หัวข้อ : ฉันไม่อยากเป็นซินเดอเรลลา บทที่ 5 เด็กดีก็มีความทุกข์เหมือนกัน (1)

โพสต์เมื่อ 28 ก.ค. 2559, 16:28

 

บทที่ 5 เด็กดีก็มีความทุกข์เหมือนกัน

 

วันที่ 1 มกราคม เวลาแปดโมงเช้า ซูจิ่นถูกเสียงกริ่งโทรศัพท์ปลุกตื่น

บ้าจริง ใครมันมารบกวนฝันดีของชาวบ้านแต่เช้าแบบนี้? วันหยุดทั่วประเทศเชียวนะ

ไม่ได้ลืมตา ขมวดคิ้ว แช่งชักหักกระดูกไปพลาง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างงัวเงียไปพลาง พูดเสียงแหบอย่างอารมณ์เสีย “ฮัลโหล ใครน่ะ?”

ทางปลายสายมีเสียงหูจิงที่อ้อแอ้ไม่ชัดเจนเพราะเมาเหล้าอย่างเห็นได้ชัดดังมา “เสียวจิ่น ฉันกับหยางอี้เลิกกันแล้ว ฮ่าฮ่า”

ซูจิ่นฟังอย่างไม่มีสติ หลับตาลงพลิกตัว อุบอิบอยู่ในใจ มันเรื่องใหญ่อะไรแค่ไหนกันถึงต้องมารบกวนฝันดีของชาวบ้านแต่ไก่โห่?

ผ่านไปห้าวินาที ซูจิ่นลืมตาโพลงทันควัน...เดี๋ยวก่อน เลิกกัน?

ทำบ้าอะไรเนี่ย เมื่อคืนนี้ยังรวมพลกันหัวเราะเฮฮาเคานท์ดาวน์ ดูดอกไม้ไฟ หลังจากนั้นคนที่ดื่มจนเมาแอ๋ก็เลิกกันแล้ว?

เธอเพิ่งจะแยกกับสองคนนั้นได้ไม่ถึงสามชั่วโมงเองนะ? แม่ง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

คลานขึ้นจากเตียง อาบน้ำอย่างดุเดือดแล้วสติถึงค่อยฟื้นตัวบ้างเล็กน้อย ไม่มีเวลาจะแต่งหน้า ออกจากห้องไปทั้งตาแพนด้า

เช้าตรู่ของวันหยุดทั่วประเทศ คนน้อยรถก็น้อย ซูจิ่นอาศัยความจำหลบผ่านกล้องวงจรปิดทั้งหมด ขับเร็วเกินกำหนดตลอดทางจนไปถึงบาร์เหล้าหมาป่าเถื่อนที่หูจิงบอก บาร์หมาป่าเถื่อนก็เป็นหนึ่งในร้านกลางคืนที่พวกเธอมักจะมาเยือนเป็นประจำ เปิดบริการตลอดทั้งคืน แปดโมงเช้าปิดร้าน ดังนั้นตอนนี้ประตูร้านจึงปิดแล้ว พอซูจิ่นจอดรถก็มองเห็นหูจิงกับเสี่ยวเจี๋ยบาร์เทนเดอร์ที่พวกเธอคุ้นหน้านั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูบาร์ หูจิงยังไม่หยุดกรอกเบียร์ ส่วนเสี่ยวเจี๋ยกำลังพูดอะไรเหมือนปลอบใจหูจิงอยู่ แต่ดูจากอาการสะลึมสะลือของหูจิง สงสัยจะไม่ได้ฟังเลย

“สวัสดีปีใหม่ค่ะ เสี่ยวเจี๋ย ขอบคุณมากที่ช่วยเฝ้าเธอให้ ต้องขอโทษจริงๆ เวลาแบบนี้ยังจะรบกวนคุณอีก” ซูจิ่นพูดพลางดึงหูจิงขึ้นมา ยัดเข้าไปในรถ จากนั้นหยิบธนบัตร 2-3 ใบจากในกระเป๋าให้เสี่ยวเจี๋ย

“ไม่ต้องหรอกครับ เจ๊จิ่น หูจิงเป็นเพื่อน ผมต้องช่วยอยู่แล้ว” เสี่ยวเจี๋ยพูดด้วยสีหน้าถือคุณธรรม ทำเอาซูจิ่นต้องยิ้ม “เธอเป็นแขกของคุณเหมือนกัน นี่เป็นทิปค่ะ”

ซูจิ่นถูกถึงขนาดนี้แล้ว เสี่ยวเจี๋ยจึงไม่บ่ายเบี่ยงอีก “มาครั้งหน้า จะให้พวกคุณได้ลองชิมค็อกเทลใหม่ที่ผมผสม”

