่องอื่นด้วย

“ขอบคุณเทวดาฟ้าดินที่ในเรื่องนี้ ฉันกับเขายังพอจะคุยภาษาเดียวกันอยู่ เขาเลี้ยงบอนไซ เลี้ยงปลา ศึกษาเกมหมากล้อม สะสมชุดน้ำชา อ่านหนังสืออ่านเล่น ยิงธนู แล้วยังชอบขับรถวิบาก อาจารย์ที่ปรึกษาสมัยเรียนปริญญาเอกของเขาไม่พอใจเขาเรื่องนี้มาก นักวิทยาศาสตร์ท่านนั้นเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลมาก่อน ท่านสั่งสอนเขาว่าถ้าเขาทุ่มเทเวลาให้กับการค้นคว้าวิจัยในสายงานของเขาอย่างเต็มที่กว่านี้ เขาจะได้รับผลสำเร็จที่ใครต่อใครจินตนาการไปไม่ถึง

“เขาย้อนถามอาจารย์ว่า จากนั้นล่ะครับ? อาจารย์ตอบว่า มันจะสร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ให้แก่มนุษยชาติ คุณค่าของตัวเธอก็จะได้รับการยืนยันให้เป็นจริงมากยิ่งขึ้น ผลคือเขาตอบอาจารย์ไปว่า เรื่องของมนุษยชาติให้มนุษยชาติไปหาทางแก้ไขกันเอาเองเถอะครับ พักนี้เป้าหมายของผมคือยกระดับฐานะของตัวเองในครอบครัว ซึ่งหนทางเดียวที่จะทำให้มันเป็นจริงได้ คือหัดเปลี่ยนแพมเพิร์สให้อวี่สือให้เป็น อาจารย์เขาโมโหจนลมจับไปเลย”

เธอเล่าไปพลางยิ้มไปพลาง หร่วนอี้เฉินมองหน้าเธอตรงๆ “คุณเทิดทูนบูชาเขามาก”

เนี่ยเฟยเฟย “เขาเองก็มีเรื่องที่ไม่ถนัดเหมือนกัน อวี่สืออายุได้สองเดือนเขาถึงค่อยกล้าอุ้มลูก แถมยังอุ้มไม่ค่อยเก่งอยู่เรื่อย เขาอุ้มทีไร อวี่สือร้องไห้ทุกที ลูกบ้านอื่นพูดได้คำแรกไม่ ‘ปะป๊า’ ก็ ‘หมะม้า’ คำแรกที่อวี่สือพูดได้คือ ‘ปะป๊าแย่’” พูดไปพูดมาเรียวปากเธอได้โค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว เธอนึกขึ้นได้ว่าในกระเป๋าเงินมีรูปถ่ายอยู่ จึงเอาออกมาให้หร่วนอี้เฉินดู

ในรูปถ่ายเป็นภาพเนี่ยอี้กับเนี่ยอวี่สือนั่งหันหลัง เนี่ยอวี่สือที่ตัวเล็กนิดเดียวนั่งทำท่าจะล้มมิล้มแหล่

หร่วนอี้เฉินดูแล้วถามว่า “ทำไมถึงไม่มีเธอล่ะ?”

เนี่ยเฟยเฟย “ฉันถือกล้องอยู่ไง เนี่ยอี้น่ะดูแลเด็กไม่เป็นเลย ฉันบอกให้เขาสองคนโพสต์ท่านี้ ผลคือตัวเขาเองน่ะนั่งได้สบายแหละ แต่ไม่รู้จักหันไปดูลูกบ้างเลย อวี่สือฝืนนั่งได้สามสิบวิตัวก็เอียงล้มไปด้านข้าง ผลคือหัวไปโขกกับเปลือกหอย ร้องไห้โฮน้ำมูกน้ำตาไหลโวยวายว่าปะป๊าแย่ นั่นเป็นคำแรกที่อวี่สือพูดได้ มันทั้งน่าตะลึงและน่าขำเลยแหละ”

หร่วนอี้เฉินเงียบไปนาน ค่อยถามว่า “ในเมื่อพวกเธอดีกันขนาดนี้ แล้วเธอจากเขามาทำไมกัน ยังมีลูกสาวเธออีก?”

เหมือนถูกน้ำเย็นเฉียบทั้งอ่างราดรดหัว เนี่ยเฟยเฟยหุบยิ้ม “เรื่องในครอบครัวนิดหน่อย แต่ยังไงก็แก้ไขได้แน่นอน ดึกมากแล้ว ฉันกลับไปนอนละ คุณเองก็รีบพักผ่อนแต่เนิ่นๆ เถอะ”

 

เนี่ยเฟยเฟยกลับไปที่ห้อง นั่งพิงหน้าต่างโดยไม่เปิดไฟ มองดูดวงจันทร์

ครอบครัว...หน่วยย่อยที่สุดและอบอุ่นที่สุดที่ประกอบกันเป็นสังคมมนุษย์

ทำไมเธอถึงจากครอบครัวของเธอมางั้นหรือ?

ตั้งแต่ออกจากบ้านมา เธอก็พยายามไม่ไปคิดถึงคำถามข้อนี้ ไม่ไปคิดถึงเนี่ยอี้ ไม่ไปคิดถึงอวี่สือ ไม่ไปคิดถึงพ่อแม่ของเธอ ไม่ไปคิดถึงเพื่อนๆ ทุกคนของเธอ มีแต่แบบนี้เธอถึงจะสามารถเดินหน้าต่อไปโดยไม่หันหลังกลับได้

การหนีออกจากบ้านครั้งนี้ไม่ใช่เพราะปัญหาครอบครัว เพียงแต่จะเร็วจะช้าเธอก็ต้องจากไปอยู่ดี แถมเร็วกับช้านี้ต่างมีกำหนดเวลาอีกด้วย ช้าคือหนึ่งเดือนให้หลัง บางทีอาจจะเป็นหนึ่งเดือนครึ่งให้หลัง ส่วนเร็ว คือทุกเวลาก่อน “ช้า”

เนี่ยเฟยเฟยป่วย อาการป่วยนี้หนักหนาสาหัสมาก เธอดิ้นรนเพราะมันมาเกือบจะสิบเดือนแล้ว

เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เธอพูดกับหร่วนอี้เฉินถึงเรื่องการแช่แข็งจำศีล หร่วนอี้เฉินบอกว่านั่นฟังดูไม่น่าเชื่อเลย และใช่ ก่อนที่เธอจะป่วย เธอก็คิดว่านั่นเป็นคำศัพท์ที่จะมีก็แต่ในนิยายไซไฟเท่านั้น

เธอไม่เคยเข้าใจเรื่องที่เนี่ยอี้ค้นคว้าวิจัยเลย แต่พอเธอป่วย เธอกลับเข้าใจงานของเขามากขึ้น และกลายเป็นว่าสามารถคุยกับเขาในหัวข้อนี้ได้

อาการป่วยของเธอเกิดจากยีนบกพร่อง

จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ว่า คำว่า “ยีนบกพร่อง” นี้แฝงความหมายว่ายังไง ทำมันถึงได้เปลี่ยนร่างกายของเธอให้แย่มากขนาดนี้ เหตุผลนั้นเธอเองก็รู้เรื่องครึ่งไม่รู้เรื่องครึ่ง

จากความเข้าใจแบบตื้นเขินของเธอ ยีนของคนเราเป็นเสมือนรากฐานที่ฝังอยู่ในร่างกาย กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นบนรากฐานนี้ ในร่างกายของทุกคนต่างมีกำแพงเมืองจีนนี้อยู่ ด้านในของกำแพงเมืองจีนยังมีทหารอีกหนึ่งกองทัพ มีไว้ต้านทานเชื้อโรคทั้งหลายที่คิดจะทำร้ายพวกเรา นี่คือสิ่งที่ในวงการแพทย์เรียกกันว่า ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์