ซูจิ่นรับปากยิ้มๆ แล้วโบกมือ ขึ้นรถขับจากไป

“เรื่องใหญ่โตอะไรกันยะถึงต้องมาทะเลาะแยกทางกันเอาตอนปีใหม่?” ซูจิ่นขับรถพลางปรายหางตามาเห็นว่าหูจิงไม่ได้นอนหลับ แต่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าแข็งทื่อ จึงอดใจไม่อยู่เริ่มบังคับให้สารภาพ

หูจิงไม่ได้หันหน้าไป พูดเสียงอ้อแอ้เล็กน้อยอย่างแช่มช้า “แต่งงานกันไม่ได้...ก็ได้แต่...เลิกกันไง รีบเลิกรีบเคลียร์”

ซูจิ่นค้อนจนตาคว่ำ “ถ้าเคลียร์จริง เธอยังจะใช้เหล้าราดรดทุกข์ไปทำไมยะ?”

“นี่น่ะฉัน...เอิ้ก...ฉลองที่กลับมาเป็นโสด”

ซูจิ่นหัวเราะพรืดเสียงหยัน “ช่างเถอะ ไว้หัวเธอโปร่งแล้วค่อยคุยกับเธอ”

หูจิงประท้วงลิ้นคับปาก “หัวฉัน...โปร่งอยู่นะ”

ซูจิ่นไม่ต่อความด้วยอีก ลากเพื่อนสาวกลับบ้าน แล้วช่วยอาบน้ำให้เธอจนสะอาดเหมือนอาบน้ำให้สัตว์ตัวเล็กๆ จากนั้นโยนหูจิงเข้าไปในห้องพักแขกอีกห้องที่อยู่ข้างห้องของฉินชวน ตัวเองก็กลับขึ้นเตียงไปนอนต่อเหมือนกัน ง่วงจะตายอยู่แล้ว

ไม่รู้หลับไปนานแค่ไหน ขณะที่งัวเงียเล็กน้อย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกแล้ว...ซูจิ่นยกขึ้นมาอย่างขี้เกียจ ฟังอยู่พักใหญ่ ได้ยินแต่เสียง “ตื้ดดดดด” จึงค่อยรู้ตัวว่า ที่ดังคือเสียงอินเตอร์คอมตรงประตู

อ้าปากหาวพลางเดินไปถึงหน้าประตูหยิบหูโทรศัพท์มาดู บนหน้าจอคือชายหนุ่มสวมเครื่องแบบของพนักงานส่พัสดุด่วน “สวัสดีครับ คุณซูใช่ไหมครับ? มีพัสดุมาถึงคุณครับ”

เสียงของพนักงานส่งพัสดุคนนี้...สุภาพมาก...ซูจิ่นได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ก็ตกตะลึงไปชั่ววูบค่อยพูดว่า “อ๋อ ได้ค่ะ เชิญขึ้นมาเถอะ”

หญิงสาวกดปุ่มเปิดประตู แล้วเดินกลับห้องไปสวมเสื้อที่พอจะพบหน้าผู้คนได้ทับ ค่อยเดินออกมาอีกรอบ

ใครส่งมากันนะ? น่าจะไม่ใช่แม่ เธอเพิ่งจะกลับมาจากเมืองเซินได้ไม่กี่วันเอง แต่ถ้าเป็นคนอื่น ก็ไม่มีใครที่น่าจะส่งพัสดุมาให้นี่นา

เปิดประตูชะโงกหน้าออกไปอย่างสงสัย พนักงานส่งพัสดุด่วนยืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว เมื่อหญิงสาวพินิจดูพนักงานส่งพัสดุที่ตัวสูงกว่าเธอหนึ่งช่วงศีรษะ ก็อดตะลึงอีกรอบไม่ได้ เขาสวมหมวกแก๊ป แต่ก็ยังดูออกได้ว่าหน้าตาดีมาก นัยน์ตาดอกท้อทั้งคู่ถูกบังอยู่ข้างหลังแว่นตากรอบทอง เวลายิ้มกว้างมองเธอ ดูราวกับหมาจิ้งจอก...

คนแบบนี้ ยังไงก็ไม่เหมือนพนักงานส่งพัสดุมั้ง?

ซูจิ่นผู้อ่านนิยายมามากเกินไป ได้จัดอีกฝ่ายเป็นบุคคลจำพวกกุนซือฝ่ายร้ายในทันที ถึงจะทำเรื่องผิดกฎหมาย ก็น่าจะเป็นประเภทอาชญากรรมไอคิวสูง...

ในใจนึกระแวง หญิงสาวมองอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด ก้าวถอยไปที่หลังประตู “ไม่ทราบว่าส่งมาจากที่ไหนหรือคะ?” คงไม่ใช่ของจำพวกระเบิดเวลาหรอกนะ? ตั้งแต่ได้รู้จักฉินชวนเป็นต้นมา เธอก็พบว่าโลกใบนี้ไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่เธอคิด ปืนและระเบิดไม่ได้มีอยู่แต่ในทีวีเท่านั้น

พนักงานหนุ่มก้มหน้าลงดูฉลากบนกล่อง ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มกว้างขวางเหมือนเดิม “บนกล่องไม่ได้เขียนไว้ครับ”

เขามีสีหน้านี้แค่แบบเดียวรึไงกัน? ซูจิ่นนึกข้องใจอยู่ในใจ ส่วนใบหน้าปั้นสีหน้าสงสัย “ไม่มีใครบอกว่าจะส่งพัสดุมาให้ฉันนี่คะ อาจจะส่งผิดหรือเปล่า?”

พนักงานหนุ่มยังคงยิ้มกว้างอย่างเดียว “ไม่มีทางแน่นอนครับ”

“อือม์...งั้นรบกวนคุณช่วยแกะออกมาให้ดูหน่อยก็แล้วกันค่ะ” หลังจากที่ซูจิ่นพูดประโยคนี้ออกมาแล้ว ก็กุมลูกบิดประตูแน่น ถ้าที่มีอะไรไม่ชอบมาพากล เธอเตรียมจะปิดประตูทันที

พนักงานหนุ่มนิสัยดีมาก ไม่มีถือสาการจงใจหาเรื่องสารพัดของเธอ แกะกระดาษห่อชั้นนอกออกอย่างระมัดระวัง ข้างในกลับเป็นกล่องเหล้าไม้ยางงามประณีตใบหนึ่ง ดวงตาหญิงสาวทอแววประหลาด “ช่วยเปิดกล่องให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?”

พนักงานส่งของไม่พูดมาก แกะกล่องอย่างรวบรัดตัดความ ซูจิ่นมองออกทันทีว่าข้างในคือไวน์แดงลาฟิตปี 1797

เขาใจป้ำน่าดูชม ให้ของแพงขนาดนี้เป็นของขวัญสำหรับการเลิกคบกัน มาเฟียนี่ฟุ่มเฟือยจริงๆ ด้วย แต่ในเมื่อเขายอมตัดใจให้มา เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะคืนกลับไปให้เขา

หญิงสาวมองพนักงานหนุ่มอย่างคล้ายจะยิ้ม ยื่นมือไปรับกล่องมา “ไม่ต้องเซ็นรับแล้วมังคะ?”

พนักงานหนุ่มเหมือนจะถูกสายตาของเธอมองจนวาบหวาม มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มนึกสนุก “ไม่ต้องแล้วครับ”

“ขอบคุณค่ะ” ไม่ทราบว่าซูจิ่นพูดกับพนักงานส่งพัสดุ หรือพูดกับใคร จากนั้นโบกมือให้เขา แล้วปิดประตูทันที

รอยยิ้มของพนักงานหนุ่มกดลึกกว่าเดิมเมื่อหันกายไปกดลิฟต์...ผู้หญิงที่น่าสนใจ

 

ซื้อไวน์ชื่อดังที่ราคาซื้อห้องชุดคอนโดมาตรฐานสองห้องนอนสองห้องน้ำได้หนึ่งหลัง...

ซูจิ่นถือขวดไวน์ไว้ในมือ หมุนไปหมุนมาดูอยู่พักใหญ่ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มปริศนา แล้ววางกลับลงไปในกล่องไม้ยางงามประณีต ก่อนจะยัดลงไปข้างใต้สุดของตู้เก็บเหล้า

 

“ฉันส่งของถึงมือที่รักของนายแล้ว” เสินอวี่ขึ้นรถปุบ ก็โทรศัพท์หาฉินชวนทันที ถ้อยคำน้ำเสียงเต็มไปด้วยแววกระเซ้า

ทางปลายสาย ฉินชวนพูดเสียงเรียบเฉย “อย่าพูดบ้าๆ ตอนนี้ฉันกับเธอไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว”

เสินอวี่แค่นหัวเราะเสียงหยัน “ให้คนระดับท่านเคานท์ชั้นหนึ่งรับเชิญแสดงบทพนักงานส่งพัสดุส่งของขวัญให้ผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว นายนี่ช่างอารมณ์สุนทรีย์จริงนะ?”

ฉินชวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยพูดอย่างรำคาญ “จะไม่รบกวนนายอีกแล้วน่า”

“นายกับเธอไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วจริงๆ?” อยู่ๆ เสินอวี่ก็พูดเสียงเคร่งขรึม ถามอย่างจริงจัง

เงียบไปอีกครู่ใหญ่ เสียงทางปลายสายค่อยดังมาว่า “เสินอวี่ นายน่ารำคาญมาก ฉันเห็นว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฉันล้วนๆ”

เสินอวี่ได้ฟังก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่ฉันสนใจเธอนะ เธอเป็น...ผู้หญิงที่น่าสนใจมาก...ฉันชักจะเริ่มเข้าใจแล้วละว่าทำไมนายถึงได้แคร์เธอ...”