แต่ยีนของเธอบกพร่องแต่กำเนิด รากฐานไม่มั่นคง เดือนกุมภาพันธ์ของปีนี้ กำแพงเมืองจีนที่สร้างอยู่บนมันได้พังทลายลงเป็นครั้งแรก

หร่วนอี้เฉินถามฉันถึงข้อดีของการแต่งงานกับนักวิทยาศาสตร์ ข้อดีของมันคือเมื่อล้มป่วย จะสามารถเชิญผู้เชี่ยวชาญมือเยี่ยมที่สุดเข้ามาตรวจอาการให้ได้ในทันที

ในการตรวจอาการทุกครั้ง เนี่ยอี้จะเข้าร่วมด้วยตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาหาจุดที่บกพร่องพบอย่างรวดเร็ว แต่ไม่สามารถแก้ไขมันได้ พวกเขาถึงกับไม่สามารถหาคำที่เหมาะสมมาให้คำจำกัดความโรคนี้ได้

กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเดินหน้าไปทีละก้าวเล็กๆ ไล่กวดไม่ทันความเร็วในการถล่มลงมาของกำแพงเมืองจีน ระบบภูมิคุ้มกันที่หยุดทำงานครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งผลให้เชื้อโรคจำนวนมหาศาลรุกรานเข้ามาภายในร่างกาย

นั่นเป็นความทรงจำช่วงที่ไม่อยากจะหวนนึกถึงเลยจริงๆ การจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ได้แต่ใช้ยาฆ่าเชื้อมาช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน การกินยาฆ่าเชื้อในปริมาณมากกลายเป็นเรื่องจำเป็น แต่ยาฆ่าเชื้อปริมาณมากเองก็จะทำลายร่างกายและอวัยวะภายในของเธอเหมือนกัน ซึ่งจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันยิ่งขาดความเสถียรมากขึ้น นี่เป็นวงจรอุบาทว์ของการใช้พิษข่มพิษ

เมื่อครึ่งเดือนก่อนนี้เอง อาการของเธอกำเริบอีกครั้ง เคนต์บอกว่าร่างกายของเธอทนปริมาณยาฆ่าเชื้อที่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้อีก หากติดเชื้ออีกแค่ครั้งเดียว ยาฆ่าเชื้อจะทำให้อวัยวะภายในของเธอชำรุดจนไม่สามารถฟื้นฟูได้อีก ถึงตอนนั้นจำเป็นต้องใช้วิธีผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายอวัยวะที่ชำรุด แต่มีโอกาสสูงมากที่เธอจะติดเชื้อระหว่างการผ่าตัดจนเสียชีวิต

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเคนต์หรือเนี่ยอี้ ต่างจะจนปัญญากันทั้งคู่ ซึ่งความจริงในตอนนี้เขาสองคนก็จนปัญญาทำอะไรไม่ได้กันแล้ว

เคนต์เป็นนักวิทยาศาสตร์เฒ่าเพียงคนเดียวในวงการที่สามารถทำให้เนี่ยอี้ยอมก้มหัวได้ หลังจากพูดประโยคนั้นจบ เขาก็กลับอเมริกาไป

ความจริงแล้วสองเดือนก่อนที่เคนต์จะกลับอเมริกา เนี่ยเฟยเฟยก็คาดเดาผลลัพธ์นี้ได้แล้ว ถึงเธอจะไม่เข้าใจงานของพวกผู้เชี่ยวชาญ แต่เธอเข้าใจร่างกายของเธอเองดี ว่ามันเป็นเหมือนตะเกียงริบหรี่ที่กำลังจะค่อยๆ ดับลง