ที่ตอบมาคือเสียงแค่นอย่างเย็นชา “แล้วแต่นาย” จากนั้นสายก็ถูกตัด

เสินอวี่โค้งริมฝีปาก เขาไม่ได้พูดเล่นหรอกนะ

เดิมทีเขาหลงนึกว่าติดต่อพูดคุยกับสามัญชน ไม่จำเป็นต้องระวังปลอมแปลงใบหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้ามากนัก ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเซนสิทีฟมาก แวบเดียวก็ดูออกแล้วว่าเขาไม่ชอบมาพากล นึกถึงดวงตาเย้ายวนเหมือนตาแมวคู่นั้นของเธอที่จ้องเขาเขม็งอย่างระแวดระวังเต็มที่แล้ว เสินอวี่คลี่ยิ้มอีกครั้ง เขาถูกเธอจ้องจนวาบหวิวไปหมดเชียวนะ

 

ในใจฉินชวนนึกโมโหขึ้นมาอย่างประหลาดอีกแล้ว เม้มปากจ้องโทรศัพท์เขม็งอยู่อึดใจใหญ่ แค่นหัวเราะเสียงหยัน ก้มหน้าก้มตาจัดการเอกสารที่กองสุมเป็นภูเขาเพราะเขาไม่อยู่มาหนึ่งเดือนต่อไป

ผู้หญิงคนนั้นเป็นเต่าหดหัวหมื่นปีขนานแท้ ตาโรคจิตเสินอวี่ไม่กลัวกระดองหนาก็พุ่งเข้าไปชนหัวแตกตายซะดีแล้ว

เขาเพิ่งจะอ่านมติเรียกร้องขอสิทธิ์ให้ชาวอาณานิคมเพิ่มขึ้นที่รัฐสภายื่นมาให้ได้แค่ไม่กี่หน้า ก็มีสายภายในโทรเข้ามา “ฝ่าบาท ใต้ฝ่าพระบาททรงใช้ให้คนส่งของขขวัญปีใหม่มาให้พ่ะย่ะค่ะ” คือเสียงลูกน้องตำแหน่งรองจากฉินชวน

ชายหนุ่มคิดเล็กน้อย ตอบไปว่า “นายไปตรวจรับแทนฉันแล้วกัน ฉันยังมีงานต้องทำ”

ลูกน้องลังเลเล็ก้อย เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็รับคำว่า “พ่ะย่ะค่ะ”

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาพ่อลูกเย็นชาต่อกันไม่ใช่เพิ่งจะแค่วันแรก ตาแก่แค่แวะมาปลอบใจตอนวันคริสต์มาสหน่อยเดียว ก็จะเปลี่ยนแปลงได้งั้นหรือ?

ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดที่เสด็จพ่อผู้ยิ่งใหญ่ของเขาพูดกับเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน แล้วแค่นหัวเราะเย็นชาอีกครั้ง

“พ่อทราบดีว่าลูกสงสัยว่าหนอนคนนั้นเกี่ยวข้องกับทางเมืองหลวง”

ฉินชวนยิ้มหยัน ไม่ได้ต่อคำ องค์จักรพรรดิทรงถอนหายใจ “พ่อไม่ชอบอธิบายมาแต่ไหนแต่ไร แต่เรื่องครั้งนี้ พ่อไม่ทราบเรื่องจริงๆ”

เห็นฉินชวนแค่เอ่ยรับอย่างเรียบเฉย “ลูกเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” องค์จักรพรรดิทรงนิ่งไปชั่วครู่ “พ่อจะส่งหน่วยเฉพาะกิจมาตรวจสอบคดีนี้ จะต้องมีคำอธิบายให้ลูกอย่างแน่นอน”

คำอธิบาย? ต่อให้หลักฐานทั้งหมดต่างชี้ไปที่วังหน้าอยู่กลายๆ จักรพรรดิยังจะส่งหน่วยเฉพาะกิจมาอีก ไม่ใช่เพื่อให้สุดท้ายเรื่องใหญ่เปลี่ยนเป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กเปลี่ยนเป็นไม่มีเรื่องหรือไง? เขายังจะคาดหวังคำอธิบายอะไรได้อีก?