หลังจากที่อาการของโรคกำเริบเป็นครั้งแรก เวลาส่วนใหญ่เธอต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อ แต่ห้องปลอดเชื้อในปัจจุบันไม่ได้ปลอดเชื้อจริง 100% เนี่ยอี้จึงพยายามทำการทดลองเพื่อสร้างห้องปลอดเชื้อ 100% ให้เธออยู่ตลอด

ห้าวันก่อนที่เธอจะหนีออกจากบ้าน เธอได้รับโทรศัพท์จากเคนต์ เขาบอกว่า “คุณคงจะรู้สภาพร่างกายของคุณเองดีอยู่แล้ว  Yee อยากให้ทำการแช่แข็งคุณ นี่เป็นวิธีสุดท้าย เพื่อการนี้ช่วงนี้เขาต้องมาที่อเมริกาอีกครั้ง แต่ผมเสียใจอย่างยิ่ง ด้วยสภาพร่างกายของคุณในตอนนี้ โอกาสที่จะแช่แข็งสำเร็จแทบจะเป็นศูนย์ ขอโทษด้วย ผมช่วยคุณไม่ได้  Yee เองก็ช่วยไม่ได้ ถึงเขาจะไม่ยอมรับก็เถอะ นี่เป็นผลลัพธ์ที่ทำให้ผมเสียใจมาก ถ้าคุณมีเรื่องอะไรที่อยากจะไปทำ จงรีบไปทำเสียเถอะ ถ้ามีอะไรอยากให้ผมช่วย ก็บอกผมได้ ผมจะพยายามช่วยคุณอย่างเต็มที่”

เนี่ยเฟยเฟยถามเขาว่า “ทำไมคุณถึงโทรศัพท์มาหาฉันเพื่อบอกเรื่องนี้หรือคะ?”

เคนต์ “ตอนที่ภรรยาของผมตายจากไป ผมก็นึกว่าตัวเองสามารถช่วยเธอได้เหมือนกัน ขังตัวเธอไว้กับเตียงคนไข้ สุดท้ายเธอตายในอ้อมแขนผม บอกว่าเสียใจมากที่ปีนั้นไม่ได้ไปดูต้น Sequoia ที่แคลิฟอร์เนีย”

 

นานมากก่อนที่จะได้คุยโทรศัพท์กับเคนต์ เนี่ยเฟยเฟยก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า หากเส้นทางชีวิตเส้นนี้กำลังจะถึงปลายทาง เนี่ยอี้มีความคิดของเขา เธอเองก็มีความคิดของเธอ

เรื่องที่เธออยากจะทำเป็นครั้งสุดท้ายค่อนข้างลำบากอยู่ ถ้าได้เคนต์ช่วย ก็จะสบายขึ้นมาก

วันรุ่งขึ้น เนี่ยเฟยเฟยโทรไปหาเคนต์ บอกเขาว่า เธออยากจะไปดำน้ำใต้น้ำแข็งที่ทะเลขาวสักครั้ง ถ่ายรูปวาฬขาวที่ใต้น้ำแข็ง เธออยากจะดำน้ำแบบนั้นสักครั้งมาตลอด แต่เพราะอันตรายเกินไป เมื่อก่อนตอนที่ร่างกายแข็งแรงเนี่ยอี้ก็ไม่เห็นด้วยแล้ว

นี่เป็นเรื่องเดียวในชีวิตที่เธอนึกเสียดาย หากชีวิตกำลังจะดับลงแล้ว เธอหวังว่ามันจะดับลงในทะเล

เธอนัดพบกับเคนต์ที่เกาะนาโกย่าซึ่งอยู่ใกล้กับประเทศ R มากที่สุด นี่แหละคือเหตุผลที่เธอมุ่งมั่นจะไปที่เกาะนาโกย่า

 