ข้อดีเพียงข้อเดียวที่เหตุการณ์นี้นำมาให้เขา ก็คือเขาคงใกล้จะได้สิ้นสุดชีวิตผู้ว่าการรัฐอาณานิคม และกลับเมืองหลวงอีกครั้งเสียที ถึงแม้เขาก็ไม่ได้ชอบเมืองหลวงมากมายนัก แต่อยู่ห่างจากศูนย์กลางอำนาจนานเกินไป เรื่องหลายเรื่องได้แต่เปลี่ยนเป็นยิ่งแย่ลง

ฉินชวนมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใจลอยครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาดูมติรัฐสภาในมือ...มีรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างจำเป็นต้องแก้ไข แต่ส่วนใหญ่แล้วยังคงอยู่ในขอบเขตที่ราชอาณาจักรสามารถยอมรับได้ เขาหวังว่าก่อนที่เขาจะย้ายออกจากตำแหน่ง มตินี้จะสามารถผ่านความเห็นชอบอย่างเป็นทางการได้ ถือเป็นการให้ของขวัญอำลาแก่เจมมาก็แล้วกัน ชายหนุ่มยิ้มหยันตัวเองนิดๆ...เพียงแต่พวกเขาไม่มีทางนึกขอบคุณอยู่แล้ว ความเมตตาของผู้รุกราน ไม่ว่าใครก็ไม่อยากได้หรอก

 

หูจิงคอแห้ง จึงลุกขึ้นไปรินน้ำที่ห้องครัว ตอนเดินผ่านห้องนั่งเล่นเห็นซูจิ่นตาจ้องทีวี แต่กำลังใจลอยอย่างเห็นได้ชัด จึงไปดื่มน้ำจนพอก่อนค่อยมานั่งลงข้างๆ เพื่อนสาว “ตั้งแต่เธอกลับมาจากเมืองเซินก็แปลกๆ ชอบกล ทะเลาะกับพ่อแม่เหรอ? ถูกบังคับให้ไปดูตัวเหรอ? ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเธอดูเหมือนคนอกหักยิ่งกว่าฉันอีกล่ะ?”

ก็เพราะฉันอกหักจริงๆ น่ะสิ...ซูจิ่นตอบเพื่อนในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา ไม่ค่อยอยากจะแบ่งปันความฝันแสนหวานนั้นนัก “เปล่าสักหน่อย แค่พักก่อนทำงานหนักเกินไป ยังพักไม่หายเหนื่อยเอง เธอต่างหาก ไหงอยู่ดีๆ ก็ทะเลาะเลิกกันเหมือนคนบ้า? ก็เห็นดีๆ มาตลอดไม่ใช่เหรอ?”

หูจิงเหมือนถูกสะกิดเรื่องเศร้า ดวงตาหม่นแสงลง “ฉันบังคับให้แต่งงานล้มเหลว นึกโมโหขึ้นมา เลยเลิกกันน่ะ”

ซูจิ่นขมวดคิ้ว “หยางอี้ไม่เหมือนผู้ชายไม่รับผิดชอบนะ เธอสองคนคบกันมาตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว...”

“เขาบอกว่า ไม่มีบ้านไม่มีเงิน แต่งงานไปก็ไม่มีความหมาย” หูจิงพูดด้วยสีหน้าท้อแท้ “ฉันเองก็รู้ดีว่าแต่งงานแบบนี้ไม่มีความหมาย แต่คนที่บ้านทนดูพวกเราไม่ไหวกันหมดแล้ว ถ่วงมาหลายปีขนาดนี้ยังไม่ได้แต่งงานสักที ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันเป็นเพราะอะไร? ผู้ชายน่ะยิ่งแก่ยิ่งแพง แต่ผู้หญิงล่ะ? เห็นพูดกันว่าผู้หญิงคือขนมเค้กวันคริสต์มาส ผ่าน 25 ก็ต้องเริ่มขายลดราคาแล้ว ฉันน่ะอายุ 26 แล้วนะ จะให้ค้างเติ่งอยู่ในมือเขาไปจนหมดอายุจริงๆ หรือไง? ฉันรอเขาไม่ไหวแล้ว”

ซูจิ่นกลืนน้ำลาย ไม่รู้จะพูดอะไรดี ความจริงเธอเองก็เข้าสู่กลุ่มขายลดราคาแล้วเหมือนกัน เพียงแต่เธอไม่เห็นเรื่องแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญมาแต่ไหนแต่ไร ความรู้สึกในเรื่องนี้จึงค่อนข้างทื่อ...อีกอย่าง ถึงบ้านเธอจะไม่ใช่มหาเศรษฐี แต่ก็ถือว่ามีบ้านมีรถ ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ ดังนั้นจึงไม่เคยพิจารณาเรื่องแต่งงานจากมุมมองด้านวัตถุที่เป็นชีวิตจริง

แต่หูจิงกับหยางอี้ต่างมีฐานะทางบ้านธรรมดา แถมคนทั้งสองยังเป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วๆ ไป คิดจะอาศัยลำแข้งของตัวเองฝ่าฟันให้ได้บ้านหลังน้อยที่เป็นของตัวเองสักหลังในเมืองที่ทุกตารางนิ้วคือทองคำแห่งนี้ เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญอย่างมากจริงๆ

เฮ้อ...ซูจิ่นถอนหายใจ ทุกข์ใจแทนหูจิง และนึกดีใจที่ตัวเองเลือกเกิดเก่ง มาเกิดในครอบครัวที่มีอันจะกิน

วันหยุดปีใหม่อันแสนสั้น ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางการทอดถอนใจในความจริงอย่างสุดแสนที่ว่า “เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่าง แต่ไม่มีเงินนั้นซื้อไม่ได้สักอย่าง”

ซูจิ่นไม่สามารถและไม่อยากจะเตือนให้หูจิงหันหลังกลับ เพราะระหว่างหูจิงกับหยางอี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ไม่ใช่เรื่องที่หูจิงจะกำหนดได้อีกต่อไป แม้จะไม่อยากยอมรับเท่าไรนัก แต่ในบางด้านผู้ชายก็ยังคงเป็นผู้นำในความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงอยู่ดี ดังนั้นตอนนี้ได้แต่ดูว่าหยางอี้คิดจะเหนี่ยวรั้งความรักนี้ไว้หรือเปล่า และนี่ก็เป็นเวลาที่จะทดสอบดูว่าเขามีความจริงใจต่อหูจิงมากแค่ไหนด้วย ถ้าเขายอมปล่อยให้เลิกคบกันทั้งอย่างนี้ อย่างนั้นซูจิ่นจะเชียร์ให้หูจิงหาแฟนใหม่อย่างเต็มที่

คนเราจะอยู่แต่กับอดีตไม่ได้หรอก ทางเส้นนี้ไปไม่ได้ ก็ต้องหันกลับให้ทันการณ์ เสาะหาทางไปข้างหน้าเส้นใหม่ ควรตัดแล้วไม่ตัด ได้แต่เพิ่มความทุกข์ใจ ทรมานตัวเองจนแผลเหวอะหวะไปทั้งตัว

หลังจากเริ่มทำงาน ก็ยุ่งมากตลอดทั้งวัน หูจิงกับฉินชวน ต่างถูกซูจิ่นปัดออกไปจากสมองอย่างรวดเร็ว ทุกวันเมื่อเธอลากสังขารที่อ่อนเปลี้ยกลับมาถึงบ้าน ก็จะคิดแค่ว่า ต่อให้พรุ่งนี้เป็นวันโลกาวินาศ ก็ขอให้เธอได้นอนหลับเต็มอิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน

พยามยามอย่างเอาเป็นเอาตาย ในที่สุดก็เร่งทำร่างรายงานประเมินการจัดซื้อเสร็จในวันศุกร์ก่อนการประชุมกรรมการจนได้ ในฐานะหัวหน้าของกลุ่มเฉพาะกิจ ซูจิ่นย่อมต้องรับหน้าที่เป็นผู้พรีเซนส์และคอยตอบคำถามในการประชุมกรรมการอย่างห้ามปฏิเสธ

ยังดีที่บรรดากรรมการส่วนใหญ่ต่างไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ การรับมือพวกเขาจึงง่ายกว่ารับมือพวกนักบัญชีกับนักกฎหมายมาก ซูจิ่นจึงถือว่าสามารถผ่านด่านไปได้โดยสวัสดิภาพ ต่อให้เป็นอย่างนี้ ตอนเธอเดินตามหลังบรรดาผู้ใหญ่ออกจากห้องประชุม มือก็ยังชุ่มเหงื่อไปหมด

“คุณซู ทำได้ไม่เลวเลยครับ พวกกรรมการดูพอใจมากเลยละ” เหวินฉี่ตงที่วันนี้สวมชุดสูทสีดำล้วนอย่างไม่ค่อยได้เห็น ดูเคร่งขรึมเป็นพิเศษจงใจทอดฝีเท้าเล็กน้อย เดินเคียงเธออยู่ท้ายสุด

ซูจิ่นได้รับการชมเชยตอบสนองจากเจ้านายในทันที ถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก ยิ้มอย่างสบายใจ พูดอย่างจริงใจว่า “ขอบคุณค่ะผู้อำนวยการเหวิน”

เหวินฉี่ตงยิ้มบางๆ ส่งให้เจ้าตัวดูสุภาพอ่อนโยนขึ้นมากในทันที ดูแล้วสบายตาอย่างบอกไม่ถูก

เนื่องจากเขาสองคนเดินกันช้า พวกผู้ใหญ่จึงต่างไม่ได้รอพวกเขา และปิดลิฟต์ลงไปก่อนแล้ว หน้าลิฟต์จึงเหลือแค่เขากับเธอสองคน บรรยากาศเปลี่ยนเป็นแปลกๆ เล็กน้อยทันที ขณะที่ซูจิ่นกำลังพยายามเค้นสมองหาเรื่องคุย ก็ได้ยินเหวินฉี่ตงถามว่า “ไปพักผ่อนที่เมืองเซินโอเคไหมครับ?”