ความตายเป็นเรื่องแบบไหน เธอมีเวลาเก้าเดือนกว่าในการคิดเรื่องนี้

เธอเคยขี้ขลาด เคยหวาดกลัว เคยร้องไห้ในความมืด นั่นไม่ใช่อดีตที่จะสามารถย้อนคิดถึงได้อย่างสบายๆ เลย

ความจริงมานึกดูในตอนนี้ ความทุกข์ที่เนี่ยอี้ได้รับในช่วงเวลานั้นน่าจะหนักยิ่งกว่าเธอเสียอีก แล้วเธอยังไปพูดโง่ๆ กับเขาอีกว่า “ถ้าฉันตายไป ให้คุณเผาฉันซะ ใส่ไว้ในกระปุกเคลือบสีขาว แล้ววางไว้ในบ้านดีไหม? เพราะถ้าคนตายไปแล้วมีวิญญาณ เอาไปฝังไว้ในพื้นดินที่ทั้งเย็นและมืด ฉันคงกลัวแน่ ฉันจะกลัวมาก”

ตอนนั้นในบ้านได้สร้างห้องปลอดเชื้อขึ้นมาโดยเฉพาะ เธอพักอยู่ข้างในนั้น ทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมเธอต่างต้องทำการฆ่าเชื้อทั้งตัว

ตอนนั้นเนี่ยอี้กอดเธอไว้ ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น มือกลับบังดวงตาไว้ เธอไม่รู้ว่าเขาร้องไห้หรือเปล่า เขาคงจะร้องไห้ กิริยานั้นคือไม่กล้าให้น้ำตาตกลงถูกตัวเธอ เพราะในน้ำตาก็มีเชื้อโรคอยู่ จากนั้นเขาก็ผลุนผลันออกไป ตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าเขาออกไปทำอะไร มานึกดูในตอนนี้ น่าจะออกไปฆ่าเชื้อ

ครอบครัวแบบไหนกันถึงจะเป็นแบบนั้น? สามีต้องฆ่าเชื้อทั้งตัวทุกคืนถึงค่อยนอนร่วมกับภรรยาได้

พวกเธอถึงขั้นแม้แต่จูบกันเฉยๆ ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

 

หลังหนีออกจากบ้านแล้ว ค่อยได้ใช้ชีวิตแบบปกติอีกครั้ง ลากสังขารที่ระบบภูมิคุ้มกันล้มเหลวโดยสิ้นเชิงนี้ กล้าแตะต้องของทุกอย่างสารพัด กล้ากินของทุกอย่างสารพัด โดยอาศัยการกินยาฆ่าเชื้อจำนวนมากทุกวันล้วนๆ

ความบันเทิงอย่างเต็มที่เป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต ก็เพื่อความตาย

ความตายคือการพรากจาก...การพรากจากที่ไร้ความหวังที่สุดในโลกนี้ หากคนตายไปแล้วไม่มีวิญญาณ การพรากจากนี้จะไม่มีความเจ็บปวดทุกข์ทนใดๆ สำหรับเธอ หากคนตายแล้วมีวิญญาณ เธอสามารถมองเห็นพวกเขาที่ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ พวกเขากลับไม่สามารถมองเห็นเธอได้อีก อย่างไรความโศกเศร้าเสียใจของพวกเขาก็ต้องมากกว่าเธอ

ความตายคือหายนะ แต่เป็นหายนะยิ่งกว่าสำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่

 

วันรุ่งขึ้น เนี่ยเฟยเฟยได้แยกทางกับหร่วนอี้เฉินตามที่ตกลงกันไว้ ต่างฝ่ายต่างบอกกันว่า แล้วพบกันใหม่

เรือของเคนต์จะมาถึงในตอนค่ำ

เนี่ยเฟยเฟยไปซื้อปากกาบันทึกเสียงกับขวดแก้วมา พูดบอกเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างระหว่างเธอกับเนี่ยอี้ผ่านมุมมองของเธอบันทึกลงไป

......