หญิงสาวแอบนึกชมอยู่ในใจว่าเหวินฉี่ตงรู้จักกาลเทศะ ตอบไปว่า “ก็ไม่เลวค่ะ อากาศอุ่นกว่าที่นี่มาก ดอกไม้ใบหญ้ายังมีสีสันอยู่ ไม่มีความรู้สึกของฤดูหนาวเลย”

“อากาศของทางใต้สบายกว่าทางเหนือมากจริงๆ ครับ แต่หน้าหนาวที่ไม่มีหิมะ มักจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป” ไม่ทราบว่าเหวินฉี่ตงนึกถึงอะไร ถึงพูดออกมาระคนถอนหายใจ

ซูจิ่นยิ้ม ไม่ได้ต่อความ เพราะเธอขี้หนาว ดังนั้นต่อให้ไม่มีหิมะ เธอก็ค่อนข้างชอบฤดูหนาวของทางใต้มากกว่า

จังหวะนี้อยู่ๆ เหวินฉี่ตงก็ถามหน้าเคร่ง “ความจริงแล้วผมอยากจะถามมาตลอด...ผมเคยทำอะที่ทำให้คุณซูเคืองหรือเปล่าครับ?”

“หา?” ซูจิ่นทำหน้างง มองคนถามอย่างไม่เข้าใจ “จะเป็นไปได้ยังไงกันคะ? ฉันน่ะนึกขอบคุณผู้อำนวยการเหวินแทบไม่ทันซะด้วยซ้ำ” เขาถือว่ามีบุญคุณที่เห็นความสามารถและเปิดโอกาสให้เธอได้ทำงานนะ

ชายหนุ่มได้ฟัง ดวงตาก็ทอแววอยากแกล้ง “อย่างนั้นทำไมคุณไปเมืองเซินขนของฝากกลับมา ถึงให้แต่ผู้อำนวยการหยวนกับจูลี่ ส่วนเพื่อนบ้านอย่างผมกลับไม่ได้ด้วยล่ะครับ?”

“หา?” ซูจิ่นยิ้มอย่างแกล้งโง่ แทบจะอยากล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อ หลงชมเขาเสียเปล่าซะแล้วว่ารู้จักกาลเทศะ ดันมาถามคำถามน่ากระอักกระอ่วนแบบนี้ได้ ความก็ใช่ว่าซูจิ่นไม่ได้พิจารณาเรื่องซื้อของที่ระลึกกลับมาให้เขาหรอก แต่ในฐานะที่เหวินฉี่ตงเป็นเป้าหมายซึ่งสาวโสดอายุเหมาะสมทุกคนในบริษัทต่างเล็งอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ เธอจึงจำเป็นต้องคิดถึงผลกระทบในภายหลังที่จะเกิดขึ้นจากการซี้ซั้วให้ของฝากด้วย ดังนั้นสุดท้ายจึงได้เลิกล้มความคิดที่จะซื้อของฝากให้เขาไป

แต่ซูจิ่นนึกไม่ถึงเลยว่า เหวินฉี่ตงจะดันได้ข่าวแล้วรี่มาทวงเอง...มีคนเป็นเจ้านายกันแบบนี้ด้วยเหรอ?

ยังดีที่ไหวพริบฉุกเฉินซึ่งซูจิ่นนึกภูมิใจเสมอมาไม่ได้ขัดข้องในจังหวะสำคัญ และเปล่งประสิทธิภาพได้อย่างถูกจังหวะ หญิงสาวกระแอม ทำเป็นกระซิบอย่างเขินๆ ว่า “ความจริงก็เอามาด้วยหรอกค่ะ ของทั้งของผู้อำนวยการหยวนกับของคุณเจนนี่เลย แต่ต่อมาฉันตะกละ เผลอกินหมดไปหนึ่งกล่อง เหลือแค่กล่องเดียว จะให้แต่ผู้อำนวยการหยวน ไม่ใช้คุณเจนนี่ก็กระไรอยู่...ดังนั้น...” เธอยิ้มเก้อๆ ไม่ได้พูดต่อ สาธยายมาถึงตรงนี้ เหวินฉี่ตงก็น่าจะใจกว้างเปิดทางถอยให้เธอได้แล้วมั้ง?

ใครจะไปนึกว่าชายหนุ่มยกมุมปากขึ้น ยิ้มอย่างรู้ทัน “งั้นคุณแอบเอาให้ผมก็แล้วกัน”

มีเจ้านายที่หน้าด้านแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย? ขณะที่ซูจิ่นนึกไม่ออกว่าควรจะตอบยังไงดี ลิฟต์ก็มาช่วยชีวิตอย่างทันกาล หลังจากเดินเข้าลิฟต์ หญิงสาวค่อยพูดอย่างลำบากใจ “ไม่ให้คุณเจนนี่เห็น คงจะยากมั้งคะ?”

ชายหนุ่มมองแถบแสดงชั้นในลิฟต์ อมยิ้มโดยไม่ตอบ หลังก้าวออกจากลิฟต์ จึงหันตัวไปพูดกับเธอว่า “วันเสาร์หน้าแล้วกันครับ วันเสาร์หน้า ผมจะชดเชยหนึ่งมื้อที่ค้างคุณอยู่ ส่วนคุณก็ชดเชยของฝากให้ผม”

“หา?” ถ้าปฏิเสธอีกก็จะไม่รู้จักกาลเทศะของแท้แล้ว ซูจิ่นได้แต่ปั้นยิ้มรับปาก “ได้ค่ะ”

ถึงตอนนั้นจะต้องให้เขาเลี้ยงเธอที่ร้านอาหารที่แพงที่สุด แบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะโดนเพื่อนร่วมงานในบริษัทมาเห็นเข้า ซูจิ่นคิดในใจอย่างชั่วร้ายมากหลังจากหันกายเดินจากไป

เมื่อหญิงสาวกลับไปถึงห้องทำงาน ก็เห็นว่าบนมือถือมีมิสคอลล์อยู่ คนโทรคือโหยวโยวที่หายสาบสูญไปนานมาก เมื่อครู่นี้ขึ้นไปประชุม เธอจึงไม่กล้าพกมือถือไป ตอนนี้จึงอดนึกดีใจในการตัดสินใจที่ฉลาดของตัวเองไม่ได้

หญิงสาวกดปุ่มโทรกลับ “ฮัลโหล โหยวโยว มีธุระอะไรเหรอ?” ถึงจะบอกว่าพวกเธอถือว่าสนิทกันไม่น้อย แต่โหยวโยวจะสนิทกับหูจิงมากกว่า ดังนั้นจึงแทบไม่ค่อยจะโทรศัพท์หาซูจิ่นโดยตรง

“แม่คนยุ่ง คืนนี้ว่างไหมจ๊ะ?” เสียงหวาดหยดของโหยวโยวดังช้าๆ มาจากทางปลายสาย

บังเอิญวันนี้ถือได้ว่างานขั้นตอนที่หนึ่งจบลงชั่วคราวพอดี คืนนี้[1]น่าจะเลิกงานตรงเวลาได้ หลังจากซูจิ่นนิ่งคิดดูแล้วจึงตอบว่า “ว่างจ้ะ ทำไมหรือ?”

“สองทุ่มคืนนี้ที่ Knights Bar ฉันเลี้ยงเอง จะแนะนำคู่หมั้นให้พวกเธอรู้จัก”

คู่หมั้น? ซูจิ่นตะลึงเล็กน้อยค่อยรับปาก “อ๋อ ได้สิ” ในที่สุดราชินีเพลย์เกิร์ลโหยวโยวก็คิดจะลงหลักปักฐานแล้วหรือ?

Knights Bar หรือ...หลังจากวางสายโทรศัพท์ ซูจิ่นก็หัวเราะเบาๆ ท่าทางในที่สุดโหยวโยวก็ทำความฝันให้เป็นจริงได้ จะแต่งกับคนรวยแล้วกระมัง? Knights Bar เป็นบาร์ที่แพงจนขึ้นชื่อ ส่วนมากผู้ดีมีทรัพย์ในเปิ่นปู้จะชอบนัดพบกันที่นี่ เข้าไปหนึ่งครั้ง ไม่มีค่าใช้จ่ายห้าหลักขึ้นไปยากมากจะออกมาได้ นึกไม่ถึงเลยว่ายังไม่ทันได้ล้มทับเหวินฉี่ตง ก็มีคนอื่นเป็นฝ่ายพุ่งเข้ามาให้ล้มทับเสียแล้ว

 

(ยังไม่จบตอน)

 



[1] ที่เมืองจีน ในเดือนมกราคม กลางคืนจะยาวกว่ากลางวัน ประมาณ 16:30 น.ฟ้าก็มืดแล้ว เวลาเลิกงาน 17:30 น. จึงถือเป็นกลางคืน

 


แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 2559, 15:12 โดย

หลินโหม่ว เข้าร่วมเมื่อ 28 ก.ค. 2559, 16:28

27 ความคิดเห็น