“ฉันไม่มีเวลาเขียนบันทึกความทรงจำ สิ่งที่สวยงามในชีวิตเหล่านั้น ฉันอยากจะหาวิธีสักวิธีมาบันทึกไว้

“อันที่จริง ถ้าฉันคิดจะเขียนบันทึกความทรงจำ จะเป็นการเขียนให้คนเพียงคนเดียวอ่าน ดังนั้นคำพูดที่ฉันพูดอยู่ในตอนนี้ ก็เป็นการพูดให้คนเพียงคนเดียวฟังเท่านั้นเหมือนกัน

“แต่จะให้เขาได้ฟังเลยในตอนนี้ไม่ได้ ฉันหวังว่าฉันจะเป็น “ห่วง” ชั่วนิรันดร์ของเขา ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เย็นเฉียบ

“ห่วง” จะทำให้คนเราอยากมีชีวิตอยู่

“ฉันไม่อยากนำพาคำพูดเหล่านี้จากไป ฝังอยู่ใต้ทะเลลึกตลอดกาลร่วมกับฉัน ฉันหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้ฟัง เช่นนั้นเขาก็จะได้รู้ว่า ในโลกใบนี้ ฉันได้เหลืออะไรไว้ให้เขา ดังนั้นฉันจึงได้เลือกวิธีที่โรแมนติกนี้

“ฉันไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนเก็บขวดลอยทะเลใบนี้ได้ แต่ได้โปรดฟังที่ฉันพูด วันนี้คือวันที่ 30 เดือนพฤศจิกายน ปี 2020 หากคุณเก็บขวดลอยทะเลใบนี้ได้ และไม่ใช่อยู่ในอีกสิบปีให้หลัง อย่างนั้นขอให้คุณช่วยเก็บเป็นความลับให้ฉัน รอจนสิบปีให้หลังค่อยมอบมันให้แก่เขา ผู้ที่ฉันอยากจะมอบมันให้คนนั้น

“สิบปีเป็นด่านด่านหนึ่งที่เขาจำเป็นต้องผ่านไปให้ได้ หากในอีกสิบปีให้หลัง ต่อให้เขารู้ว่าฉันได้นอนหลับลึกตลอดกาลอยู่ใต้ก้นทะเลแล้ว ก็น่าจะมีความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับชีวิตในอนาคต

ไม่ว่าคุณคือใคร ฉันก็ต้องขอขอบคุณและขออวยพรให้คุณมีความสุข
 

อย่างนั้นถัดมา เนี่ยอี้ จะเป็นเวลาของเราแล้ว

ถูกต้อง ฉันอยากจะบอกคุณว่า จวบจนวันสุดท้ายของชีวิต ฉันก็กำลังคิดถึงคุณอยู่เหมือนเดิม

ฉันซื้อปากกาบันทึกเสียงเล่มนี้ กับขวดแก้วอีกหนึ่งใบ นอนเอนหลังช่วงบ่ายอยู่ใน waiting bar อาบแดดไปพลางย้อนนึกถึงเรื่องราวในอดีตของเราสองคนไปพลาง

......

ประโยคสุดท้ายในปากกาบันทึกเสียงคือ
 
คุณรู้ดีว่าฉันรักทะเล เป็นรองเพียงรักคุณ การจบชีวิตของตัวเองในทะเล นี่เป็นฉากจบที่ดีที่สุด
ฉันจะมอบความรักที่ลึกล้ำที่สุดของฉันให้แก่คุณจากส่วนลึกที่สุดของทะเล ฉันรักคุณ เนี่ยอี้
 
จากนั้นจึงใส่ปากกาลงไปในขวดแก้ว ปิดฝา โยนลงไปในทะเล

 
จบองก์ที่ 1

แก้ไขเมื่อ 9 ต.ค. 2560, 20:55 โดย หลินโหม่ว

Admin เข้าร่วมเมื่อ 28 ก.ย. 2560, 15:34

0 ความคิดเห็น